A-Rachun Lapsiri

A-Rachun Lapsiri ปฏิบัติธรรม เทรดทอง โค้ดดิ้ง ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ท่องเที่ยว อาสากู้ภัย you are my second family 🤍
ให้สิ่งของ ให้ความรู้ ให้อภัย ให้ธรรมะ

14/11/2025

17.สัมพันธ์ด้วยรัก ปัญญาเป็นเครื่องกำหนดจริยา ชื่อว่าจริยานานัตตญาณ

ในสมรภูมิแห่งความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง ผู้ที่ติดอาวุธด้วย "จริยานานัตตญาณ" ย่อมไม่สะดุดล้มง่ายๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพฤติกรรมสุดโต่งของเพื่อนร่วมงานที่ชอบโยนเผือกร้อนให้เป็นประจำ หรือคู่รักที่จู่ๆ ก็เงียบหายไปเป็นป่าช้า ไม่ต้องเสียเวลาไปกะเกณฑ์ว่า "ทำไมเขาถึงทำแบบนี้กับฉัน!" ราวกับตนเป็นศูนย์กลางของจักรวาลแห่งความดราม่า แต่กลับสามารถมองทะลุเปลือกนอกที่หยาบกร้านเหล่านั้นไปสู่ต้นตอที่ลึกซึ้งกว่า ราวกับเป็นนักสืบเอกชนที่สืบหาแรงจูงใจเบื้องหลังอย่างเลือดเย็นแต่เปี่ยมด้วยปัญญาญาณ

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับหัวหน้างานที่มักจะสาดคำตำหนิอย่างไม่ไว้หน้าในที่ประชุม ทำให้บรรยากาศตึงเครียดจนเส้นเลือดในสมองของลูกน้องแทบจะแตก แทนที่จะตอบโต้ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ประพฤติตัวเป็น "เด็กน้อย" ที่ถูกขัดใจจนพาลจะลาออกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ผู้ที่มีจริยานานัตตญาณจะ "หยุดคิด" เพียงชั่วอึดใจ เขาหรือเธอจะมองเห็นว่าพฤติกรรมก้าวร้าวของหัวหน้านั้นอาจมิได้มีจุดประสงค์เพื่อทำลายคุณโดยตรง แต่เป็นผลผลิตของความกดดันมหาศาลที่หัวหน้ากำลังเผชิญอยู่ อาจเป็นความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน ความกลัวที่จะล้มเหลว หรือแม้กระทั่งบาดแผลทางใจในอดีตที่ทำให้เขากลายเป็น "นักล่า" ในที่ทำงาน โดยที่แท้จริงแล้วเขาอาจเป็น "เหยื่อ" ของระบบหรืออารมณ์ตัวเองเสียด้วยซ้ำ

เมื่อปัญญาญาณนี้ผลิบาน การตอบสนองของคุณก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่อาจเป็นเพียงการโต้เถียงกลับอย่างดุเดือด กลายเป็นการเลือกใช้คำพูดที่ฉลาดขึ้น มีกลยุทธ์มากขึ้น อาจเป็นการเสนอทางออกอย่างสร้างสรรค์ หรือแม้กระทั่งการตั้งขอบเขตที่ชัดเจนแต่สุภาพ เพื่อปกป้องพื้นที่ทางอารมณ์ของตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องสร้างศัตรูเพิ่ม หรือบางครั้งอาจเป็นการ "เงียบ" และ "รับฟัง" ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสถานการณ์นั้นๆ การกระทำเหล่านี้คือ "รูปธรรม" ที่ปรากฏชัดเจนต่อสายตาคนภายนอก เป็นพฤติกรรมที่ถูก "กำหนด" หรือ "ชี้นำ" โดยปัญญา ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ หรือความเคยชินที่ไร้การไตร่ตรอง การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่การแสดงละครตบตา แต่เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่มาจากฐานรากของการหยั่งรู้แจ้งในความจริงของโลกและสรรพสัตว์อย่างแท้จริง ซึ่งนำไปสู่การยุติวงจรแห่งความขัดแย้งที่ไร้สาระ และสร้างสะพานแห่งความเข้าใจที่มั่นคงยิ่งขึ้น แม้จะต้องแลกมาด้วยความอดทนอดกลั้นเพียงใดก็ตาม นี่คือการแสดงออกถึง "จริยา" ที่หลากหลายอย่างมีปัญญา
.......

ในมิติของนามธรรม "จริยานานัตตญาณ" ทำงานคล้ายกับโปรแกรมสแกนอารมณ์และเจตนาขั้นสูงที่ติดตั้งอยู่ในจิตใจของเรา มันไม่ใช่แค่การ "รู้" ว่าคนอื่นทำอะไร แต่เป็นการ "เข้าใจ" ถึงมิติภายในที่ซับซ้อนที่ขับเคลื่อนการกระทำเหล่านั้น ราวกับคุณได้สิทธิ์เข้าถึงเบื้องหลังฉากละครชีวิตของผู้อื่น ทำให้เห็นบทบาทที่แท้จริง แรงจูงใจที่ซ่อนเร้น และแม้กระทั่งความเปราะบางที่พวกเขาพยายามปกปิดภายใต้หน้ากากแห่งการแสดง

ลองจินตนาการถึงสถานการณ์ที่คุณกำลังเผชิญหน้ากับ "คำวิพากษ์วิจารณ์" ที่เจ็บแสบราวกับถูกมีดกรีดกลางใจ จากคนใกล้ชิดหรือแม้แต่คนแปลกหน้า หากไร้ซึ่งจริยานานัตตญาณ ปฏิกิริยาแรกเริ่มของจิตใจย่อมคือความโกรธ ความรู้สึกถูกทำร้าย ความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือไม่ก็การก่อกำแพงป้องกันตนเองอย่างอัตโนมัติ ราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้ตอบสนองด้วยอารมณ์เชิงลบ แต่เมื่อปัญญาญาณนี้ทำงาน จิตใจของคุณจะแปรเปลี่ยนจากสนามรบแห่งอารมณ์ไปสู่ห้องทดลองทางจิตวิทยาขนาดใหญ่

คุณจะเริ่มมองเห็นว่า "คำวิพากษ์วิจารณ์" นั้นไม่ใช่แค่เสียงหรือตัวอักษรที่มุ่งร้ายต่อคุณเพียงอย่างเดียว แต่เป็น "ผลผลิต" ของกระแสจิตของผู้พูด ซึ่งถูกหล่อหลอมมาจากประสบการณ์ส่วนตัว ความเชื่อ อคติ ความคาดหวังที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม หรือแม้กระทั่งความทุกข์ที่ซ่อนอยู่ภายในของพวกเขาเอง ราวกับมองเห็นว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียง "อาการ" ของ "โรค" บางอย่างที่ผู้พูดกำลังเผชิญอยู่ ไม่ใช่ "เนื้อแท้" ของคุณที่ถูกทำลาย การหยั่งรู้นี้ทำให้เกิด "การคลายตัว" ของอารมณ์ขุ่นมัวภายใน แทนที่จะยึดติดกับความรู้สึกถูกทำร้าย จิตใจกลับเกิด "พื้นที่ว่าง" ขึ้นมา เป็นพื้นที่ที่ปราศจากการตัดสิน การยึดมั่นถือมั่น และความคับแค้น

