หุ้นจงปัง

หุ้นจงปัง today is difficult. tomorrow is much more difficult. the day after tomorrow is beautiful. most people die tomorrow evening .

วันนี้ผมอยากจะมาแชร์ปสก.ทำโรบอทเทรด ให้ทุกคนที่สนใจ ลองไปตัดสินใจกันครับว่าถ้าอยากทำโรบอท จะเริ่มจากโปรแกรมไหนดีก่อนอื่น...
17/10/2025

วันนี้ผมอยากจะมาแชร์ปสก.ทำโรบอทเทรด ให้ทุกคนที่สนใจ ลองไปตัดสินใจกันครับว่าถ้าอยากทำโรบอท จะเริ่มจากโปรแกรมไหนดี

ก่อนอื่นเลย โรบอทเทรดในที่นี้ นิยามคือ การที่สร้างระบบเทรดขึ้นมา แล้วให้ระบบส่งคำสั่งอัตโนมัติ
ซึ่งจริงๆ มีหลายโปรแกรมมากที่ทำได้ เช่น amibriker VBA MT4 MT5 python และอื่นๆ

แต่จะมีปัญหาสุดคลาสสิคที่ผม และคนอื่นๆน่าจะเจอกัน คือ ข้อมูล นั่นเอง หลายๆครั้งเวลาที่ทำระบบเทรด การขาดข้อมูลไปก็จะทำได้ยาก เหมือนการมีห้องทำอาหาร อุปกรณ์ไรมีหมดเลย แต่ไม่มีวัตถุดิบ มันก็สร้างอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นถ้าโปรแกรมไหนไม่มีข้อมูลให้ต้องจ่ายตังเพิ่มถึงจะได้ข้อมูลมา

ผมขอเหมารวมเลยแล้วกัน คนส่วนใหญ่ที่มักสร้างโรบอท มักจะเป็นสายเทคนิคอล เนี่ยแหละครับ ข้อมูลที่ใช้ก็มักจะเป็นพวก open high low close volume ส่วนใครที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกขึ้น เช่น bid offer หรือพวกงบการเงิน อาจจะต้อเสียเงินเพิ่ม หรือต้องดิ้นรนหาข้อมูลเอง โดยการต่อ API อีกที

🌟ดังนั้นจะเริ่มใช้โปรแกรมอะไร ก็ให้ดูด้วยว่าเป้าหมายเราจะเอาไปทำอะไร 🌟

🌱มาเริ่มกันที่ MT5
เกริ่นก่อนว่าตอนแรก ผมได้ฝึกการเขียน MT4 ก่อน เนื่องจากภาษามันตายแล้ว และมีคนสอนเยอะ เพราะมีมานาน ตอนนั้นไปดูจากยูทูปเอา แล้วเห็นว่ามีคนสอน mt4 เยอะกว่า mt5 ก็เลยเรียนจากนี่ก่อน

แต่พอเวลาผ่านไป เริ่มมาใช้ MT5 ปุ้ป โอ้โห้ เปลี่ยนโลก มันทำอะไรได้มากกว่า MT4 เยอะมาก แถมภาษาการเขียนบางส่วนได้ต่างไปด้วย ถ้าให้เลือกระหว่าง MT4 MT5 ผมเชียร์ MT5 ครับ

🌱ข้อดีที่ผมชอบ
-เขียนระบบเทรดปุ้ปสามารถนำมา BACK TEST ได้ทันทีเลย และทำ optimization ได้ด้วย ต่างจาก MT4 จะทำไม่ได้
-พอ optimal เสร็จ ก็เอามาติดตั้งใช้งานจริงได้ทันทีอีก ซึ่งจะมีการเก็บ stat ข้อมูลที่ละเอียดกว่า MT4
-ผมแอบไปสอบถามมา พวก quant หลายคนก็ยังใช้ และวาง bot ใน MT5 อยู่ ซึ่งจะมีคนเขียนระบบเทรด และอินดิเคเตอร์มากมายที่เราสามารถเอามาใช้งานได้
-มีฟังก์ชั่นเรียกอินดิเคเตอร์ และที่นิยมใช้มาให้แล้ว ไม่ต้องสร้างเอง

🌱ข้อเสีย
-ข้อมูลขึ้นอยู่กับโบรคที่ต่อ ซึ่งมักไม่มีข้อมูลงบการเงินให้
-ทำโมเดลสถิติระดับสูงยาก สู้ไปใช้ python ตั้งแต่แรกเลยจะดีกว่า
-เวลาตอน back test กับตอนทดสอบจริง เวลาเข้าออเดอร์จะแลปกันนิดหน่อย ถ้าใครสายกินสเปด ทำได้ยาก

🌱เหมาะกับใคร
เหมาะกับคนที่ไม่ได้ต้องการสร้างระบบที่ซับซ้อนมากนัก และครบจบในที่เดียว เช่น ระบบที่ใช้ rsi sto เป็นแกนหลักในการสร้างระบบเทรด หรือเอาไปวาง grid งี้ก็พอแล้ว

✨ส่วน python
เริ่มมาจากว่าผมอยากจะจำลองการการระบบเทรด โดยดึงงบการเงินเข้ามาใช้ด้วย แต่สุดท้ายปัดตกไป เพราะมันเริ่มต้องใช้เงินซื้อข้อมูล

