31/08/2025
IOTE 2025 Shenzhen: บทเรียนและทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ของ IoT และ AI สำหรับประเทศไทย
เผยแพร่โดย: ดร.สุรชัย ทองแก้ว กรรมการบริหารและวิชาการ สมาคมไทยไอโอที (Thai IoT Association)
บทนำ
งาน International Internet of Things Exhibition (IOTE) 2025 – Shenzhen ถือเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนทิศทางของเทคโนโลยี IoT และ AI ในระดับโลก โดยเฉพาะการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ครบวงจรจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ อันเป็นจุดแข็งของประเทศจีนที่กำลังผลักดันตนเองสู่การเป็นผู้นำด้าน เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy)
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปและวิเคราะห์แนวโน้มสำคัญจากงาน IOTE 2025 รวมถึงการตีความเชิงยุทธศาสตร์สำหรับประเทศไทย ทั้งในมิติของ โอกาสการลงทุน การวิจัย และการพัฒนานโยบายสาธารณะ
โครงสร้างงานแสดงและ Value Chain ของ IoT
งาน IOTE 2025 แบ่งออกเป็น 4 Hall หลัก ซึ่งสะท้อนห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรม IoT และ AI ดังนี้
1. Hall 9 – Smart Terminals & Passive IoT
มุ่งเน้นการใช้งาน RFID, Smart Cards และ Data Endpoints เป็นรากฐานสำคัญของ Smart Logistics และ Smart Retail
2. Hall 10 – Smart Sensors & Communication/Positioning
เน้น Advanced Sensors, GNSS, UWB, 5G, NB-IoT และ LoRa ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมจากโลกจริงสู่โลกดิจิทัล
3. Hall 11 – Smart Displays & Digital Twin
แสดงโซลูชันด้าน Smart Displays และ Digital Twin Platforms สำหรับการจำลองเมือง โรงงาน และระบบโครงสร้างพื้นฐาน
4. Hall 12 – General Artificial Intelligence
รวมเทคโนโลยี AI Chips, Large Models, Edge Computing และ Robotics ซึ่งเป็นจุดบรรจบของ IoT และ AI หรือที่เรียกว่า AIoT
การจัดเรียงลำดับนี้สะท้อน Value Chain ครบวงจร ที่จีนได้ลงทุนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การเก็บข้อมูล การสื่อสาร การจำลองและวิเคราะห์ การสร้างคุณค่าผ่าน AI
ประเด็นเทคโนโลยีที่โดดเด่น (Key Technology Highlights)
1. AIoT: จาก IoT สู่มาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม
การผสานปัญญาประดิษฐ์เข้ากับ IoT กำลังเปลี่ยน IoT จาก “การเชื่อมต่อ” ไปสู่ “การตัดสินใจอัจฉริยะ” กลายเป็นมาตรฐานกลางใน 5–10 ปีข้างหน้า
2. RFID และ UWB: Core Enabler ของ Smart Logistics & Retail
RFID ยังคงมีบทบาทในซัพพลายเชนขนาดใหญ่ ส่วน UWB กำลังขยายบทบาทใน Real-Time Location และ AR/VR
3. Edge AI + Cloud Integration: สถาปัตยกรรมใหม่ของ IoT
Edge AI ช่วยเพิ่มความเร็ว ลด Latency และเพิ่มความปลอดภัย ขณะเดียวกันยังเชื่อมต่อกับ Cloud เพื่อการเรียนรู้เชิงลึกและ Big Data Analytics
4. Digital Twin & Smart Visualization: Decision Support ของอนาคต
การจำลองเมือง โรงงาน และ Campus ผ่าน Digital Twin ทำให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น ลดความเสี่ยงและต้นทุนการดำเนินงาน
Key Insights สำหรับผู้บริหารและผู้กำหนดนโยบาย
1. AIoT = มาตรฐานกลางในอนาคต
องค์กรต้องเร่งวางแผนการปรับตัวและ Roadmap จาก IoT เป็น AIoT
2. Ecosystem ครบวงจรของจีน
จีนได้สร้าง Value Chain ครอบคลุมตั้งแต่ชิปจนถึงแอปพลิเคชัน ทำให้สามารถ “ส่งออก Ecosystem” ได้
3. Edge Intelligence เป็นกุญแจหลัก
Edge AI + Digital Twin คือเสาหลักของ Smart Infrastructure ที่ทุกเมืองและอุตสาหกรรมต้องมี
4. Strategic Investment Areas
RFID, UWB, AI Chips, Edge AI และ Digital Twin เป็นพื้นที่ลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่ควรเร่งพิจารณา
5. การแข่งขันระดับ Ecosystem vs Ecosystem
บริษัทจีน (Huawei, Hikvision, Xiaomi) แข่งขันโดยตรงกับบริษัทตะวันตก (Microsoft, AWS, Qualcomm) และอนาคตจะเป็นการแข่งขันในเชิงระบบนิเวศมากกว่าระดับบริษัท
ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์สำหรับประเทศไทย
1. การพัฒนา AIoT Talent Pool
ไทยควรลงทุนในการพัฒนาทักษะบุคลากรด้าน AIoT โดยเฉพาะในสาขา AI, Embedded Systems, และ Data Analytics
2. การสร้าง AIoT Testbed / Living Lab
จัดตั้งศูนย์ทดสอบและพัฒนาต้นแบบ เช่น Smart Factory, Smart Port, Smart City เพื่อเร่งการนำเทคโนโลยีสู่การใช้งานจริง
3. การเชื่อมโยงกับ Ecosystem ของจีนและตะวันตก
ประเทศไทยควรวางตัวเป็น Neutral Hub เชื่อมโยง Ecosystem ทั้งสองขั้ว เพื่อดึงดูดการลงทุนและเทคโนโลยี
4. การลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน Niche Technology
เช่น RFID สำหรับ Logistics, UWB สำหรับ Smart Campus, AI Chips สำหรับการแพทย์และอุตสาหกรรมพลังงาน
บทสรุป
งาน IOTE 2025 Shenzhen แสดงให้เห็นชัดเจนว่า AIoT, Edge Intelligence และ Digital Twin จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัลโลก ขณะที่ RFID, UWB และ AI Chips เป็นเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด สำหรับประเทศไทย การก้าวสู่ AIoT Economy ไม่เพียงแต่เป็นการตามเทรนด์โลก แต่เป็นการสร้าง ความสามารถในการแข่งขันเชิงโครงสร้าง (Structural Competitiveness) ที่จะกำหนดอนาคตเศรษฐกิจดิจิทัลไทยในทศวรรษหน้า