
25/09/2025
มีหลายคนอยากให้ลูกมาเรียนต่อเยอรมัน ลองเสพข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่ content กันค่ะ.. ประเทศเยอรมันนี้นึกถึงเด็กและเยาวชน รวมถึงเวลาของครอบครัวมาก การศึกษาเขาคิดมาอย่างดีและดีมากค่ะ
Cr.ขอบคุณข้อมูลดีๆ สาระวิชาการจากเพจคุณหย่งค่ะ
ระบบการศึกษาของเยอรมนี
การศึกษาของเยอรมนี ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพสูงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก วันนี้หย่งศรีจะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจกับระบบการศึกษาของที่นี่* ค่ะ
*เยอรมนีปกครองด้วยระบบสหพันธรัฐ นโยบายด้านการศึกษาเป็นเรื่องของแต่ละรัฐตัดสินใจเอง จึงอาจมีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกับที่เขียนเล่านี้บ้างนะคะ
.........
ระบบการศึกษาของเยอรมนี แบ่งเป็นคร่าวๆ ได้ดังนี้
๑ ก่อนอนุบาล (Kindertagesstätte/ Krippe) เหมือนกับ เนิร์สเซอรี่ ที่ไทย รับดูแลเด็กตั้งแต่ ๑ - ๓ ขวบ ไม่มีการเรียนการสอนวิชาการ แต่จะดูแลพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็ก
ส่วนใหญ่แล้วผู้ปกครองเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย โดยจะพิจารณาจากรายได้ คนรายได้น้อยจ่ายน้อย คนรายได้มากจ่ายมาก แต่อาจมีบางพื้นที่ บางรัฐ เช่น เบอร์ลิน ที่สามารถเข้าเรียนได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย(หลัก)
มีที่ให้เด็กทั้งแบบครึ่งวัน ค่อนวัน และเต็มวัน (กินอาหารกลางวันที่โรงเรียน? นอนที่โรงเรียน? อยู่ที่โรงเรียนได้จนถึง ๕ โมงเย็น)
๒ อนุบาล (Kindergarten) รับเด็กตั้งแต่ ๓ - ๕ ขวบ ยังไม่มีการสอนวิชาการ เด็กๆ จะได้วาดภาพระบายสี ต่อตัวต่อ เล่นกับเพื่อนๆ ฯลฯ
ส่วนใหญ่ผู้ปกครองเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเช่นกัน แต่ในบางเมืองอาจมีนโยบายเด็กเรียนอนุบาลได้ฟรี เช่น บาด ฮอมบวร์ก, เบอร์ลิน ฯลฯ
..........
๓ โรงเรียนประถม (Grundschule) มีชั้นป.๑ - ป.๔ เป็นการศึกษาภาคบังคับ เมื่อถึงวัยเข้าเรียนประถม (อายุครบ ๖ ปีบริบูรณ์) ผู้ปกครองจะได้รับจดหมายจากทางรัฐ แจ้งว่าลูกถึงวัยเข้าเรียนโรงเรียนประถมแล้ว โดยจะได้ไปเรียนที่โรงเรียน... ใกล้บ้าน (ขึ้นอยู่กับที่อยู่ในทะเบียนบ้าน) ผู้ปกครองไม่สามารถเลือกโรงเรียนให้ลูกได้
*ยกเว้นในกรณีที่ลูกเป็นเด็กพิเศษ ต้องการโรงเรียนที่ดูแลเด็กพิเศษโดยตรง ที่เรียกว่า Förderschule สามารถทำเรื่องแจ้งเพื่อไปเรียนยังโรงเรียนนี้ได้
การเรียนประถมนั้นฟรี ไม่มีค่าเทอม แต่จะมีค่าใช้จ่ายอุปกรณ์ต่างๆ เครื่องเขียน กระเป๋านักเรียน ฯลฯ โรงเรียนไม่มีเครื่องแบบ ไม่กำหนดทรงผม สีกระเป๋า
บางโรงเรียนอาจใช้ระบบ ป.๑ ป.๒ เรียนด้วยกัน แล้วค่อยไปแยกเมื่อถึงชั้น ป.๓ จำนวนนักเรียนต่อห้องมักไม่เกิน ๒๕ คน
