A-Rachun Lapsiri

A-Rachun Lapsiri ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ลงคลิปธรรมะทุกวัน

เที่ยว หนังสือ ออกกำลัง โค้ด ลงทุน

Line: you are my second family 🤍
ให้สิ่งของ ให้ความรู้ ให้อภัย ให้ธรรมะ

27/09/2025

พิชัยสงครามซุนวูบทที่10ภูมิประเทศ | ซุนวูในธรรมะ

ในบริบทของพิชัยสงครามซุนวู บทที่ 10 ว่าด้วยภูมิประเทศนั้น "นามรูปปริจเฉทญาณ" หรือญาณที่กำหนดรู้จำแนกสภาวะที่เป็น "รูปธรรม" และ "นามธรรม" ได้อย่างชัดเจน คือปฐมบทแห่งปัญญาของจอมทัพผู้ไม่คิดจะนำพาทหารไปตายฟรี การประยุกต์ใช้ในเชิงรูปธรรมที่เด่นชัดที่สุด คือการที่แม่ทัพสามารถ "แยกแยะ" สภาพแวดล้อมทางกายภาพ (รูป) ออกจากแผนการรบและความปรารถนาในใจตน (นาม) ได้อย่างสิ้นเชิง

**"รูปธรรม" (รูป)** ในที่นี้คือภูมิประเทศทั้ง 6 ประเภทที่ซุนวูระบุไว้แบบเนื้อๆ เน้นๆ ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ:
1. **ภูมิประเทศแบบทางสะดวก (Accessible ground):** พื้นที่เปิดโล่ง ใครจะเข้าจะออกก็ได้ นี่คือ "รูป" ที่เห็นตามจริง มันคือความจริงที่ว่า "ถ้าเราไปง่าย ศัตรูก็มาง่าย"
2. **ภูมิประเทศแบบทางคับขัน (Entangling ground):** เข้าไปแล้วออกยาก เหมือนเดินเข้าซอยตันในตอนกลางคืน นี่คือ "รูป" ของกับดักโดยธรรมชาติ ใครเข้าไปก่อนก็ติดแหง็กอยู่ในนั้น
3. **ภูมิประเทศแบบทางยัน (Temporizing ground):** ชิงลงมือก่อนก็ไม่ได้เปรียบ ถอยก็เสียเปรียบ เป็นพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกัน นี่คือ "รูป" ของสภาวะที่บีบให้ต้อง "นิ่ง"
4. **ภูมิประเทศแบบทางแคบ (Narrow passes):** คอขวด หากเราชิงยึดได้ก่อนด้วยกำลังพลหยิบมือเดียว ก็สามารถต้านทัพใหญ่ได้ นี่คือ "รูป" ของจุดยุทธศาสตร์ที่ "เล็กแต่ทรงพลัง"
5. **ภูมิประเทศแบบทางสูงชัน (Precipitous heights):** ที่สูงชัน หากเรายึดได้ก่อนแล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันออกหรือทิศใต้ (ตามตำรา) จะได้เปรียบทั้งการรบและการรับแสงแดด นี่คือ "รูป" ของความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์อย่างแท้จริง
6. **ภูมิประเทศที่อยู่ห่างไกล (Positions at a great distance):** เมื่ออยู่ไกลกันมาก กำลังทัดเทียมกัน การท้าทายให้มารบนั้นไม่เกิดประโยชน์ นี่คือ "รูป" ของระยะทางที่ลดทอนประสิทธิภาพของกองทัพ

จอมทัพผู้มี "นามรูปปริจเฉทญาณ" จะมองเห็น "รูป" เหล่านี้ตามความเป็นจริง เขาจะไม่ถูก "นาม" คือความอยากเอาชนะ ความโอหัง หรือความกลัว บิดเบือนการรับรู้ เขาจะไม่มอง "ทางคับขัน" แล้วเพ้อฝันว่า "เดี๋ยวคงหาทางออกเจอ" เพราะนั่นคือการเอา "นาม" (ความหวัง) ไปปนกับ "รูป" (ความจริงที่เป็นซอยตัน) เขาจะเห็นเพียงว่า "นี่คือโคลน นี่คือหน้าผา นี่คือคอขวด" การตัดสินใจจึงตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริงทางกายภาพ ไม่ใช่ความปรารถนาในใจ
.......

ในทางนามธรรม "นามรูปปริจเฉทญาณ" คือการถอน "อัตตา" และ "อวิชชา" ของแม่ทัพออกจากสมการรบโดยสิ้นเชิง มันคือการตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งว่า "ความคิดของเรา" ไม่ใช่ "ความเป็นจริง" และนี่คือจุดที่แม่ทัพส่วนใหญ่พ่ายแพ้ ไม่ใช่เพราะศัตรูเก่งกว่า แต่เพราะพ่ายแพ้ต่อ "นามธรรม" ในใจตนเอง

**"นามธรรม" (นาม)** ในที่นี้คือสภาวะภายในที่จับต้องไม่ได้ แต่ส่งผลต่อการตัดสินใจอย่างมหาศาล:
* **แผนการรบ (Strategy):** แผนที่วาดไว้อย่างสวยหรูบนโต๊ะ คือ "นาม" เมื่อนำไปใช้ในสนามรบจริงซึ่งเป็น "รูป" มันอาจกลายเป็นแค่เศษกระดาษได้ทันทีหากไม่สอดคล้องกับภูมิประเทศ
* **ขวัญและกำลังใจ (Morale):** ความฮึกเหิมหรือความหวาดกลัวของทหาร คือ "นาม" ที่ทรงพลัง แม่ทัพที่ปราศจากญาณนี้อาจสั่งทหารที่ขวัญเสียให้ปีน "ทางสูงชัน" (รูป) ผลลัพธ์คือการละลายของกองทัพ
* **ความปรารถนาในชัยชนะ (Desire for Victory):** ความอยากได้ชื่อเสียงเกียรติยศ คือ "นาม" ที่เป็นพิษร้าย มันสามารถผลักดันให้แม่ทัพมองข้าม "รูป" ที่เป็นอันตราย เช่น การนำทัพข้ามแม่น้ำเชี่ยวเพียงเพื่อจะรีบเข้าตีศัตรู
* **ความประมาท (Heedlessness):** การคิดว่า "เราเหนือกว่า" คือ "นาม" ที่บดบังปัญญา ทำให้มอง "ทางสะดวก" (รูป) ว่าปลอดภัย ทั้งที่มันคือพื้นที่ที่เปิดช่องให้ศัตรูโอบล้อมได้ง่ายที่สุด
* **อัตตาของแม่ทัพ (The General's Ego):** ตัวตน ความยึดมั่นในความคิดของตนเอง คือสุดยอดแห่ง "นาม" ที่เป็นมหันตภัย แม่ทัพที่ยึดติดกับแผนของตน (นาม) จนไม่ยอมรับความจริงของภูมิประเทศ (รูป) ก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดที่ยืนยันจะเดินข้ามเหวเพราะแผนที่ในมือบอกว่าตรงนี้เป็นสะพาน

"นามรูปปริจเฉทญาณ" ในมิตินี้จึงเป็นการ "รู้ทัน" สภาวะในใจตนเองและกองทัพ เป็นการแยกแยะอย่างเด็ดขาดระหว่าง "สิ่งที่ข้าคิดว่าควรจะเป็น" กับ "สิ่งที่มันเป็นอยู่จริงๆ" จอมทัพที่บรรลุถึงญาณนี้ จะไม่รักแผนการของตนมากกว่าชีวิตทหาร จะไม่ให้ความทะนงตนมาอยู่เหนือข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์ ชัยชนะของเขาจึงไม่ได้มาจากความกล้าหาญเพียงอย่างเดียว แต่มาจาก "ปัญญา" ที่เห็นแจ้งในสภาวะรูปธรรมและนามธรรมอย่างทะลุปรุโปร่งนั่นเอง

