ทิวา ชินธาดาพงศ์

ทิวา ชินธาดาพงศ์ คัดสรรโอกาสการลงทุน เพื่อ “นักลงทุน”

ตลาดหุ้นไทยปิดร่วง 11.95 จุด รับแรงกดดัน CPALL-CPAXT-กลุ่มรพ. ลุ้นโอกาสรีบาวด์พรุ่งนี้SET ปิดวันนี้ที่ 1,419.72 จุด ลดลง...
16/12/2024

ตลาดหุ้นไทยปิดร่วง 11.95 จุด รับแรงกดดัน CPALL-CPAXT-กลุ่มรพ. ลุ้นโอกาสรีบาวด์พรุ่งนี้
SET ปิดวันนี้ที่ 1,419.72 จุด ลดลง 11.95 จุด (-0.83%) มูลค่าซื้อขายราว 40,533.11 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ลงแรงจากประเด็นกดดันหุ้น CPALL-CPAXT และแรงขายกลุ่มโรงพยาบาล ขณะที่ขาดปัจจัยใหม่หนุน แนวโน้มพรุ่งนี้ลุ้นดัชนีอาจรีบาวด์ทางเทคนิค สัปดาห์นี้เกาะติดตามภาพรวมการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้กรอบแนวรับ 1,414 จุด ถัดไป 1,410 จุด และแนวต้าน 1,422 จุด ถัดไป 1,430 จุด
SET ปิดวันนี้ที่ 1,419.72 จุด ลดลง 11.95 จุด (-0.83%) มูลค่าการซื้อขายราว 40,533.11 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลงแรง โดยทำจุดต่ำสุด 1,414.86 จุด และทำจุดสูงสุด 1,424.68 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 119 หลักทรัพย์ ลดลง 375 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 171 หลักทรัพย์
นายณรงค์เดช จันทรไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ลงไปค่อนข้างแรง เพราะถูกกดดันจากการเทขายหุ้น CPALL-CPAXT ออกมาอย่างหนักจากปัจจัยเฉพาะตัว ประกอบกับ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลปรับลงมาด้วย ขณะที่ภาพรวมยังไร้ปัจจัยในประเทศเข้ามาช่วยขับเคลื่อนดัชนี-ขาดอัพไซด์ ส่งผลให้เมื่อมีประเด็นลบเข้ามากระทบตลาดจึงปรับลงทันที
แนวโน้มวันพรุ่งนี้ลุ้นโอกาสเกิด Technical Rebound โดยคาดว่าหุ้น CPALL-CPAXT ที่กดดันตลาดวันนี้ค่อนข้างมากอาจมีจังหวะรีบาวด์หรืออย่างน้อยราคาหุ้นคงไม่ลงไปมากกว่านี้
และสัปดาห์นี้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เกี่ยวกับภาพรวมเศรษกิจไทยและทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าพร้อมให้กรอบแนวรับ 1,414 จุด ถัดไป 1,410 จุด และแนวต้าน 1,422 จุด ถัดไปให้ไว้ที่ 1,430 จุด

10 อันดับเศรษฐีหุ้นไทยปี 2567
15/12/2024

10 อันดับเศรษฐีหุ้นไทยปี 2567

14/12/2024

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการประชุม กนง. วันที่ 18 ธ.ค. คงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.25% และอาจปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีหน้า

ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 234.44 จุด หลังสหรัฐฯ เผยดัชนี PPI สูงกว่าคาดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (12 ธ.ค....
13/12/2024

ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 234.44 จุด หลังสหรัฐฯ เผยดัชนี PPI สูงกว่าคาด
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (12 ธ.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงเกินคาด และจากการที่นักลงทุนเทขายทำกำไร
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,914.12 จุด ลดลง 234.44 จุด หรือ -0.53%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,051.25 จุด ลดลง 32.94 จุด หรือ -0.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,902.84 จุด ลดลง 132.05 จุด หรือ -0.66%
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่าดัชนี PPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต พุ่งขึ้น 3.0% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2566 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.6% หลังจากปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนต.ค.
ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดีดตัวขึ้น 3.4% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.2% หลังจากปรับตัวขึ้น 3.4% ในเดือนต.ค.
ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเผชิญกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์
เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักกว่า 98% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค. แต่นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนม.ค.ปีหน้า หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้ออกมาเรียกร้องให้คณะกรรมการเฟดใช้ความระมัดระวังในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง
ร็อบ ฮาเวิร์ธ นักกลยุทธ์การลงทุนจากบริษัท U.S. Bank Wealth Management กล่าวว่า นักลงทุนพยายามประเมินว่าเฟดจะตัดสินใจอย่างไรในการประชุมสัปดาห์หน้า รวมทั้งจับตาว่าข้อมูลเงินเฟ้อที่มีการเปิดเผยล่าสุดนี้จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเฟดหรือไม่ นอกจากนี้ ฮาเวิร์ธกล่าวว่า มีแรงขายทำกำไรเข้ามาในตลาด หลังจากดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ ปรับตัวลง 0.84% และ 0.83% ตามลำดับ ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคดีดตัวขึ้นสวนทางภาพรวมตลาด โดยปรับตัวขึ้น 0.18%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง โดยหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ดิ่งลง 1.41% ส่วนหุ้นอะโดบี (Adobe) ทรุดตัวลง 13.69% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์รายได้ในปีงบการเงิน 2568 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท
หุ้นวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ดิสคัฟเวอรี (Warner Bros. Discovery) พุ่งขึ้น 15.4% หลังจากวอร์เนอร์ประกาศแผนแยกธุรกิจเคเบิลทีวีที่กำลังซบเซาลงในขณะนี้ ออกจากธุรกิจสตรีมมิงและสตูดิโอ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่าตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 17,000 ราย สู่ระดับ 242,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 220,000 ราย
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ Stifel คาดการณ์ว่า ดัชนี S&P500 มีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงขับเคลื่อนตลาด (momentum) ในปัจจุบันและผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนีอาจจะปรับตัวลง 10-15% ในช่วงครึ่งหลังของปี พร้อมกับคาดการณ์ว่าเฟดจะหยุดวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมม.ค. 2568 ซึ่งจะสร้างความเสี่ยงให้กับตลาดในช่วงกลางปี 2568

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่เคลื่อนไหวผสมผสาน ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวกรอบแคบ รอลุ้นผล ประชุมเฟดสัปดาห์หน้าKrungthai XSpring •-ตลาด...
13/12/2024