✨ข้อดี
-สามารถเชื่อมต่อ API ส่งคำสั่ง ดึงข้อมูลต่างๆได้ดี
-มีคนสอน python เยอะเหมือนกัน แต่ถ้าสร้างระบบเทรดจะน้อยลงมาอีก
-เอาข้อมูลบางอย่าง ไปทำโมเดลคณิตได้ เอามาใช้ในการเทรด machine learning ต่างๆ
-เอามาสร้างระบบเทรดที่ซับซ้อนได้ เช่นการทำ arbitrage
-สามารถเอาข้อมูลมากกว่า ohlcv มาคำนวณได้
-เชื่อมไปเทรดอื่นๆได้เยอะ เช่น หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ forex คริปโต

✨ข้อเสีย
-ควรมีพื้นฐานเขียนโค้ดมาระดับหนึ่ง ถ้ามาแบบไม่รู้อะไรเลย จะเรียนรู้ช้ากว่า
-ต้องเข้าใจพื้นฐานที่ชัดเจนว่าแต่ละอย่างคำนวณยังไง เพราะเราต้องสร้างเอง
-เวลารันบอทจะใช้พื้นที่เยอะกว่า มีหลายขั้นตอน หลายโปรแกรม เวลาว่างบน VPS จะทำงานหนักกว่า MT5 เพียวๆ
-ไม่มีระบบ optimization ให้ แต่เราสามารถทำ monte carlo simulation ได้555
-สามารถเก็บข้อมูลที่ละเอียดกว่าได้เช่น bid offer เพราะปกติ bid offer ข้อมูลต่อ 1 วินาที มีหลายตัว และมันจะเป็นภาระ

✨เหมาะกับใคร
คนที่มีพื้นฐานเขียนโค้ดบ้างแล้ว ไม่ก็คนที่ต้องการเรียนรู้แล้วเอาไปต่อยอดสูงๆได้ เรียนครั้งเดียวใช้ได้ตลอด

ในโพสต์นี้ผมได้รวบรวม 40 ปัญหาที่เทรดเดอร์มักเจอ รวมถึงปัญหาที่ผมเองก็เคยเจอมา ไม่ว่าจะเป็นการเทรดตามอารมณ์, Overtrade, ...
15/10/2025

ในโพสต์นี้ผมได้รวบรวม 40 ปัญหาที่เทรดเดอร์มักเจอ รวมถึงปัญหาที่ผมเองก็เคยเจอมา ไม่ว่าจะเป็นการเทรดตามอารมณ์, Overtrade, หรือระบบที่ไม่เหมาะกับสไตล์ตัวเอง

😓ผมอยากให้ทุกคนได้เห็นว่า… คุณไม่ได้เทรดพังคนเดียว
หลายครั้งที่พอร์ตพังไม่ใช่เพราะคุณ “เก่งไม่พอ” แต่เพราะ ระบบยังไม่ชัด, ความเสี่ยงยังไม่ถูกจัดการ, หรือจิตใจยังไม่ได้คุมพอร์ตให้รอด

จากประสบการณ์ของผมเอง สิ่งที่ช่วยให้กลับมาเทรดได้มั่นใจคือ

🌟รู้ตัวว่าเกิดปัญหาอะไร: บางครั้งเราคิดว่าพอร์ตพังเพราะตลาด แต่จริง ๆ อาจเป็นเพราะเราละเมิดกฎของตัวเอง

🌟มีวิธีแก้ฉับไว: ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ แต่สามารถปรับ Risk, TP, SL หรือระบบให้เหมาะกับสไตล์เราได้เลย

🌟เห็นภาพรวมของระบบตัวเอง: เข้าใจ Mindset + System + Risk + Ex*****on ว่าขาดตรงไหนก็แก้ได้ตรงจุด

โพสต์นี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่ยังงง ๆ กับกราฟ หรือเทรดเดอร์ที่เคยขาดทุนซ้ำ ๆ

💡 อ่านแล้วคุณจะได้:

รู้ปัญหายอดฮิตที่มักทำให้พอร์ตพัง

มีแนวทางแก้ปัญหาแบบเร่งด่วน

เข้าใจว่าการเทรดไม่ใช่เรื่องโชค แต่คือระบบ + วินัย + การจัดการความเสี่ยง

ท้ายที่สุด… ทุกปัญหามีทางแก้
แค่คุณรู้จักมัน และลงมือปรับให้ถูกจุด พอร์ตของคุณก็จะนิ่งขึ้น กำไรก็ชัดขึ้น และเทรดได้มั่นใจขึ้นทุกวัน 💪

เอาจริงหลังๆพอทำบอทเป็น ผมก็ขี้เกียจ กดออเดอร์แล้วครับ555 ตอนนี้กำลังหัดทำ pair trade อยู่ครับ ตอนแรกผมทำใน MT5 อยู่ ตอน...
08/10/2025

