Sdfsdf สาระข่าวสารเพื่อการศึกษาและการกุศล

20/06/2025

*** #สาระน่ารู้ #เห็ดโคน หรือ #เห็ดปลวก #สร้างรายได้ ช่วง #วสันตฤดู ชาวบ้านขยันเข้าป่าหาเห็ด และ #เพาะเห็ดโคนขาย

"เห็ดโคน" หรือที่ชาวบ้านมักเรียกกันว่า "เห็ดปลวก" เป็นเห็ดที่ขึ้นอยู่ในป่า แถวจอมปลวก ซึ่งหาและหารับประทานกันได้ยาก จึงมีราคาขายค่อนข้างที่จะสูงพอสมควร สมัยก่อนยังไม่มีวิธีเพาะปลูกเห็ดโคนกันได้ ชาวบ้านจึงต้องออกไปหาเก็บเห็ดกันในป่าธรรมชาติ มารับประทานกันเท่านั้น กอปรกับเห็ดโคน เป็นเห็ดที่ขึ้นเฉพาะในบางจังหวัดเท่านั้น เช่นที่ จังหวัดราชบุรี, เพชรบุรี จังหวัดกาญจนบุรี, อุทัยธานี, และกำแพงเพชร โดยเห็ดโคน หรือเห็ดปลวกออกมาก ในจังหวัดกาญจนบุรี, ราชบุรี, เพชรบุรี, และกำแพงเพชร​ ซึ่งเป็นพื้นที่มีสภาพแวดล้อม และมีอุณหภูมิที่ร้อนชื้น สภาพอากาศที่เหมาะสม เพราะอยู่ใกล้ป่าเขาลำเนาไพร คือ เทือกเขาถนนธงชัย และเทือกเขาตะนาวศรี ทอดตัวยาวลงไปทางใต้ สุดเขตแดนสยาม ทางด้านทิศตะวันตก ระหว่างประเทศไทย กับ ประเทศเมียนมาร์ (พม่า)

เห็ดโคน หรือเห็ดปวกนั้น ถ้าหากไม่ได้รับการเพาะเลี้ยง จะออกดอกเองโดยธรรมชาติ เพียงในช่วง วสันตฤดู หรือฤดูฝน ราวเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนตุลาคม และเห็ดโคนจะมีช่วงของฤดูในการออกดอก เพียงปีละครั้ง และในระยะเวลาที่สั้น ๆ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เห็ดโคนนั้นหายาก และมีราคาซื้อขายกันค่อนข้างที่จะสูง ก็เพราะว่า เห็ดโคนเป็นเห็ดที่มีวงจรชีวิตสั้น ใช้เวลาออกดอกอยู่ได้เพียง ๓-๕ วัน ก็จะเหี่ยวเฉาไป ฉะนั้นแล้ว เห็ดโคน หรือเห็ดปลวก หลังเมื่อถูกเก็บมา จะมีการเปลี่ยนแปลง คือ เสื่อมสภาพลงไปตามธรรมชาติ และค่อนข้างที่จะเร็วมาก จากในสภาพที่เป็นเห็ดโคนสด ที่เพิ่งเก็บมา จะสดอยู่ได้เพียง ๕-๖ ช.ม. ภายในระยะเวลา ๒-๓ ช.ม. เห็ดโคนก็จะเริ่มเหี่ยวเฉาและเน่าเสียไปในที่สุด

เห็ดโคน หรือเห็ดโคนป่า และหรือเห็ดปลวก จะสามารถงอกงามขึ้นมาได้นั้น ต้องมีพื้นที่ ๆ มีความเหมาะสม และมีพื้นที่ในการเจริญเติบโตที่จำกัด เนื่องจากต้องเป็นพื้นที่ ๆ มีอุณหภูมิ ความร้อนชื้นสัมพะทธ์ที่เหมาะสม หรือในที่ดิน ที่อยู่ใกล้จอมปลวก หรือรังปลวก ในบริเวณนั้น พื้นดินจึงมีอุณหภูมิความชื้นที่เหมาะสม ความชื้นในดินต้องมีเพียงพอ เห็ดโคนจึงจะเกิดขึ้น ประเทศไทยเรา มีเห็ดโคนหรือเห็ดปลวก ขึ้นเพียงไม่กี่จังหวัด ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ฉะนั้นแล้วในพื้นที่ ๆ มีเห็ดโคนออกดอกเจริญงอกงาม หากใครเข้าไปในป่าพบเห็ดโคน ก็มักที่จะปกปิดไว้เป็นความลับ เพื่อไม่ให้ผู้ใดได้ล่วงรู้ (foresee) เพราะเกรงว่าผู้อื่นหากรู้แหล่ง ก็จะตามเข้าไปแย่งเก็บกันมาบริโภค หรือเก็บมาจำหน่ายขายกันในท้องตลาด

เห็ดโคนหรือเห็ดปลวก จึงเป็นที่ต้องการของตลาดมาก และมีราคาที่ค่อนข้างที่จะสูงพอสมควร เพราะเป็นที่นิยมของผู้บริโภคโดยทั่วไป เห็ดโคนป่าจึงมีราคาที่ค่อนข้างแพง และเห็ดที่มีราคาแพง ที่สุดในโลก คือ "เห็ดทรัฟเฟิล" (Truffle) สีขาว ที่หายากกว่าสีดำ และมีราคาที่สูงถึงกิโลกรัมละ 168 ดอลลาร์ หรือเทียบเท่ากับเงินสกุลไทย ๖,๑๗๕.๖๘ บาท

ลักษณะโดยทั่วไป ของเห็ดโคนป่า หรือเห็ดปลวก รูปร่างลักษณ์ภายนอก (appearance) ที่สังเกตุเห็นดูได้ คือ คลายกับมีหมวกคลอบ ตอสีขาว คือ ดอกของเห็ดโคนส่วนบน จะมีรูปทรงบาน ลักษณะแบบกระทะคว่ำ หรือ คล้ายร่มที่กางออก มียอดที่เรียวแหลม (slender) เฉลี่ยโดยทั่วไปแล้วเห็ดโคนป่า จะมีขนาด เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ตั้งแต่ ๒-๓๐เซนติเมตร ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของดิน และขนาดของดอกเห็ดโคน ส่วนสีของหมวกเห็ดโคน หรือเห็ดปลวก ดอกมักจะมีสีน้ำตาล, น้ำตาลปนดำ, และหรือสีน้ำตาลปนแดง ในส่วนของบริเวณปลายยอดหมวกของเห็ดโคนป่า ก้านดอกหรือลำต้นมีสีขาวนวล

ดอกของเห็ดโคนป่า หรือเห็ดปลวก จะมีลักษณะหลายรูปแบบ มีทั้งแบบหมวกดอกยอดปลายแหลม และหมวกปลายยอดดอกมนโค้ง แต่ลักษณะส่วนใหญ่ของเห็ดโคน ในประเทศไทย มักจะพบแบบปลายหมวก หรือปลายดอกที่แหลม รูปทรงจั่วคล้ายร่มที่กางออกเล็กน้อย ที่เหมาะสำหรับการแทงยอดดอก ให้โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นผิวดิน ส่วนพื้นผิวของดอกเห็ดอาจเรียบ หรือมีรอยย่นคล้ายหนังไก่ ส่วนเนื้อเยื่อของดอกภายในมีสีขาว ครีบในดอกใต้หมวก มีลักษณะเป็นแผ่นเยื้อบาง ๆ สีขาว ทำหน้าที่สร้างสปอร์ หรือเชื้อของเห็ดในรุ่นต่อไป และเมื่อดอกของเห็ดโคนบานเต็มที่แล้ว หมวกเห็ดด้านบน ก็มักที่จะมีรอยแตกยาว เข้าไปถึงแกนกลางของดอกเห็ดโคน

วิธีเพาะเชื้อสปอร์ ปลูกเห็ดโคน หรือเห็ดปลวก นั้น ถึงเห็ดโคนจะไม่สามารถเพาะก้อนเชื้อให้เห็ดโคนขึ้นได้ (ในสมัยก่อน) แต่นักวิจัย นักวิชาการทางการเกษตร ก็มีเทคนิคในการเลียนแบบธรรมชาติ โดยการเพาะเชื้อของเห็ดโคนป่า หรือนำเอาสปอร์ของเห็ดโคนป่า ที่แก่เต็มวัย และหรือนำเชื้อสปอร์มา จากจอมปลวก ซึ่งในบางครั้งก็อาจจะเพาะเชื้อเห็ดโคน ไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร และหรืออาจที่จะได้ผลดี ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อุณหภูมิความร้อนชื้นสัมพัทธ์ ที่เหมาะสมกับเห็ดโคน ในการที่จะเจริญงอกงามขึ้นมาได้