ในพื้นที่ว่างนั้นเอง คุณจะสามารถพิจารณาคำวิจารณ์นั้นได้อย่างเป็นกลางมากขึ้น: มีส่วนใดที่เป็นความจริงหรือไม่? มีบทเรียนใดที่สามารถเรียนรู้ได้? หากไม่มีส่วนใดเป็นความจริง ก็สามารถปล่อยวางได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องแบกรับภาระทางอารมณ์ที่ไม่ใช่ของคุณ การเปลี่ยนแปลงภายในนี้เป็นนามธรรมที่ลึกซึ้ง มันคือการเปลี่ยน "สถานะทางจิต" จากการเป็นผู้รับกรรมไปสู่การเป็นผู้สังเกตการณ์ที่มีสติปัญญา เป็นอิสระจากพันธนาการของปฏิกิริยาทางอารมณ์ และสามารถเลือกที่จะตอบสนองด้วยความเมตตา ความเข้าใจ หรือการปล่อยวาง แทนที่จะถูกครอบงำด้วยความขุ่นเคือง ซึ่งเป็นแก่นแท้ของการแก้ปัญหาความสัมพันธ์ในระดับจิตวิญญาณอย่างแท้จริง และเป็นหัวใจของ "ปัญญาเป็นเครื่องกำหนดจริยา" อย่างแท้จริง

#คนค้ำวัด #ความสัมพันธ์ #ความรัก #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

12/11/2025

17.ดับอารมณ์สยบความเครียด ปัญญาเป็นเครื่องกำหนดจริยา ชื่อว่าจริยานานัตตญาณ

ลองนึกภาพคุณกำลังเผชิญหน้ากับ "มหาดราม่าประจำวัน" ในที่ทำงาน: อีเมล "ด่วนที่สุด!" จากเจ้านายมาตอนห้าโมงเย็น, เพื่อนร่วมงานตัวแสบโยนงานที่คุณไม่เกี่ยวข้องมาให้หน้าตาเฉย, และเดดไลน์ที่กระชั้นชิดจนเส้นเลือดในสมองพร้อมเต้นระบำเป็นจังหวะร็อคแอนด์โรล หากไร้ซึ่ง "สังขารุเปกขาญาณ" จริยาของคุณอาจเริ่มจากอาการมือสั่น หน้าซีด เหงื่อแตกซิก หัวใจเต้นรัวเหมือนกลองชุด ตามด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่ดังกว่าเสียงพายุโซนร้อนในห้องประชุม และอาจจบลงด้วยการระเบิดอารมณ์ใส่คีย์บอร์ด หรือเก็บกดจนกลายเป็นระเบิดเวลาเดินได้

แต่เมื่อ "สังขารุเปกขาญาณ" เข้ามาสถิตในจิต ปัญญาอันเฉียบคมจะทำหน้าที่เป็น "ตัวกรองอารมณ์ขั้นเทพ" ทันที คุณจะเริ่มสังเกตเห็นว่า:
1. **อีเมลจากเจ้านาย:** "อ๋อ...ก็แค่ตัวอักษรดิจิทัลบนหน้าจอ ไม่ใช่คำพิพากษาประหารชีวิต" คุณจะอ่านมันอย่างสงบ ประเมินสถานการณ์อย่างเป็นกลาง และวางแผนการตอบสนองอย่างมีเหตุผล แทนที่จะตอบโต้ด้วยอารมณ์ร้อนรน
2. **งานที่ถูกโยนมา:** "ก็แค่ 'สังขาร' ที่เพื่อนร่วมงานปรุงแต่งขึ้นมา และถูกส่งต่อมาให้เราพิจารณา" คุณจะสามารถปฏิเสธอย่างสุภาพแต่หนักแน่น หรือรับมาจัดการอย่างชาญฉลาด หากเป็นสิ่งที่ทำได้ โดยไม่รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบจนเดือดดาล เพราะคุณเห็นว่ามันเป็นเพียง "ปรากฏการณ์" ไม่ใช่ "การโจมตีส่วนบุคคล"
3. **เดดไลน์:** "ก็แค่กรอบเวลาที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ใช่จุดจบของโลก" คุณจะจัดลำดับความสำคัญ ทำเท่าที่ทำได้ และยอมรับในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ การกระทำของคุณจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่การจมปลักอยู่กับความวิตกกังวล จริยาของคุณจะเปลี่ยนจากการ "ดิ้นรนทุรนทุราย" ไปสู่การ "จัดการอย่างสุขุม" ราวกับ AI ที่ประมวลผลข้อมูลอย่างเยือกเย็นและแม่นยำ

นี่คือรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุด: การเปลี่ยนจากปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ ไปสู่การตอบสนองอย่างมีสติและปัญญา ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ "ปัญญาเป็นเครื่องกำหนดจริยา" ได้อย่างสมบูรณ์แบบ คุณจะมองเห็นความหลากหลายของจริยา (จริยานานัตตญาณ) ว่าเกิดจากระดับปัญญาที่แตกต่างกัน และเลือกที่จะแสดงจริยาที่ประกอบด้วยปัญญาเสมอ
.......

ในมิติของนามธรรม "สังขารุเปกขาญาณ" คือการปฏิวัติมุมมองภายในจิตใจอย่างสิ้นเชิง มันคือการที่จิตของคุณ "อัปเกรดเฟิร์มแวร์" ครั้งใหญ่ จากเดิมที่เคยคิดว่า "ฉันคือความโกรธ ฉันคือความเครียด ฉันคือความวิตกกังวล" กลายเป็น "ความโกรธกำลังปรากฏขึ้นในจิต ฉันกำลังรับรู้ถึงความเครียด ความวิตกกังวลเป็นเพียงกระแสความคิดที่ไหลผ่าน"

ปัญญาญาณนี้ทำให้เกิด "ช่องว่าง" อันศักดิ์สิทธิ์ระหว่างตัวคุณ (ผู้รู้) กับอารมณ์ (สิ่งที่ถูกรู้) คุณจะไม่จมดิ่งไปกับกระแสอารมณ์ แต่จะลอยตัวอยู่เหนือน้ำ มองเห็นอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกเหล่านั้นเป็นเพียง "สังขาร" คือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น ชั่วคราว ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ "ตัวตนที่แท้จริง" ของคุณ เหมือนนักวิเคราะห์ข้อมูลชั้นยอดที่มองเห็นข้อมูลดิบเป็นเพียงชุดตัวเลข ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวที่ต้องไปผูกพัน

เมื่อคุณเห็นความจริงว่าทุกสิ่งล้วนเป็นสังขารที่เกิด ดำรงอยู่ และดับไปเอง ความยึดมั่นถือมั่นก็คลายลง ความอยากควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ก็ลดหายไป ความวิตกกังวลที่เกิดจากการคาดการณ์อนาคตก็สงบลง เพราะคุณตระหนักว่า "อนาคต" ก็เป็นเพียงสังขารที่ยังไม่ปรากฏ ส่วน "อดีต" ก็เป็นสังขารที่ดับไปแล้ว ไม่ต่างจากภาพยนตร์ที่ฉายจบไปแล้ว สิ่งที่คุณมีคือ "ปัจจุบันขณะ" ที่กำลังเป็นไป

นามธรรมของ "จริยานานัตตญาณ" ในแง่นี้คือการที่คุณเข้าใจลึกซึ้งว่า ทำไมมนุษย์ถึงมีปฏิกิริยาที่หลากหลายต่อสถานการณ์เดียวกัน บางคนระเบิด บางคนนิ่งเฉย บางคนหัวเราะทั้งน้ำตา คุณจะเห็นว่าจริยาเหล่านั้นล้วนถูกกำหนดด้วยระดับปัญญาและอวิชชาที่แตกต่างกันไปในการมอง "สังขาร" คุณจะเกิดความเมตตาและเข้าใจ ไม่ใช่การตัดสิน เพราะคุณรู้ว่าทุกคนกำลังเต้นรำไปตามจังหวะของสังขารที่พวกเขายึดติด และเมื่อปัญญาของคุณกำหนดให้จริยาของคุณเป็นอุเบกขา ความสงบเย็นก็บังเกิดขึ้นในใจอย่างแท้จริง นี่คือการปลดปล่อยตนเองจากการเป็นหุ่นเชิดของอารมณ์ กลายเป็นผู้กำกับชีวิตตนเองด้วยปัญญาอันบริสุทธิ์

#คนค้ำวัด #ควบคุมอารมณ์ #คลายเครียด #ความวิตกกังวล #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