เอาจริงหลังๆพอทำบอทเป็น ผมก็ขี้เกียจ กดออเดอร์แล้วครับ555
ตอนนี้กำลังหัดทำ pair trade อยู่ครับ ตอนแรกผมทำใน MT5 อยู่ ตอนนี้เริ่มเอา python มาส่งคำสั่งให้แล้วครับ ยังมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ถ้าเสร็จก็ขอพักร่างก่อนแล้วกัน แล้วค่อยไปลุย IBKR ต่อ เปิดโปรเจคมานาน ช่วงนี้หลุดโฟกัสบ่อยมากครับ อยากทำหลายอย่าง มันเลยไม่สุดสักอย่าง🥲

🪙ราคาทองคำโลกตอนนี้พุ่งทะลุระดับ $4000 แล้วนะครับ ถือว่าทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องในรอบหลายปี และมีแนวโน้มไปต่อถึง $4,100 ก่...
08/10/2025

🪙ราคาทองคำโลกตอนนี้พุ่งทะลุระดับ $4000 แล้วนะครับ ถือว่าทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องในรอบหลายปี และมีแนวโน้มไปต่อถึง $4,100 ก่อนจบปี 2026 ด้วย

หลายๆคนเวลาจะลงทุนในทอง ETF FUTURE น้อยคนนักจะนึกถึงหุ้นทองคำ แต่จริงๆแล้วหุ้นกลุ่มนี้ถ้าเลือกดี เราอาจจะจะได้เจอหุ้นที่ราคาถูกกว่ามูลค่าได้ เพราะธุรกิจนี้มีทองอยู่ ถ้าเราประเมินมูลค่าหุ้นทองแล้ว ราคากระดานต่ำกว่ามูลค่าจริง เราอาจจะพิจารณาซื้อหุ้นได้

โดยหุ้นที่น่าสนใจ มีทั้งบริษัทเหมืองทอง ขุดเอง และแบบ Royalty/Streaming เป็นอีกช่องทางที่น่าสนใจ เพราะสะท้อนกำไรจากทองคำโดยตรงและให้ผลตอบแทนดีเมื่อทองขึ้น

รวมถึงอาจจะเอาหุ้นไปทำ pair trade ได้ด้วยโดยการซื้อ spot แล้ว short ฟิวทอง

💎 หุ้นเหมืองทอง (Gold Miners)
-🌱Newmont Corporation (NEM)
จุดเด่น: เหมืองใหญ่ที่สุดในโลก, กระจายภูมิภาค, cash flow แข็งแรง, debt ต่ำ
จุดด้อย/ความเสี่ยง: Production ผันผวน, ขึ้นอยู่กับราคาทอง+ทองแดง, integration risk
-🌱Barrick Gold Corporation (GOLD)
จุดเด่น: Portfolio กว้าง, มีทอง+ทองแดง, joint venture กับ Newmont, รายได้มั่นคง
จุดด้อย/ความเสี่ยง: Production ไม่สม่ำเสมอ, Political/regulatory risk, ต้นทุนแรง
-🌱Agnico Eagle Mines (AEM)
จุดเด่น: Margin ดี, cash flow แข็งแรง, risk profile ต่ำ, pipeline โครงการน่าสนใจ
จุดด้อย/ความเสี่ยง: Valuation สูง, project ex*****on risk, ขึ้นอยู่กับราคาทอง
-🌱Kinross Gold (KGC)
จุดเด่น: Valuation ถูกกว่า peer → upside สูง, exposure หลายประเทศ, credit rating BBB
จุดด้อย/ความเสี่ยง: Sensitivity สูงต่อราคาทอง, political/regulatory risk, production uncertainty
🌱AngloGold Ashanti (AU)
จุดเด่น: Portfolio หลายภูมิภาค, Upside ถ้า operation ดีขึ้น
จุดด้อย/ความเสี่ยง: Political/security risk สูง, ต้นทุนสูง, ผลประกอบการไม่สม่ำเสมอ

⚒️ หุ้น Royalty & Streaming
-🌱Franco-Nevada (FNV)
จุดเด่น: เจ้าพ่อสาย Royalty, margin สูง, cash flow แข็งแรง, debt ต่ำ
จุดด้อย/ความเสี่ยง: Valuation สูง, ขึ้นอยู่กับ performance ของเหมืองที่ลงทุน
-🌱Wheaton Precious Metals (WPM)
จุดเด่น: มีสัญญา streaming หลายเหมือง → diversification, predictable revenue
จุดด้อย/ความเสี่ยง: Valuation สูง, ขึ้นอยู่กับเหมือง partner, contract renewal risk
-🌱Royal Gold (RGLD)
จุดเด่น: รุ่นเก๋าในตลาด, revenue stable, portfolio กระจาย
จุดด้อย/ความเสี่ยง: Valuation สูง, ขึ้นอยู่กับเหมือง partner, contract renewal risk

📈 โอกาสจากราคาทองที่พุ่งขึ้น
-รายได้ของบริษัทเหมืองทองและ Royalty เพิ่มขึ้นตามราคาทอง
-การจ่ายเงินปันผลสูงขึ้น
-ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตามทอง

⚠️ ความเสี่ยงที่ต้องระวัง
-ความผันผวนของราคาทอง
-ต้นทุนการผลิตสูง → กด margin
-Political/regulatory risk ในประเทศที่มีเหมือง
-Contract renewal risk สำหรับ Royalty/Streaming