การเพาะเชื้อเห็ดโคน จากสปอร์ของเห็ดโคนที่แก่จัด โดยการนำดอกเห็ดโคนป่า หรือเห็ดปลวก ที่มีดอกแก่จัด หานำมาประมาณ ๑ กิโลกรัม แล้วนำมาแช่ในน้ำจากธรรมชาติ ประมาณ ๕ ลิตร จากนั้นให้คนหรือเขย่า เพื่อให้สปอร์หรือเชื้อของเห็ดโคน หลุดออกมาจากใต้หมวกดอกผสมกับน้ำ แล้วนำน้ำที่ได้ในการคนเขย่าล้างเห็ดโคนป่า นำไปรดราดยังบริเวณจอมปลวก หรือดินที่อยู่ใต้ร่มไม้ ให้มีแสงแดดพอรำไร แล้วคอยหมั่นรดน้ำ ให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ และรอให้ถึงในช่วงที่เห็ดเริ่มที่จะเจริญงอกงาม แทงยอดชูดอกเห็ดขึ้นมาเหนือพื้นดิน แล้วหมั่นค่อยดูแลฉีดพ้นฝอยละอองน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ จนเห็ดโตพอได้ขนาดเก็บมาบริโภค หากใช้น้ำฝน หรือน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ที่มีอุณหภูมิต่ำก็จะยิ่งดี หากใช้น้ำประปา อาจมีสารคอรีนฆ่าเชื้อปนเปือนในน้ำสูง เชื้อเห็ดโคนจะตายได้

ส่วนในการเพาะเชื้อ สปอร์เห็ดโคน ที่จอมปลวก หรือรังปลวก มีดังนี้ คือ
(๑.) เตรียมวัสดุเพาะเชื้อเห็ดโคน ได้แก่ ดินเหนียว หรือดินที่ได้มาจากรังปลวก ผสมกับขี้เลื่อยที่ หมักนานไว้ราว ๑-๓ เดือน ผสมในอัตราส่วน ๓ : ๑

(๒.) นำรังปลวก ที่มีเส้นใยคล้ายรากฝอยสีขาว เป็นก้อนนำมาบดให้ละเอียดพอประมาณ แล้วคลุกผสมกับขี้เลื่อย วัสดุเพาะเชื้อ นำบรรจุใส่ถุงพลาสติกเปิด แล้วเก็บในที่ร่มหรือโรงเรือน หรืออาจทำเป็นกอง ในหลุมดินภายใต้หลังคาโรงเรือน ร่มไม้ที่มีแสงแดดรำไร และให้หมั่นรดน้ำให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ

(๓.) การเพาะเห็ดโคนป่า หรือเห็ดปลวก นั้น ควรเพาะเชื้อเห็ดในช่วงฤดูฝน เพื่อให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ที่ใกล้เคียงกับในช่วงที่เห็ดโคนออกดอก และสิ่งที่สำคัญ คือ ในช่วงระยะเวลานั้น รังปลวกจะเริ่มเกิดเส้นใยของเชื้อเห็ดแล้ว โดยทั้งนี้เกษตรกร ผู้เพาะเชื้อปลูกเห็ดโคน อาจใช้วิธีเพาะเชื้อเลี้ยงเห็ดโคน ที่จอมปลวก หรือรังของปลวก เพื่อให้เกิดดอกเห็ดโคน แต่เป็นวิธีที่ค่อนข้างที่จะยุ่งยาก ที่ต้องคอยหมั่นไปดูแล และมีโอกาสที่จะเกิดดอกเห็ดได้น้อย ก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพของอุณหภูมิความร้อนชื้นสัมพัทธ์ ที่เหมาะสม ในการเจริญเติบโตของเห็ดโคน

เช่นสภาพอากาศ ที่จังหวัดกาญจนบุรี ที่ยามเวลากลางวัน มีอากาศที่ร้อนอบอ้าว และมีฝนตกโปรยปรายอย่างต่อเนื่อง ในช่วงฤดูฝน ทำให้ในหลายพื้นของเมืองเก่ากาญจนบุรี มีอุณหภูมิร้อนชื้นสัมพัทธ์ ที่เหมาะสม มีเห็ดโคนป่า หรือเห็ดปลวก ทยอยงอกออกดอกงอกงาม รอให้ชาวบ้านได้เข้าไปเก็บกันมารับประทาน และจำหน่ายขายกัน เพื่อเป็นรายได้เสริม และในหลายจังหวัดก็พบเห็ดโคนป่า หรือเห็ดปลวก แทงดอกขึ้นมาเหนือพื้นดินในป่า กันเป็นจำนวนมาก ต่อเนื่องกันไปหลายวัน เห็ดโคนจะมีมากสุดที่ จ.กาณจนบุรี ทำให้ชาวบ้านต่างพากันนำตะกร้าเข้าป่า เพื่อไปเก็บเห็ดโคน หรือเห็ดปลวก และเห็ดชนิดต่าง ๆ นำมาประกอบอาหารรับประทาน และหาบนำมาจัดจำหน่าย ขายกันในตลาดยามเช้ากัน ในหลายพื้นที่ของจังหวัดกาญจนบุรี

ราคาของเห็ดโคนป่า หรือเห็ดปลวก ในช่วงวสันตฤดู หรือหน้าฝนของทุกปี เห็ดโคนสด ดอกตูม ราคาจัดอยู่ที่ กิโลกรัมละราว ๓๐๐ บาท ส่วนดอกที่เริ่มบานแล้ว จะอยู่ที่กิโลกรัมละราว ๒๕๐ บาท ซึ่งเป็นราคาที่ซื้อขายกันที่หน้าป่าเมืองกาญจน์ ก็จะถูก แต่ถ้าหากตามไปซื้อถึงบ้าน ราคาก็จะขยับสูงขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ก็อยู่ที่ขนาดและคุณภาพความสดของเห็ดโคน และเห็ดในแต่ละชนิด ส่วนเห็ดโคนป่าแท้ ชนิดดองน้ำเกลือ สนนราคาเกรด A 500g (๕๐๐ กรัม) อยู่ที่ กระปุกละ ๑,๑๐๐ บาท ถึง ๑,๒๐๐ บาท (กิโลกรัม ๕ ขีดเท่ากับ ๕๐๐ กรัม)

สำหรับเห็ดโคน หรือเห็ดปลวก นั้น ถือได้ว่าเป็นราชาของเห็ดเห็ดป่าของไทยทั้งปวง เพราะมีรสชาติที่หวานเนื้อแนนกรอบอร่อย เหมาะสำหรับนำไปปรุง หรือประกอบอาหาร ได้หลากหลายเมนู ทั้งต้มจืด, แกงส้ม, ต้มยำ, ยำ, ผัด, แกง, อบ หรือทอดก็ได้ ซึ่งเห็ดโคนป่านั้น เป็นเห็ดที่มีรสชาติที่ดี เนื้อเห็ดโคนมีรสที่หวานเนื้อแน่น และมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เฉพาะตัว จึงเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบในการบริโภคเห็ด ที่ออกดอกให้เก็บมารับประทาน เพียงแค่ปีละครั้ง ราคาของเห็ดโคน จึงมีราคาค่อนข้างที่จะแพง หากชาวบ้านคนไหนในพื้นที่ เข้าป่าไปหาเห็ดโคนมาได้มามาก จนรับประทานกันในครอบครัวไม่หมด ก็จะนำเห็ดโคนมามาลวกกับน้ำร้อน จากนั้นก็จะนำไปแช่แข็งใส่ใส่ไว้ในช่องฟิตของตูเย็น เพื่อเก็บเอาไว้ใช้ในการบริโภครับประทาน เป็นอีกกรรมวิธีหนึ่งที่ใช้ในการถนอมอาหาร แบบบ้าน ๆ เพื่อให้มีเห็ดโคนไว้ รับประทาน ภายในครัวเรือนกันได้ตลอดทั้งปี และถ้าเวลาจะนำมารับประทาน ก็นำเห็ดแช่แข็ง มาละลายน้ำ เพื่อคลายความเย็นลง แล้วจึงนำไปประกอบเมนูอาหาร รับประทานกันได้ตามความพึงพอใจ