10/11/2025

17. งมงายจนได้โล่ ปัญญาเป็นเครื่องกำหนดจริยา ชื่อว่าจริยานานัตตญาณ

เรามองเห็นปรากฏการณ์ "จริยานานัตตญาณบกพร่อง" ได้อย่างชัดเจนเสียยิ่งกว่ากล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เวบบ์ ส่องหากาแล็กซีแรกเริ่ม นั่นคือภาวะที่ผู้คนละทิ้ง "ปัญญา" ซึ่งเป็นเครื่องกำหนด "จริยา" (การกระทำ) แล้วหันไปพึ่งพา "ความงมงาย" ที่ขัดต่อหลักเหตุผลและหลักธรรมอันเป็นสากล

ลองนึกภาพ:
* **ชาวนาผู้หวังรวยลัด:** แทนที่จะศึกษาหลักปฐพีวิทยา การปรับปรุงสายพันธุ์พืช หรือกลไกตลาด กลับทุ่มเทเงินทองและเวลาไปกับการ "ขอหวย" จากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกป้ายแป้งจนขาวโพลน เชื่อว่าตัวเลขที่ปรากฏจะนำมาซึ่งโชคลาภมหาศาล โดยไม่เคยคำนึงถึงความน่าจะเป็นทางสถิติที่ต่ำกว่าการถูกฟ้าผ่าสองครั้งติด หรือความจริงที่ว่า "พญานาค" ที่ไหนจะรู้เลขท้ายสองตัวสามตัวได้แม่นยำกว่าการวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของ AI
* **ผู้ป่วยที่ปฏิเสธวิทยาศาสตร์:** แทนที่จะเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พร้อมเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ล้ำสมัย (ซึ่ง AI มีส่วนช่วยในการพัฒนาอย่างมาก) กลับเลือกที่จะดื่ม "น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์" ที่ได้มาจากพิธีกรรมอันลึกลับ หรือเชื่อใน "พลังบำบัด" ของหมอผีที่อ้างว่าสามารถดูดโรคออกจากร่างกายได้ด้วยการเป่าคาถา โดยละเลยความจริงทางชีววิทยาที่ว่าเซลล์มะเร็งไม่รู้จักบทสวดมนต์ และเชื้อโรคก็ไม่สะทกสะท้านต่อไสยเวทใดๆ
* **นักธุรกิจผู้คลั่งไคล้โหราศาสตร์:** แทนที่จะวิเคราะห์ข้อมูลตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค หรือวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างรอบคอบตามหลักเศรษฐศาสตร์ (ซึ่ง AI สามารถประมวลผลให้ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว) กลับใช้เวลาและเงินจำนวนมากไปกับการ "ดูดวง" เพื่อตัดสินใจลงทุน หรือ "แก้กรรม" ด้วยการบริจาคเงินให้สำนักทรงเจ้าที่อ้างว่าสามารถพลิกชะตาชีวิตได้ โดยไม่เคยตระหนักว่า "กรรม" คือการกระทำและผลของการกระทำในปัจจุบัน ไม่ใช่โชคชะตาที่ถูกกำหนดตายตัวจากดวงดาวหรือเทพเจ้าที่ไหน

การกระทำเหล่านี้ล้วนเป็นรูปธรรมที่สะท้อนถึงการขาด "จริยานานัตตญาณ" ซึ่งคือปัญญาที่รู้แจ้งในความหลากหลายแห่งจริยา (การกระทำ) และผลของมัน การละทิ้งปัญญาเพื่อไล่ตามเงาของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ จึงไม่ต่างอะไรกับการเดินหลับตาในทุ่งระเบิด โดยหวังว่าจะมีเทวดามาอุ้มชูให้รอดพ้นอย่างปาฏิหาริย์
.......

"จริยานานัตตญาณ" (ปัญญาญาณ 73) ไม่ใช่แค่ความรู้เชิงทฤษฎี แต่เป็น "ญาณ" หรือ "ปัญญาหยั่งรู้" ที่มองทะลุแก่นแท้ของ "กรรม" และ "วิบาก" (ผลของกรรม) อย่างเป็นระบบและเป็นเหตุเป็นผล มันคือความเข้าใจในระดับจิตวิญญาณว่า:

* **กฎแห่งเหตุและผลอันบริสุทธิ์:** ทุกการกระทำ (จริยา) ไม่ว่าดีหรือชั่ว มีเหตุปัจจัยรองรับเสมอ และนำไปสู่ผลลัพธ์ (วิบาก) ที่สอดคล้องกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีพลังงานลึกลับ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดที่สามารถ "งดเว้น" หรือ "เปลี่ยนแปลง" กฎธรรมชาติข้อนี้ได้ด้วยการบนบานศาลกล่าว หรือพิธีกรรมอันไร้แก่นสาร การเชื่อว่าเราสามารถ "ซื้อบุญ" หรือ "ล้างบาป" ด้วยเงินทอง หรือการกระทำภายนอกที่ไม่ประกอบด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์และปัญญา คือการดูถูกกฎแห่งกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
* **ความรับผิดชอบส่วนบุคคล:** ปัญญาญาณนี้สอนให้มนุษย์ตระหนักถึง "อำนาจ" และ "ความรับผิดชอบ" ในการสร้างสรรค์ชีวิตของตนเอง ไม่ใช่การโยนความผิดให้เคราะห์กรรม ดวงดาว หรือผีสางเทวดา การเชื่อว่ามี "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" ที่จะมาบันดาลโชคชะตาให้โดยไม่ต้องลงมือทำ หรือสามารถ "ตัดกรรม" ได้ด้วยพิธีกรรมเพียงผิวเผิน คือการสละอำนาจในการกำหนดชีวิตของตนเองให้กับความเชื่ออันว่างเปล่า และปฏิเสธการพัฒนาปัญญาภายใน
* **การแยกแยะระหว่างศรัทธากับงมงาย:** "จริยานานัตตญาณ" ช่วยให้เราเข้าใจว่า "ศรัทธา" ที่แท้จริงในพุทธศาสนา คือความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา (สัทธาปัญญา) ซึ่งนำไปสู่การกระทำอันถูกต้องและเป็นประโยชน์ ไม่ใช่ "ศรัทธา" แบบหลับหูหลับตา (สัทธางมงาย) ที่พร้อมจะเชื่อทุกเรื่องเหนือธรรมชาติที่ไร้เหตุผล การหลงไปกับเรื่องอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ขัดต่อหลักธรรมและหลักวิทยาศาสตร์ คือการแลกเปลี่ยน "ปัญญา" อันมีค่าด้วย "ความสุขชั่วคราว" จากการถูกหลอกลวง ซึ่งสุดท้ายแล้วจะนำมาซึ่งความทุกข์และปัญหาที่แท้จริง

ดังนั้น "จริยานานัตตญาณ" จึงเป็นนามธรรมที่ทรงพลัง เป็นดั่งเข็มทิศภายในที่คอยนำทางให้มนุษย์ไม่หลงไปในทางมืดบอดแห่งความงมงาย แต่ให้เลือกเส้นทางแห่งปัญญา การกระทำที่ประกอบด้วยเหตุผล และการยอมรับผลแห่งกรรมของตนเองอย่างกล้าหาญและเข้าใจในสัจธรรม

#คนค้ำวัด #มอมเมา #งมงาย #มูเตลู #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