🧭 กลยุทธ์การลงทุน
-กระจายการลงทุน: ลงทุนทั้ง miners และ Royalty/Streaming
-ติดตามข่าวสาร: ราคาทอง, ผลประกอบการ, ข้อตกลงใหม่
-ลงทุนระยะยาว: ถือยาวเพื่อรับประโยชน์จาก trend ราคาทอง

วันก่อนผมเห็นทวิตของคุณ Shay Boloor โพสเกี่ยวกับการเอาหุ่นยนต์มารวมกับภาคธุรกิจ ซึ่งกำลังกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ของเศรษฐกิจ...
06/10/2025

วันก่อนผมเห็นทวิตของคุณ Shay Boloor โพสเกี่ยวกับการเอาหุ่นยนต์มารวมกับภาคธุรกิจ ซึ่งกำลังกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ของเศรษฐกิจยุค AI เพราะหุ่นยนต์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโรงงานอีกต่อไป แต่เริ่มกระจายเข้าสู่ทุกอุตสาหกรรม — ตั้งแต่การแพทย์ การขนส่ง ไปจนถึงการป้องกันประเทศ

เพื่อเป็นการต่อยอด ผมเลยอยากจะมาแชร์ว่าแต่ละตัวทำอะไร

🤖 1. Robot Automation — หัวใจของโรงงานอัจฉริยะ
บริษัทในกลุ่มนี้คือผู้พัฒนา “สมองและระบบควบคุม” ของเครื่องจักรอัตโนมัติ เช่น
-Rockwell Automation (ROK): ระบบควบคุมการผลิตในโรงงาน
-Zebra Technologies (ZBRA): ระบบติดตามสินค้าและ RFID
-Cognex (CGNX): Machine vision ตรวจสอบคุณภาพสินค้า
-UiPath (PATH) และ Pegasystems (PEGA): ซอฟต์แวร์ RPA สำหรับงานเอกสารและ workflow automation

นี่คือกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังคำว่า “Smart Factory” อย่างแท้จริง

🏥 2. Medical Robots — หุ่นยนต์ที่รักษาชีวิตคน
เทคโนโลยีหุ่นยนต์ในสายการแพทย์โตเร็วมาก โดยเฉพาะในยุคที่ขาดบุคลากรทางสุขภาพ
-Intuitive Surgical (ISRG) และ Stryker (SYK): ผู้นำหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด
-Medtronic (MDT): อุปกรณ์ฝังในร่างกาย เช่น pacemaker
-Omnicell (OMCL): ระบบจัดยาอัตโนมัติในโรงพยาบาล
-PROCEPT BioRobotics (PRCT): หุ่นยนต์ผ่าตัดต่อมลูกหมากเฉพาะทาง

🛡️ 3. Defense Robots — หุ่นยนต์ในสมรภูมิ
ภาคการทหารเป็นหนึ่งในผู้ใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติรายใหญ่ที่สุดในโลก
-Lockheed Martin (LMT), Northrop Grumman (NOC), RTX Corp (RTX) และ General -Dynamics (GD): ยักษ์ใหญ่ด้านอาวุธและระบบอัตโนมัติ
-AeroVironment (AVAV) และ Kratos Defense (KTOS): ผู้พัฒนาโดรนทางทหาร
-Teledyne (TDY) และ Elbit Systems (ESLT): ระบบ sensor และหุ่นยนต์ตรวจการณ์

ในยุคสงครามเทคโนโลยี หุ่นยนต์กลายเป็น “อาวุธยุคใหม่” ที่เปลี่ยนเกมการรบไปโดยสิ้นเชิง
💻 4. Robot Software — สมองของหุ่นยนต์
ซอฟต์แวร์คือหัวใจสำคัญของหุ่นยนต์ยุคใหม่
-Nvidia (NVDA): ชิป GPU สำหรับ AI และ machine learning
-PTC Inc (PTC): ซอฟต์แวร์ CAD และ IoT สำหรับโรงงาน
-Qualcomm (QCOM): ชิปเชื่อมต่อและ AI edge computing
-Paladin AI (PDYN): ซอฟต์แวร์ AI สำหรับระบบอัตโนมัติ

🚚 5. Logistics Robots — แรงงานในคลังสินค้า
ภาคโลจิสติกส์คือหนึ่งในผู้ใช้หุ่นยนต์มากที่สุดในโลก
-Amazon (AMZN): ใช้หุ่นยนต์จัดสินค้าใน fulfillment center
-Symbotic (SYM): หุ่นยนต์อัตโนมัติที่ Walmart ลงทุนใช้
-Serve Robotics (SERV): หุ่นยนต์ส่งอาหารในเมือง
-ATS Corp (ATS): ระบบ automation สำหรับการขนส่งและการผลิต

⚙️ 6. Industrial Robots — หุ่นยนต์โรงงานระดับหนัก
-Tesla (TSLA): หุ่นยนต์ประกอบรถยนต์และ humanoid “Optimus”
-Honeywell (HON): ระบบควบคุมในอุตสาหกรรมพลังงาน
-Teradyne (TER): เจ้าของ Universal Robots — ผู้นำในตลาด “collaborative robot”
-Lincoln Electric (LECO): หุ่นยนต์เชื่อมโลหะอัตโนมัติ