เห็ดโคน นั้น มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า "Termitomyces fuliginosus Heim" โโยเห็ดโคนเป็นเห็ดชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ Termitophilae ซึ่งเป็นเห็ดป่า ที่มีการเจริญเติบโตได้ดี ในสภาพป่าไม้ธรรมชาติ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และมีอุณหภูมิความร้อนชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสม เห็ดโคน มีรูปร่างลักษระ คล้ายเห็ดป่าโดยทั่วไป คือ มีก้านดอกเห็ดสีขาว และหมวกเห็ด หรือดอกเห็ดสีน้ำตาลดำ เท่า หรือน้ำตาลอมแดง โคนก้านของดอกอวบหนา และมีกลิ่นเฉพาะตัว เห็ดโคนป่า มักเกิดมีขึ้นในเขตป่าที่มีอุณหภูมิที่มีความร้อนชื้น มักขึ้นตามจอมปลวก และมีชื่อเรียกขานนามเห็ดโคน อีกชื่อหนึ่ง ว่า "เห็ดปลวก" เพราะมีการอพยพ ย้ายถิ่นฐานของปลวก หรือที่เรามักเรียกกัน ว่า "แมลงเม่า" ที่ชอบบินเข้าหาแสงไฟ ในยามราตรี แมลงเม่า หรือปลวกที่โตเต็มวัย จะมีปีกบินออกจากรังปลวกเดิม เพื่อไปหาสถานที่สร้างรังปลวกใหม่ และออกไข่ การที่ฝนตกชุก ดินจนมีความชุ่มชื้นสูง แต่น้ำไม่ขัง จึงเหมาะสมที่ปลวกชอบสร้างรัง และเห็ดโคนก็ชอบขึ้น เมื่อปลวกในรังปลวกมีปริมาณของปลวกที่ลดลง ตุ่มดอกเห็ดโคนเล็ก ๆ จึงได้มีโอกาส สามารถที่จะแทงยอดดอกขึ้นมาเหนือพื้นดิน และเจริญเติบโตเป็นดอกเห็ดโคนป่าได้ เห็ดโคนจึงมีอีกชื่อหนึ่ง ว่า เห็ดปลวก ชาวบ้านคนในท้องถิ่นนั้น เข้าไปล่าสัตว์ หาของป่าเพื่อนำมายังชีพ รับประทาน จึงได้เก็บนำมาบริโภค และหรือเพื่อจำหน่าย ขายหารายได้แบ่งปันให้ผู้อื่นได้รับประทานกันไป จนเป็นที่รู้จักกันในนามของ เห็ดโคน หรือเห็ดจากจอมปลวก

เห็ดโคนป่า เราสามารถนำมาประกอบ ทำอาหารได้หลากหลายรูปแบบเมนูอาหาร เพราะเห็ดโคนป่ามีเนื้อแน่น และมีรสชาติที่หวาน กว่าเห็ดชนิดใดในป่าไม้ของเมืองไทย และมีกลิ่นหอมที่เฉพาะตัว ชวนให้น่ารับประทาน เห็ดโคน หรือเห็ดปลวก จึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นราชาของเห็ดป่า ของเมืองไทยทั้งปวง และจัดว่าเป็นเห็ดที่หารับประทานได้ยาก เพราะเกิดมีขึ้นเฉพาะในป่าเขาลำเนาไพร ที่อยู่ห่างไกลความเจริญของคนในเมือง จึงหารับประทานได้ยาก และจะมีเห็ดโคนป่าสด แต่เฉพาะในช่วงฤดูฝนเพียงเท่านั้น ของในแต่ละปีจึงมีเห็ดโคนให้ได้รับประทานกัน เพียงปีละครั้งเท่านั้น นอกจากจะนำเห็ดโคนป่า ไปต้มกับน้ำเกลือรับประทานแล้ว ยังนำมาประกอบอาหาร ที่ได้หลากหลายเมนู นอกจากนี้เห็ดโคนป่า หรือเห็ดปลวก ยังมีสรรพคุณในการช่วยให้เจริญอาหาร, บำรุงกำลังร่างกาย, และยังป้องกันโรคในระบบทางเดินอาหาร ในลำไส้, แก้บิด, แก้คลื่นไส้, อาเจียน, แก้ไอ และละลายเสมหะ พร้อมยังมีโปรตีนสูงอีกด้วย

ผลการทดลอง วิจัยเห็ดโคนป่า หรือเห็ดปลวกในห้องแล็บ (lab) ของเมืองไทย ทางคณะแพทย์ เภสัชศาสตร์ พบว่าน้ำที่ได้จากการสกัด ของเห็ดโคนป่า สามารถยับยั้งเชื้อโรคบางชนิดได้ เช่น เชื้อไทฟอยด์ (Typhoid) อย่างได้ผลดี เห็ดโคนป่า จึงเป็นที่นิยมรับประทานกัน ในหมู่ของผู้ที่ชื่นชอบดูแล สุขภาพของตนเอง ซึ่งเห็ดโคนป่า หรือเห็ดปลวกสด จะมีวางจำหน่ายขายกัน เฉพาะในช่วงวสันตฤดู หรือฤดูฝน เพียงเท่านั้น ราวเดือนกันยายน ถึงเดือนตุลาคม จึงจะมีเห็ดโคนสดจากป่าไม้ในเมืองไทย มาให้ได้รับประทานกัน เพียงปีละครั้ง เห็ดโคนป่า หรือเห็ดปลวก จะพบมากในแถบ จังหวัดกาญจนบุรี, ราชบุรี, เพชรบุรี, และกำแพงเพชร และต่อมาเมื่อพื้นที่ของป่าไม้ในเมืองไทย เริ่มค่อย ๆ ที่จะลดลง เพราะการบุกลุก แผ้วถางป่า เห็ดโคนจึงได้หายากขึ้น และมีราคาที่สูงขึ้น

จึงได้มีความคิดริเริ่ม (initiative) ในการเพาะเลี้ยงเห็ดโคน หรือเห็ดปลวกขึ้นมา จนมีสูตรผสม คือ การนำน้ำเชื้อสปอร์ของเห็ดโคนป่า หรือเห็ดปลวก บรรจุจำนวนครึ่งขวด (หรือมากกว่านั้นก็ได้) นำมาผสมกับน้ำ จำนวน ๑๐ ลิตร ซึ่งน้ำที่นำมา ใช้ในการผสม เพราะเชื้อสปอร์ของเห็ดโคน ให้นำน้ำที่ได้มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น น้ำฝน, หรือน้ำจากแม่น้ำ, ห้วย, หนอง, คลอง, บึง หรือในสระ อ่างกักเก็บน้ำฝนตามธรรมชาติ ไม่ควรใช้น้ำประปา เพราะอาจจะมีสาร คลอรีน (chlorine) ที่ใช้ฆ่าเชื้อปนเปื่อน เจือปนมากับน้ำด้วย จะทำให้เชื้อสปอร์ของเห็ดตาย ไม่เจริญงอกงาม

ตามที่ได้กล่าวมาในเบื้องต้น วิธีนี้ จะเป็นการทำให้เชื้อของเห็ดโคน ซึ่งเป็นเชื้อราชนิดหนึ่ง ที่จะทำให้เกิดเป็นเห็ดโคน หรือเห็ดปลวก เข้าไปอยู่อาศัย และเจริญเติบโต ในรากของต้นไม้ และบริเวณของซากใบไม้ ที่ทับถมกัน หรือที่ได้เราผสมดินและขี้เลื่อย หมักไว้นานถึง ๓ เดือน หรือเกินกว่านั้นได้ก็จะยิ่งดี เมื่อเวลาที่สภาพแวดล้อม อุณหภูมิความชื้นสัมพัทธ์ ที่มีความสมดุลหรือเหมาะสม เห็ดโคน หรือเห็ดปลวก และเห็ดชนิดต่าง ๆ ก็จะงอกออกดอกมา ซึ่งถ้าผู้เพาะเชื้อสปอร์ปลูกเห็ด ทำการรดน้ำเชื้อสปร์อของเห็ด ตั้งแต่ต้นฤดูฝน เห็ดก็อาจจะออกดอกในช่วงกลาง จนถึงปลายฤดูฝน แต่ถ้าเห็ดไม่ออกดอกในปีที่ท่านเพาะเชื้อปลูก สปอร์เชื้อเห็ด ก็อาจจะค่อย ๆ เจริญเติบโต ออกดอกเห็ดได้ในปี ต่อ ๆ ไป จึงมีสุภาษิต คำพังเพย ที่ว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น" ขอให้ท่านผู้ที่ติดตามอ่าน สกู๊ป (Scoop) บทความนี้ จากครูแอ๊ด จนจบ ขอได้ความรู้ และมีความสุขกัน ทุกท่าน ทั่วไทย สาธุ ครับผม.