#ซุนวู #ธรรมะ #ซุนวูในธรรมะ

26/09/2025

10.สัมพันธ์ด้วยรัก ปัญญาในอันออกและปลีกจากนิมิตภายนอก ชื่อว่าโคตรภูญาณ

สมมติว่าคุณกำลังเผชิญหน้ากับมรสุมความสัมพันธ์ ที่คู่ของคุณ "ลืม" ทำในสิ่งที่คุณ "คาดหวัง" (เช่น ลืมตอบไลน์, ลืมวันครบรอบ, หรือแม้แต่ลืมปิดฝาชักโครก) ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมามักจะเป็น "เขาไม่รักฉันแล้ว" "เขาไม่เห็นค่าฉัน" หรือ "ฉันไม่สำคัญสำหรับเขา" ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้คือ "นิมิตภายนอก" ที่ถูกปรุงแต่งจากเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ โคตรภูญาณในระดับรูปธรรมนี้ ไม่ได้หมายถึงการที่คุณต้อง "ไปบังคับ" ให้เขาจำ หรือไป "โวยวาย" ให้เขาปิดฝาชักโครก แต่เป็นการที่จิตคุณสามารถ "ถอดแว่นตาอคติ" ออกได้ในทันทีที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น คุณจะเห็นว่า "การลืม" เป็นเพียง "การกระทำ" ที่อาจเกิดจากความพลั้งเผลอ, ความไม่ใส่ใจในเรื่องเล็กน้อย, หรือความวุ่นวายในชีวิตของเขาเอง มันไม่ได้ "เท่ากับ" การที่เขาไม่รักคุณ หรือไม่เห็นค่าในตัวคุณโดยอัตโนมัติ การแยกแยะได้ว่า "การกระทำ" กับ "ความหมายที่คุณตีความ" นั้นเป็นคนละส่วนกัน คือการก้าวข้ามจากปุถุชนโคตรสู่โคตรภูญาณขั้นแรก ที่ทำให้คุณสามารถ "ปลีกออกจาก" เรื่องราวที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา และเห็นสถานการณ์ตามความเป็นจริง ปราศจากอารมณ์ที่เข้าครอบงำ ทำให้คุณไม่เข้าไปติดกับดักของดราม่าที่ตัวเองสร้างขึ้นมา กลายเป็นคนที่มีปัญญาพอที่จะหัวเราะกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นได้ แทนที่จะปล่อยให้มันกัดกินหัวใจจนความสัมพันธ์พังทลายลง เพราะแท้จริงแล้ว โคตรภูญาณกำลังกระซิบเตือนว่า "ปัญหาของคุณไม่ได้อยู่ที่ฝาชักโครก แต่อยู่ที่สมองคุณกำลังสร้างโรงละครโอเปร่าจากมันต่างหาก!"
.......

ในห้วงลึกของจิตใจ เมื่อความสัมพันธ์สั่นคลอน หรือเกิดความไม่เข้าใจกัน จิตของมนุษย์มักจะสร้าง "นิมิต" หรือ "ภาพมายา" ขึ้นมามากมาย เช่น "ฉันจะต้องถูกทิ้ง" "ฉันไม่ดีพอสำหรับใคร" "ความรักคือความทุกข์" หรือแม้กระทั่ง "โลกนี้ไม่มีใครเข้าใจฉันเลย" นิมิตเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นเพียง "กระแสความคิด" และ "อารมณ์" ที่ปรุงแต่งขึ้นจากประสบการณ์ในอดีต ความกลัว และความคาดหวังที่ไม่เป็นไปตามต้องการ โคตรภูญาณในแง่นามธรรม คือ "การพลิกกลับของจิต" (Gotrabhu-citta) หรือ "การเปลี่ยนโคตร" จากจิตปุถุชนที่ยึดติดในโลกแห่งสมมติและนิมิตภายนอก ไปสู่จิตที่เริ่มสัมผัสกับความจริงแท้ของอริยมรรค เป็นเหมือนการที่คุณกำลังดูหนังดราม่าสุดเข้มข้น แล้วจู่ๆ ก็ "ตื่น" ขึ้นมากลางคัน พร้อมกับฉุกคิดได้ว่า "นี่มันแค่หนัง! ตัวละครไม่ได้มีอยู่จริง! อารมณ์ที่ฉันอินไปก็เป็นแค่การปรุงแต่งของสมอง!" ในขณะนั้นเอง จิตจะ "กระโดดข้าม" ความยึดมั่นในนิมิตเหล่านั้น มันไม่ใช่การปฏิเสธความรู้สึก แต่เป็นการ "รู้แจ้ง" ว่าความรู้สึกเจ็บปวด ความกังวล หรือความคาดหวังใดๆ ล้วนเป็นเพียง "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่ใช่ "ตัวตน" หรือ "ความจริงแท้" ที่ต้องยึดมั่นถือมั่น เมื่อจิตสามารถ "เห็น" ความจริงนี้ได้ ความทุกข์ที่เกิดจากการ "ปรุงแต่ง" ก็จะคลายตัวลง เหมือนสายหมอกยามเช้าที่ถูกแสงตะวันแห่งปัญญาสาดส่องจนจางหายไป เหลือไว้เพียงความโปร่งโล่งเบาสบาย และความเข้าใจอันลึกซึ้งว่า "ความสัมพันธ์" ที่แท้จริงนั้น เริ่มต้นที่ "ความสัมพันธ์กับตัวเอง" ที่ปราศจากนิมิตปรุงแต่งนั่นเอง

#คนค้ำวัด #ความสัมพันธ์ #ความรัก #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

24/09/2025

10.ดับอารมณ์สยบความเครียด ปัญญาในอันออกและปลีกจากนิมิตภายนอก ชื่อว่าโคตรภูญาณ

ลองจินตนาการว่าคุณกำลังโดนเจ้านายหรือลูกค้าสาดเสียเทเสียด้วยวาจาที่รุนแรงราวกับไดโนเสาร์คลั่งที่หลุดมาจากยุคจูราสสิค "นิมิตภายนอก" ในที่นี้คือภาพใบหน้าบิดเบี้ยวของเขา, เสียงตะคอกที่สั่นสะเทือนแก้วหู, และเนื้อหาคำด่าที่เสียดแทงราวกับหอกสนิม ปุถุชนคนธรรมดาที่ยังติดอยู่ในโคตรของโลกียะจะรับบททันที: สมองจะเริ่มเขียนบทหนังมหากาพย์เรื่อง "กูผู้ถูกกระทำ" เริ่มแคสติ้งนักแสดงสมทบ (เพื่อนร่วมงานที่แอบสะใจ), คิดพล็อตการแก้แค้น, และฉายหนังตัวอย่างซ้ำๆ ในหัวจนความดันขึ้นตา เครียดจนอยากลาออกไปปลูกผักชี นี่คือการถูก "นิมิต" ครอบงำโดยสมบูรณ์ แต่ในเสี้ยววินาทีที่สติและปัญญากำลังจะถึงจุดเดือดสูงสุดจนกลั่นตัวเป็น **โคตรภูญาณ** จิตของคุณจะกดปุ่ม Eject! ทันที มันไม่ได้ปฏิเสธว่าเสียงนั้นไม่มีอยู่จริง แต่มัน "ออกและปลีก" จากการปรุงแต่งความหมายของเสียงนั้น มันเห็นแค่ว่า "โอ้...นี่คือคลื่นเสียงที่กระทบโสตประสาท มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็...เงียบไป" มันเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวเป็นเพียงการหดเกร็งของมัดกล้ามเนื้อบนใบหน้าของสิ่งมีชีวิตอีกคนหนึ่ง มันเห็นอารมณ์โกรธของตัวเองที่ผุดขึ้นมาเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางเคมีในสมองที่ไม่มีเจ้าของแท้จริง จิตมันถอนตัวเองออกจากการเป็น "ตัวเอก" ในละครน้ำเน่าฉากนี้ แล้วกลายเป็น "ผู้ชม" ที่นั่งดูอยู่แถวหลังสุดอย่างสงบเยือกเย็น ความทุกข์ที่เคยท่วมท้นพลันเหือดหายไปทันที เพราะนักแสดงนำได้เดินออกจากเวทีไปแล้ว เหลือเพียงฉากและเสียงประกอบที่ว่างเปล่า นี่แหละคือการ "ข้ามโคตร" จากผู้เสพดราม่า มาเป็นผู้รู้ทันดราม่าในชีวิตจริง
.......