ส่วนคุณภาพของโรงเรียนประถมนั้น ว่ากันว่าไม่แตกต่างกันมาก (จากประสบการณ์ส่วนตัว ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพการเรียนการสอนในระดับนี้ คือ คุณครูประจำชั้น)
การเรียนป.๑ ป.๒ มักจะยังไม่มีการบ้านและการสอบ
การสอบให้คะแนน มักเริ่มที่ชั้นป.๓ โดยถือวิชาคณิตศาสตร์และภาษาเยอรมันเป็นวิชาหลัก เพราะคะแนนจากสองวิชานี้จะถูกใช้เป็นเกณฑ์วัดว่า เด็กเหมาะสมจะเรียนในโรงเรียนแบบใดต่อไป การให้คะแนน "เน้น" ที่การตอบปากเปล่าในห้องและการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน คะแนนจากข้อสอบเป็นรอง
การเรียนที่โรงเรียนรัฐของเยอรมัน ใช้ภาษาเยอรมันเป็นหลัก มีการทดสอบภาษาของเด็กตั้งแต่ก่อนเข้าเรียน เด็กที่ภาษาเยอรมันไม่แข็งแรง จะมีชั้นเรียนเสริมให้ด้วย
หากไม่ประสงค์เรียนโรงเรียนของรัฐ ผู้ปกครองสามารถเลือกโรงเรียนเอกชนต่างๆ อาทิ โรงเรียนทางเลือก (Waldorf, Montessorri), โรงเรียนสองภาษา หรือโรงเรียนอินเตอร์ได้ ค่าใช้จ่ายอยู่ในหลักร้อยตอนปลายถึงพันกว่ายูโรต่อเดือนต่อคน ขึ้นอยู่กับรายได้ของผู้ปกครองด้วย จำนวนนักเรียนในห้องมักน้อยกว่าโรงเรียนรัฐ (ไม่ถึง ๒๐ คนต่อห้อง)
ผู้ปกครองระดับ Ultra Rich อาจเลือกส่งลูกไปโรงเรียนประจำ (Internat) ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ ๓๐๐๐ ยูโรต่อเดือน (บวกลบแล้วแต่โรง)
อนึ่ง ข้อมูลจากสำนักงานสถิติของเยอรมนี (Statistics Bundesamt) เมื่อปี ๒๐๒๒ พบว่าเด็กนักเรียนส่วนใหญ่มากของประเทศ (๙๐.๘ เปอร์เซ็นต์) เรียนในโรงเรียนภาครัฐ มีนักเรียนเพียง ๙.๘ เปอร์เซ็นต์ที่เรียนในโรงเรียนเอกชน
ทั้งนี้ แนวโน้มของจำนวนโรงเรียนเอกชน และจำนวนเด็กนักเรียนที่สมัครเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชน เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี
........
๔ โรงเรียนมัธยม เมื่อจบชั้น ป.๔ นักเรียนจะต้องไปศึกษาต่อ โรงเรียนระดับนี้แบ่งเป็น ๔ แบบ
๑) Hauptschule เรียนชั้น ๕ ไปถึงชั้น ๙ หรือ ๑๐ แล้วออกไปทำงานได้เลย แต่จะหางานยากมาก เพราะงานส่วนใหญ่ต้องการวุฒิมากกว่านี้
เด็กส่วนใหญ่ที่จบด้วยวุฒินี้ หากยังไม่ได้เรียนชั้น ๑๐ จะเรียนต่อจนจบชั้น ๑๐ แล้วนำวุฒิไปเรียนต่อใน Berufsausbildung
๒) Realschule เรียนชั้น ๕ ถึง ๑๐ หลังจากนั้นจะสามารถเลือกทำ Ausbildung คือ เรียนไปด้วย ฝึกงานไปด้วย (และได้เงินไปด้วย) หากมาสายนี้ เรียนจบแล้วมักจะได้งานเลยที่ที่บริษัทที่ฝึกงาน (การเรียนแบบนี้ เป็นต้นแบบของอาชีวะศึกษาและพาณิชยศาสตร์ที่เมืองไทยด้วย)
๓) Gymnasium เทียบได้กับสายสามัญของไทย เรียนไปจนถึงชั้น ๑๓ (มากกว่าบ้านเรา ๑ ปี) สอบผ่านก็จะเรียกว่าจบ Abitur และไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้
๔) Gesamtschule เป็นโรงเรียนที่มีโรงเรียนทุกแบบรวมกันอยู่ในนั้น บางโรงเรียนนักเรียนทั้งสามแบบเรียนรวมกัน และบางโรงเรียนนักเรียนแต่ละประเภทเรียนแยกห้องกัน แต่ใช้พื้นที่ส่วนกลางด้วยกัน
..........