: แนะนำเรื่อง โดย มห่าบุญธรรม พรมเเพร
: เรียนเรียง โดย อ.ประพนธ์ บุนนาค (ฐานันดร ๔ นกน้อยในไร่ส้ม) ศิษย์พระตถาคต วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร (เชิงสะพานพุทธฯ) ฝั่งธนบุรี กทม.
: กราฟฟิกภาพ-โดย Siam Bunnag (ข่าวเฉพาะกิจ)
: ปชส. โดย Bunnag News ผลิตสื่อสาระเพื่อการศึกษา และการกุศล เผยแผ่พระพุทธศานา ช่วยเหลือสังคมชาวบ้าน ทำมาหากิน ในอาชีพสุจริต ท่องเที่ยวทั่วไทย เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติไทย
: ร่วมบริจาค เพื่อเป็นทุนในการผลิต สื่อสาระข่าวสารเพื่อการศึกษา และการกุศล พัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ ปชส.ช่วยเหลือชาวบ้าน เพื่อนร่วมชาติ ทำมาหากินบนพืนดินไทย ซ่อมแซมเครื่องมือ ซื้อหาอุปกรณ์ ที่คาดแคลน : คลิก กดที่ลิงก์ ด้านล่างนี้ สาธุ ครับผม.
>>>https://web.facebook.com/photo/?fbid=690349569772878&set=a.690351106439391
: รับชมภาพ สื่อสาระข่าวสาร เรื่องราวดีดี (พิเศษ) มากมาย แชร์ความรู้กันได้ ผลิตขึ้นเพื่อคนไทย : คลิก กดที่ลิงก์ ด้านล่างนี้ ครับ
>>>https://web.facebook.com/siam.bunnag.999999999/photos_albums
: รับชมคลิปภาพวิดีโอ ปชส. สื่อสาระข่าวสาร : คลิกกดที่ลิงก์ ด้านล่าง นี้ ขอให้มีความสุข ทุกท่าน ทั่วไทย สาธุ ขอรับ ครับผม.
>>>https://web.facebook.com/siam.bunnag.999999999/videos

*** 💞Sdfsdf กับ ครัวบ้านไม้หอม บางน้ำจืด ฉันเพิ่งได้รับการขอบคุณที่เป็นหนึ่งในแฟนตัวยงของ ครัวบ้านไม้หอม บางน้ำจืด🎉*** 💞...
02/06/2025

*** 💞Sdfsdf กับ ครัวบ้านไม้หอม บางน้ำจืด ฉันเพิ่งได้รับการขอบคุณที่เป็นหนึ่งในแฟนตัวยงของ ครัวบ้านไม้หอม บางน้ำจืด🎉*** 💞สนับสนุน การสวมชุดไทย เข้าวัดทำบุญ และบริจาคโลหิต ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เพื่อนร่วมชาติ ทุกทิศ ทั่วไทย โดย "ร้านครัวบ้านไม้หอม บางน้ำจืด" (คุ้ม บุนนาค) ลท. 79/1 ซอยบุนนาค หมู่ 6 ต.บางน้ำจืด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร 74000 ❤👉บริหารงาน โดยท่าน ดร. มนตรี บุนนาค 💞ท่าน ดร.มนตรี ท่านเปิดร้าน "ครัวบ้านไม้หอม" ขึ้นมา มีความประสงค์ เพื่อแบ่งปันความสุข ในการบริโภคอาหารอร่อยอย่างมีความสุข กับบรรยากาศที่เย็นสบาย เงียบสงบ และเป็นกันเอง สนนราคาอาหารสด จากทะเล ก็ไม่แพง มีอาหารคาว-หวาน ให้ทุกท่านได้เลือก รับประทานกันอย่างมากมมาย พร้อมเครื่องดื่มร้อน-เย็น ทุกชนิด ❤ ทุกท่าน ก็รองพาเพื่อน ๆ แวะเวียนไปรับประทานอาหารอร่อย ของทางร้าน "ครัวบ้านไม้หอม" กันได้ทุกวัน ท่าน ดร.บอกว่า เรื่องเงิน นั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้ากิน แล้วไม่จ่าย นั้นค่อยเป็นเรื่องใหญ่ ครับ หากท่าน ดร.สั่งปิดซอย ก็จะออกจากซอย ค้มบุนนาค ไม่ได้ กันละครับ 😂🤣🙏 💞ติดต่อ สำรองจองที่นั่ง แถวหน้า💞 คลิก กด ที่ลิงก์ ด้านล่าง นี้ แล้วอย่าลืม หม่ำ อาหารเผื่อครูแอ๊ด กันด้วย 💞 ขอให้ผู้ที่คิดดี กระทำแต่ในสิ่งที่ดี ในสังคมไทย มีความสุขมาก ๆ ทุกท่าน ทั่วไทย สาธุ ครับผม.🙏😘😍🥰💞❤👉 https://www.facebook.com/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%94-100088601077558/?locale=th_TH
🙏😘😍🥰💞❤🙏😘😍🥰💞❤🙏😘😍🥰💞❤

02/06/2025

*** #สาระน่ารู้ กับ #สุขสันต์ วันจันทร์ กับ #ดอกบานบุรีสีเหลือง เป็นดอกไม้ประจำ #จังหวัดนราธิวาส ดินแดน #ปักษ์ใต้บ้านเรา #ใต้สุดในแดนสยาม
บานบุรีสีเหลือง มีประโยชน์และสรรพคุณ ด้วยกันถึง ๕ ประการ
(แนะนำเรื่อง ดอกบานบุรีสีเหลือง พร้อมเป็นพรีเซนเตอร์ นางแบบ ภาพ โดย คุณครูปอ ณภัทร อุดมดิษฐเวชกุล คุณครูสาวสวย แห่งโรงเรียนท่าแซะรัชดาภิกเษก ร่วมด้วยช่วยเผยแพร่ภาพเรื่องราว เพื่อการการศึกษา ในโครงการชวนคนไทย อ่านหนังสือ)
ภาพถ่าย สถานที่วัดนาสร้าง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ในกิจกรรมจิตอาสา พัฒนาวัด
: รับชม อัลบั้มภาพ ทั้งหมด แชร์ ได้ คลิ๊ก ที่ ลิ้งค์ ด้านล่างนี้ ครับผม.
>>>https://www.facebook.com/pg/siam.bunnag.999999999/photos/?tab=album&album_id=543414212935301

"บานบุรี" หรือ บานบุรีเหลือง นั้น ชื่อสามัญ Allamanda, Common allamanda, Golden trumpet, Golden trumpet vine, Yellow bell บานบุรี ชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Allamanda cathartica L. จัดอยู่ในพืชไม้วงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) ซึ่งต้นบานบุรี เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศบราซิล ที่จัดเป็นไม้พุ่ม หรือไม้รอเลื้อย หรือไม้เถา ต้นบานบุรี ที่กิ่งอ่อนจะมีขนสั้นนุ่ม ใบรูปรี หรือรูปไข่กลับ หรือแกม คล้าย รูปขอบใบ มีขนานยาว ราว ๓.๗-๘ ซ.ม. ปลายใบแหลม แผ่นใบด้านล่าง จะมีขนยาวตามเส้นแขนงใบ ก้านใบยาว ๒-๓ ม.ม. ช่อดอกมีความยาวราว ๕-๑๑ ซ.ม. และมีขนสั้นนุ่ม ก้านดอกยาว ๓-๖ ม.ม. กลีบเลี้ยง รูปขอบขนาน หรือมีรูปเหมือนใบหอก ยาว ๖-๗ ม.ม. มีเกล็ดเล็ก ๆ ที่โคนด้านใน ดอกบานบุรี มักจะเป็นสีเหลือง หลอดกลีบดอกยาว ราวประมาณ ๔ ซ.ม. ช่วงโคนจะสั้นกว่าช่วงกว้างปลายดอก กลีบรูปรีกว้าง และยาวประมาณ ๑ - ๑.๖ ซ.ม. มีขนสั้นนุ่มโดยรอบเกสรเพศผู้ ผลของต้นบานบุรี จะมีหนามยาว ประมาณ ๑ ซ.ม.