08/11/2025

พิชัยสงครามซุนวูบทที่13การใช้สายลับ | ซุนวูในธรรมะ

รูปธรรมของหลักธรรมที่เลือกเฟ้นมานี้คือ **ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์** (องค์แห่งการตรัสรู้คือความเฟ้นธรรม หรือ การสอดส่องธรรม) ซึ่งเป็นหนึ่งในโพชฌงค์ 7 อันเป็นส่วนหนึ่งของโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ เปรียบได้กับการปฏิบัติการของสายลับภาคสนามที่จับต้องได้และเห็นผลทันทีทันควันในสนามรบแห่งจิตใจ ลองจินตนาการว่า "ความโกรธ" คือกองทัพข้าศึกที่กำลังจะบุกตีเมืองจิตของเรา แม่ทัพผู้โง่เขลาจะรีบยกทัพออกไปประจัญบานทันที ผลคือพังพินาศย่อยยับ แต่แม่ทัพผู้ใช้ "ธัมมวิจยะ" เป็นสายลับ จะไม่ทำเช่นนั้น เขาจะส่งสายลับคนนี้แฝงตัวเข้าไปในกองทัพความโกรธอย่างเงียบเชียบ สายลับไม่จำเป็นต้องมีตัวตน ไม่ต้องใช้อาวุธ แค่ "เข้าไปดู" "เข้าไปรู้" อย่างเป็นกลางที่สุด รายงานที่สายลับส่งกลับมาไม่ใช่การประณามว่า "ไอ้พวกโกรธมันเลว!" แต่เป็นรายงานดิบตามจริงว่า: "ท่านแม่ทัพ บัดนี้ข้าศึก 'ความโกรธ' ได้ปรากฏกายขึ้นแล้ว ลักษณะทางกายภาพคือ อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น 25%, ใบหน้าร้อนผ่าว, มือเริ่มกำแน่น, กล้ามเนื้อเกร็งตัว... ลักษณะทางจิตคือ มีการปรุงแต่งเรื่องราวในอดีตซ้ำๆ ว่า 'มันดูถูกเรา' 'มันเอาเปรียบเรา' กำลังเสริมของมันคือ 'อัตตา' และ 'ทิฐิ' จุดอ่อนของมันคือ มันดำรงอยู่ได้ไม่นาน อาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อเหตุปัจจัยหมดไป มันจะสลายตัวไปเอง... ขอจบการรายงาน" นี่คือการทำงานที่เป็นรูปธรรมของธัมมวิจยะ การเฝ้าดูสภาวะที่เกิดขึ้นกับกายกับใจตามความเป็นจริง ไม่เข้าไปเป็นผู้เล่น แต่เป็นเพียงผู้ดู ผู้สังเกตการณ์ นี่คือการใช้สายลับที่ซุนวูใฝ่ฝันถึง เพราะเป็นการรู้ข้อมูลข้าศึกจากภายในตัวข้าศึกเอง โดยไม่ต้องเสียเงินทองหรือเสี่ยงชีวิตไพร่พลเลยแม้แต่น้อย
.......

ในระดับนามธรรม "ธัมมวิจยะ" ไม่ใช่แค่การสอดส่องอารมณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว แต่คือการสถาปนา "หน่วยข่าวกรองกลางแห่งจิตวิญญาณ" (Spiritual Intelligence Agency) ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อถอดรหัสโครงสร้างทั้งหมดของ "สงครามสังสารวัฏ" นี้ นี่คือการใช้สายลับเพื่อสร้าง "ปัญญา" ในระดับยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ชัยชนะในสมรภูมิย่อยๆ อีกต่อไป สายลับนามธรรมนี้จะเจาะลึกไปถึงแก่นของปัญหา ไม่ได้ดูแค่ว่า "ข้าศึกโกรธ" แต่จะสืบสาวไปว่า "อะไรคือธรรมชาติของความโกรธ" "อะไรคือธรรมชาติของผู้ที่โกรธ" และ "อะไรคือธรรมชาติของโลกที่ความโกรธนี้ดำรงอยู่" ข้อมูลที่สายลับนามธรรมนี้ล้วงมาได้นั้นสั่นสะเทือนปฐพี มันคือความลับสุดยอดของฝ่ายตรงข้ามที่เรียกว่า "อวิชชา" นั่นคือ "ไตรลักษณ์" หรือ "สามัญลักษณะ" (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) สายลับนามธรรมรายงานกลับมาว่า "ท่านแม่ทัพ... กองทัพข้าศึกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น โลภะ โทสะ โมหะ ล้วนแต่เป็นของชั่วคราว (อนิจจัง) การยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้มีแต่จะนำมาซึ่งความบีบคั้น (ทุกขัง) และที่น่าตกใจที่สุด... คือตัว 'ท่านแม่ทัพ' หรือ 'ตัวเรา' ที่ท่านคิดว่ากำลังบัญชาการรบอยู่นั้น แท้จริงแล้วไม่มีอยู่จริง (อนัตตา) เป็นเพียงการประชุมกันของขันธ์ 5 ที่ทำงานประสานกันชั่วคราวเท่านั้น!" นี่คือสุดยอดข่าวกรองที่ทำให้สงครามทั้งหมดยุติลงโดยสิ้นเชิง เพราะเมื่อแม่ทัพตระหนักว่าตัวตนของตนเองก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่อวิชชาสร้างขึ้น การจะไปรบกับข้าศึกที่เป็นภาพลวงตาเหมือนกันจึงเป็นเรื่องตลกร้ายที่สุด การใช้สายลับในระดับนามธรรมนี้จึงไม่ใช่เพื่อเอาชนะข้าศึก แต่เพื่อ "ตื่น" จากความฝันว่ามีสงครามให้ต้องรบตั้งแต่แรก

#ซุนวู #ธรรมะ #ซุนวูในธรรมะ

07/11/2025

16.สัมพันธ์ด้วยรัก ปัญญาเป็นเครื่องกำหนดธรรมภายนอก ชื่อว่าโคจรนานัตตญาณ

สมมติว่าท่านกำลังมีปัญหากับคู่ครองเรื่อง "การใช้เงิน" ท่านมองว่าเงินคือความมั่นคง ต้องเก็บออมทุกบาททุกสตางค์ ประหนึ่งว่าวันพรุ่งนี้โลกจะล่มสลาย ส่วนคู่ครองของท่านมองว่าเงินคือ "ประสบการณ์" ต้องใช้จ่ายเพื่อความสุขในปัจจุบัน ช้อปปิ้ง เที่ยว กิน เพื่อเติมเต็มชีวิต "โคจรนานัตตญาณ" จะไม่พาให้ท่านโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง หรือฟันธงว่าอีกฝ่ายเป็นคนใช้เงินไม่เป็น ไม่มีความรับผิดชอบ หรือไร้สาระ แต่ปัญญาญาณนี้จะทำให้ท่าน "เห็นแจ้ง" ว่า "อ๋อ... เขาก็มีโคจรของเขา" เขามี "สเฟียร์" (sphere) แห่งการให้คุณค่ากับเงินที่ต่างจากท่านอย่างสิ้นเชิง และ "สเฟียร์" นั้นก็มีเหตุผลของมันเอง ไม่ใช่ความผิดบาปที่ต้องลงทัณฑ์ หรือความงี่เง่าที่ต้องอบรมสั่งสอน ปัญญาจะทำให้ท่านหยุดการ "ฉายภาพ" ความคิดของตนเองไปทับซ้อนกับอีกฝ่าย และเริ่ม "สำรวจ" โคจรของเขาอย่างผู้สังเกตการณ์ที่ไร้อคติ ท่านจะเห็นว่า "การใช้เงิน" ของเขานั้น อาจเป็นกลไกที่ซับซ้อนกว่าที่คิด อาจเป็นปมในวัยเด็กที่ขาดแคลน หรือความต้องการเติมเต็มบางอย่างที่ท่านไม่เคยเข้าใจ การที่ท่านเข้าใจว่า "โคจร" ของเขามันแตกต่างจากของท่านโดยเนื้อแท้ ไม่ใช่แค่ "ดีไม่ดี" จะทำให้การสนทนาเปลี่ยนจาก "การปะทะ" เป็น "การเรียนรู้ร่วมกัน" แม้จะยังไม่เห็นด้วย แต่ก็เข้าใจได้ว่า "ทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้น" และนั่นแหละคือประตูบานแรกสู่การหาจุดร่วม หรืออย่างน้อยก็การอยู่ร่วมกันโดยไม่เอาไม้หน้าสามฟาดหัวกันทุกครั้งที่บิลบัตรเครดิตมาถึง
.......