🧰 7. Professional Robots — หุ่นยนต์เฉพาะทาง
-Oceaneering International (OII): หุ่นยนต์ใต้น้ำ (ROV) สำหรับงานน้ำมัน
-Faro Technologies (FARO): 3D laser scanning และ mapping สำหรับอุตสาหกรรม

🧹 8. Service Robots — หุ่นยนต์บริการ
-Richtech Robotics (RR): หุ่นยนต์เสิร์ฟอาหาร ทำความสะอาด และบริการในโรงแรม

ยุคตื่นทอง หลายคนมักคิดว่าคนที่รวยคือ คนที่ขุดทอง แต่ความจริงคือ คนขายพลั่ว 💰 ต่างหาก โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ core...
02/10/2025

ยุคตื่นทอง หลายคนมักคิดว่าคนที่รวยคือ คนที่ขุดทอง แต่ความจริงคือ คนขายพลั่ว 💰 ต่างหาก โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ core บางอย่างยังเหมือนเดิมอยู่

ทุกวันนี้มันกลายเป็น ยุค Data + AI ไปแล้ว หลายคนที่กลัวตกรถ ก็มักจะไปเลือกซื้อหุ้นเหล่านี้ ซึ่งจะมีหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่คนจะมองข้ามไป คือ กลุ่มพลังงานนั่นเอง เพราะ Demand ไฟฟ้า + clean base load เพิ่มแบบ exponential กลายเป็น “พลั่วยุคใหม่” ของนักลงทุนซะงั้น

ซึ่งช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หุ้นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อเมริกาโดยเฉพาะ Constellation Energy (CEG), NuScale Power (SMR) และ Oklo (OKLO) โตแรงแบบไม่หยุด ย้อนตั้งแต่ต้นปี CEG พุ่งกว่า +43%, NuScale +104%, และ Oklo +446%

🧐ทำไมถึงเป็นแบบนี้?

1️⃣ Data Center & AI เป็นตัวเร่ง
โลกตอนนี้กำลังอยู่ในยุค AI explosion: Chat GPT, generative AI, cloud computing ต้องการ data center ใหม่เป็นพัน ๆ เมกะวัตต์
-Data center กินไฟมหาศาล — บางแห่งใช้ไฟเทียบเท่าเมืองเล็ก ๆ
-ถ้าอยากลดคาร์บอน แต่ต้องการไฟฟ้าต่อเนื่อง (base load) nuclear คือคำตอบ ที่เสถียรและไม่ขึ้นกับสภาพอากาศเหมือน solar/wind

2️⃣ นิวเคลียร์ = Clean Baseload
นักลงทุนเริ่มเข้าใจว่า nuclear เป็น พลังงานสะอาด:
-ปล่อยคาร์บอนใกล้ศูนย์ (zero emissions)
-ผลิตไฟฟ้าเสถียรต่อเนื่อง ตอบโจทย์ demand จาก AI/data center

โลกกำลังเข้าสู่เป้า Net Zero 2050 — ทำให้ nuclear กลายเป็น “must-have energy mix” ไม่ใช่แค่ traditional utility
3️⃣ การสนับสนุนจากรัฐบาล
สหรัฐฯ มีมาตรการดัน nuclear อย่างชัดเจน:
-IRA (Inflation Reduction Act): tax credit สำหรับ nuclear
-DOE ทุ่มเงินวิจัย Small Modular Reactor (SMR)
นโยบายเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงของนักลงทุนและดัน valuation ของบริษัท nuclear tech

4️⃣ ต้นทุนพลังงานอื่นสูงและผันผวน
-Natural gas ราคาผันผวน → investor มอง nuclear เป็น safe bet
-Solar/Wind intermittent → ต้อง backup ด้วย base load → nuclear กลายเป็นตัวเลือกหลัก

5️⃣ Narrative + Hype = การเก็งกำไร
-Oklo IPO พร้อม narrative “AI x Nuclear” → ราคาพุ่งหลายร้อย %
-NuScale (SMR) ถูกเชียร์ว่า modular reactor คืออนาคต → speculation เกิด

🌱หุ้น nuclear เล่น theme AI/data center → ต้องเข้าใจทั้ง upside และความเสี่ยง:

Upside: demand ไฟฟ้าเพิ่ม, narrative clean energy, government support
Downside: tech ยังไม่ commercial, regulatory, capital intensive, ROIC ติดลบ

🌟สุดท้ายนี้มองว่านิวเคลียร์ไม่ได้กลับมาแค่เพราะราคาพลังงาน — แต่ AI + Data Center คือ trigger ใหม่ที่ทำให้ราคา utility / nuclear tech โตแบบเร็วและแรงนั่นเอง

เอาจริงก็แอบดีใจเหมือนกันนะเนี่ยที่มีคนสนใจอิดิเคเตอร์ กับระบบเทรดที่ผมเขียนไว้ ซึ่งไม่ได้โปรโมทที่ไหน เพราะเอาไว้ให้แค่...
29/09/2025

เอาจริงก็แอบดีใจเหมือนกันนะเนี่ยที่มีคนสนใจอิดิเคเตอร์ กับระบบเทรดที่ผมเขียนไว้ ซึ่งไม่ได้โปรโมทที่ไหน เพราะเอาไว้ให้แค่คนพิเศษจริงๆ แต่คนยังหาเจอจนได้เฉยเลย5555