ต้นบานบุรี นั้น เป็นพืชพื้นเมือง มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศบราซิล เป็นไม้ประดับทั่วไปในเขตร้อนชื้น คล้ายกับบานบุรีเหลือง ชนิด A. cathartica L. ที่เป็นไม้พุ่มเตี้ย ซึ่งจะมีดอกที่ใหญ่กว่า และหลอดของกลีบดอก ช่วงโคนยาวเท่า ๆ ช่วงความกว้าง โคนกลีบเลี้ยงด้านใน ไม่มีเกล็ด และมีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกาใต้ และในแถบทะเลแคริบเบียน เป็นทะเลในเขตร้อน ของซีกโลกตะวันตก เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอ่าวเม็กซิโก ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแผ่นเปลือกโลกแคริบเบียน โดยทางทิศใต้จดทวีปอเมริกาใต้ ฯ ที่มี ๙ เกาะ หาดสวรรค์ แห่งแคริบเบียน ซึ่งในฤดูหนาว จะมีนักท่องเที่ยว เดินทางไปพักตากอากาศ ท่องเที่ยวกันที่นั่นมาก

ต้นดอกบานบุรี มีอยู่ด้วยหลายชนิด โดยมี ดอกบานบุรีสีเหลือง , บานบุรีสีกุหลาบ และบานพารา จะอยู่ในสกุลเดียวกันคือ สกุล Allamanda ส่วนบานบุรีสีแสด บ้างเรียกก็กันว่า "บานบุรีหอม" จะอยู่ในสกุล Odontadenia และบานบุรีสีม่วง จะอยู่ในสกุล Saritaea แต่ทั้งหมดนี้ จะอยู่ในวงศ์เดียวกัน คือ วงศ์ตีนเป็ด ยกเว้นบานบุรีสีม่วง ที่จะจัดอยู่ในวงศ์ของ"แคหางค่าง" ที่มีประโยชน์ สรรพคุณ ๘ อย่าง หรือ วงศ์ไม้ปีบ เป็นชื่อวงศ์พรรณไม้ของพืชในตระกูล ปีบ เพกา , แคแสด , แคสันติสุข , ชมพูพันธุ์ทิพย์ , เหลืองปรีดียาธร และ ศรีตรัง

ต้นบานบุรี จัดเป็นพรรณไม้พุ่มกึ่งเลื้อย หรือเป็นไม้เถา อาศัยต้นไม้อื่นเพื่อพยุงตัวลำต้นให้สูงขึ้นไป ลำต้นหรือเถาของบานบุรี จะมีลักษณะกลมเรียบ และเเถาไม้ป็นสีน้ำตาล ทุกส่วนของต้นบานบุรี จะมียางสีขาวข้น ลำต้นไม่มีขน ลำต้นจะมีความสูง ราวประมาณ ๒ - ๔.๕ เมตร บานบุรี นั้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำ , การตอน และการเพาะเมล็ด บานบุรีเป้นไม้ที่ชอบน้ำปานกลาง และเจริญเติบโตได้ดี ในดินที่ร่วนซุย หรือดินร่วนปนทราย เพาะปลูกเลี้ยงได้ง่าย ต้นบานบุรีนั้นเจริญเติบโตได้ไว และทนต่อความแห้งแล้ง และในดินที่เค็มได้ดี บาบุรี มักขึ้นกลางแจ้งสถานที่โล่ง ชอบแสงแดดที่มีทั้งวัน แต่บานบุรีก็อยู่ได้ ทั้งในที่ร่มในที่มีแสงรำไร และในที่ ๆ มีแสงแดดจัด โดยพรรณไม้ชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศบราซิล และอเมริกาเขตร้อน บานบุรีจะมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ในแต่ละชนิด ก็จะมีสีของดอกที่แตกต่างกันออกไป ดังที่ได้กว่ามาแล้วแต่ต้น

ใบของบานบุรี นั้น เป็นใบเดี่ยว และใบจะติดเป็นคู่อยู่ตรงข้ามกัน หรืออาจจะติดอยู่รอบ ๆ ข้อของเถาลำต้น ข้อละประมาณ ๓-๖ ใบ ลักษณะของใบบานบุรีนั้น เป็นรูปขอบขนาน รูปขอบขนานแกมรูปหอก รูปรี หรือเป็นรูปไข่กลับ ปลายใบแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนใบสอบ ส่วนของขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ ๒-๖ เซนติเมตร และยาวประมาณ ๖-๑๖ เซนติเมตร แผ่นใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม หน้าใบเรียบเป็นมัน มองเห็นเส้นใบได้ชัดเจน ส่วนท้องใบมีสีอ่อนกว่าหน้าใบ และก้านใบยาว ราวประมาณ ๒-๙ เซนติเมตร

ดอกบานบุรีสีเหลือง ดอกมักจะมีขนาดใหญ่ ออกดอกเป็นช่อกระจุกบริเวณยอด โดยจะออกตามชอกใบ และที่ปลายกิ่ง ดอกบานบุรีมีกลีบเลี้ยงเป็นสีเขียวปลายแยกเป็นแฉก ๕ แฉก ส่วนดอกย่อยเป็นสีเหลือง มีกลีบดอก ๕ กลีบ ลักษณะเป็นรูปขอบขนานหรือเป็นรูปหอก ปลายกลีบดอกมนใหญ่ มีขนาดกว้างประมาณ ๓ ม.ม. และยาวประมาณ ๑๖ ม.ม. โคนดอกเชื่อมติดกันเป็นท่อสั้น หรือเป็นหลอดแคบ ดอกตูมนั้น กลีบดอกจะบิดไปในทางเดียวกัน ภายในดอกมีเกสรชูอับเกสรเพศผู้ ประมาณ ๕ ชูอับเกสร ติดอยู่ด้านใน ใกล้กับโคนของท่อดอก ส่วนเกสรเพศเมีย นั้น มีช่องเดียว ภายในมีรังไข่อ่อนเป็นจำนวนมาก ก้านเกสรเพศเมีย จะมีขนาดสั้นและมีขนอุย ๆ ส่วนอับเกสรเรณูเพศผู้ จะมีลักษณะเป็นรูปคล้ายหัวลูกศร ดอกบานบุรี เมื่อบานเต็มที่ จะมีขนาดกว้างเส้นผ่านศูนย์ ประมาณ ๖ -๑๐ เซนติเมตร และบานบุรี จะสามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน จะออกดอกดกเป็นพิเศษ หากมีฝนตกด้วยแล้ว ดอกยิ่งบานสะพรั่ง ผลของบานบุรี มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม เป็นหนาม คล้ายผลเงาะแห้ง เมื่อผลของบานบุรีแก่จัด จะแตกออกได้เอง ภายในผลของบานบุรี จะมีเมล็ดรูปไข่ ซ่อนอยู่ภายใน เป็นจำนวนมาก

ตำรายาแพทย์แผนไทย แจ้งว่า ใบของบานบุรี สรรพคุณ หากรับประทาน จะทำให้เกิดการคลื่นไส้ อาเจียน และหากต้มชงดื่มจะช่วยแก้อาการจุกเสียด แนนท้อง และใบบานบุรี มีรสเมาร้อน คนโยราณใช้เป็นยาถ่าย หรือยาระบาย ทำให้กล้ามเนื้อของลำไส้หดเกร็งตัว ขับอาหารที่เป็นพิษ เปลือกและยางของบานบุรี มีรสเมาร้อน ใช้ปริมาณน้อย จะมีฤทธิ์เป็นยาถ่าย ช่วยขับน้ำดี ถ้าใช้ในปริมาณมาก จะเป็นพิษต่อระบบการเต้นของหัวใจ และทำให้เกิดอาการท้องเดินหรือท้องเสียได้ ส่วนข้อมูลบานบุรีเหลือง ของทางเภสัชวิทยา แจ้งบานบุรีเหลือง เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเซลล์ ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา และต้านเนื้องอก แต่ฤทธิ์ดังกล่าว ยังต้องมีการศึกษา ค้นคว้าววิจัยกันอีกต่อไป