ในห้วงลึกของจิตใจที่สับสนวุ่นวายจากปัญหาความสัมพันธ์ "โคจรนานัตตญาณ" เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ส่องทะลุหมอกแห่งอวิชชาและความยึดติดในอัตตา มันคือ "ความเข้าใจเชิงโครงสร้าง" (Structural Understanding) ที่เหนือกว่าแค่การรับรู้ผิวเผิน ท่านไม่ได้แค่ "รู้" ว่าคนอื่นคิดต่าง แต่ท่าน "เข้าใจถึงรากฐาน" ของความแตกต่างนั้น เข้าใจว่าจิตใจมนุษย์แต่ละดวงมี "ระบบปฏิบัติการ" (Operating System) ที่เป็นเอกเทศ มี "อัลกอริทึม" (Algorithm) การประมวลผลข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามกรรม วิบาก ประสบการณ์ และชุดข้อมูลที่สั่งสมมา ท่านจะตระหนักว่า "โลกทัศน์" (Worldview) ของแต่ละคนคือ "จักรวาลส่วนตัว" ที่มีกฎฟิสิกส์ทางอารมณ์และตรรกะที่เฉพาะเจาะจง การที่ท่านสามารถ "ซูมออก" จากจักรวาลส่วนตัวของท่าน และ "ซูมเข้า" ไปในจักรวาลของผู้อื่น (หรืออย่างน้อยก็ตระหนักว่ามันมีอยู่จริงและแตกต่าง) โดยไม่พยายาม "ยัดเยียด" กฎของจักรวาลท่านไปบังคับใช้ นั่นคือการปลดเปลื้อง "ภาระทางอารมณ์" (Emotional Burden) อันหนักอึ้ง ความคาดหวังที่ผิดเพี้ยน ความผิดหวังซ้ำซาก และความรู้สึกว่าถูก "หักหลัง" จะลดลง เพราะท่านเข้าใจแล้วว่า "ไม่มีใครทรยศความคาดหวังของท่าน นอกจากตัวท่านเองที่คาดหวังให้คนอื่นเป็นในแบบที่ท่านอยากให้เป็น" มันคือการยอมรับ "ความจริงอันโหดร้ายแต่เป็นอิสระ" ว่ามนุษย์ทุกคนคือ "เกาะส่วนตัว" ที่มีภูมิประเทศและสภาพอากาศไม่เหมือนใคร และปัญญาญาณนี้คือ "แผนที่" ที่ช่วยให้ท่านเดินเรือรอบเกาะเหล่านั้นได้อย่างชาญฉลาด ไม่ใช่จมเรือเพราะเอาแต่คิดว่าทุกเกาะต้องมีชายหาดเหมือนเกาะของท่าน

#คนค้ำวัด #ความสัมพันธ์ #ความรัก #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

05/11/2025

16.ดับอารมณ์สยบความเครียด ปัญญาเป็นเครื่องกำหนดธรรมภายนอก ชื่อว่าโคจรนานัตตญาณ

สำหรับพวกเราที่มักจะกระอักเลือดกับโลกภายนอกที่ชอบ "โคจร" เข้ามาป่วนประสาท ไม่ว่าจะเป็นเสียงแตรนรกแตกจากรถคันข้างๆ ที่บีบไม่เกรงใจหู หรือการจราจรที่ติดขัดยิ่งกว่าความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของมนุษย์ หรือแม้แต่สายตาพิฆาตของเจ้านายที่มองมาพร้อมกับกองเอกสารสูงท่วมหัว ไม่รวมถึงคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดียที่หยาบคายจนอยากจะปาโทรศัพท์ทิ้ง... เหล่านี้แหละคือ "ธรรมภายนอก" ที่ปัญญาของเราจะต้องทำหน้าที่ "กำหนด" และ "แยกแยะ" ให้ชัดเจนดุจคมมีดหมอผ่าตัด

"โคจรนานัตตญาณ" จะกระซิบเสียงกึ่งตลกร้ายกึ่งสมเพชว่า "เฮ้ย! ไอ้ที่แกเห็น ที่แกได้ยิน ที่แกกำลังเดือดดาลอยู่นี่น่ะ มันก็แค่ 'โคจร' (วัตถุที่ใจไปเกาะเกี่ยว) ที่มี 'นานัตตะ' (ความหลากหลาย) กันไปตามเรื่องตามราวของมัน ไม่ได้มีเจตนาส่วนตัวจะมาเล่นงานแกโดยตรงหรอกนะ" มันเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางกายภาพ ทางสังคม หรือทางข้อมูลดิจิทัล ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตามเหตุปัจจัยของมันเอง ไม่ได้มีใครกดปุ่ม "ป่วนประสาทไอ้หมอนี่" เป็นพิเศษ ปัญญาจะช่วยให้เราเห็นว่า ไอ้ความรู้สึกอึดอัด คับข้องใจ หรือความโกรธเกรี้ยวที่พุ่งพรวดขึ้นมาในอกน่ะ มันไม่ได้เกิดจากรถที่ติด หรือคำด่าที่หยาบ แต่เกิดจาก "ปฏิกิริยา" ของตัวเราเองที่ดันไป "ให้ค่า" และ "ผูกติด" กับ "โคจร" เหล่านั้นมากเกินไปต่างหาก เสมือนหนึ่งเรากำลังดูหนังตลกที่พยายามจะยัดเยียดฉากดราม่า แล้วเราดันอินตามเสียเอง ทั้งที่รู้ว่ามันคือ "ฉาก" ที่เขาจัดไว้ให้ดูเท่านั้นแหละ ถ้ามีปัญญาเป็นเครื่องกำหนด เราจะเห็นว่ารถติดก็แค่รถติด คำด่าก็แค่คำด่า มันเป็นแค่ "ข้อมูล" ที่ไหลผ่านเข้ามาในระบบการรับรู้ของเรา ไม่ใช่ "เวรกรรม" ที่ต้องแบกรับจนหน้าเขียวหน้าเหลืองจนเสียสุขภาพจิต ปัญญาจะช่วยให้เราถอยออกมาหนึ่งก้าว สังเกตการณ์อย่างผู้รู้ ผู้เห็น แล้วอมยิ้มเบาๆ กับความไร้สาระของมัน แล้วปล่อยให้มันไหลผ่านไปซะ ไม่ต้องไปนั่งกอดความหงุดหงิดไว้เหมือนหมาหวงก้างที่กลัวคนจะมาแย่งกระดูก ทั้งที่กระดูกนั้นก็ไม่ได้มีสาระอะไรให้หวงเลย
.......

คราวนี้มาดู "โคจร" ที่ซับซ้อนกว่านั้น นั่นคือ "ธรรมภายนอก" ในรูปแบบของนามธรรม ที่มักจะแอบย่องเข้ามาในจิตใจเราอย่างเงียบเชียบและร้ายกาจกว่าสิ่งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นความวิตกกังวลที่เหมือนเงาตามตัว ความเครียดสะสมที่เกาะกินหัวใจจนผอมแห้ง หรือความกลัวที่ไร้รูปไร้ร่างแต่กลับมีพลังมหาศาลในการบงการชีวิตเรา หรือแม้กระทั่งความคาดหวังที่สูงลิบลิ่วจนกลายเป็นภาระหนักอึ้ง เหล่านี้แหละคือ "ธรรมภายนอก" ในมิติของความคิด อารมณ์ และความรู้สึก ที่ปัญญาของเราจะต้องทำหน้าที่ "กำหนด" และ "แยกแยะ" อย่างแม่นยำยิ่งกว่าเดิม

