13/08/2025
"จุลพันธ์" ขึ้นแจงยิบ การตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 เพื่อชดใช้เงินคงคลังตาม พ.ร.บ. เรื่องของเงินคงคลัง 123,000 ล้านบาทเศษ ใช้อะไรบ้าง?
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รองประธานคณะกรรมมาธิการ ชี้แจงในการอภิปรายฯ ในมาตรา 6 เรื่องของงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ขออนุญาตชี้แจงทำความเข้าใจ จากที่ได้รับมอบหมายในฐานะกรรมาธิการจากสภาผู้แทนราษฎรให้ไปทำงาน สิ่งที่เราไปสอบถามก็คือเรื่องที่ท่านได้สอบถามเช่นเดียวกัน ว่ามีการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 เพื่อชดใช้เงินคงคลังตาม พ.ร.บ. เรื่องของเงินคงคลัง 123,000 ล้านบาทเศษไปใช้อะไรบ้าง ซึ่งจากการสอบซักถามและมานำเสนอเรียนต่อท่านสมาชิกทุกคนว่ามีการเบิกจ่ายเกินกว่างบประมาณที่ตั้งไว้จริง ๆ ในปี 2568 มีรายการทั้งสิ้น ดังนี้
1. งบกลางรายการเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ ขาดไปประมาณ 42,127 ล้านบาทเศษ ซึ่งมีการเบิกจ่ายเกินกว่างบประมาณที่ตั้งไว้เป็นงบประมาณค่าใช้จ่ายตามสิทธิของบุคลากรที่กฎหมายระบุไว้ ซึ่งเป็นการตั้งงบประมาณล่วงหน้า จึงพิจารณาจัดสรรให้ดูจากสถิติผลการเบิกจ่ายในปีที่ผ่านมา
2. งบกลางรายการค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ จำนวน 23,943 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นงบประมาณที่มีการเบิกจ่ายเกินกว่าที่ได้ตั้งเอาไว้
3. งบกลางรายการเงินช่วยเหลือข้าราชการลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ จำนวน 186 ล้านบาทเศษ
4. งบชำระหนี้ภาครัฐในส่วนของดอกเบี้ย จำนวน 39,719 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นไปตามภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ
5. แผนงานบุคลากรภาครัฐ จำนวน 17,000 ล้านบาทเศษ เนื่องจากมีการเบิกจ่ายเป็นไปตามสิทธิ และการขอใช้สิทธิและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงของแต่ละบุคคลซึ่งเป็นระดับจุลภาคที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ
6. การจำหน่ายเหรียญกษาปณ์ ถอนคืนและเหรียญกษาปณ์ชำรุดเพื่อนำไปยุบหลอมจำนวน 400 กว่าล้านบาทเศษ
งบกลาง ที่ตั้งเอาไว้ มีอยู่ 12 หมวด หนึ่งในนั้นเป็นเรื่องของงบสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น แต่ส่วนอื่น ๆ เช่น งบประมาณเกี่ยวกับเรื่องของการเสด็จพระราชดำเนิน การใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ค่าใช้จ่ายในเรื่องของการรักษาพยาบาล ข้าราชการลูกจ้าง ต่าง ๆ ถ้าดูชื่อแล้วก็รับทราบได้ว่าเป็นงบประมาณที่
1. ไม่มีหน่วยรับงบประมาณที่ชัดเจน
2. เป็นงบประมาณที่ไม่มีตัวเลขที่ลงแน่ชัด เพราะว่าต้องดูสถานการณ์ในรายปีว่าจะมีเหตุการณ์ที่จะมีการเบิกจ่ายเท่าไหร่ตามบุคลากรที่อาจจะเสียชีวิต หรืออาจจะต้องเบิกจ่ายในเรื่องของค่ารักษาพยาบาลตามจริง
เพราะฉะนั้นเป็นตัวเลขที่สำนักงบประมาณจะทำความตกลงกับกรมบัญชีกลาง ว่า ในแต่ละปีจะมีการตั้งงบประมาณในส่วนงบกลางเหล่านี้มากน้อยเพียงไร ซึ่งก็จะตั้งให้มีความพอเหมาะ คงจะไม่มีการตั้งงบประมาณเผื่อเพียงพอจนกระทั่งว่างบประมาณในส่วนนี้อาจจะเหลือได้ เพราะการตั้งงบประมาณ เงินทุกบาททุกสตางค์หากตั้งงบประมาณมากเกินกว่าที่จำเป็นแล้วนำไปใช้ในส่วนอื่นได้ ก็อยากที่จะนำเม็ดเงินไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดหากมีการเบิกจ่ายไม่ครบ แล้วเราปรับเปลี่ยนในส่วนนี้ไปใช้ในเรื่องของการลงทุนในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานให้กับพี่น้องประชาชนย่อมเป็นประโยชน์มากยิ่งกว่า เพราะฉะนั้นการตั้งงบประมาณอาจจะไม่ได้เพียงพอร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่แน่นอนว่า การตั้งงบประมาณปีนี้จากการสอบซักถามแล้ว ก็เชื่อว่า การที่จะต้องใช้เงินคงคลังในบางส่วนนั้น อาจจะเกิดขึ้นแต่ไม่มากเท่ากับปีที่ผ่านมา ซึ่งมีสูงถึง 120,000 กว่าล้านบาท
งบประมาณในส่วนของงบฉุกเฉินและจำเป็นปีที่แล้วตั้งไว้ทั้งสิ้น ประมาณ 96,556 ล้านบาทเศษ มีการใช้และผูกพันไปแล้ว 40,000 กว่าเกือบ 50,000 ประมาณ 40% 45% หรือ 20,000 กว่าล้านบาท
1. เป็นรายจ่ายที่เอาไปใช้เพื่อการเยียวยา หรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรง น้ำท่วม ภัยแล้ง ไฟไหม้ เหตุการณ์ปะทะชายแดน