การที่เด็กจะเรียนต่อในแบบไหนนั้น แต่ละรัฐของเยอรมนีมีนโยบายไม่เหมือนกัน บางรัฐครูเป็นผู้ประเมินและมีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาด บางรัฐครูเป็นผู้ประเมินและแนะนำ แต่คนตัดสินใจคนสุดท้ายคือพ่อแม่
ในอดีตการเรียนทั้งสายอาชีพและสายสามัญ/วิชาการได้รับความนิยมใกล้เคียงกัน เด็กที่ไม่ชอบเรียนวิชาการ จะเลือกเรียนสายวิชาชีพ เรียนและทำงานไปพร้อมกัน หาเงินได้เร็วกว่า
แต่ทุกวันนี้ พ่อแม่โดยมากอยากให้ลูกไปเรียนที่ Gymnasium เพราะว่าเป็นเส้นทางที่จะได้ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย มักจะได้เงินเดือนเยอะกว่า
อีกทั้งเมื่อทำงานไปแล้วพบว่า ในตำแหน่ง/สายงานเดียวกัน คนที่จบปริญญามักมีโอกาสได้เลื่อนขั้น ได้เพิ่มเงินเดือนสูงและเร็วกว่าคนที่จบเพียง Ausbildung
แม้คะแนนของเด็กหลายคนจะไม่ถึง หรือไม่เหมาะกับเรียนสายนี้ ในรัฐที่พ่อแม่เป็นผู้ตัดสินใจ พ่อแม่หลายคนก็สมัคร Gymnasium ให้ลูก หลายคนได้ที่เรียนจริงแต่เรียนไม่ไหว เมื่อจบชั้น ๖ ก็ต้องย้ายออก (บางคนไปได้ถึงชั้น ๘, ๙ ก็ต้องออกเช่นกัน) ไม่ใช่เด็กทุกคนที่เข้าไปเรียนจะสามารถเรียนจนจบได้
ในทางกลับกัน หากเด็กคนไหนผลการเรียนดีก็สามารถขยับได้ เช่น เรียน Realschule อยู่ แต่คะแนนดีมาก ก็สามารถสมัครข้ามไปเรียน Gymnasium ต่อได้
........
การศึกษาในระดับมัธยมนี้ นักเรียนสามารถเลือกโรงเรียนได้เอง รัฐไม่บังคับแล้ว
หากอยู่เมืองเล็ก เรื่องนี้จะไม่ยุ่งยากนัก เพราะไม่มีตัวเลือกมาก โรงเรียน Gymnasium อยู่ตรงไหนก็ไปตรงนั้น หากอยู่ในเมืองที่เล็กมากๆ อาจต้องเดินทางข้ามเมืองไปเรียน
แต่เมืองใหญ่ มีโรงเรียนมัธยมเป็นจำนวนมาก เด็กและผู้ปกครองต้องเลือก
ในระดับมัธยม โรงเรียนของรัฐในเยอรมนีแตกต่างกันที่จุดแข็งของโรงเรียน บางโรงเน้นวิทยาศาสตร์ บางโรงเน้นไปทางดนตรี ศิลปะ บางโรงมีจุดเด่นด้านภาษา ฯลฯ ดังนั้น ถนัด/อยากมุ่งไปทางไหน ก็ไปสมัครที่นั่น
อนึ่ง การศึกษาแค่จากหน้ากระดาษและเว็บไซต์อาจยังไม่พอ หากจะให้มั่นใจ ควรไปดูของจริง
โดยทุกโรงจะจัดให้มีวัน Tag der offenen Tür หรือ Open-House Day เปิดให้เด็กๆ และผู้ปกครองได้สัมผัสบรรยากาศของโรงเรียน ชั้นเรียน ผู้ปกครองของนักเรียนปัจจุบัน และกิจกรรมสารพัดอย่างที่มี
รวมทั้งได้ลองเดินทางไปโรงเรียนจริงๆ ได้รู้ว่าจะไปอย่างไร? จะลำบากมากในทุกเช้าหรือเปล่า? เพื่อประกอบการตัดสินใจ
ทั้งนี้ นักเรียนไม่สามารถสมัครได้ทุกโรงที่ต้องการ บางรัฐเรามีสิทธิเลือกได้ ๒ อันดับ บางรัฐ ๓ อันดับ ไม่ใช่ทุกคนจะได้ที่ในโรงเรียนที่ปรารถนา
แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่เรียน อย่างไรเสียทางรัฐก็จะจัดหาที่เรียนให้ เพียงแต่ไม่ใช่โรงเรียนที่ต้องการและอาจจะอยู่ไกลบ้านหน่อย
ส่วนวิธีการคัดเลือกนั้น โรงเรียนเป็นผู้ตัดสินใจ บางรัฐพิจารณาจากผลการเรียน บางรัฐใช้วิธีจับฉลาก
การเรียนในระดับมัธยมจะเน้นที่คะแนนสอบมากขึ้น ความสำคัญของการตอบปากเปล่าจะน้อยลงเรื่อยๆ
เมื่อขึ้นชั้น ๗ จะเริ่มมีการเลือกวิชาภาษาต่างประเทศที่ ๒ (ภาษาแรกคือ อังกฤษ เริ่มเรียนมาตั้งแต่ระดับประถมแล้ว) บางรัฐอาจเริ่มแล้วตั้งแต่ชั้น ๖
แต่ละโรงมีภาษาให้เลือกแตกต่างกัน อาทิ ฝรั่งเศส สเปน ลาติน บางโรงที่มีความพร้อมอาจมีภาษาแม่ (ตามเชื้อชาติ) ของเด็กให้เลือกเรียนได้ด้วย
...........