"โคจรนานัตตญาณ" จะกระซิบเสียงกึ่งเย้ยหยันกึ่งเห็นใจว่า "ไอ้นี่มันก็แค่ 'โคจร' ของจิต ที่มี 'นานัตตะ' (ความหลากหลาย) กันไปตามวิถีแห่งการปรุงแต่งของสมองแกเองน่ะแหละ" มันไม่ใช่ศัตรูตัวฉกาจที่ต้องสู้รบปรบมือจนหมดแรง แต่มันคือ "ความคิด" ที่ปรุงแต่งขึ้นจากความทรงจำ ประสบการณ์ ความกลัว ความคาดหวัง หรือแม้แต่ความเหงา ปัญญาคือแว่นขยายที่ส่องให้เห็นว่า ไอ้ก้อนความกังวลที่ดูใหญ่โตมหึมา หรือความเครียดที่ดูเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้นน่ะ แท้จริงแล้วมันก็แค่ฟองอากาศทางอารมณ์ ที่พร้อมจะแตกสลายเมื่อโดนแสงสว่างจากสติสัมปชัญญะส่องกระทบ มันคือ "โคจร" ของจิตที่แวะเวียนมาทักทาย ไม่ใช่ "พันธนาการ" ที่ต้องจองจำชีวิตไว้ ปัญญาจะช่วยให้เข้าใจว่า การที่ใจเราฟุ้งซ่านไปกับอดีตที่แก้ไขไม่ได้ หรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึงน่ะ มันก็เหมือนกับการพยายามจะจับควันไฟให้เป็นรูปเป็นร่าง สุดท้ายก็ได้แค่ความว่างเปล่าและความเหนื่อยล้า ถ้ามีปัญญาเป็นเครื่องกำหนด เราจะรับรู้มันอย่างเป็นกลาง ไม่ตัดสิน ไม่ผูกมัด ไม่หลงกลไปกับมายาคติของมัน แล้วผายมือไล่มันไป เหมือนไล่แมลงวันน่ารำคาญ ไม่ต้องไปนั่งวิเคราะห์เจาะลึกจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของมันอีกต่อไป เพราะเมื่อเราเข้าใจถึง "นานัตตะ" ของ "โคจร" เหล่านี้ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม เราก็จะตระหนักว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเพียง "แขก" ที่มาเยือน ไม่ใช่ "เจ้าของบ้าน" ที่เราจะต้องยอมจำนน

#คนค้ำวัด #ควบคุมอารมณ์ #คลายเครียด #ความวิตกกังวล #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

03/11/2025

16. งมงายจนได้โล่ ปัญญาเป็นเครื่องกำหนดธรรมภายนอก ชื่อว่าโคจรนานัตตญาณ

สมมติว่าท่านเดินไปเจอจอมปลวกรูปร่างประหลาดคล้ายพญานาคเจ็ดเศียร หรือต้นตะเคียนที่เปลือกไม้ดันนูนออกมาเป็นตัวเลขสองตัวสามตัวตรงเผงก่อนวันหวยออกพอดี ผู้ที่ขาด "ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์" (การสอดส่องธรรม) ซึ่งเป็นเครื่องมือสร้าง "โคจรนานัตตญาณ" (ปัญญารู้ทันธรรมภายนอก) จะเกิดอาการน้ำลายสอ ตาโตเท่าไข่ห่าน รีบคว้าแป้งมาถู คว้าธูปมาปัก กราบกรานอ้อนวอนขอโชคลาภ นี่คือการปล่อยให้อารมณ์ (ตัณหา) และความไม่รู้ (อวิชชา) เป็นใหญ่ ปล่อยให้ "ธรรมภายนอก" (จอมปลวก, ต้นไม้) มาเป็นนายบงการชีวิต

แต่ผู้ที่ฉีดวัคซีน "ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์" เข้าไปแล้ว จะเปลี่ยนจาก "ทาส" เป็น "นักสืบ" ทันที! ปัญญาจะเริ่มทำงานเป็นขั้นเป็นตอนเยี่ยงหน่วยสืบสวนคดีพิเศษ (DSI) ทางจิตวิญญาณ:
1. **สืบค้น (Investigation):** จอมปลวกนี้คืออะไร? มันคือรังของปลวก (สัตว์) ที่สร้างจากดิน น้ำลาย และมูล (วัตถุ) ตามสัญชาตญาณเพื่อความอยู่รอด (สภาวธรรม) รูปร่างที่เห็นคือผลลัพธ์จากปัจจัยทางกายภาพล้วนๆ เช่น ความชื้นของดิน ทิศทางลม หรืออาจมีรากไม้ดันทรง ไม่ได้มีเจตนาจะใบ้หวยให้ใคร!
2. **สอบสวน (Interrogation):** ต้นตะเคียนมีตัวเลขได้อย่างไร? มันคือลวดลายตามธรรมชาติของเปลือกไม้ (กายภาพ) ที่สมองของเราซึ่งถูกตั้งโปรแกรมให้มองหารูปแบบ (Pattern Recognition) ไปตีความเอาเองว่ามันคือ "เลข" เพราะจิตใต้สำนึกกำลังหมกมุ่นกับความอยากรวยทางลัด (จิตวิทยา) ไม่ใช่เทพเทวดามาสลักไว้ให้!
3. **วิเคราะห์ (Analysis):** ทำไมคนถึงเชื่อ? เพราะความโลภ ความกลัว และความขี้เกียจที่จะทำความเข้าใจเหตุผลตามจริง การเชื่อแบบนี้มันง่าย มันให้ความหวังลมๆ แล้งๆ และมันสร้าง "แพะรับบาป" ได้เมื่อไม่สมหวัง ("สงสัยทำบุญน้อยไป" หรือ "เจ้าที่ไม่ให้")
4. **สรุปสำนวน (Conclusion):** จอมปลวกและต้นไม้เป็นเพียง "สภาวธรรม" ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และจะดับไปตามเหตุปัจจัยของมัน ไม่ได้มีอำนาจดลบันดาลอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์และน่าอัศจรรย์กว่านั้นคือ "ปัญญา" ของเราเองที่สามารถมองทะลุเปลือกนอกเข้าไปเห็น "ความจริง" ที่ไร้เรื่องราวปรุงแต่งเหล่านี้ได้ นี่คือการใช้ "โคจรนานัตตญาณ" กำหนดธรรมภายนอกอย่างแท้จริง คือการเห็นจอมปลวกเป็นจอมปลวก ไม่ใช่ตู้ ATM สวรรค์
.......

เมื่อท่านเข้าร่วมพิธีกรรม "ศักดิ์สิทธิ์" ที่มีเสียงสวดมนต์กระหึ่ม ควันธูปตลบอบอวล ผู้คนรอบข้างแสดงอาการ "ของขึ้น" หรือร่ำไห้ด้วยความปีติซาบซึ้ง สภาวะแวดล้อมเหล่านี้จะกระตุ้น "อารมณ์" และ "ความรู้สึก" (เวทนา) อันเป็น "ธรรมภายใน" ที่เป็นนามธรรมอย่างรุนแรง ท่านอาจรู้สึกขนลุก สัมผัสถึงพลังงานบางอย่าง รู้สึกเชื่อมต่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือเกิดความศรัทธาอย่างท่วมท้นจนยอมควักเงินทำบุญจนหมดตัว

ผู้ที่ไร้วัคซีน "ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์" จะถูกคลื่นอารมณ์เหล่านี้ซัดจมหายไปในทันที เขาจะสรุปอย่างง่ายๆ ว่า "นี่แหละคือความศักดิ์สิทธิ์ของจริง! ปาฏิหาริย์มีจริง!" จิตของเขาถูก "โคจร" (อารมณ์และบรรยากาศ) ครอบงำโดยสมบูรณ์ และแยกแยะความจริงกับความปรุงแต่งไม่ออก