ข้อควรระวัง ในการใช้สมุนไพร บานบุรีเหลือง ซึ่งเป็นพืชที่มีพิษพอกับความสวยงามของดอก การใช้บานบุรีเหลือง เป็นยาสมุนไพร นั้น จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง และใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะทุกส่วน ของต้นบานบุรีเหลือง ใช้ในปริมาณน้อย จะเป็นยาระบาย และทำให้เกิดการอาเจียน หากนำมาใช้มาก ๆ จะมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง และลำไส้บิดขดตัวอย่างแรง ทำให้ผุ้ที่รับประทานเข้าไปในปริมาณที่มาก อาจจะอาเจียนไม่หยุด ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย หมดแรง และอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ หากรับประทานยางหรือผลเข้าไปจะทำให้เกิดการอาเจียน , ท้องเดิน หรือท้องเสีย ท้องร่วงอย่างรุนแรง และจะมีอาการหายใจ ไม่สม่ำเสมอ อาจมีไข้ขึ้นสูง ถ้าหากร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่มาก ก็อาจทำให้ถึงแก่การเสียชีวิตได้ หากรักสามี หรือภรรยา มาก ก็ควรต้มให้ดื่ม รับประทานมาก ๆ เข้าไว้ จะได้หาใหม่ ไม่ต้องมัวแต่มานั่งทะเลาะกัน ให้อายลูก-หลาน.....ครับ

ทั้งลำต้นและยางของบานบุรี มียางสีขาว มีสารพิษที่ชื่อ digitalis ซึ่งออกฤทธิ์เป็นพิษต่อระบบหัวใจและเลือดภายในร่างกายของคนและสัตว์ หากรับประทานลำต้นหรือใบ ของบานบุรีเข้าไป จะเกิดอาการระคายเคืองเยื่อบุในปาก และในกระเพาะอาหารก่อน แล้วตามมาด้วยอาการคลื่นไส้ , อาเจียน ท้องเดิน , ปวดท้อง และปวดศีรษะ ถ้าหากรับประทานเข้าไป ในปริมาณที่มากพอ และล้างท้องไม่ทัน สารพิษดังกล่าวของบานบุรี จะถูกดูดซึมเข้าไป ผ่านทางลำไส้ และแสดงความเป็นพิษต่อระบบของหัวใจ มือสั่น จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว นั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของไกลโคไซด์ (glycoside) โดยวิธีการรักษาในขั้นต้น นั้น ให้รีบนำส่งโรงพยาบาล โดยเร็วที่สุด แล้วให้ทำการล้างท้อง และรักษาไปตามอาการ ถ้าจากผลการตรวจ คลื่นไฟฟ้าของหัวใจ หรือ EKG พบว่ามี Ventricular tachycardia หัวใจเต้นเร็วที่เกิดในหัวใจห้องล่าง ก็ควรให้ Potassium Chloride (โพแทสเซียมคลอไรด์) เป็นยาที่แพทย์มักแนะนำให้ผู้ที่มีระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำกว่าปกติ หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงใช้เพื่อชดเชยโพแทสเซียมที่สูญเสียไป ประมาณ ๕-๑๐ กรัม หรือให้ K+ (80 mEq/L) ส่วนอาการการเจ็บแขนอาจช่วยด้วยการนวด และประคบด้วยน้ำร้อน ผลและยางจากต้นบานบุรี จะมีพิษ สารที่เป็นพิษคือ Resin ซึ่งเป็นส่วนผสมของ Phenol และ Polycyclic acid หากยางจากต้นถูกผิวหนัง จะทำให้เกิดอาการอักเสบ แดงเป็นผืนคัน

ส่วนประโยชน์ของต้น บานบุรีเหลือง นั้น มักจะใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ตามสวน ริมถนน ตามทางเดิน หรือริมทะเล ใช้ปลูกคลุมดิน บานบุรีเป้นไม้เถาเลื้อย ที่สามารถตัดแต่งกิ่ง ให้เป็นทรงพุ่มได้ อีกทั้งบานบุรี ยังมีดอกที่สวยงาม เหมือนกับนางแบบในภาพ และบานบุรี ก็สามารถออกดอกได้ ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน จะออกดอก ดกมากเป็นพิเศษ ในช่วงฤดูแล้ง ในหน้าร้อนนี้ คลิ๊ก รับชม คริปภาพ วิดีโอ ได้ ที่ลิ้งค์ ด้านล่าง นี้ ขอให้มีความสุข ทุกท่าน ครับผม.
>>>https://www.facebook.com/siam.bunnag.999999999/videos/218340205442705/

: ข้อมูล “บานบุรีเหลือง” สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่ สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าฯ

: ศูนย์อนุรักษ์พันธุกรรมพืช อพ.สธ. คลองไผ่ หมู่ ๑ ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา สุดยอดทางวิชาการเกษตร
: สนุบสนุนโดย วัดนาสร้าง ญาติพี่น้องตระกูล บุนนาค = Bunnag เพื่อน กัลยาณมิตร พุทธศาสนิกชน สายบุญ ทั่วไทย
: เรียบเรียง โดย อ.ประพนธ์ บุนนาค (ฐานันดร ๔) นกน้อยในไร่ส้ม
: กาฟฟิก-ภาพ Bunnag (ครูแอ๊ด ข้าบดินทร์) #ศิษย์พระตถาคต
: ปชส. โดย # Bunnag #ผลิตสื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษา เผยแผ่พระพุทธศาสนา #พัฒนาวัด วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของไทย ปชส. สินค้าพื้นบ้านคุณภาพดี OTOP ท่องเที่ยว ทั่วไทย ออนไลน์
: รับโฆษณา ปชส. สินค้า ห้างร้าน บริษัท เพียงเดือนละสองพันบาท เพื่อหารายได้ จัดซื้ออุปกรณ์ ในการผลิตสื่อสาระข่าวสาร เป็นสะพานบุญ สร้างกุศลพัฒนาวัดกันต่อไป หรือ บริจาคได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ บัญชีเลขที่ 026-0-41000-6 ชื่อบัญชี Parpon Boonnak สาธุ ครับผม.

02/06/2025

*** #ผีพราย #นางตานี #ผีไทย แสนสวย หากอยู่ในสวนบ้านใคร นางมักที่จะ ให้โชค ให้ลาภ จริงหรือ!
: ขอขอบคุณภาพ ศิลปิน-เจ้าของภาพ แนะนำเรื่องโดย ดร. ชำนิ สายน้อย (นักวิชาการเกษตร อิสระ) และเรื่องราวผีพราย นางตานี จากสวนกาแฟ โรบัสต้า เนิน 491 อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ของ ดร. ณัฐพัชร์ อภิชาติรัตน์กุล (ปราชญ์เดินดิน นักวิชาการเกษตรอิสระเสรี) เล่าว่า ผี นั้นมีจริง บนโลกใบนี้ แล้วท่านผู้อ่าน คิดว่า ผี นั้นมีจริงหรือไม่ ? กว่าจะพิมพ์เสร็จ เล่นกันซะเมื่อยมือ ครับผม

ทุกชาติ แทบทุกศาสนาบนโลกใบนี้ เชื่อถือกัน ว่า มีพราย ภูติ ผี ปีศาจ อยู่บนโลกนี้จริง คนไทยก็เชื่อกันเยี่ยงนั้นเช่นกัน ผีไทยมีหลายรูปแบบ เชื่อกันว่า แล้วแต่กรรม ที่สร้างกันไว้บนโลกมนุษย์ ครั้งเมื่อยังมีชีวิตอยู่ เฉกเช่น ผีตานี หรือผีพรายนางตานี ผีตานี นั้น เป็นผีผู้หญิง ที่สิงสถิตย์อยู่ตามต้นกล้วย ผีตานีบางนางก็ปลายหวีเหี่ยว หิ้วหวีไป หิ้วหวีมา และมักจะปรากฎกาย ให้ผู้ชายได้เห็น หากอยู่คนเดียว (เพราะถ้าเห็นหลายคน มักจะโดนลุม) เช่นเดียวกันกับ "ผีขนุน" ซึ่งในอดีตนั้น มักจะอาศัยออกหากินกันในยามค่ำคืน ตามใต้ต้นขนุน แถวคลองหลอด (ทุ่งพระเมรุ สนามหลวง กทม.) จะปรากฎกายให้ผู้ชายได้เห็น ในเวลาพรบค่ำ ไปจนถึงเทียงคืน และจะหลับพักผ่อนกันในช่วงกลางวัน เพราะพวกเะอ ทนกับอากาศและแสงแดดที่ร้อนอบอ้าว ในเมืองหลวงของไทย กรุงเทพมหานคร กันไม่ค่อยจะไหวครับ

