17/09/2025
📌 สถานการณ์ที่เกิดขึ้น
1. รพ.เอกชนทยอยถอนตัวจากระบบหลักประกันสุขภาพ
•ไม่เข้าร่วม “ประกันสังคม (ปกส.)” และ “บัตรทอง (30 บาท/รักษาทุกที่)”
•ทำให้ผู้ประกันตนและประชาชนสิทธิรักษาถ้วนหน้าต้องย้ายไปใช้บริการที่รพ.รัฐ หรือรพ.เอกชนขนาดกลาง-เล็กที่ยังอยู่ในระบบ
2.รพ.รัฐ เปิดพรีเมี่ยมคลินิกมากขึ้น
•เจาะกลุ่ม จ่ายเงินเอง / มีประกันเอกชน
•เกิด “2 track system” ในโรงพยาบาลเดียวกัน → คนจ่ายเงินได้บริการเร็วกว่า คุณภาพสูงกว่า
3.ผลที่ตามมากับประชาชนทั่วไป
•คนใช้สิทธิบัตรทอง/ปกส. : เวลารอคิวยาวขึ้น, คุณภาพบริการลดลง, ต้องเดินทางไกลถ้ารพ.ใกล้บ้านถอนตัว
•คนมีเงินหรือมีประกันเอกชน : ได้สิทธิเลือกมากขึ้น และใช้ “Premium track” ได้
•ความเหลื่อมล้ำ : จะชัดเจนขึ้นมากในระดับท้องถิ่น → คนจนเข้าไม่ถึงการรักษาที่รวดเร็วและมีคุณภาพ
📌 สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
•Overload รพ.รัฐ → คิวตรวจยาว, บุคลากรเครียด, คุณภาพการดูแลลดลง
•ชุมชนเปราะบางเสี่ยงหลุดจากระบบ เช่น ผู้สูงอายุ, คนพิการ, คนหาเช้ากินค่ำ
•แรงกดดันให้คนซื้อประกันสุขภาพเอง แม้รายได้ไม่สูง → เกิดภาระทางการเงิน (Out-of-pocket burden)
•ความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพในสังคมไทยสูงขึ้นเรื่อย ๆ
📌 แนวทางสำหรับ ผู้บริหารท้องถิ่น ทำได้อย่างไร ผมแนะนำแบบนี้ครับ:
แม้อำนาจด้านสาธารณสุขจะอยู่กับกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลัก แต่ระดับท้องถิ่นสามารถ บรรเทาผลกระทบ และ สร้างระบบเสริม ได้ดังนี้
1) สร้างเครือข่ายสุขภาพระดับท้องถิ่น (Local Health Network)
•สนับสนุน ศูนย์สุขภาพชุมชน / รพ.สต. ให้เข้มแข็ง → ตรวจโรคเบื้องต้น, คัดกรองโรคเรื้อรัง, บริการดูแลผู้สูงอายุ
•ลงทุนเพิ่มแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป, Telemedicine, Mobile Clinic มาช่วยลดภาระรพ.รัฐใหญ่
2) โครงการเสริมประกันสุขภาพเทศบาล (Municipal Health Fund)
•ตั้งกองทุนสวัสดิการสุขภาพเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ (โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย)
•เช่น เทศบาลร่วมจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพเอกชนบางส่วน, หรือเจรจากับรพ.เอกชนในพื้นที่ให้มี “แพ็กเกจราคาพิเศษ”
3) Partnership กับรพ.เอกชนในพื้นที่
•ทำ MOU ให้รพ.เอกชนจัดบริการราคาพิเศษสำหรับประชาชนในพื้นที่ (เฉพาะโรคพื้นฐาน/OPD)
•สนับสนุนงบเทศบาล → ซื้อบริการบางส่วน (เช่น ตรวจสุขภาพ, วัคซีน, ฝากครรภ์) เพื่อลดภาระรพ.รัฐ
4) พัฒนา Telehealth และ Smart Health City
•ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล → คนไข้สามารถปรึกษาหมอเบื้องต้นออนไลน์ เพื่อลดความแออัด
•เก็บ Big Data สุขภาพในพื้นที่ → ใช้ทำ Policy เฉพาะท้องถิ่น (เช่น เบาหวาน ความดันในคนสูงวัย)
5) รณรงค์และป้องกันมากขึ้น (Prevention > Cure)
•เทศบาลทำงานเชิงรุก: ส่งเสริมการออกกำลังกาย, อาหารปลอดภัย, ตรวจสุขภาพประจำปีฟรี
•ลด “Demand การเจ็บป่วย” ที่จะดันให้รพ.รัฐล้น
📌 บทบาทเชิงนโยบาย
•เสนอให้กระทรวง/สปสช. เพิ่มงบเหมาจ่ายรายหัว เพื่อจูงใจรพ.เอกชนกลับเข้าร่วม
•ดันนโยบาย Universal Coverage 2.0 ที่รวม 3 กองทุน (บัตรทอง, ประกันสังคม, ข้าราชการ) ให้สิทธิการรักษาใกล้เคียงกัน ลดความเหลื่อมล้ำ
•ผลักดันกฎหมายสนับสนุน เทศบาลซื้อบริการสุขภาพเสริม ได้อย่างถูกต้องและโปร่งใส
ทั้งหมดเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ อาจจะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่สังคมเรากำลังกลายเป็นสังคมสูงอายุการเตรียมพร้อมไว้ไม่เสียหายอะไร ยังไงกันไว้ก็ดีกว่าแก้