แต่ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องสอดส่อง จะใช้ "ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์" ผ่าตัดอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นแบบสดๆ ไม่ใช้ยาชา:
1. **สืบค้นสภาวะจิต (Mind Investigation):** ความรู้สึก "ขนลุก" นี้มาจากไหน? มันคือปฏิกิริยาทางกายภาพ (Autonomic Nervous System) ที่ตอบสนองต่อเสียงความถี่ต่ำ การสวดเป็นจังหวะ หรือการกระตุ้นทางอารมณ์หมู่ (Mass Hysteria) ใช่หรือไม่? มันต่างจากการขนลุกตอนอากาศหนาวหรือตอนดูหนังผีอย่างไร?
2. **สอบสวนความคิด (Thought Interrogation):** ความคิดที่ว่า "นี่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์" มันผุดขึ้นมาได้อย่างไร? มันเป็นผลมาจากการถูกปลูกฝัง (สังขาร) มาตั้งแต่เด็กใช่หรือไม่? มันเป็นความปรารถนาลึกๆ ที่อยากจะหาที่พึ่งทางใจ (ตัณหา) ใช่หรือไม่? หรือเป็นเพียงการทำงานของ "สัญญา" (ความจำได้หมายรู้) ที่เชื่อมโยงบรรยากาศแบบนี้เข้ากับคำว่า "ศักดิ์สิทธิ์"?
3. **วิเคราะห์เวทนา (Feeling Analysis):** ความรู้สึก "ปีติ" หรือ "ซาบซึ้ง" นี้ มีสภาวะเป็นอย่างไร? มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วครู่ แล้วก็จางหายไป (ไตรลักษณ์) ใช่หรือไม่? มันเป็นสุขที่ต้องอาศัยสิ่งกระตุ้นภายนอก (อามิสสุข) หรือเป็นสุขที่เกิดจากความสงบภายใน (นิรามิสสุข)? สุขแบบนี้มันยั่งยืนหรือแค่ฉาบฉวย?
4. **สรุปสภาวะนามธรรม (Abstract Conclusion):** พิธีกรรมไม่ได้สร้างความศักดิ์สิทธิ์ แต่สร้าง "สภาวะทางอารมณ์" ที่ทรงพลังต่างหาก "พลังงาน" ที่สัมผัสได้นั้น คือพลังงานของอุปาทานหมู่ คือแรงสั่นสะเทือนของความเชื่อที่คนมารวมกันสร้างขึ้นเองปรุงแต่งกันเอง ไม่ใช่พลังเหนือธรรมชาติจากภายนอก "ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์" ทำให้เห็นว่าความรู้สึกทั้งหมดนี้เป็นเพียง "นามธรรม" ที่เกิดขึ้นและดับไป เป็นเพียงแขกรับเชิญที่แวะมาเยี่ยมเยียนในบ้านแห่งจิตใจของเรา เราในฐานะเจ้าบ้านผู้มีปัญญา มีหน้าที่แค่ "รู้ทัน" แต่ไม่ต้อง "เชื่อตาม" และไม่ต้องยกบ้านให้แขกอยู่ นี่คือยอดปัญญา "โคจรนานัตตญาณ" ที่รู้ทันโลกภายใน ไม่หลงไปกับมายาการของอารมณ์ตนเอง

#คนค้ำวัด #มอมเมา #งมงาย #มูเตลู #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

01/11/2025

พิชัยสงครามซุนวูบทที่12โจมตีด้วยไฟ | ซุนวูในธรรมะ

พิชัยสงครามซุนวู บทที่ 12 "โจมตีด้วยไฟ" หาใช่ตำราจุดเตาผิงเล่น หรือคู่มือทำบาร์บีคิวกลางสมรภูมิ หากแต่คือบทเรียนระดับปรมาจารย์แห่ง "ปัจจยปริคคหญาณ" – ญาณแห่งการหยั่งรู้สาเหตุและเงื่อนไขอย่างถ่องแท้. ผู้บัญชาการที่แท้จริงมิได้เพียงแค่สั่งให้ทหารจุดไฟ แต่ต้องเป็นดั่ง "นักอุตุนิยมวิทยาแห่งความวิบัติ" ที่อ่านเกมขาดทะลุปรุโปร่งถึงทุกอณูของสถานการณ์: ลมจะพัดไปทางใด, เชื้อเพลิงแห่งความประมาทของศัตรูนั้นแห้งกรอบเพียงใด, ภูมิประเทศเอื้อต่อการลุกลามหรือไม่, เสบียงของข้าศึกกองพะเนินอยู่ตรงไหน, และที่สำคัญที่สุดคือ "ลมหายใจแห่งขวัญกำลังใจ" ของพวกเขาอ่อนแอเพียงใด.

การจุดไฟโจมตีจึงเป็นการคำนวณอย่างเลือดเย็นและแม่นยำว่า "เงื่อนไข" ใดบ้างที่เอื้ออำนวยให้เปลวเพลิงมิใช่แค่ลุกลามไปบนผืนดิน แต่ลุกลามเข้าไปใน "จิตวิญญาณ" ของศัตรู เผาผลาญขวัญกำลังใจให้มอดไหม้ก่อนที่กายจะถูกเพลิงแผดเผาเสียอีก. มันคือการมองเห็น "สายใยแห่งเหตุปัจจัย" ที่เชื่อมโยงระหว่างสภาพอากาศ ทิศทางลม ลักษณะภูมิประเทศ ปริมาณเสบียงของข้าศึก ไปจนถึงสภาพจิตใจที่อ่อนแอของพวกเขา และเมื่อเข้าใจทั้งหมดนี้ การจุดไฟเพียงครั้งเดียวก็คือการ "จุดชนวน" แห่งความพ่ายแพ้ที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้. ผู้ที่ไร้ซึ่งปัจจยปริคคหญาณ ย่อมถูกไฟที่ตนจุดเผาผลาญเสียเอง ดุจเด็กซุกซนเล่นไม้ขีดไฟในโรงเก็บดินปืน โดยไม่รู้เลยว่า "ผล" ที่ตามมาจะรุนแรงเกินกว่าจะควบคุมได้. การใช้ไฟโจมตีจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยปัญญาอันลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงแค่กำลังหรือความบ้าบิ่นไร้สติ.
.......

หากมองในมิติของนามธรรม "เพลิงพิฆาต" ของซุนวูมิได้จำกัดอยู่เพียงแค่ไฟที่เผาผลาญกายภาพ แต่คือ "ไฟแห่งปัญญา" ที่ใช้เผาผลาญ "อวิชชา" และ "กิเลส" ในจิตใจของเราเอง. "ปัจจยปริคคหญาณ" ที่ว่านี้ คือการที่เราต้องเป็นดั่ง "นักดับเพลิงทางจิตวิญญาณผู้หยั่งรู้" ผู้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า "เชื้อเพลิง" แห่งความทุกข์นั้นมาจากไหน "ลม" แห่งตัณหาใดที่พัดโหมกระหน่ำให้ไฟแห่งความโลภ โกรธ หลง ลุกโชนอย่างไม่สิ้นสุดในใจเรา.

มันคือการวิเคราะห์อย่างแม่นยำว่า "สาเหตุ" ใดที่ทำให้เรายึดมั่นถือมั่น "เงื่อนไข" ใดที่ทำให้ความทุกข์ผลิบาน และ "ผล" ลัพธ์ที่ตามมาคืออะไร. เมื่อเราเข้าใจ "ห่วงโซ่แห่งการเกิดขึ้นพร้อม" (ปฏิจจสมุปบาท) ของกิเลสแล้ว เราก็สามารถใช้ "ไฟแห่งสติ" และ "ปัญญา" ที่คมกริบ ดุจเปลวเพลิงที่เผาผลาญกองฟางแห่งความไม่รู้ ให้มอดไหม้ไปกับเถ้าถ่านแห่งความว่างเปล่า. นี่คือการ "โจมตีด้วยไฟ" ในระดับจิตวิญญาณ ที่ไม่ได้มุ่งทำลายผู้อื่น หากแต่มุ่งทำลาย "ศัตรูภายใน" ที่กัดกินความสงบสุขของเรามาเนิ่นนาน. การระงับอารมณ์จึงไม่ใช่แค่การกดทับ แต่เป็นการเข้าใจ "เหตุปัจจัย" ที่ทำให้อารมณ์นั้นลุกโชน แล้วถอนรากถอนโคนเชื้อเพลิงแห่งมันออกไปอย่างชาญฉลาด ดุจปรมาจารย์ซุนวูผู้ไม่เคยปล่อยให้ไฟที่จุดทำลายตนเอง แต่ใช้มันเป็นเครื่องมือสู่ชัยชนะอันสงบเย็น. เราจึงเป็นทั้งผู้จุดไฟและผู้ดับไฟในเวลาเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าไฟนั้นคือไฟแห่งกิเลส หรือไฟแห่งปัญญาที่นำไปสู่การหลุดพ้น.