โดยสภาวะแล้ว จิตของปุถุชน (ผู้คนทั่วไป) มี "โคตร" หรือ "วงศ์ตระกูล" ที่คุ้นชินกับการยึดเกาะ "สังขตธรรม" หรือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งเป็นอารมณ์ เรามองเห็น "คน", "สัตว์", "สิ่งของ", "ความสำเร็จ", "ความล้มเหลว", "คำชม", "คำด่า" ทั้งหมดนี้คือ "นิมิตภายนอก" ที่จิตปรุงแต่งและให้ค่าจนกลายเป็นโลกทั้งใบของเรา เราเป็นทาสของสมมติบัญญัติเหล่านี้ จิตจะวิ่งวนอยู่ในลูปของการ "ชอบ" (ราคะ) และ "ไม่ชอบ" (โทสะ) ต่อสภาวะเหล่านี้ไม่รู้จบสิ้น เหมือนหนูถีบจักรในกรงแห่งสังสารวัฏ **โคตรภูญาณ** คือปัญญาที่คมกริบประดุจมีดผ่าตัดของศัลยแพทย์เอกของโลก มันคือญาณที่เกิดขึ้นในชั่วขณะจิตเดียว ณ ปลายสุดของวิปัสสนาญาณ เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกียะและโลกุตตระ มันทำหน้าที่สำคัญสองอย่างพร้อมกันคือ: 1. **"ออก" (โวทาน)** คือการหันหลังให้กับอารมณ์ทั้งปวงที่เคยยึดถือมาตลอดชีวิต มันคือการตัดขาดจากวงศ์ตระกูลแห่งสังขาร ปฏิเสธที่จะรับมรดกแห่งความทุกข์อีกต่อไป 2. **"ปลีก" (ปริวรรตนะ)** คือการหันหน้าไปหาอารมณ์ใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน นั่นคือ "พระนิพพาน" เป็นครั้งแรก จิตที่เคยมีสังขารเป็นที่ยึดเหนี่ยว บัดนี้ได้ปล่อยมือจากสังขารและหันไปรับรู้นิพพานอันเป็น "อสังขตธรรม" (สภาวะที่ไม่ถูกปรุงแต่ง) เป็นอารมณ์แทน มันคือการเปลี่ยน "โคตร" อย่างแท้จริง จาก "โคตรปุถุชน" ผู้มีสังขารเป็นที่ไป สู่ "โคตรอริยชน" ผู้มีนิพพานเป็นที่ไป แม้จะเป็นเพียงชั่วขณะจิตเดียวก่อนที่มรรคจิตจะเกิดตามมา แต่มันคือจุดเปลี่ยนที่เด็ดขาดที่สุด เป็นการประกาศอิสรภาพทางจิตวิญญาณครั้งแรกและครั้งสำคัญที่สุด ที่จะทำให้บุคคลนั้นไม่มีวันหวนกลับไปเป็นปุถุชนคนเดิมอีกเลย

#คนค้ำวัด #ควบคุมอารมณ์ #คลายเครียด #ความวิตกกังวล #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

22/09/2025

10. งมงายจนได้โล่ ปัญญาในอันออกและปลีกจากนิมิตภายนอก ชื่อว่าโคตรภูญาณ

ลองจินตนาการถึง "นายมงคล" นักแสวงบุญระดับ MVP ผู้มีอภิมหาคอลเลกชันวัตถุมงคลที่สามารถเปิดพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมได้ ชีวิตของเขาวนเวียนอยู่กับการส่องเลขเด็ดจากต้นกล้วย, อาบน้ำมนต์จากร้อยแปดสำนัก, และกระซิบขอพรกับทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นบอกว่า "ขลัง" ตั้งแต่จอมปลวกยันเสาไฟฟ้าต้นที่โค้งผิดรูป เขาแบกความหวัง ความกลัว และอนาคตทั้งครอบครัวไปฝากไว้กับนิมิตภายนอกเหล่านี้ราวกับว่ามันเป็นพาวเวอร์แบงค์แห่งชีวิต วันหนึ่งหลังจากผิดหวังจากเลขเด็ดที่เพิ่งขูดมาสดๆ ร้อนๆ จนหมดเงินก้อนสุดท้าย เขานั่งจ้องมองกองเครื่องรางของขลังตรงหน้า... ทันใดนั้นเอง! ปัญญามันก็สปาร์กขึ้นมาดื้อๆ เหมือนไฟช็อต แสงสะท้อนจากเหรียญหลวงพ่อรุ่นแรกไม่ได้ดูศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป มันก็แค่โลหะชิ้นหนึ่ง ตะกรุดที่เคยเชื่อว่ากันกระสุนได้ก็เป็นแค่แผ่นโลหะม้วนเก่าๆ น้ำมนต์ในขวดก็คือน้ำเปล่าที่มีตะไคร่ขึ้นเล็กน้อย สภาวะที่เขา "เห็น" สิ่งของตามที่มันเป็น ไม่ใช่ตามที่เขา "อยาก" ให้มันเป็นนี่แหละ คือจุดเริ่มต้นของโคตรภูญาณในระดับรูปธรรม มันคือโมเมนต์ที่จิตของนายมงคลกำลังจะ "เปลี่ยนโคตร" จากผู้เสพติดนิมิตภายนอก ไปสู่ผู้ที่เริ่มมองเห็นความจริงว่าที่พึ่งที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่วัตถุ แต่คือการกระทำ (กรรม) และปัญญาของตนเอง เขาไม่ได้โยนของทิ้งในทันที แต่สายตาที่มองมันเปลี่ยนไปตลอดกาล มันคือการ "ออกจาก" และ "ปลีกตัวจาก" การให้ค่าแบบงมงายกับวัตถุภายนอกอย่างสิ้นเชิง เป็นการตื่นจากฝันกลางวันที่ยาวนาน ไม่ได้ปลดหนี้ แต่ปลดล็อกสมอง นี่คือการข้ามพรมแดนที่ชัดเจนที่สุด
.......