๕ มหาวิทยาลัย หลังจากจบ Abitur แล้ว นักเรียนอาจเลือกหยุดเรียน ๑ ปีเพื่อไปแลกเปลี่ยน หรือหาประสบการณ์ก่อนตัดสินใจสมัครเข้ามหาวิทยาลัย หรือสมัครเรียนต่อได้ทันที
ที่เยอรมนีไม่มีการสอบเอนทรานซ์ นักเรียนจะยื่นใบสมัครและคะแนนไปยังคณะที่ต้องการ แต่ละคณะมีกำหนดของตัวเองว่า วิชาอะไรต้องได้เกรดไหนบ้าง
สมัยก่อน การศึกษาในเยอรมนีไม่มีปริญญาตรี แต่จะเรียน ๕ ปี จบแล้วได้ Diplom ซึ่งเทียบเท่าปริญญาโท
แต่หลังจากประกาศใช้ Bologna Process เมื่อปี ๑๙๙๙ มีการปรับโครงสร้างการเรียนระดับอุดมศึกษาให้มีปริญญาตรี โท และเอก, มีระบบหน่วยกิตของยุโรป, ประกันคุณภาพการศึกษา หลายมหาวิทยาลัยมีโปรแกรมภาษาอังกฤษในระดับปริญญาโทมากขึ้น
เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการเรียนที่ไม่สูงนัก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ทำให้การศึกษาต่อที่เยอรมนีในระดับอุดมศึกษา ในเยอรมนีได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น
...........
ส่วนท่านที่สนใจจะย้ายกลับไปที่ประเทศไทย พร้อมลูกน้อยที่ยังเรียนอยู่ในระดับประถมและมัธยมศึกษา หรือท่านที่อยู่เมืองไทย และสนใจให้ลูกเรียนในระบบการศึกษาแบบเยอรมัน
ที่ประเทศไทย โรงเรียนที่มีหลักสูตรเยอรมันที่ได้รับการรับรอง (จบ Abitur จากโรงเรียนเหล่านี้แล้วไปต่อระดับอุดมศึกษาที่เยอรมนีได้เลย) คือ
๑) RIS Swiss Section: หลักสูตรภาษาเยอรมัน (สวิตเซอร์แลนด์) เมื่อเรียนจบ จะได้ Bilingual Matura มาตรฐาน Luzern สามารถเข้าเรียนต่อได้ทุกมหาวิทยาลัยในสวิตเซอร์แลนด์ รวมทั้ง ETHZ - มหาวิทยาลัยรัฐบาลด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตั้งอยู่ในเมืองซูริก
๒) Christian German School Chiang Mai (CDSC): หลักสูตรภาษาเยอรมัน (เยอรมนี) แบบรัฐ Thüringen (เรียน ๔+๘ ปีเป็น ๑๒ ปี เหมือนที่ไทย, สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ) จบแล้วจะได้ DIA Deutsches Internationales Abitur
...........
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อมูลที่เขียนมาข้างต้นจะเป็นประโยชน์ เสริมสร้างความเข้าใจ และช่วยประกอบการตัดสินใจของหลายๆ ท่านได้ค่ะ หากส่วนใดตกหล่น/ผิดพลาด แจ้งได้เลยนะคะ จะรีบแก้ไขให้ถูกต้องค่ะ
#ระบบการศึกษา #เยอรมนี #โรงเรียน #อนุบาล #ประถม #มัธยม #มหาวิทยาลัย