ในสมัยก่อนนั้น ตามต้นไม้ต่าง ๆ มักมีนางตานี หรือนางตะเคียนมาก จะสิงสถิตย์อยู่กันตามต้นไม้ต่าง ๆ แต่ก็ไม่ใช่ต้นไม้ ต้นตะเคียน หรือต้นกล้วยตานี ทุกต้น ที่จะมีพรายตานี เข้าไปสิงสถิตย์อยู่ ลักษณะของพรายตานี โดยทั่วไปแล้ว จะเป็นหญิงสาว ที่มีรูปร่างแลดูสวยงาม นุ่งห่มร่างกาย ตามแบบสตรีไทยโบราณ มักมีสไบสีตองอ่อน ผ้านุ่งโจงกระเบนสีตองแก่ กลิ่นกายหอมเหมือนดอกกล้วย แต่ในสมัยปจุบัน เสื้อผ้าอาภรณ์ มีราคาที่แพง และไม่มีใครนำเอาไปบริจาคให้ และหนุ่ม ๆ ชอบเห็นกัน แบบในภาพนี้กันมากกว่า ร่วมทั้งผู้ที่แนะนำเรื่องราวนี้ด้วย ครับ.555

เรื่องของการ อัญเชิญดวงวิญญาณ หรือเรียกพรายตานีนี้ มีหลายตำนาน บ้างก็เล่าขานกันไปว่า หากชายหนุ่มใด มีความประสงค์ ที่จะพบเห็น นางพรายตานี ให้ชายหนุ่มทั้งที่โสดและไม่โสด อายุไม่เกี่ยงขอให้ไหว ที่ต้องการพบเห็นและเรียกนางพรายนาตี มาให้พบเห็น ก็ให้ปัสสาวะรดโคนต้นกล้วย ที่กำลังออกปลีกล้วย ใหม่ ๆ หากนางเห็นพอใจในท้อน้ำทิ้ง ของชายผู้นั้น ก็จะออกมาจากต้นกล้วยที่สิงสถิตย์ ออกมาให้พบเห็น ในยามใกล้ค่่ำ แสงแดดอ่อน หรือที่เรียกกันว่า แสงแดดยามเย็น ผีตากผ้าอ้อม บ้างก็ว่า ให้เอาของลับ ท้อน้ำทิ้งถูกับโคนต้นกล้วย ดีว่านางนางพรายตานี สิงสถิตย์อยู่ในต้นกล้วย ถ้าเป็นต้นข่อย ที่มีใบข่อยดกหนา ก็คงจะสะใจกัน ครับผม.555

ในสารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๑๓ พิมพ์เป็นอัษรภาษาไทยไว้ ว่า ต้นกล้วยตานี นั้น เป็นที่สิงสถิตของ พรายนางตานี หรือผีพรายตานี คือ ผีตานี เป็นที่รู้จักกันดี ในหมู่คนรุ่นเก่า ๆ พรายนางตานี นี้ กล่าวกันว่า มีหน้าตาผิวพรรณที่สวยงาม และมีกลิ่นกายตัวหอม ไว้ผมยาว ฝ่ามือฝ่าเท้าเป็นสีแดงอ่อน ดุจเท้า ขา ของนกพิราบ และมีริมฝีปากที่มีสีเหมือนกับผลของลูกตำลึงสุก ถ้ากล้วยตานี มีลำต้นที่อวบ พรายนางตานีก็มีรูปทรงท้วมอวบ ถ้ามีลำต้นโปร่งเปลา พรายนางตานี ก็มีรูปร่างรูปทรงที่อ่อนแอ่น หุ่นเพียวบาง หนุ่ม ๆ ชอบแบบไหน ก็เลือกกันเอาเอง ตามความพึงพอใจกัน แต่ต้องในช่วงเย็น ๆ ใกล้ค่ำ ในยามที่แสงแดดอ่อน ๆ หรือที่เรียกกัน ว่า ตอนยามที่ผีตากผ้าอ้อม ครับ

ด้วยเหตุที่ ว่า นางพรายนางตานี เป็นภูตผี ชาวบ้านจึงไม่กล้าปลูกต้นกล้วยตานี ไว้ใกล้เรือน เพราะว่าแม่บ้าน ไม่ค่อยที่จะไว้ใจสามีสุดหล่อพ่อบ้านกัน เพราะแม้จะเป้นผี ก็ยังจะไม่ละเว้น รองถามสามีที่บ้านท่านดู ก็ได้ครับ.555หากจะปลูกไว้ในสวนหลังบ้านก็ได้ แต่สามีมักจะหายไปหลังบ้าน ในยามราตรี ตอนที่แม่บ้านหลับ ต้องจับล่ามโซ่กันไว้ให้ดีครับ หากถ้าจะตัดนำเอาใบตองของต้นกล้วยตานี นำไปใช้ ตำราว่าไว้ ห้ามไม่ให้ตัดเอาไปทั้งก้านกาบใบ จะต้องเจียน นำเอามาแต่ใบตอง เพียงเท่านั้น หรือไม่ก็ต้องตัด หักทั้งก้านไป แต่ต้องบอกกล่าวต้นกล้วย กันเสียก่อน ว่านำไปทำงานบุญ ห่ออาหาร ขนม ข้าวต้มถวายพระ นางพรายตานี จึงจะยินยอม เหมือนกับทำบุญร่วมด้วย เพราะถ้าตัดเอาเข้ามาทั้งกาบก้านใบ แล้วไม่ขอขมาบอกกล่าวก่อน และห้ามตัดกาบใบกล้วยต้นละ ๓ ก้านบ จะถือเป็นลางร้าย ที่มาจากคติเดิมที่กล่าวกัน ว่า มักจะใช้ใบตองกล้วยตานี สามใบ รองก้นโลงศพ ในเมื่อสมัยก่อน จึงห้ามตัด กาบก้านกล้วยตานี ต้นละถึง ๓ ก้านใบ เพราะกล่าวกันว่า จะต้องมีใครในบ้าน นั้นตายลงในไม่ช้า หากไม่ใช่ผู้ที่ไปตัดตองกล้วย ก็จะเป็นผู้ชายในบ้าน หรือสามี พ่อบ้าน หากภรรยาท่านใด เบื่อสามีที่บ้าน ที่ทำอะไรงุ่มง่ามไม่ทันใจภรรยา ก็ไม่ต้องไปตัดโค้นต้นกล้วยตานีกันครับ แค่ไล่สามี ให้ออกจากบ้าน แนะนำบอกให้ไปบวช ก็ยังได้กุศลผลบุญ มากกว่าไปโค้นต้นกล้วยตานีทิ้ง ครับผม.555

ในสมัยบรรพบุรุษ แต่เก่าก่อนมา หากใครปลูกต้นกล้วยตานี มักที่จะเป็นคหบดี หรือผู้ใจบุญ ใจกุศล ที่ชอบทำบุญ แต่ถ้าคราวที่ต้นกล้วยตานี ออกปลีกล้วย ก็อย่าไปโทศสามี ว่า เป็นคนทำ ก็มักจะมีพิธีการพลีกรรม รับขวัญปลีกล้วย ลูกนางพรายตานี เครื่องพลีกรรมรับขวัญ ปลีกล้วยนั้น จะมีหัวหมูบายศรี และสำรับกับข้าว อาหารคาว-หวาน ตามแต่จะหามารับขวัญปลีกล้วยตานี ของหวานก็มีขนมต้มแดง, ขนมต้มขาว, ถั่ว, งา และผลไม้ต่าง ๆ นอกจากนี้แล้ว ยังมีข้าวตอก, ดอกไม้, ธูป, เทียน, พวงมาลัยดอกมะลิ, เครื่องหอม ชนิดต่าง ๆ น้ำอบหอม และแป้งกระแจะจันทน์ เป็นต้น พร้อมนำเอาแหวน, กำไลและสร้อยคอทองคำ นำไปคล้องไว้ที่ งวงของปลีกล้วยตานี เป็นเครื่องประดับรับขวัญ พอให้เป็นพีธี พร้อมนำผ้าสี แดง, เขียว,เหลือง, หรือสีบานเย็น ให้ครบ ๓ สี นำไปพันผูก รอบต้นกล้วยตานี เหมือนกับว่า ได้นุ่งห่มอาพรให้แก่นางพรายตานี และอธิษฐานขอพร ให้นางพรายตานี ช่วยคุ้มครองรักษาคนในบ้าน ผู้ที่ปลูก ให้มีโชค ลาภ เกิดความเป็นศิริมงคล บางครั้งก็มักจะนิยมนิมนต์พระสงฆ์ มาสวดมนต์ ทำบุญที่บ้านด้วย พราหมณ์ หรือหมอที่ทำพิธี เซ่นวักสังเวยพลีกรรมแล้ว จะนำดอกในปลีกล้วยตานี ลูกกล้วย นำไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาบดให้เป็นผงผสมกับผงอิธเจ คือ ผงของดินสอพองสีขาว (มีมากใน จ.ลพบุรี) ที่ลงอัขระยันต์มงคล ซึ่งปลุกเสกจากพระอาจารย์แล้ว สำหรับนำไปใช้ในทาง เสน่ห์ เมตตา มหานิยม โดยนำไปใส่ไว้ในตลับสีผึ้ง ใช้ทาริมฝีปาก เพื่อเวลาที่เอ่ยปาก พูดคุย ทำธุรกิจ ค้าขายกับผู้ใด เชื่อกัน ว่า จะทำให้เกิด ความมีเสน่ห์ ทำให้ผู้ใหญ่มีเมตตา เป็นมหานิยม และถ้าหากฃายหนุ่มใช้ นำไปพูดคุยจีบผู้หญิงสาว ๆ ก็จะทำให้เกิดความรัก ความหลงขึ้นมาทันที และในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้หญิงทาสีผึ้งนี้แล้ว เมื่อเอ่ยปากพูดจา ค้าขายหรือ คุยกับผู้ชายหนุ่มใด ก็จะเกิดความรักนางขึ้นมาทันที เช่นเดียวกันครับ