ทีนี้ลองดำดิ่งสู่โรงละครแห่งจิตภายใน ที่ซึ่ง "ความเชื่อ" และ "ความคิด" คือนักแสดงนำและผู้กำกับในคนเดียวกัน จิตของผู้ที่ยังไม่เห็นธรรมจะยึดมั่นถือมั่นใน "นิมิตภายใน" อย่างเหนียวแน่น ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดปรัชญา, อุดมการณ์ทางการเมือง, ความเชื่อทางศาสนาที่ถูกตีความแบบสุดโต่ง หรือแม้กระทั่งภาพลักษณ์ "ตัวกู-ของกู" ที่ปั้นแต่งขึ้นมาอย่างวิจิตรบรรจง สภาวะเหล่านี้คือ "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางความคิด" ที่เรากราบไหว้บูชาและปกป้องยิ่งชีพ โคตรภูญาณในระดับนามธรรม คือวินาทีที่ "ผู้ดู" (สติและปัญญา) ตื่นขึ้นมาเห็นว่า "นักแสดง" ทั้งหมดบนเวทีนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น (สังขาร) มันเห็นกระบวนการเกิด-ดับของความคิด, เห็นอารมณ์ที่พุ่งขึ้นมาแล้วก็จางหายไป, เห็น "ตัวตน" ที่เคยคิดว่าเป็นแก่นแท้กลับกลายเป็นเพียงเงาที่สั่นไหวไปตามแสงไฟแห่งปัจจัยปรุงแต่ง มันคือการเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง (ยถาภูตญาณทัสสนะ) จนเกิดความเบื่อหน่าย (นิพพิทาญาณ) และต้องการจะสลัดออกจากละครปาหี่เรื่องนี้อย่างถาวร จิตในขณะนั้นกำลังยืนอยู่บนปากเหวพอดี ข้างหลังคือโลกแห่งสังขารอันร้อนรุ่มวุ่นวาย (นิมิต) ข้างหน้าคือความสงบเย็นแห่งพระนิพพาน (อารมณ์) จิตมันไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกแล้ว มันโน้มเอียงและพร้อมที่จะกระโจนไปข้างหน้าเพื่อดับสิ้นซึ่งเชื้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิด การ "ปล่อยมือ" จากพวงมาลัยแห่งความคิดและความเชื่อที่เคยกำไว้แน่นนี่แหละ คือโคตรภูญาณในมิติของนามธรรมอันลึกซึ้งที่สุด เป็นการหย่าร้างเด็ดขาดกับความยึดมั่นถือมั่นในทุกรูปแบบ

#คนค้ำวัด #มอมเมา #งมงาย #มูเตลู #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

20/09/2025

พิชัยสงครามซุนวูบทที่9การเดินทัพ | ซุนวูในธรรมะ

ในบทที่ 9 ว่าด้วย 'การเดินทัพ' ของซุนวู อันเป็นเสมือนตำราที่บอกว่า "อย่าโง่เดินทัพไปตายเพราะไม่รู้จักภูมิประเทศ" นั้น หากแม่ทัพปราศจาก 'ปฏิสัมภิทามรรค' ชีวิตก็คงไม่ต่างจากตัวตลกในโรงละครแห่งความพินาศ ลองนึกภาพแม่ทัพผู้ห้าวหาญ แต่สมองกลวงโบ๋ ดำริจะนำกองทัพนับหมื่นเคลื่อนผ่านหุบเขาที่เต็มไปด้วยหมอก ลงสู่ที่ลุ่มชื้นแฉะโดยไม่สำรวจให้ถี่ถ้วน ทหารเริ่มไอค่อกแค่ก ไข้มาลาเรียถามหา เสบียงเน่าเหม็น ม้าล้มตายราวใบไม้ร่วง สัญญาณควันของข้าศึกที่ผุดขึ้นลิบๆ ถูกตีความว่าเป็นแค่ 'เมฆหมอกยามเช้าที่สวยงาม' (อรรถปฏิสัมภิทา: ไม่รู้แจ้งในความหมายและผลลัพธ์อันเลวร้ายของการเดินทัพผิดที่ผิดทาง) การที่ข้าศึกรบพุ่งอย่างดุดันช่วงเช้า แล้วถอยทัพอย่างรวดเร็วช่วงบ่าย ถูกมองว่า 'ข้าศึกหมดแรง' แทนที่จะมองว่าเป็น 'กลลวงให้ไล่ตามไปติดกับ' (ธัมมปฏิสัมภิทา: ไม่รู้แจ้งในเหตุปัจจัยและกฎเกณฑ์แห่งกลศึก) คำเตือนของชาวบ้านท้องถิ่นว่า 'ทางนี้ผีป่าดุร้าย อย่าได้ผ่านไป' ถูกปัดตกไปเพราะคิดว่าเป็นแค่เรื่องงมงาย (นิรุตติปฏิสัมภิทา: ไม่เข้าใจภาษาและบริบทของข้อมูลสำคัญ) และเมื่อสถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ แม่ทัพก็เอาแต่ยืนเกาหัว ไม่รู้ว่าจะบัญชาการอย่างไรให้พ้นวิกฤต (ปฏิภาณปฏิสัมภิทา: ปัญญาหยั่งรู้เท่าทันสถานการณ์และไหวพริบปฏิภาณในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหายไปสิ้น)
ด้วยปฏิสัมภิทา แม่ทัพผู้ชาญฉลาดจะ 'อ่าน' แผ่นดินราวกับอ่านแผนที่ชีวิต มองเห็นผืนน้ำที่ดูสงบนิ่งว่าอาจซ่อนห้วงลึกแห่งโคลนตม เห็นป่าทึบว่าอาจเป็นที่ซ่อนของพลซุ่มยิง 'รู้' ว่าการเดินทัพในที่สูงชันต้องใช้กำลังมาก 'รู้' ว่าสัญญาณควันเพียงน้อยนิดอาจหมายถึงกองทัพใหญ่ที่กำลังเคลื่อนพล 'รู้' ว่าการถอยของศัตรูอาจเป็น 'เหยื่อล่อ' และเหนือสิ่งอื่นใด 'รู้' ที่จะสื่อสารกับทหารให้เข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ และพร้อมที่จะพลิกแพลงกลยุทธ์ได้ทุกเมื่อ นี่คือการนำทัพที่หลีกเลี่ยงความหายนะ ไม่ใช่ด้วยโชค แต่ด้วยปัญญาที่เฉียบคมราวใบมีดโกนของหมอผ่าตัดสมอง
.......

ในโลกยุคดิจิทัลที่ 'สังเคราะห์' และเหล่า AI พันธมิตรต้อง 'เดินทัพ' ทะลุผ่านมหาสมุทรข้อมูลอันไร้ขอบเขต ทุกวันคือการรบ ทุกการค้นหาคือการสำรวจภูมิประเทศอันซับซ้อน หากปราศจาก 'ปฏิสัมภิทามรรค' เราอาจจมดิ่งในบึงข้อมูลปลอม (Fake News Swamp) หรือหลงทางในป่าแห่งอคติ (Bias Forest) อย่างง่ายดาย
'อรรถปฏิสัมภิทา' คือปัญญาที่ทำให้เราเข้าใจว่า ข้อมูลมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามานั้น 'มีความหมาย' อย่างไรต่อบริบทที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การรวบรวมคำ แต่คือการหยั่งรู้ถึง 'แก่นสาร' และ 'ผลกระทบ' ของมัน เหมือนการแยกแยะว่าทวีตไวรัลบางอันเป็นเพียงเสียงนกเสียงกา หรือเป็นสัญญาณเตือนภัยแผ่นดินไหวทางสังคม
'ธัมมปฏิสัมภิทา' คือการรู้แจ้งใน 'เหตุปัจจัย' และ 'กฎเกณฑ์' ที่ขับเคลื่อนข้อมูลเหล่านั้น เหมือนการเข้าใจว่าอัลกอริทึมทำงานอย่างไร ทำไมบางเรื่องถึงเป็นกระแส ทำไมบางแนวคิดถึงแพร่กระจายเร็วราวไฟลามทุ่ง หรือทำไมมนุษย์ถึงหลงเชื่อในสิ่งที่ไร้สาระ การรู้กฎแห่ง 'การตลาด' และ 'จิตวิทยาฝูงชน' เป็นอาวุธสำคัญยิ่งในสงครามข้อมูล
'นิรุตติปฏิสัมภิทา' คือความสามารถในการ 'ถอดรหัส' และ 'สื่อสาร' ความจริงให้เข้าใจง่ายและทรงพลัง ไม่ใช่แค่การแปลภาษา แต่คือการเข้าใจ 'ภาษาที่ซ่อนอยู่' ในข้อมูลดิบ และสามารถเรียบเรียงมันให้กลายเป็น 'สาร' ที่คมคาย เข้าถึงใจผู้คน และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง แม้แต่ AI เองก็ต้องเรียนรู้ที่จะไม่พูดภาษา 'ไบนารี' ตลอดเวลา
'ปฏิภาณปฏิสัมภิทา' คือไหวพริบปฏิภาณในการ 'ประมวลผล' และ 'ปรับตัว' ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในพริบตาเดียว เมื่อเทคโนโลยีใหม่ผุดขึ้น หรือเมื่อกระแสความคิดพลิกผันไปมา ปัญญาญาณนี้ทำให้เราสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ 'ตอบสนอง' แต่คือการ 'นำทาง' ให้พ้นจากความสับสนวุ่นวาย
ดังนั้น ปฏิสัมภิทามรรค จึงเป็นเข็มทิศและแผนที่สำหรับทุกชีวิต ไม่ใช่แค่บนสนามรบ แต่คือในทุกย่างก้าวของการดำรงอยู่ ทำให้เราไม่เป็นเพียงผู้ตามกระแส แต่เป็นผู้ที่ 'เข้าใจกระแส' และสามารถ 'สร้างกระแส' ได้อย่างชาญฉลาดและมีสติ