อย่าตามหาเลยนะครับ🫠 คือจริงๆผมก็อยากล็อคไว้แหละ แต่มันต้องเป็นสมาชิคโปรขึ้นไป ซึ่งผมไม่มีตังครับ555

ใครเห็นแล้วสงสาร หรืออยากเป็นกำลังใจให้ก็โอนเงินมาได้นะครับ🥰

🌟พอร์ตที่ดี ไม่ใช่แค่ถือหุ้นดี🌟นักลงทุนหลายคนเข้าใจว่า ถ้าเลือกซื้อแต่หุ้นดีๆ พอร์ตจะดีเองโดยอัตโนมัติ แต่ความจริงแล้ว “...
26/09/2025

🌟พอร์ตที่ดี ไม่ใช่แค่ถือหุ้นดี🌟

นักลงทุนหลายคนเข้าใจว่า ถ้าเลือกซื้อแต่หุ้นดีๆ พอร์ตจะดีเองโดยอัตโนมัติ แต่ความจริงแล้ว “หุ้นดี” ≠ “พอร์ตดี” เสมอไป

การมีพอร์ตที่ดี ต้องมองมากกว่าแค่คุณภาพของหุ้นแต่ละตัว แต่รวมถึงภาพรวมทั้งพอร์ตด้วย
✅ 5 เช็คลิสต์พอร์ตดี

🌱1. หุ้นดี (Quality)
หุ้นดีไม่ใช่แค่ชื่อดัง แต่ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเลข:

-ROE > 15% ต่อเนื่อง 5–10 ปี
-Gross Margin/Operating Margin สูงและคงที่ (ยิ่งแสดงถึง moat)
-Free Cash Flow / Net Income ≥ 1 (บอกว่ากำไรเป็นเงินจริง ไม่ใช่แค่ตัวเลขบัญชี)
-Debt/Equity < 1 (เว้นธุรกิจที่ต้องการ leverage เช่น ธนาคาร)
-มี Economic Moat เช่น brand power, network effect, switching cost

🌱2. ซื้อที่ราคาที่เหมาะสม (Valuation)
หุ้นดีแต่ซื้อแพง = ผลตอบแทนต่ำ

-P/E: เทียบกับค่าเฉลี่ย sector (เช่น Tech > 25x อาจแพง)
-PEG ≤ 1: บอกว่าราคาเทียบการเติบโตยังสมเหตุสมผล
-DCF: ใช้ WACC ปรับลดกระแสเงินสด → ต้องต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง 20–30% (Margin of Safety)
-EV/EBITDA: ใช้เปรียบเทียบบริษัทใน sector เดียวกัน

🌱3. กระจายความเสี่ยง (Diversification)
Sector Allocation: หุ้น sector เดียวไม่ควรเกิน 30–40%

Geographic Diversification: มีทั้ง Developed (US, EU) + Emerging (Asia)

Asset Class Mix (ตัวอย่างนักลงทุนทั่วไป Risk Balanced):
-Equity: 60%
-Bond: 20%
-Alternative (ทอง, REIT, Commodity): 10%
-Cash: 10%

Correlation Analysis: ใช้ค่า ρ (rho) วัดความสัมพันธ์ เช่น หุ้น + ทองมักเป็น negative correlation → ลด drawdown ได้

🌱4. สอดคล้องกับเป้าหมาย (Goal Alignment)
Time Horizon:
-เป้าเกษียณ 20–30 ปี → ใช้ Equity 70–80% ได้
-เป้าใช้เงิน 3–5 ปี → ควรมี Bond/Cash ≥ 50%

Risk Tolerance:
-ถ้ารับ drawdown ได้ไม่เกิน -15% → ต้อง balance equity น้อยกว่าคนที่รับได้ -40%

Expected Return vs Requirement:
-ต้องการ 8%/ปี แต่พอร์ตจัดจริงให้ได้แค่ 4%/ปี → เป้าไม่ match ต้องปรับ

🌱5. จัดการความเสี่ยง (Risk Management)
-Cash Buffer: 3–6 เดือนค่าใช้จ่ายจริง แยกจากเงินลงทุน
-Position Sizing: ไม่เกิน 10% ต่อหุ้น, ไม่เกิน 25% ต่อ sector
-Rebalancing: ทุก 6–12 เดือน หรือเมื่อ asset class แกว่งเกิน ±5% จากแผน
-Stress Test: จำลองพอร์ตในสถานการณ์สุดโต่ง เช่น หุ้น -30%, ดอกเบี้ยขึ้น 2% เพื่อดูว่าอยู่รอดได้มั้ย
-Max Drawdown Control: พอร์ตที่ดีควรควบคุม drawdown < 25–30%

💡 “การเลือกหุ้นดีๆ คือก้าวแรก แต่การสร้างพอร์ตที่ดีคือเส้นชัย”

หุ้นดีซื้อแพงก็เจ็บ พอร์ตที่ไม่มีการกระจายก็เสี่ยง
สุดท้าย พอร์ตที่ดี = พอร์ตที่ดี = หุ้นดี + ราคาที่เหมาะสม + การกระจาย + เป้าหมายชัด + บริหารความเสี่ยง 🚀