ถ้าต้นกล้วยตานี ในสวนบ้านใคร ที่ได้ทำพิธีเซ่นวัก พลีกรรมแล้ว ออกปลีกลางลำต้น ก็จะถือกันว่า กล้วยตานีต้นนั้น มีนางพรายตานี มาสิ่งสถิตย์ อยู่ในต้นกล้วยต้นนั้นแล้ว ต้นกล้วยตานี ที่ออกปลีกลางต้นนี้ พวกชายหนุ่มที่ยังเป็นโสดอยู่ ถ้าเป็นผู้รู้เรื่องเกี่ยวกับพรายนางตานี ก็จะไปทำพิธีเซ่นวัก ในทำนองเดียวกันกับที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น แล้วมักจะไปที่ต้นกล้วยตานีนั้น ในเวลากลางคืนทุกคืน สุดแต่ที่โอกาสจะเอื้ออำนวยให้ พอไปถึงก็จะกล่าวคำ เกี้ยวประเล้าประโลมพรายนางตานี แต่ต้องหมั่นเพียรไปเกี้ยวนาง จนกว่าพรายนางตานีจะยอมใจอ่อน เห็นอกเห็นใจ ยอมพลีร่างให้ แล้วชายหนุ่มที่รู้วิธี จึงเอามีด เฉือนตอนหน่อ เหง้าของต้นกล้วยตานีเส็กน้อย แล้วนำเอามาแกะสลักเป็นรูปผู้หญิง ใส่ตลับหรือภาชนะอื่นไว้ แล้วต้องทำพิธีเซ่นวัก (เซ่นไหว้) เหง้า หรือหน่อของต้นกล้วยตานี นั้น ทุกเช้าและเย็น ให้ทำอย่างนี้ อยู่หลาย ๆ วัน พรายนางตานีก็จะมาปรากฏร่างให้เห็นในความฝัน เป็นผู้หญิงสาวรูปร่างหน้าตาสวยงาม สมดั่งที่ใจปรารถนา (หากมีเมีย ก็อย่าให้เมียจับได้ ไม่งั้นจะถูกไล่ ขับออกจากบ้าน ให้ไปบวช) ครับ.555 แล้วนางจะยอมตนเป็นเมียของผู้นั้น เมื่อได้นางพรายตานีมาเป็นเมียแล้ว ชายผู้นั้นก็จะไปมีเมียอื่นอีกไม่ได้ ถ้าหากมีผู้หญิงคนนั้น ก็มักจะมีอันเป็นไป ถ้าต้องการที่จะมีเมีย มีลูกจริง ๆ ก็อาจทำได้ แต่ต้องบอกกล่าว ขออนุญาตเมียนางพรายตานีก่อน อยู่ที่นางพรายตานี จะยินยอมหรือเปล่า เท่านั้น นางพรายตานี นั้น จะเป็นเมียที่ดี เมื่อเห็นสามี มี่ความซื่อสัตย์ ไม่ปิดบังความจริงใด ๆ แก่นาง ก็อาจจะอนุญาตให้มีเมียเป็นมนุษย์ได้ ซ้ำยังจะช่วยเหลือในการทำมาหากิน เพื่อให้กิจการ การงานใด ๆ นั้นสำเร็จ ลุล่วงไปได้ด้วยดี จะไม่มีคำว่าหึงหวง เหมือนกับที่มีเมียเป็นมนุษย์ครับ

แต่คนในสมัยแต่เก่าก่อน นั้น บ้างก็เชื่อกันว่า หากผู้ใดที่ได้นางตานีมาเป็นเมียก็มักจะต้องมีอันเป็นไป เพราะพลังชีวิตของผู้ที่เป้นสามีนางพรายตานี นั้น จะถูกนางพรายตานี ดูดกลืนชีวิตไป ทำให้อายุไข ชีวิตผู้นั้นสั้นลงทุกวัน แต่ถ้าหากเรานำลัทธิเต๋าของจีน มาเปรียบเทียบกันกับในเรื่องนี้ คือเรื่องของนางพรายตานี ที่เธอเป็นภูตผีผู้หญิง ซึ่งก็คือพลังของหยิน ส่วนผู้ชายนั้น คือพลังหยาง นางพรายตานี เป็นผีที่มีพลังหยินที่่อ่อนมาก พลังหยางที่อยู่ในผู้ชายที่เป็นมนุษย์ จึงถูกถ่ายทอดไปที่นางพรายตานี เพื่อให้เกิดความสมดุล แต่การถ่ายทอดพลังชีวิตนั้น จะเป็นอันตรายต่อฝ่ายชายสามี ที่เป็นมนุษย์ ดังคำโบราณ ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่า คนควรอยู่ส่วนคน ผีก็ควรอยู่ส่วนผี ซึ่งคนกับผีจะอยู่ร่วมกันมิได้ ส่วนผลของการถ่ายทอดพลังชีวิต ให้กับนางพรายตานี ของฝ่ายชายผู้เป็นสามี นั้น จะสังเกตุเห็นได้ง่าย คือ ร่างกายจะซูบผอม แก้มตอบเมื่อกับคนขาดสารอาหาร หรืออดอาหาร ชาวบ้านมักจะสังเกตุดูอาการ ของผู้ชายคนนั้นได้ และดูรู้ทันทีว่า ผุ้ชายคนนั้น มีเมียเป็นนางพรายตานี ก็มักจะนิมนต์พระอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ หรือเชิญหมอผี ที่มีวิชาอาคมแก่งกล้า มาทำพิธีกรรม ตัดความผูกพัน ระหว่างคนกับผี ให้ทั้งสอได้งแยกจากกันไป และอุทิศส่วนกุศลให้นางพรายตานี ไปสู่สุขคติภพ สาธุ ครูแอ๊ดก็เป็นห่วง เจ้าของเรื่องจะโดน เพราะมีสวนกล้วยอยู่ในพื้นที่ และมีอาการ ที่ดูคล้ายกัน แม่บ้านคอยสังเกตุ จับตาดูกันด้วย ครับผม.555

: เรียบเรียง โดย อ.ประพนธ์ บุนนาค (นกน้อยในไร่ส้ม #ฐานันดร ๔)
: กาฟฟิก-ภาพ โดย #ครูแอ๊ด ข้าบดินทร์ #ศิษย์พระตถาคต
: ปชส. โดย #ผลิตสื่อสาระข่าวสาร สนับสนุน #ช่วยเหลือสังคมไทย ด้านการศึกษา เผยแผ่พระพุทธศาสนา พัฒนาวัด วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงาม ปชส. #สินค้าพื้นบ้าน คุณภาพดี ท่องเที่ยว ทั่วไทย ออนไลน์ รับ โฆษณา ปชส. สินค้า #ห้างร้าน #บริษัท เดือนละแค่เพียงสองพันบาท เพื่อนำไปจัดซื้อหาอุปกรณ์ ในการผลิตสื่อสาระข่าวสาร เป็นสะพานบุญกันต่อไป หรือบริจาคได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ สาขาฟิวเจอร์พาคร์ รังสิต บัญชีเลขที่ 026-0-41000-6 สาธุ ครับผม.

ที่อยู่

ทุกวัด ทั่ว
ไทย

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Sdfsdfผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์