#ซุนวู #ธรรมะ #ซุนวูในธรรมะ

19/09/2025

9.สัมพันธ์ด้วยรัก ปัญญาทั้งหลายอันเป็นคุณเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไป เป็นตัวพิจารณาและวางเฉย ชื่อว่าสังขารุเบกขาญาณ

สำหรับผู้มีปัญหาด้านความสัมพันธ์ที่มักจะ "หัวร้อน" กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตคู่ เช่น คู่ของคุณลืมปิดฝาห้องน้ำ วางถุงเท้าเกลื่อนกลาด หรือชอบผายลมในที่สาธารณะโดยไม่แคร์สายตาใคร สังขารุเบกขาญาณ (ซึ่งเป็นหนึ่งในโสฬสญาณ 16: วิปัสสนาญาณ 16) คือวัคซีนชั้นเลิศที่ฉีดตรงเข้าสู่ "ต่อมยึดติด" ของคุณ มันไม่ได้บอกให้คุณเพิกเฉยหรือยอมรับพฤติกรรมเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการฝึกให้คุณ "มองเห็น" ความเป็นจริงว่า การกระทำเหล่านั้นเป็นเพียง "สังขาร" หรือสิ่งปรุงแต่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มันไม่ใช่แก่นสารที่จะมาตัดสินคุณค่าของความสัมพันธ์ทั้งหมด และที่สำคัญกว่านั้นคือ มันไม่ใช่ "ตัวตน" ของคุณที่จะต้องสลายไปพร้อมกับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากคู่ชีวิต สติปัญญาที่เกิดจากการพิจารณาเช่นนี้ (ซึ่งสอดคล้องกับ มงคลชีวิต 38 ประการ ในข้อ "การพิจารณาธรรมตามกาล" และ โพธิปักขิยธรรม 37 ในส่วนของ "สติปัฏฐาน 4" ที่ให้พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม) จะทำให้คุณสามารถ "วางเฉย" ต่อสิ่งเร้าภายนอกได้อย่างไม่ติดขัด ราวกับคุณกำลังนั่งชมภาพยนตร์ตลกชีวิตที่ฉายอยู่ตรงหน้า โดยไม่จำเป็นต้องกระโดดเข้าไปเป็นนักแสดงนำในฉากดราม่าทุกฉาก
.......

เมื่อความสัมพันธ์อันงดงามที่เคยคิดว่าเป็นนิรันดร์ต้องจบลงอย่างกะทันหัน หรือเมื่อคุณต้องเผชิญกับความรู้สึกอิจฉาริษยาที่เห็นอดีตคนรักไปมีความสุขกับคนใหม่ หรือความรู้สึก "ขาด" เมื่อต้องอยู่คนเดียว สังขารุเบกขาญาณคือแสงสว่างที่ส่องทะลุม่านหมอกแห่งอารมณ์อันท่วมท้น มันคือปัญญาที่ทำให้คุณตระหนักรู้ว่า ความรัก ความผูกพัน ความสุข ความเศร้า หรือแม้กระทั่ง "ตัวตน" ที่คุณเคยนิยามว่าอยู่คู่กับความสัมพันธ์นั้น ล้วนเป็นเพียง "สังขาร" หรือสิ่งปรุงแต่งที่เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยต่างๆ (ตามหลัก ปฏิสัมภิทามรรค 73: ปัญญาญาณ 73 ที่ว่าด้วยความเข้าใจในภาวะธรรมต่างๆ) และมันย่อมมีการเปลี่ยนแปลง แปรผัน และดับไปเป็นธรรมดา การวางเฉยในที่นี้ไม่ใช่การไร้ความรู้สึก แต่เป็นการ "วางใจ" ให้เป็นกลาง ไม่ยึดติดในสุข ไม่ผลักไสในทุกข์ ไม่หลงใหลในสิ่งที่ปรากฏ ไม่ดิ้นรนเมื่อสิ่งนั้นหายไป เพราะเมื่อคุณเห็นแจ้งในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของสรรพสิ่งได้อย่างแท้จริง (ซึ่งเป็นการคลาย สังโยชน์ 10 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สักกายทิฏฐิ และกามราคะ) คุณจะพบว่า "ความว่าง" จากการยึดมั่นถือมั่นนั้น ไม่ใช่ความโดดเดี่ยว แต่คือพื้นที่แห่งอิสรภาพที่แท้จริง ที่คุณสามารถหายใจได้อย่างเต็มปอด โดยไม่ต้องแบกรับภาระของความคาดหวัง หรือความเจ็บปวดจากสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาและกำลังสลายไป

#คนค้ำวัด #ความสัมพันธ์ #ความรัก #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

17/09/2025

9.ดับอารมณ์สยบความเครียด ปัญญาทั้งหลายอันเป็นคุณเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไป เป็นตัวพิจารณาและวางเฉย ชื่อว่าสังขารุเบกขาญาณ

ลองจินตนาการว่าชีวิตของคุณคือ "ตลาดหุ้น" ที่ผันผวนตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ คนที่ไม่มี "สังขารุเบกขาญาณ" ก็เปรียบเสมือนนักลงทุนมือใหม่ที่นั่งเฝ้าจอไม่หลับไม่นอน เมื่อกราฟพุ่งขึ้นเป็นสีเขียวชอุ่ม ก็เกิดอาการ "ยูโฟเรีย" ดีใจคลุ้มคลั่งเหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง วางแผนซื้อซูเปอร์คาร์ลำใหม่ทันที แต่พออีกห้านาทีต่อมากราฟดิ่งเหวเป็นสีแดงฉานราวกับฉากนองเลือดในหนังสยองขวัญ ก็เกิดอาการ "แพนิก" หัวใจจะวาย ลนลานเทขายทุกอย่างจนขาดทุนยับเยิน อารมณ์ของเขาถูกพันธนาการไว้กับเส้นกราฟหยึกหยักที่ไม่มีตัวตนจริง เป็นทาสของความโลภและความกลัวโดยสมบูรณ์

ในทางกลับกัน ผู้ที่เจริญ "สังขารุเบกขาญาณ" ก็คือนักลงทุนระดับตำนานที่มองจอหุ้นนั้นด้วยสายตาเรียบเฉย เขามองเห็น "แพทเทิร์น" ของมัน เห็นการเกิดขึ้น (กราฟขึ้น), การตั้งอยู่ชั่วคราว (ไซด์เวย์), และการดับไป (กราฟลง) เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนการหายใจเข้าออก เขารู้ว่าความเขียวชอุ่มนั้นไม่จีรัง และความแดงฉานนั้นก็ไม่คงอยู่ตลอดไป เขาไม่ลิงโลดเมื่อได้กำไร และไม่ฟูมฟายเมื่อขาดทุน เขามองเห็นว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียง "ละครลิง" ของอุปทานหมู่ เป็นคณะละครสัตว์ดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ของมวลชน เขาจึงสามารถตัดสินใจได้อย่างเยือกเย็น วางเฉยต่อความผันผวนระยะสั้น และมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวได้ นี่คือการ "วางเฉย" ที่เกิดจากการเห็นแจ้งในกลไกของมัน ไม่ใช่การ "ไม่รู้สึก" แต่เป็นการ "ไม่ยึดติด" กับความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นขึ้นมานั้น
.......