2. เป็นรายการเพื่อใช้ในการป้องกัน หรือแก้ไขสถานการณ์อันมีผลกระทบ กับความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือความมั่นคงของรัฐอีกราว 2,000 ล้านบาท
3. เป็นของรายจ่ายที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว แต่มีจำนวนไม่เพียงพอ และมีความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐที่ต้องใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันงบประมาณโดยเร็ว อีกราว 4,500 ล้านบาทเศษ
4. รายการที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ แต่มีภารกิจที่จำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการและต้องใช้ในการใช้จ่ายและก่อหนี้ผูกพันโดยเร็วอีกราว 6,500 ล้านบาทเศษ เช่น การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 การที่เป็นรายจ่ายที่รองนายกรัฐมนตรีไปตรวจราชการในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ และรวมถึงการใช้งบประมาณสำหรับการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินตามการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน 1:4000 หรือที่เรียกว่า One Map
งบกลางเป็นการตั้งงบประมาณที่ยังไม่มีโครงการ ขึ้นกับคณะรัฐมนตรี ขึ้นกับทางนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ในการที่จะทำงานร่วมกันตามลำดับขั้น และตามอำนาจหน้าที่ในการที่จะนำงบกลางไปใช้ในวัตถุประสงค์ใด ๆ
แต่มีการสอบถามมาในเรื่องของการใช้งบกลางไปในเรื่องของช่วยชาวนาได้หรือไม่ เช่น โครงการไร่ละ 1,000 ก็เป็นโครงการที่ทางคณะรัฐมนตรีได้มีดำริที่จะเดินหน้าในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ชาวนา แต่แหล่งเงินที่จะนำมาใช้ไม่ใช่ในส่วนของงบกลาง เพราะโครงการไร่ละ1,000 เป็นโครงการที่ดำเนินการตามนโยบายที่เรียกว่ากึ่งการคลัง ใช้งบประมาณจากรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ดำเนินการในการดำเนินการไปก่อน คือมาตรา 28
ในส่วนของการชดเชยอื่น ๆ เช่น การไปชดเชยกับทหารที่ประสบเหตุเสียชีวิต และอาจจะทุพพลภาพ จากเหตุการณ์ปะทะชายแดน คณะรัฐมนตรีได้มีการอนุมัติเงินงบประมาณไปแล้วประมาณ 300 ล้านบาท สำหรับการไปชดเชยสำหรับผู้ที่เสียชีวิต บาดเจ็บ ซึ่งมีการดำเนินการผ่านทางคณะรัฐมนตรี เป็นงบกลางในปี 2568 ส่วนจะสามารถดำเนินการไปยังกลุ่มอื่น ๆ ขออนุญาตรับข้อสังเกตเพื่อที่จะนำไปปรึกษาหารือกับทางคณะรัฐมนตรี
ประเด็นสุดท้าย มีการอภิปรายในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายในปี 2568 ผมได้ชี้แจงไปในมาตรา 4 ในบางส่วนแล้ว
1. มาตรา 144 พูดถึงการที่ไม่ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแปรญัตติเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวน แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่าย ซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ 1) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ 2) ดอกเบี้ยเงินกู้ 3) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย โดยรายการส่งใช้ต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเงินกู้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่งจะปรากฏอยู่ใน พ.ร.บ.งบประมาณฯ หมวด 7 งบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระหนี้ภาครัฐ มาตรา 40 ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน ในส่วนของการดำเนินการตามรายจ่ายชดเชยตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ หมายถึง งบประมาณรายจ่ายที่ตั้งให้ เนื่องจากรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการที่รัฐบาลได้มอบหมายให้หน่วยงานของรัฐดำเนินกิจกรรมมาตรการหรือโครงการ จึงเป็นงบประมาณที่เสนอ ตั้งอยู่ในมาตรา 29 ของ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 ไม่ใช่ส่วนของรายจ่ายสำหรับแผนบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ ตามมาตรา 40 แห่ง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีแต่อย่างใด
ส่วนการสงวนความเห็น และการสงวนคำแปรญัตติของเพื่อนสมาชิกทุกท่านนั้นกรรมาธิการเสียงข้างมากยืนในร่างที่ทางกรรมาธิการได้มีความเห็นไว้
#อภิปรายงบ69