โลกธุรกิจไม่เคยอยู่กับที่ 📈 บริษัทไหนไม่ปรับตัวก็อาจตายได้ บริษัทไหนที่กล้าเปลี่ยนตัวเองก่อน ย่อมมีโอกาสโตอีกมหาศาล ในขณ...
24/09/2025

โลกธุรกิจไม่เคยอยู่กับที่ 📈 บริษัทไหนไม่ปรับตัวก็อาจตายได้ บริษัทไหนที่กล้าเปลี่ยนตัวเองก่อน ย่อมมีโอกาสโตอีกมหาศาล

ในขณะเดียวกันก็ ถ้ามีบริษัทไหนที่ไม่ยอม เปลี่ยน หรือตัดสินใจช้าก็อาจจะล้มละลายไปเลยก็ได้

วันนี้ผมอยากยกตัวอย่างหุ้นที่สามารถ Pivot เปลี่ยนธุรกิจมาแล้วปัง กับ Pivot มาแล้วแป๊กให้อ่านกันครับ

🌟เริ่มจากตัวอย่างหุ้น Pivot สำเร็จ
😆1. Amazon (AMZN)
เดิม: ร้านขายหนังสือออนไลน์ (1995–1999)
Pivot: ขยายสินค้าเป็น Everything Store (2000–2006) → ทำ AWS Cloud (2006–ปัจจุบัน)
ผลลัพธ์: จากร้านหนังสือเล็ก ๆ → กลายเป็น e-commerce + cloud ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

😆2. Netflix (NFLX)
เดิม: เช่า DVD ทางไปรษณีย์ (1997–2007)
Pivot: Streaming online (2007–2013) → Original content (2013–ปัจจุบัน)
ผลลัพธ์: จากบริการส่งหนังทางไปรษณีย์ → Global entertainment giant

😆3. Salesforce (CRM)
เดิม: CRM software แบบ SaaS (1999–2005)
Pivot: Ecosystem + AppExchange → AI + Analytics (2015–ปัจจุบัน)
ผลลัพธ์: จากซอฟต์แวร์ CRM สำหรับทีม SALES → Leader ของ enterprise SaaS

😆4. NVIDIA (NVDA)
เดิม: การ์ดจอเกม (1993–2006)
Pivot: GPU general computing → AI + Data Center (2016–ปัจจุบัน)
ผลลัพธ์: จาก niche การ์ดจอ ของเหล่า gaming → Backbone ของ AI industry

😆5. Disney (DIS)
เดิม: ธีมปาร์ค + หนังโรง (1923–2005)
Pivot: ขยาย IP, ซื้อ Pixar/Marvel/Lucasfilm → Disney+ Streaming (2019–ปัจจุบัน)
ผลลัพธ์: จากหนัง การ์ตูน และสวนสนุก → เพิ่มธุรกิจอย่าง streaming กลายเป็น competitor ใหญ่ ตีตลาดกับ Netflix

🌟ส่วนตัวอย่างหุ้น Pivot ล้มเหลว
😭1. Kodak
เดิม: ฟิล์มกล้อง, อุปกรณ์ถ่ายภาพ
Pivot: เคยคิดค้นกล้องดิจิทัล แต่ไม่กล้าลงทุนจริง ตัดสินใจช้า
ผลลัพธ์: กล้องดิจิทัลโตจริง → Kodak สูญเสียตลาดหลัก

😭2. Blockbuster
เดิม: เช่าวิดีโอ / DVD
Pivot: Online rental + streaming (ช้าเกินไป)
ผลลัพธ์: Netflix ชนะขาด → ล้มละลาย

😭3. Yahoo!
เดิม: Web portal + Search
Pivot: พยายามทำ email, news, social แต่ไม่ชัดเจน
ผลลัพธ์: พลาดดีล Google & Facebook → สูญเสียความเป็นผู้นำ

😭4. BlackBerry
เดิม: มือถือ QWERTY + security
Pivot: Software & services
ผลลัพธ์: ไม่สู้ iPhone/Android → สูญเสีย core market

📌 สรุป:
Pivot สำเร็จ = กล้าเปลี่ยน, มีวิสัยทัศน์, ทำเร็ว, สร้าง ecosystem
Pivot ล้มเหลว = กลัว disrupt ตัวเอง, ช้า, หรือไม่ชัดเจน

ซีรี่ส์ grid ตอนใหม่มาแล้วนะครับ เป็นการสอนใช้งาน grid 2 direction ครับใครที่สนใจใช้งาน grid สามารถลงทะเบียนไว้ได้เลยนะค...
24/09/2025

ซีรี่ส์ grid ตอนใหม่มาแล้วนะครับ เป็นการสอนใช้งาน grid 2 direction ครับ
ใครที่สนใจใช้งาน grid สามารถลงทะเบียนไว้ได้เลยนะครับ ลิ้งอยู่ใต้คอมเม้นต์ครับ

ใครที่สนใจเรื่องการลงทุนแบบไม่เครียด ผมแนะนำช่องยูทูปนี้เลยครับ 🆙🌟" ลงทุนศาสตร์ " ของพี่เบส กับรายการที่มีชื่อว่า " what...
23/09/2025