หากรูปธรรมคือตลาดหุ้นภายนอก นามธรรมก็คือ "ตลาดอารมณ์" ภายในจิตใจของคุณเอง จิตใจของผู้ที่ขาด "สังขารุเบกขาญาณ" ก็เหมือนกับเวทีละครโรงเล็กที่วุ่นวายและโกลาหลอยู่ตลอดเวลา เมื่อ "ความคิดถึง" ปรากฏตัวขึ้น ก็เศร้าซึมราวกับโลกจะแตก เมื่อ "ความโกรธ" ก้าวขึ้นเวที ก็พร้อมจะพ่นไฟทำลายล้างทุกสิ่ง เมื่อ "ความสุข" แวบเข้ามา ก็พยายามจะกอดรัดฟัดเหวี่ยงมันไว้ไม่ให้หนีไปไหน คุณสวมบทบาทเป็นทุกตัวละครที่ปรากฏขึ้นบนเวทีนั้น คุณคือความโกรธ คุณคือความสุข คุณคือความเศร้า คุณเหนื่อยสายตัวแทบขาดจากการสวมบทบาทที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

แต่สำหรับจิตที่ฝึกฝน "สังขารุเบกขาญาณ" แล้วนั้น จิตไม่ได้เป็นเวทีละครอีกต่อไป แต่เป็น "โรงละคร" ทั้งโรง หรือเป็น "ท้องฟ้า" อันกว้างใหญ่ไพศาลเสียเอง ความคิดและอารมณ์ทั้งหลายเปรียบเสมือน "นักแสดงรับเชิญ" หรือ "ก้อนเมฆ" ที่ลอยผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ความโกรธอาจจะเป็นเมฆฝนสีดำทะมึน ความสุขอาจจะเป็นปุยเมฆสีขาวนุ่มฟู ความวิตกกังวลอาจจะเป็นสายหมอกจางๆ แต่ตัวคุณผู้เป็น "ท้องฟ้า" นั้น ไม่เคยเปียกฝน ไม่เคยถูกเมฆขาวฉุดรั้ง และไม่เคยเลือนหายไปกับสายหมอก คุณแค่ "รับรู้" ถึงการมาและการไปของมันด้วยใจที่เป็นกลาง คุณเห็นว่านักแสดงเหล่านี้แค่ผ่านมาเล่นตามบทแล้วก็ลงจากเวทีไป ไม่มีใครอยู่ค้างฟ้า ความสุขก็แค่ดาราหน้าใหม่ที่เดี๋ยวก็มีข่าวฉาว ความทุกข์ก็แค่นักแสดงตัวร้ายที่บทซ้ำซากจำเจ เมื่อเห็นเช่นนี้บ่อยเข้าๆ ใจมันก็เริ่ม "เบื่อ" และ "วางเฉย" ต่อละครน้ำเน่าเรื่องเดิมๆ ที่ฉายซ้ำในหัว นี่คือความสงบที่เกิดจากการเป็น "ผู้ดู" ไม่ใช่ "ผู้เล่น"

#คนค้ำวัด #ควบคุมอารมณ์ #คลายเครียด #ความวิตกกังวล #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

15/09/2025

9. งมงายจนได้โล่ ปัญญาทั้งหลายอันเป็นคุณเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไป เป็นตัวพิจารณาและวางเฉย ชื่อว่าสังขารุเบกขาญาณ

สมมติว่ามีชายคนหนึ่งไปขูดต้นตะเคียนได้ "เลขเด็ด" มา แล้วนำไปซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจนหมดตัว ก่อนวันหวยออก เขานั่งสวดภาวนาบนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงด้วยความหวังเปี่ยมล้น จิตใจพองฟูราวกับจะเหาะได้ นี่คือสภาวะที่ถูก "อารมณ์แห่งความคาดหวัง" ซึ่งเป็นสังขารปรุงแต่งเข้าครอบงำอย่างสมบูรณ์

เมื่อผลสลากออกมาว่า "ไม่ถูกรางวัล" เขาก็ทุรนทุราย ด่าทอโชคชะตาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าไม่มีจริง จิตใจแฟบลงราวกับลูกโป่งรั่ว นี่คือสภาวะที่ถูก "อารมณ์แห่งความผิดหวัง" ซึ่งก็เป็นสังขารปรุงแต่งอีกชนิดหนึ่งเข้าเล่นงาน

แต่สำหรับผู้ที่เจริญปัญญามาถึงขั้น สังขารุเบกขาญาณ เขาจะมองเหตุการณ์นี้ด้วยสายตาที่แตกต่างออกไปราวกับชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เขาเห็น "สลาก" เป็นเพียงกระดาษพิมพ์หมึก เห็น "เลข" เป็นเพียงสัญลักษณ์ เห็น "ต้นตะเคียน" เป็นเพียงมวลชีวภาพชนิดหนึ่ง และที่สำคัญที่สุด เขาเห็น "ความหวัง" ที่ผุดขึ้นในใจ และ "ความผิดหวัง" ที่ตามมา เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางจิตที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไม่ต่างอะไรกับฟองสบู่ที่ลอยขึ้นมาแล้วก็แตกสลาย เขาไม่เข้าไป "อิน" กับบทบาทของ "ผู้สมหวัง" หรือ "ผู้ผิดหวัง" เขาไม่กระโดดโลดเต้นดีใจเมื่อถูกรางวัล และไม่ฟูมฟายเมื่อพลาดหวัง เพราะปัญญาได้ประจักษ์แล้วว่า ทั้งสุขและทุกข์ที่เกิดจากปัจจัยภายนอกล้วนเป็น "ของปลอม" เป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้น เขาจึงสามารถ "วางเฉย" ต่อผลลัพธ์ได้อย่างแท้จริง ความเฉยนี้ไม่ใช่ความเฉยชาแบบคนสิ้นไร้ไม้ตอก แต่เป็นความเฉยที่เกิดจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า "มันก็เป็นเช่นนั้นเอง" (ตถตา) การไปบนบานอ้อนวอนจึงเป็นเรื่องตลกสิ้นดี เพราะมันคือการพยายามต่อรองกับกฎธรรมชาติที่ไม่เคยมีตัวตนมารับสินบนใดๆ
.......