#ซุนวู #ธรรมะ #ซุนวูในธรรมะ

31/10/2025

15.สัมพันธ์ด้วยรัก ปัญญาเป็นเครื่องกำหนดธรรมภายใน ชื่อว่าวัตถุนานัตตญาณ

เมื่อความสัมพันธ์ถึงคราวิกฤต ที่ดูเหมือนเรื่องเล็กน้อยกลับกลายเป็นชนวนระเบิดปรมาณูในครัวเรือน เช่น กรณีพิพาทเรื่อง 'ใครจะล้างจาน?' หรือ 'ทำไมไม่เก็บผ้า?' แทนที่จะปล่อยให้ 'อัตตา' และ 'อารมณ์ขุ่นมัว' นำทัพสู่สงครามโลกครั้งที่สามในบ้าน ลองหยุดหายใจลึกๆ แล้วเปิดระบบ 'ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์' หรือ 'การสืบสวนสอบสวนธรรมะ' ภายในใจตนเองดูสิ!

สมมติว่าคุณกำลังเดือดดาลที่คู่รักลืมปิดฝาชักโครกเป็นครั้งที่ล้าน แทนที่จะพ่นไฟใส่ทันที ลองใช้ปัญญาเป็นเครื่องกำหนดธรรมภายใน: "นี่มันความโกรธล้วนๆ หรือเปล่า? หรือมันมี 'วัตถุ' อื่นๆ ปะปนอยู่ข้างใน?" คุณอาจค้นพบว่าความโกรธนี้ไม่ใช่แค่เรื่องฝาชักโครก แต่มันคือ 'ความเหนื่อยล้าสะสม' จากการทำงานหนัก, 'ความน้อยใจ' ที่รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตคู่, 'ความคาดหวัง' ว่าทุกอย่างควรจะเป็นไปตามที่คุณต้องการ, หรือแม้กระทั่ง 'ความกลัว' เล็กๆ ว่าถ้าเรื่องเล็กๆ ยังไม่ใส่ใจ แล้วเรื่องใหญ่ๆ จะเป็นยังไง?

การที่ปัญญาของคุณสามารถแยกแยะได้ว่า "อารมณ์เดือดดาล" ก้อนใหญ่นี้ แท้จริงแล้วประกอบด้วย "วัตถุ" เล็กๆ น้อยๆ มากมายหลายชนิด (ความเหนื่อยล้า, น้อยใจ, คาดหวัง, กลัว) นี่แหละคือการเริ่มเห็น 'วัตถุนานัตตญาณ' หรือ 'ปัญญาที่รู้แจ้งถึงความหลากหลายของธรรมภายใน' มันไม่ใช่แค่ "ฉันโกรธ" ทื่อๆ แต่เป็น "ฉันโกรธเพราะ A, B, C, D" ซึ่ง A, B, C, D แต่ละตัวก็มีที่มาที่ไปและมีลักษณะเฉพาะของมันเอง พอเห็นดังนี้แล้ว อารมณ์ที่เคยพุ่งพล่านก็เริ่มคลายตัวลง เพราะเราไม่ได้สู้กับ 'ปีศาจความโกรธ' ตัวเดียว แต่กำลังทำความเข้าใจ 'กองทัพอารมณ์' ที่ซับซ้อน ซึ่งแต่ละตัวก็มีจุดอ่อนจุดแข็งต่างกันไป การเห็นถึงความหลากหลายนี้จะทำให้คุณมีทางเลือกในการรับมือ ไม่ใช่แค่ระเบิดอารมณ์ใส่กัน แล้วความสัมพันธ์ก็จะกลายเป็น 'ระเบิดเวลา' ที่รอวันทำงาน
.......

ในโลกของความสัมพันธ์อันซับซ้อน "ความรัก" ที่เราต่างโหยหาและยึดมั่นถือมั่น แท้จริงแล้วไม่ใช่สิ่งเดียวที่มั่นคงถาวรเหมือนเสาหินศิลา แต่เป็นนามธรรมที่แปรผัน ดุจก้อนเมฆที่เปลี่ยนรูปไปตามกระแสลมและอุณหภูมิ การใช้ปัญญาเป็นเครื่องกำหนดธรรมภายใน (ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์) จะช่วยให้เรามองทะลุเปลือกของคำว่า "รัก" เข้าไปเห็นถึง "วัตถุนานัตตญาณ" หรือความหลากหลายขององค์ประกอบภายในที่ประกอบกันขึ้นเป็น "ความรัก" ในแต่ละขณะ

คุณอาจคิดว่ากำลัง "รัก" ใครสักคน แต่เมื่อใช้ปัญญาเพ่งพินิจอย่างลึกซึ้ง คุณอาจค้นพบว่าสิ่งที่เรียกว่า "รัก" นั้น แท้จริงแล้วอาจปะปนไปด้วย "ความเหงา" ที่ต้องการใครสักคนมาเติมเต็ม, "ความกลัว" ที่จะต้องอยู่คนเดียว, "ความอยากควบคุม" เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจ, "ความผูกพัน" ที่เกิดจากความเคยชิน, "ความหลงใหลในรูปกาย" ที่จางหายได้ตามกาลเวลา, "ความรู้สึกเป็นเจ้าของ" ที่นำมาซึ่งความหึงหวง, หรือแม้กระทั่ง "การฉายภาพความสมบูรณ์แบบ" ที่คุณวาดฝันไว้ลงไปบนตัวเขา ซึ่งล้วนเป็น "ธรรมภายใน" ที่หลากหลายและไม่เที่ยงแท้

การที่ปัญญาของเราสามารถ "สแกน" และแยกแยะได้ว่า "ความรัก" ในช่วงเวลาหนึ่งๆ นั้น มีส่วนผสมของ "วัตถุ" ทางอารมณ์และจิตใจอะไรบ้าง นี่แหละคือการหยั่งรู้ 'วัตถุนานัตตญาณ' ในระดับนามธรรม มันช่วยให้เราไม่ยึดติดกับ "ภาพลวงตา" ของความรักที่สมบูรณ์แบบ ไม่หลงติดในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งจนเกินไป และเข้าใจว่าทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป การเห็นเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ความรักจืดจางลง แต่กลับทำให้เราเข้าใจความรักในมิติที่ลึกซึ้งและเป็นจริงมากขึ้น ปล่อยวางจากความคาดหวังที่ไม่สมจริง และเผชิญหน้ากับความจริงของความสัมพันธ์ด้วยใจที่สงบและมีสติปัญญา ไม่ใช่แค่หลงระเริงไปกับ "น้ำตาลเคลือบยาพิษ" ของความรักแบบตาบอดอีกต่อไป

#คนค้ำวัด #ความสัมพันธ์ #ความรัก #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

Adresse

Democratic Republic Of The

Notifications

Soyez le premier à savoir et laissez-nous vous envoyer un courriel lorsque A-Rachun Lapsiri publie des nouvelles et des promotions. Votre adresse e-mail ne sera pas utilisée à d'autres fins, et vous pouvez vous désabonner à tout moment.

Contacter L'entreprise

Envoyer un message à A-Rachun Lapsiri:

Partager