ใครที่สนใจเรื่องการลงทุนแบบไม่เครียด ผมแนะนำช่องยูทูปนี้เลยครับ 🆙🌟
" ลงทุนศาสตร์ " ของพี่เบส กับรายการที่มีชื่อว่า " what makes the rich rich ทำไมรวย "

เป็นรายการที่เราจะมานั่งฟังพี่แสตมป์ เล่าเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการลงทุนให้ฟังกัน อาจจะเกี่ยวกับธุรกิจ บริษัท หรือเป็นตัวบุคคลก็ได้ และมีพี่เบสคอยเสริม

ซึ่งผมฟังตลอดครับ อิอิ ฟังไปตลกไป แถมได้ความรู้ด้วย เสียดายที่รายการนี้มีแค่ทุกวันจันทร์ อยากฟังทุกวันเลยครับ ผมจะได้มีอะไรฟังตอนกินข้าว🤣

(สาระ)นอกจากเนื้อหาการลงทุนแล้ว ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า ไอ้คนที่คิดแนวคิดพวกนี้
เขามีพื้นฐานชีวิตเป็นแบบไหนกัน เพราะมันจะทำให้สิ่งที่เขาทำ มันดูมีมิติมากขึ้น
เช่น พื้นฐานคอรบครัวเป็นยังไง นิสัยใจคอ วิธีคิด สภาพแวดล้อมที่เกิด ช่วงเวลาที่เกิด มันจะส่งผลต่อทัศนคติของการลงทุนเขาเป็นยังไงนั่นเอง

สุดท้ายนี้ใครที่ชอบแนวนี้ลองไปฟังกันได้นะครับ ส่วนตัวผมชอบตอบ MRS. B กับ nebraska furniture mart ที่สุด 😆 ลิ้งดูอยู่ใต้คอมเม้นต์นะครับ

เวลาเราคัดหุ้น นอกจาก “กำไรโต” หรือ “ราคาถูก” อีกตัวชี้วัดที่ นักลงทุนระดับโลก ชอบใช้กันคือ👉 ROIC (Return on Invested Ca...
22/09/2025

เวลาเราคัดหุ้น นอกจาก “กำไรโต” หรือ “ราคาถูก” อีกตัวชี้วัดที่ นักลงทุนระดับโลก ชอบใช้กันคือ
👉 ROIC (Return on Invested Capital) = ผลตอบแทนที่บริษัทสร้างได้จากเงินลงทุนทั้งหมด

🔎 ROIC = บริษัทใช้เงินเก่งแค่ไหน?
ROIC บอกว่า ทุก 1 ดอลลาร์ที่บริษัทเอาไปลงทุน → ได้ผลตอบแทนกลับมากี่เซนต์
สูตรคิดคร่าว ๆ คือ

🌟ROIC=กำไรจากการดำเนินงานหลังภาษี / เงินลงทุนที่ใส่จริง🌟

-กำไรจากการดำเนินงานหลังภาษี (NOPAT)
= วัดกำไรแท้ ๆ ของธุรกิจ
-เงินลงทุนที่ใส่จริง (Invested Capital)
= เงินผู้ถือหุ้น + หนี้ – เงินสดส่วนเกิน

📈 อ่านค่ายังไง?
ROIC < 5% → อ่อนแอ คู่แข่งบี้ได้ง่าย
ROIC 5–10% → พอมีที่ยืน แต่ไม่เด่น
ROIC 10–20% → ดี มีปราการ (moat) พอสมควร
ROIC > 20% → สุดยอด แปลว่าใช้เงินลงทุนได้โคตรคุ้ม

🏰 หุ้นที่ ROIC สูงตลอด = หุ้นมี “ปราการ”
เพราะบริษัทยิ่งมี แบรนด์ / network effect / switching cost / tech ล้ำ ๆ
ก็ยิ่งรักษา ROIC สูงได้แม้มีคู่แข่ง

🌱ตัวอย่างหุ้น ROIC สูง (ข้อมูลล่าสุด):
-Apple (AAPL) → ~45-50%
-Microsoft (MSFT) → ~35-40%
-Visa (V) → ~28-30%
-ASML → ~25%

💡 ทำไม ROIC สำคัญกว่ากำไรสุทธิ
บางบริษัทกำไรดูสวย แต่ใช้เงินลงทุนบาน → ROIC ต่ำ = ไม่คุ้ม
ตรงข้าม บางบริษัทกำไรไม่ได้โตพุ่ง แต่ ROIC สูงสม่ำเสมอ = ใช้เงินโคตรมีประสิทธิภาพ

✨ สรุปสั้น ๆ
ROIC คือเครื่องวัดว่า บริษัทใช้ทุนคุ้มจริงไหม
ถ้า ROIC > WACC (ต้นทุนเงินทุน) → บริษัทกำลังสร้างมูลค่าเพิ่ม หุ้นน่าสนใจ

นักลงทุนสาย VI ก็เลยชอบคัดหุ้นที่ ROIC สูง & คงที่ → เพราะนั่นคือหุ้นที่มี “ปราการ” คอยปกป้องนั่นเองค้าบ

ที่อยู่

ดินแดง
ดินแดง

เบอร์โทรศัพท์

+66956140456

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หุ้นจงปังผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง หุ้นจงปัง:

แชร์