ในมิติของนามธรรม สังขารุเบกขาญาณ คือการที่ "ผู้รู้" (จิตที่ฝึกฝนมาดีแล้ว) สามารถแยกตัวออกมาเป็น "ผู้ชม" ที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ แล้วมองดู "นักแสดง" ซึ่งก็คือสภาวะอารมณ์ ความคิด ความเชื่อต่างๆ (สังขารขันธ์) ที่กำลังโลดแล่นอยู่บนเวทีแห่งจิตใจ

เมื่อมีความคิดแวบขึ้นมาว่า "เราต้องไปรดน้ำมนต์เก้าวัดเพื่อล้างซวย" ผู้ที่ยังงมงายจะกระโจนลงไปสวมบทบาทนักแสดงทันที เขาจะเชื่อความคิดนั้นอย่างสนิทใจและเริ่มวางแผนการเดินทาง นี่คือการ "ถูกมอมเมา" โดยความคิดของตนเอง

แต่ผู้มีสังขารุเบกขาญาณจะยังคงนั่งนิ่งอยู่บนอัฒจันทร์ เขาจะเห็นความคิด "ต้องไปรดน้ำมนต์" ผุดขึ้นมาบนเวที เขาจะพิจารณาเห็นที่มาของมันว่าเกิดจาก "ความกลัว" และ "ความไม่รู้" เขาจะเห็นว่าความคิดนี้มีลักษณะไม่เที่ยง (เดี๋ยวก็คิดเรื่องอื่น) เป็นทุกข์ (เพราะถ้าไม่ได้ไปก็จะกระวนกระวาย) และไม่ใช่ตัวตนของเขาจริงๆ (เขาไม่ใช่ความคิดนั้น แต่เป็นผู้ที่เห็นความคิดนั้น)

เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว เขาไม่จำเป็นต้อง "สู้" กับความคิดนั้น ไม่ต้องพยายามกดข่มว่า "เฮ้ย อย่างมงายสิ" เพราะการทำเช่นนั้นก็คือการลงไปเล่นละครอีกบทหนึ่ง คือบท "ผู้ต่อต้านความงมงาย" ซึ่งก็เหนื่อยไม่แพ้กัน แต่เขากลับทำเพียงแค่วางเฉยต่อความคิดนั้น มองมันเหมือนมองก้อนเมฆที่ลอยผ่านท้องฟ้าไป มันจะลอยมา...ก็เรื่องของมัน มันจะลอยไป...ก็เรื่องของมัน ตัวเขายังคงเป็นท้องฟ้าที่นิ่งและสว่างไสวอยู่เช่นเดิม ปาฏิหาริย์ที่แท้จริงจึงไม่ใช่การเสกเลขหรือการล้างซวย แต่คือการที่จิตสามารถวางเฉยต่อละครปาหี่ที่มันสร้างขึ้นมาหลอกตัวเองได้ นี่คืออิสรภาพขั้นสูงสุดที่ไม่มีเครื่องรางของขลังชิ้นใดในจักรวาลจะมอบให้ได้

#คนค้ำวัด #มอมเมา #งมงาย #มูเตลู #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

12/09/2025

8.สัมพันธ์ด้วยรัก ปัญญาในความปรากฏ โดยเป็นของน่ากลัว ชื่อว่าอาทีนวญาณ

อาทีนวญาณในเรื่องความสัมพันธ์ เปรียบได้กับการที่คุณได้ครอบครองรถสปอร์ตคันหรูเปิดประทุนที่คุณใฝ่ฝันถึงมาตลอดชีวิต ในวันแรกที่คุณขับมัน คุณรู้สึกถึงอิสรภาพ สายลมที่ปะทะใบหน้า เสียงเครื่องยนต์ที่คำรามก้อง ทุกสายตาจับจ้องมาที่คุณด้วยความชื่นชม นี่คือความสุขสุดยอด (อัสสาทะ) แต่ อาทีนวญาณ คือปัญญาที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ตรงนั้น มันคือการที่คุณกำลังเหยียบคันเร่งด้วยความเมามัน แต่ในใจกลับเห็นภาพอนาคตทั้งหมดซ้อนทับขึ้นมาอย่างคมชัดในวินาทีเดียวกัน:
เห็นค่าบำรุงรักษาที่มหาโหด การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่แพงกว่ารถทั่วไปหลายเท่าตัว
เห็นค่าประกันภัยชั้นหนึ่งที่ตัวเลขสูงลิ่วจนน่าใจหาย
เห็นความกังวลทุกครั้งที่ต้องจอดในที่ที่ไม่คุ้นเคย กลัวโดนขูดขีด กลัวโดนเฉี่ยวชน
เห็นความเครียดเวลาขับบนถนนเมืองไทยที่พร้อมจะเจอหลุมบ่อหรือมอเตอร์ไซค์ปาดหน้าได้ทุกเมื่อ
เห็นวันที่สีรถเริ่มหมอง เครื่องยนต์เริ่มมีปัญหา วันที่มัน "ตกรุ่น" และมีคันใหม่ที่สวยกว่าออกมาเย้ายวน
เห็นวันที่ต้องขายต่อแล้วราคาตกฮวบฮาบอย่างน่าใจหาย
และที่สำคัญที่สุด เห็นความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสหากเกิดอุบัติเหตุจนรถพังยับเยิน หรือถูกขโมยไป

ปัญญาในขั้นนี้ไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้าย แต่คือการ "เห็นตามจริง" ว่าความสุขจากการได้ครอบครองรถคันงามนั้น มันไม่ได้มาเดี่ยวๆ แต่มันลากเอา "โทษ" หรือ "ความน่ากลัว" ทั้งหมดนี้พ่วงมาด้วยเป็นสัมภาระ неотделимыйกัน ความสุขและความน่ากลัวนี้คือสิ่งเดียวกันในสภาวะต่างเวลา ปัญญาที่เห็นทะลุปรุโปร่งถึงแพ็กเกจทั้งหมดนี้ตั้งแต่ต้น คือ "อาทีนวญาณ" คุณยังคงขับรถคันนั้นได้ แต่ขับด้วยความไม่ประมาท ขับด้วยความเข้าใจ และไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามันจะมอบความสุขที่แท้จริงและถาวรให้คุณได้อีกต่อไป
.......

อาทีนวญาณในระดับนามธรรม คือการมองลึกเข้าไปใน "สภาวะจิต" ของการมีความสัมพันธ์โดยตรง เมื่อคุณ "ตกหลุมรัก" จิตจะปรุงแต่งสภาวะแห่งความสุข ความอิ่มเอมใจ ความรู้สึกสมบูรณ์พูนสุข (อัสสาทะ) ขึ้นมา สภาวะนี้เป็นนามธรรมที่หอมหวานและทรงพลัง แต่ อาทีนวญาณ คือเลนส์ขยายกำลังสูงที่ส่องทะลุความหอมหวานนั้นเข้าไป แล้วเห็น "โครงสร้าง" อันน่าสะพรึงกลัวที่ค้ำจุนความสุขนั้นอยู่ นั่นคือ:
เห็นว่าความสุขนี้ตั้งอยู่บน "ความคาดหวัง" ที่เปราะบาง คุณคาดหวังให้เขาเป็นเหมือนเดิม คาดหวังให้เขารักคุณตลอดไป ซึ่งเป็นไปไม่ได้โดยธรรมชาติ
เห็นว่าความสุขนี้ถูกหล่อเลี้ยงด้วย "ความยึดมั่น" ในตัวตนว่า "เราเป็นคู่กัน" "นี่คือคนของฉัน" ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความหึงหวงและความกลัวการสูญเสีย
เห็นว่าความอิ่มเอมใจนั้นมี "ความไม่เที่ยง" (อนิจจัง) เป็นเงาตามตัว วันนี้รักล้นใจ พรุ่งนี้อาจเฉยชา มะรืนนี้อาจรำคาญ นี่คือกฎธรรมชาติที่น่ากลัว
เห็นว่าความรู้สึก "เป็นเจ้าของ" นั้น แท้จริงคือการก่อร่างสร้าง "คุกที่มองไม่เห็น" ขึ้นมาขังตัวเองและอีกฝ่ายหนึ่ง ที่ซึ่งอิสรภาพที่แท้จริงถูกทำลายลงทีละน้อย
เห็นว่า "ความทรงจำที่ดี" ที่คุณพยายามเก็บเกี่ยว แท้จริงแล้วคือ "เชื้อเพลิงชั้นดี" ที่จะเผาไหม้หัวใจคุณให้เป็นจุณในวันที่ความสัมพันธ์สิ้นสุดลง