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่เคลื่อนไหวผสมผสาน ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวกรอบแคบ รอลุ้นผล ประชุมเฟดสัปดาห์หน้า
Krungthai XSpring •-ตลาดหุ้นจีน เคลื่อนไหวแดนลบ โดย HSKI-1.66% SSEC-1.49% จากแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มบลูชิพขนาดใหญ่ Meituan-3%, East Money-2.4% ฯลฯ เพราะผลประชุม Central Economic Work Conference ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนถึงขนาดของมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากการส่งสัญญาณภาพรวมว่า
ทางการ จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ผ่านมาตรการ การคลัง จะเพิ่มมาตรการใช้จ่ายของรัฐ ผ่านการเพิ่มการขาดดุลทางการคลัง ส่วนมาตรการการเงิน จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อเพิ่ม Consumption และ Stablized property and stock markets รวมถึงการผ่อนคลายค่าเงินหยวน แทนที่เน้น Stability เพื่อตอบรับ การปรับขึ้น US Tariff
•+/-ตลาดหุ้นเอเชียพัฒนาแล้ว เคลื่อนไหว Mix โดยตลาดหุ้นที่ปรับ ลดลง ได้แก่ Nikkei-1.05% นำลงโดยหุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ Mitsubishi Heavy-3.2% Sony Group-3.2% ฯลฯ ตามการปรับ ลดลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และการให้โอกาสที่ BOJ ปรับขึ้น ดอกเบี้ย ในสัปดาห์หน้า ลดลงเหลือ 23% โดยรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะ อดทนต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อรอดูสัญญาณ Wage Growth ที่ชัดเจนก่อนดำเนินนโยบาย XAO-0.38%
•ส่วนตลาดหุ้นที่ปรับสูงขึ้น ได้แก่ Kospi พลิกจากลบมาเป็นบวก +0.63% คาดความเสี่ยงทางการเมืองอาจคลี่คลาย หลังจาก วันเสาร์ นี้ สภาฯจะมีกระบวนการถอดถอนนายกรัฐมนตรี ยุนซุกยอล (Impeachment) จากการประกาศกฎอัยการศึกที่ผ่านมา Taiex +0.02% นำขึ้นโดยหุ้น TSMC+0.94%
•+/-ตลาดหุ้น ASEAN เคลื่อนไหวคละ โดยตลาดหุ้นที่ปรับลดลง ได้แก่ PSE-0.5% JKSE-0.41% VNI-0.34% ส่วนตลาดหุ้นที่ ปรับสูงขึ้น ได้แก่ FBKLCI+0.43% STI+0.2%
ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวกรอบแคบ
ตลาดหุ้นไทย ดัชนีฯ เคลื่อนไหว ใน กรอบ 1431.97-1438.35 จุด (-7.92 จุดถึง -1.54 จุด) โดยดัชนีฯ ฟื้นตัวเล็กน้อย หลังจากร่วงลงไปทำระดับต่ำสุดใน 15 นาทีแรก หลังเปิดตลาด ปัจจัยลบมาจาก การร่วงลงของตลาดหุ้นภูมิภาค เพราะกังวลต่อ US Bond Yield 10 ปีกลับมาเปลี่ยนเป็น ทิศทาง ขาขึ้น สัปดาห์แรกรอบ 4 สัปดาห์ และ US Dollar Index แข็งค่า ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง จากคาดการณ์ US Dot Plot ใหม่ มี โอกาสที่เฟดจะชะลอการปรับลดดอกเบี้ยปี 2025E ลงเหลือ น้อยกว่าเดิมที่ 4 ครั้ง
ภาวะตลาดโดยรวม (Market Breadth) เป็น Negative เห็นได้ จาก จำนวนบจ.ที่ปรับลดลง > จำนวนบจ.ที่ปรับสูงขึ้น ที่ 218 ต่อ 196 บจ. Gainers นำโดย PTT IVL มีผลต่อดัชนีฯ +1.13 จุด ส่วน Losers หุ้นที่ร่วงและมีผลต่อดัชนีฯสูงสุด ได้แก่ DELTA มีผล ต่อ ดัชนีฯ -3 จุด
Sectors & Stock Price Performance:
• +กลุ่มอุตฯที่ปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ Petro+2.67% Media+0.73% Transport+0.69% Tourism+0.68%
•-กลุ่มอุตฯที่ปรับลดลง ได้แก่ Electronic-1.63% Agri-1.6% Health-1.25% Auto-0.72%
•+หุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้น >3% ได้แก่ BEM IVL CCET BTS VGI BYD AAI
•-หุ้นที่ปรับลดลง >3% ได้แก่ BH STA MCOT SISB
ประเด็นต้องติดตาม วันนี้ :
• EU: Industrial Production เดือน ต.ค. คาด -0.1% MoM, -1.9% YoY (Vs เดือน ก.ย. -2% MoM, -2.8% YoY) แต่คาดปรับตัว ดีขึ้นในช่วงที่เหลือปีนี้ โดย Consensus คาดสิ้นเดือน ธ.ค. ขยายตัว +1.5% YoY
Strategy Update: คาดดัชนีฯเคลื่อนไหว Sideways แนวรับ 1,431 จุด (EMA 75 วัน)/1425 จุด แนวต้าน 1442 จุด (EMA 10 วัน)/1447 จุด (EMA25วัน) แนะนำ ขึ้นขายทำกำไร เพื่อรอสัญญาณเทคนิค ยืนยันขาขึ้นรอบใหม่

ตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ผันผวนตามทิศทางหุ้น DELTAKrungthai XSpring : ตลาดหุ้นไทย ดัชนีฯ เคลื่อนไหวในกรอบ 1445.39-1456.92 จุด ...
12/12/2024

ตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ผันผวนตามทิศทางหุ้น DELTA
Krungthai XSpring : ตลาดหุ้นไทย ดัชนีฯ เคลื่อนไหวในกรอบ 1445.39-1456.92 จุด (+2.34 จุดถึง +13.87 จุด) โดยปรับขึ้นไปทำระดับสูงสุดของวัน หลังเปิด ตลาดซื้อขาย 30 นาทีแรก ก่อนอ่อนตัวในช่วงที่เหลือของการซื้อขาย ตาม การเคลื่อนไหวของหุ้น DELTA (สูงสุด +10 บาท ก่อนอ่อนตัว)
หลังจาก ออก จากเกณฑ์ Cash Balance ของตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นวันแรก และมี โมเมนตั้ม บวกจากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ (ดัชนี Philadelphia Semiconductor Index วานนี้ +2.72% ขณะที่ Nasdaq +1.77% พร้อมทำ All-time high)
ภาวะตลาดโดยรวม (Market Breadth) เป็น Slightly Negative เห็นได้ จาก จำนวนบจ.ที่ปรับสูงขึ้น > จำนวนบจ.ที่ปรับลดลง ที่ 189 ต่อ 221 บจ. Gainers นำโดย DELTA มีผลต่อดัชนีฯ +7.5 จุด ส่วน Losers หุ้นที่ร่วง และ มีผลต่อดัชนีฯสูงสุด ได้แก่ PTT GULF มีผลต่อดัชนีฯ -1.04 จุด
Sectors & Stock Price Performance:
• +กลุ่มอุตฯที่ปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ Electronic+4.69% Conmat+1.32% Pkg+0.96% Bank+0.82%
•-กลุ่มอุตฯที่ปรับลดลง ได้แก่ Tourism-1.05% Construction-0.89% Energy-0.78% Property-0.72%
•+หุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้น >3% ได้แก่ DELTA JAS
•-หุ้นที่ปรับลดลง >3% ได้แก่ BCP TIDLOR EE MOSHI
ประเด็นต้องติดตาม วันนี้ :
•ECB: ECB Meeting คาดลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 3.15% (เดิม 3.4%) และ Consensus คาดปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงต่อเนื่องอีก 100 bps ในปี 2025 (ลด 50 bps. เหลือ 2.65% ในเดือน มี.ค. 2025 และอีก 50% bps เหลือ 2.15% ในเดือน มิ.ย. 2025)
•Switzerland: ผลประชุมธนาคารกลาง คาดมีมติลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 0.75%
•US: รายงาน PPI เดือน พ.ย. คาด +0.2% MoM, +2.6% YoY (Vs เดือน ต.ค. +0.2% MoM, +2.4% YoY)
Strategy Update: คาดดัชนีฯเคลื่อนไหว Sideways แนวต้าน 1454/1457 จุด แนวรับ 1,442 จุด (EMA 50 วัน)/1437 จุด แนะนำ ขึ้นขายทำกำไร เพื่อรอ สัญญาณ ยืนยันขาขึ้นรอบใหม่

ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกรับดัชนี Nasdaq พุ่งทำนิวไฮ ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ (12 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากดัช...
12/12/2024

ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกรับดัชนี Nasdaq พุ่งทำนิวไฮ
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ (12 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากดัชนี Nasdaq ที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพุธ (11 ธ.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ และทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวที่ระดับ 39,849.97 จุด เพิ่มขึ้น 477.74 จุด หรือ +1.21% ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 20,213.24 จุด เพิ่มขึ้น 58.19 จุด หรือ +0.28% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,432.28 จุด ลดลง 0.21 จุด หรือ 0.006%
ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดพุ่งขึ้น 1% ส่วนดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียดีดตัวขึ้น 0.1% หลังจากสำนักงานสถิติของออสเตรเลียรายงานว่า อัตราว่างงานลดลงแตะระดับ 3.9% ในเดือนพ.ย. จากระดับ 4.1% ในเดือนต.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 4.2%

หุ้น IVF ปิดเทรดวันแรกที่ 2.02 บาท ลดลง 1.08 บาท หรือลดลง -34.84% จากราคา IPO ที่ 3.10 บาท บล.ดาโอ : IVF (IPO/เป้า 4.40 ...
11/12/2024

หุ้น IVF ปิดเทรดวันแรกที่ 2.02 บาท ลดลง 1.08 บาท หรือลดลง -34.84% จากราคา IPO ที่ 3.10 บาท
บล.ดาโอ : IVF (IPO/เป้า 4.40 บาท) เป็นผู้ให้บริการรักษาผู้มีบุตรยาก (infertility treatment) ชั้นนำโดยมีรายได้หลักๆจากการทำ infertility treatment ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่วิธี Intracytoplasmic s***m injection (ICSI), การตรวจความผิดปกติทางพันธุกรรมของตัวอ่อน (Preimplantation genetic testing: PGT)
รวมจนถึง การรักษาภาวะการเจริญพันธุ์ (Fertility preservation) นอกจากนี้ บริษัทยังมีให้บริการเวชศาสตร์ป้องกันและฟื้นฟู (Preventive and regenerative medicine: PRM) ซึ่งบริษัทเริ่มให้บริการตั้งแต่กลางปี 2023 ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะระดมทุนเพื่อนำไปใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายสาขาและเพื่อเป็นเงินลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
เราประเมินกำไรสุทธิของบริษัทจะเติบโตเฉลี่ยในช่วง 3 ปีข้างหน้าที่ (2023-2026E CAGR) +29% เป็น 88 ล้านบาทในปี 2026E หนุนด้วย จำนวนรอบการเก็บไข่ของบริการ ICSI (Oocyte Pick-up Cycle: OPU cycle) ที่สูงขึ้น รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ดีขึ้นจากสัดส่วน (revenue mix) ที่ดีขึ้น และส่วนประหยัดต่อขนาด (economies of scale) ที่ขยายขึ้นจากฐานรายได้ที่สูงขึ้น
เราประเมินมูลค่าเหมาะสมสำหรับ IVF ที่ 4.40 บาท อิง 2025E PER ที่ 26.5x ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย PER ของคู่แข่งในอุตสาหกรรมที่ 17.6x โดยเรามองว่า IVF สมควรซื้อขายที่ premium เนื่องจากอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงกว่าคู่แข่ง (peers)

ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 154.10 จุด นักลงทุนจับตา CPI สหรัฐฯดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร  เนื่องจากการร่วงลงข...
06/10/2023

ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 154.10 จุด นักลงทุนจับตา CPI สหรัฐฯ
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร เนื่องจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาด ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในการประชุมสัปดาห์หน้า
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,247.83 จุด ลดลง 154.10 จุด หรือ -0.35%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,034.91 จุด ลดลง 17.94 จุด หรือ -0.30% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,687.24 จุด ลดลง 49.45 จุด หรือ -0.25%
โมนา มาฮาจาน หัวหน้านักกลยุทธ์ด้านการลงทุนจากบริษัท Edward Jones กล่าวว่า นักลงทุนรอดูการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันนี้ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในวันพฤหัสบดี โดยคาดหวังว่าตัวเลขเงินเฟ้อทั้งสองรายการจะไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเฟดในการประชุมสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากดัชนี CPI ออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ นักลงทุนก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมสัปดาห์หน้า
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 86% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค.
ลินด์เซย์ เบลล์ หัวหน้านักกลยุทธ์จากบริษัท 248 Ventures กล่าวว่า นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่สหรัฐฯ จะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ว่าเฟดจะยุติวงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินในเดือนม.ค.ปีหน้าหรือไม่ หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้ออกมาแสดงความเห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เฟดควรชะลอการผ่อนคลายนโยบายการเงิน เมื่อพิจารณาจากเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว
หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มเทคโนโลยี ร่วงลง 1.63% และ 1.26% ตามลำดับ ส่วนหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารและกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ดีดตัวขึ้น 2.61% และ 0.50% ตามลำดับ
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับแรงกดดันจากหุ้นบริษัทออราเคิล (Oracle) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติง โดยราคาหุ้นร่วงลง 6.67% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังได้รับผลกระทบจากรายงานข่าวที่ว่า สำนักงานควบคุมกฎระเบียบตลาดของจีน (SAMR) ได้เปิดฉากการสอบสวนกรณีที่บริษัทอินวิเดีย (Nvidia) อาจละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาดของจีน ขณะที่นักลงทุนมองว่าการดำเนินการดังกล่าวของจีนเป็นการตอบโต้สหรัฐฯ ที่ประกาศห้ามการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังบริษัทจีนจำนวน 140 แห่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทผลิตชิปของจีน
ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นอินวิเดีย ร่วงลง 2.7% และยังส่งผลให้ดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia SE Semiconductor Index) ดิ่งลง 2.5%
หุ้นวอลกรีนส์ บู้ทส์ อัลลิอันซ์ (Walgreens Boots Alliance) ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านขายยาขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ทะยานขึ้น 17.7% หลังจากมีรายงานว่าวอลกรีนส์กำลังเจรจาขายกิจการให้กับบริษัทไซคามอร์ พาร์ตเนอร์ส (Sycamore Partners)
หุ้นโบอิ้ง (Boeing) ดีดตัวขึ้น 5.5% หลังจากสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โบอิ้งเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตเครื่องบินรุ่น 737 MAX อีกครั้งในสัปดาห์ที่แล้ว
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนี CPI ของสหรัฐฯ ในวันนี้ เวลาประมาณ 20.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนต.ค. และคาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 3.3% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนต.ค.
================
THE Opportunity Channel
Opportunity for Investment : คัดสรรโอกาสการลงทุน เพื่อ “นักลงทุน”
คว้าโอกาสการลงทุน ที่นักลงทุนควรได้รับรู้ และทุกข้อมูลด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน การลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ ที่จะเป็นเครื่องมือ ชี้วัดความสำเร็จ และการสร้างความมั่งคั่งในอนาคต...
กดติดตามช่องทางการรับชม เพื่อได้รับข้อมูลที่น่าสนใจ...

ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ ขณะ S&P500-Nasdaq บวกรับคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ยดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (6 ธ.ค.) โด...
21/10/2022

ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ ขณะ S&P500-Nasdaq บวกรับคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (6 ธ.ค.) โดยถูกกดดันจากหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป (UnitedHealth Group) ซึ่งร่วงลง 5.1% ขณะที่ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานซึ่งบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในเดือนนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,642.52 จุด ลดลง 123.19 จุด หรือ -0.28%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,090.27 จุด เพิ่มขึ้น 15.16 จุด หรือ +0.25% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,859.77 จุด เพิ่มขึ้น 159.05 จุด หรือ +0.81%
ดัชนี S&P500 ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นครั้งที่ 57 ของปีนี้ ขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นครั้งที่ 36 ของปีนี้
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 0.6%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้นประมาณ 1% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 3.3% หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยในดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 2.4% ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้น ลูลูเลมอน แอธเลติกา ( Lululemon Athletica) บริษัทผลิตชุดกีฬา ซึ่งพุ่งขึ้น 15.9% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ทั้งปี
นอกจากนี้ หุ้นอัลตา บิวตี (Ulta Beauty) บริษัทร้านค้าปลีกเครื่องสำอาง พุ่งขึ้น 9% หลังจากที่บริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไรประจำปี
รายงานจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของการจ้างงานเพิ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน แต่การเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานที่ 4.2% ชี้ให้เห็นถึงตลาดแรงงานที่เริ่มผ่อนคลายลง
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 227,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 202,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้นเพียง 36,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนเฮลีนและมิลตันที่พัดถล่มสหรัฐ รวมทั้งการผละงานประท้วงของพนักงานบริษัทโบอิ้ง
ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.2% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 4.1% ในเดือนต.ค.
"ข้อมูลนี้สนับสนุนกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังคงลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนธ.ค.นี้และในไตรมาสแรก" บิล นอร์ธีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนอาวุโสของยูเอส แบงก์ เวลธ์ แมเนจเมนต์ (U.S. Bank Wealth Management) กล่าว
หลังการเปิดเผยข้อมูลจ้างงานดังกล่าว สัญญาอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าของสหรัฐฯ ปรับตัวรับโอกาสประมาณ 90% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 17-18 ธ.ค.นี้ เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่คาดว่ามีโอกาสเพียง 72%
เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% แล้วนับตั้งแต่เดือนก.ย.เมื่อเริ่มต้นวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ด้านมิเชล โบว์แมน ผู้ว่าการเฟดกล่าวว่า ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อยังคงมีอยู่ ซึ่งบ่งชี้ถึงความระมัดระวังในการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
หุ้นของบริษัทประกันสุขภาพ รวมถึงยูไนเต็ดเฮลธ์ ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า หลังจากที่ไบรอัน ธอมป์สัน ซีอีโอของหน่วยประกันสุขภาพของยูไนเต็ดเฮลธ์ถูกยิงเสียชีวิตนอกโรงแรมในแมนฮัตตัน
ผู้ก่อเหตุยังคงหลบหนีอยู่ และยังไม่ทราบแรงจูงใจในการก่อเหตุ โดยการเสียชีวิตครั้งนี้ทำให้เกิดการแสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับความไม่พอใจในระบบประกันสุขภาพของสหรัฐฯ
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นอื่น ๆ นั้น หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส (Meta Platforms) เจ้าของเฟซบุ๊ก (Facebook) พุ่งขึ้น 2.4% หลังจากที่ศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ ตัดสินสนับสนุนกฎหมายที่กำหนดให้ไบต์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทของจีนต้องขายติ๊กต๊อก (TikTok) แอปวิดีโอสั้นยอดนิยมภายในต้นปีหน้า มิฉะนั้นจะเผชิญกับการถูกแบน
ดัชนีความผันผวน (Cboe Volatility Index) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความวิตกในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดลง 0.77 จุด แตะ 12.77 ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนก.ค.

Address

Naogaon

Telephone

+8801731109283

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when ทิวา ชินธาดาพงศ์ posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Business

Send a message to ทิวา ชินธาดาพงศ์:

Share