
22/09/2025
เวลาเราคัดหุ้น นอกจาก “กำไรโต” หรือ “ราคาถูก” อีกตัวชี้วัดที่ นักลงทุนระดับโลก ชอบใช้กันคือ
👉 ROIC (Return on Invested Capital) = ผลตอบแทนที่บริษัทสร้างได้จากเงินลงทุนทั้งหมด
🔎 ROIC = บริษัทใช้เงินเก่งแค่ไหน?
ROIC บอกว่า ทุก 1 ดอลลาร์ที่บริษัทเอาไปลงทุน → ได้ผลตอบแทนกลับมากี่เซนต์
สูตรคิดคร่าว ๆ คือ
🌟ROIC=กำไรจากการดำเนินงานหลังภาษี / เงินลงทุนที่ใส่จริง🌟
-กำไรจากการดำเนินงานหลังภาษี (NOPAT)
= วัดกำไรแท้ ๆ ของธุรกิจ
-เงินลงทุนที่ใส่จริง (Invested Capital)
= เงินผู้ถือหุ้น + หนี้ – เงินสดส่วนเกิน
📈 อ่านค่ายังไง?
ROIC < 5% → อ่อนแอ คู่แข่งบี้ได้ง่าย
ROIC 5–10% → พอมีที่ยืน แต่ไม่เด่น
ROIC 10–20% → ดี มีปราการ (moat) พอสมควร
ROIC > 20% → สุดยอด แปลว่าใช้เงินลงทุนได้โคตรคุ้ม
🏰 หุ้นที่ ROIC สูงตลอด = หุ้นมี “ปราการ”
เพราะบริษัทยิ่งมี แบรนด์ / network effect / switching cost / tech ล้ำ ๆ
ก็ยิ่งรักษา ROIC สูงได้แม้มีคู่แข่ง
🌱ตัวอย่างหุ้น ROIC สูง (ข้อมูลล่าสุด):
-Apple (AAPL) → ~45-50%
-Microsoft (MSFT) → ~35-40%
-Visa (V) → ~28-30%
-ASML → ~25%
💡 ทำไม ROIC สำคัญกว่ากำไรสุทธิ
บางบริษัทกำไรดูสวย แต่ใช้เงินลงทุนบาน → ROIC ต่ำ = ไม่คุ้ม
ตรงข้าม บางบริษัทกำไรไม่ได้โตพุ่ง แต่ ROIC สูงสม่ำเสมอ = ใช้เงินโคตรมีประสิทธิภาพ
✨ สรุปสั้น ๆ
ROIC คือเครื่องวัดว่า บริษัทใช้ทุนคุ้มจริงไหม
ถ้า ROIC > WACC (ต้นทุนเงินทุน) → บริษัทกำลังสร้างมูลค่าเพิ่ม หุ้นน่าสนใจ
นักลงทุนสาย VI ก็เลยชอบคัดหุ้นที่ ROIC สูง & คงที่ → เพราะนั่นคือหุ้นที่มี “ปราการ” คอยปกป้องนั่นเองค้าบ