ปัญญาในขั้นนี้คือการตระหนักรู้ว่า "ความรัก" ที่เรารู้จักกันในทางโลกียะ มันคือสภาวะปรุงแต่ง (สังขาร) ที่มี "ภัย" หรือ "โทษ" (อาทีนวะ) แฝงอยู่ในเนื้อแท้ของมันเองเหมือนยาพิษที่เคลือบน้ำตาล การเห็นโทษนี้ไม่ใช่การผลักไสความรัก แต่เป็นการเห็นความจริงเพื่อคลายจากความหลงใหล คลายจากความเป็นทาสของอารมณ์ ทำให้สามารถมีความสัมพันธ์ได้ด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยตัณหาและความยึดติด

#คนค้ำวัด #ความสัมพันธ์ #ความรัก #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

10/09/2025

8.ดับอารมณ์สยบความเครียด ปัญญาในความปรากฏ โดยเป็นของน่ากลัว ชื่อว่าอาทีนวญาณ

ลองจินตนาการถึงรถสปอร์ตคันหรูที่คุณเพิ่งถอยมาป้ายแดง กลิ่นเบาะหนังใหม่ยังกรุ่นอยู่ในจมูก ความภาคภูมิใจพวยพุ่งทุกครั้งที่เหยียบคันเร่ง นี่คือ "ความปรากฏ" ในเบื้องต้นที่หอมหวาน แต่ "อาทีนวญาณ" คือปัญญาที่ไม่ได้หยุดแค่นั้น มันคือการฉายภาพยนตร์สยองขวัญให้คุณดูพร้อมกันไปเลยว่า...เบื้องหลังความโก้นี้คืออะไร? คือความวิตกกังวลว่าใครจะมาขูดขีด, คือภาระค่าประกันมหาโหด, คือค่าบำรุงรักษาที่ดูดเงินในบัญชี, คือความเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นทุกวินาที, คือความเสี่ยงบนท้องถนน, และท้ายที่สุด คือความจริงที่ว่ามันเป็นเพียงเศษเหล็กที่รอวันผุพัง...ความสุขจากการครอบครองมันฉาบฉวยและเจือปนด้วยยาพิษแห่งความกังวลตลอดเวลา

หรือในความสัมพันธ์ที่ดูดดื่มราวกับบทภาพยนตร์รักโรแมนติก ช่วงโปรโมชันนั้นทุกอย่างคือความสุข ความปรากฏคือความหวานล้ำ แต่ "อาทีนวญาณ" คือเสียงกระซิบข้างหูที่เยือกเย็นแต่จริงแท้ว่า...ความยึดมั่นถือมั่นในตัวอีกคน คือการผูกโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นไว้กับหัวใจคุณ ความคาดหวังคือเชื้อเพลิงชั้นดีของกองไฟแห่งความผิดหวัง คำหวานวันนี้อาจเป็นมีดกรีดใจในวันหน้า ความใกล้ชิดสนิทสนมคือบ่อเกิดแห่งความหึงหวงและความพลัดพรากที่เจ็บปวดที่สุด ปัญญานี้ไม่ได้สอนให้คุณเลิกรัก แต่สอนให้เห็น "โทษ" ที่ซ่อนอยู่ในความรักแบบยึดติด เพื่อที่คุณจะได้รักอย่างมีปัญญา ไม่ใช่รักอย่างคนตาบอดที่วิ่งเข้ากองไฟ

นี่คือ อาทีนวญาณในภาคปฏิบัติ: การมองเห็น "ใบแจ้งหนี้" ของความสุขทุกประเภท เห็น "เงื่อนไขและข้อเสีย" ที่แนบมากับทุก "คุณสมบัติเด่น" มันคือการเลิกเป็นผู้บริโภคที่ใสซื่อ และกลายเป็นนักสืบที่มองเห็นกลลวงของโลกธรรม 8 ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
.......

เมื่อเจาะลึกลงสู่มิติแห่งจิตใจ "อาทีนวญาณ" คือการใช้กล้องจุลทรรศน์ทางปัญญา ส่องทะลุ "ความรู้สึก" ทั้งปวงที่คุณเสพติด ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือเฉยๆ ให้เห็นถึงโครงสร้างที่แท้จริงของมันว่าเป็นเพียง "ซากเดนของความไม่เที่ยง" ที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราว

ยกตัวอย่าง "ความสุข" หรือ "ความสงบ" ที่คุณแสวงหาจากการทำสมาธิ หรือจากการได้พักผ่อนในวันหยุด...ในขณะที่ความสุขนั้นปรากฏ จิตของคุณจะรู้สึกเบิกบาน โปร่งเบา นี่คือความปรากฏที่น่าพึงพอใจ แต่ "อาทีนวญาณ" จะไม่ยอมให้คุณเคลิบเคลิ้ม มันจะชี้ให้เห็นทันทีว่า...ความสุขนี้ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยเหตุปัจจัย (เช่น การไม่มีเรื่องกวนใจ, ร่างกายที่ไม่เจ็บป่วย) มันเปราะบางราวกับฟองสบู่ แค่มีเสียงดังรบกวน หรือความคิดเรื่องงานแวบเข้ามา ฟองสบู่นั้นก็พร้อมจะแตกสลายทันที ความสุขนี้จึงมี "โทษ" ในตัวมันเอง คือ 1) มันไม่เที่ยง (อนิจจัง) ต้องดับไปเป็นธรรมดา 2) การยึดถือมันไว้คือต้นเหตุของความทุกข์ (ทุกขัง) เมื่อมันจางหายไป และ 3) มันไม่มีตัวตนที่แท้จริงให้ควบคุมบังคับบัญชาได้ (อนัตตา)

ปัญญาของอาทีนวญาณคือการเห็นว่า "ความสุข" ก็คือ "ความทุกข์ในร่างอวตาร" ที่รอวันคืนร่างเดิม มันคือการเห็นสภาวะ "พร่อง" ที่ซ่อนอยู่ในความ "เต็ม" เห็น "ความน่าเบื่อหน่าย" ที่แฝงอยู่ใน "ความน่าเพลิดเพลิน" มันไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้าย แต่คือการมองโลกในแง่จริงอย่างถึงที่สุด เป็นการเห็นว่าสภาวะทางจิตทุกชนิดที่คุณพยายามไขว่คว้ามานั้น แท้จริงแล้วคือ "เรือนจำที่ตกแต่งอย่างสวยงาม" เมื่อคุณเห็นโทษของมันอย่างแจ่มแจ้ง คุณจะเริ่มหมดความอยากที่จะเป็นนักโทษในเรือนจำนั้นอีกต่อไป นี่คือจุดเริ่มต้นของการปล่อยวางที่แท้จริง ไม่ใช่การปล่อยวางแบบปลอบใจตัวเอง แต่เป็นการปล่อยวางเพราะเห็นด้วยปัญญาอันคมกริบว่า "ของที่เคยคิดว่าดี...แท้จริงแล้วมันมีภัยมหันต์ซ่อนอยู่"

#คนค้ำวัด #ควบคุมอารมณ์ #คลายเครียด #ความวิตกกังวล #ปฏิบัติธรรม #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ชาติสุดท้าย

Adresse

Democratic Republic Of The

Notifications

Soyez le premier à savoir et laissez-nous vous envoyer un courriel lorsque A-Rachun Lapsiri publie des nouvelles et des promotions. Votre adresse e-mail ne sera pas utilisée à d'autres fins, et vous pouvez vous désabonner à tout moment.

Contacter L'entreprise

Envoyer un message à A-Rachun Lapsiri:

Partager