Dhamma.watchmekorat.com

19/06/2025

https://www.blockdit.com/posts/685414d9dca01fc1a53c9cb6

ฟังธรรมะ แบบสไตล์ พอดแคสต์ สรุปมาให้ฟังเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ฟังแล้วสนุก สบายใจ จากบทความ https://dhamma.watchmekorat.com/%E0%B8%82%E0%B...

17/06/2025

https://youtu.be/UiKaMML-IbQ
#ธรรมะ #ฟัง #ฟังธรรมะ #สมาธิ

ฟังธรรม สไตล์ PODCAST เข้าใจง่าย ๆ สรุปและเน้นจุดสำคัญของบทความ ให้เข้าใจง่าย ๆ ฟังเป็นสุข จิตสงบ จากทีมงาน Watch Me Kor...

15/06/2025

https://youtu.be/l6lZTpVdLic

ฟังธรรม สไตล์ PODCAST เข้าใจง่าย ๆ สรุปและเน้นจุดสำคัญของบทความ ให้เข้าใจง่าย ๆ ฟังเป็นสุข จิตสงบ จากทีมงาน Watch Me Kor...

16/05/2025

ประวัติพระพุทธเจ้า (The Buddha) ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน

ประวัติพระพุทธเจ้า หรือ พุทธประวัติ จะแบ่ง 7 ช่วงเหตุการณ์ และ รวมถึง คำสอนสำคัญที่เป็นหัวใจของการปฏิบัติ และจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา ในเหตุการณ์สำคัญของพุทธประวัติ ซึ่งมีดังต่อไปนี้

Detailed Biography of the Buddha (Siddhartha Gautama)

1. พระราชสมภพ (การประสูติ)
2. พระชนมชีพในวัง (ช่วงวัยเยาว์)
3. การเสด็จออกผนวช (มหาภิเนษกรมณ์)
4. การแสวงหาทางตรัสรู้
5. การตรัสรู้ (ได้เป็นพระพุทธเจ้า)
6. การประกาศธรรม / แสดงปฐมเทศนา
7. ปรินิพพาน
8. คำสอนสำคัญของพระพุทธเจ้า

พระราชสมภพ (การประสูติ)
พระพุทธเจ้าทรงพระนามเดิมว่า “สิทธัตถะ” (แปลว่า “ผู้สำเร็จสมประสงค์”) ทรงเป็นพระโอรสของ พระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์แห่งศากยวงศ์ และ พระนางสิริมหามายา แห่งกรุงเทวทหะ แห่งแคว้นโกศล

พระองค์ประสูติเมื่อประมาณ 623 ปีก่อนคริสต์ศักราช (หรือราว พุทธศักราช 80) ณ สวนลุมพินีวัน ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเทวทหะ (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล)

เมื่อประสูติได้ 7 วัน พระนางสิริมหามายาก็สิ้นพระชนม์ พระสิทธัตถะจึงทรงได้รับการเลี้ยงดูโดย พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระมาตุจฉา (น้องสาวของพระนางสิริมหามายา)

พระราชาได้เชิญนักปราชญ์นามว่า อาสิตดาบส มาทำนายพระลักษณะ และได้รับคำทำนายว่า หากทรงอยู่ครองราชย์จะเป็น จักรพรรดิราชา แต่ถ้าออกบวชจะเป็น ศาสดาเอกของโลก

พระชนมชีพในวัง (ช่วงวัยเยาว์)
พระเจ้าสุทโธทนะพยายามทุกวิถีทางให้เจ้าชายสิทธัตถะครองราชย์ เช่น ให้ประทับอยู่ในวัง 3 ฤดู มีความสุข สบาย ไม่ให้เห็นความทุกข์ของโลก แต่เจ้าชายสิทธัตถะมีพระอุปนิสัยใฝ่ธรรม ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

เมื่อมีพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภิเษกกับ พระนางยโสธรา (หรือพิมพา) และมีพระโอรสนามว่า ราหุล

การเสด็จออกผนวช (มหาภิเนษกรมณ์)
เมื่อพระชนมายุได้ 29 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จประพาสเมือง 4 ครั้ง และได้เห็น “เทวทูต 4” คือ

คนแก่
คนเจ็บ
คนตาย
สมณะ
ซึ่งทำให้ทรงตระหนักถึง ความทุกข์ของชีวิต และเริ่มคิดค้นทางพ้นทุกข์ จึงทรงตัดสินใจ เสด็จออกผนวช โดยเสด็จออกจากวังในยามดึก (เรียกว่า “มหาภิเนษกรมณ์”) ทรงขี่ม้ากัณฐกะ พร้อมนายฉันนะ และโกนพระเกศาที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา

การแสวงหาทางตรัสรู้
พระสิทธัตถะทรงออกแสวงหาความรู้จากสำนักครูชื่อ อาฬารดาบสกาลามโคตร และ อุทกดาบสรามบุตร แต่เห็นว่ายังไม่ใช่หนทางหลุดพ้น

ต่อมาทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา (ทรมานตนเอง) ณ ป่าอุรุเวลาเสนานิคม เป็นเวลา 6 ปี จนเกือบสิ้นพระชนม์ และทรงตระหนักว่า การทรมานตนไม่ใช่ทางแห่งการหลุดพ้น ทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา และหันมารับข้าวมธุปายาสจาก นางสุชาดา

การตรัสรู้ (ได้เป็นพระพุทธเจ้า)
หลังจากเสวยข้าวแล้ว ทรงนั่งสมาธิใต้ต้น โพธิ์ ณ พุทธคยา (ปัจจุบันอยู่ในอินเดีย) โดยทรงตั้งจิตมั่นว่า “แม้เลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไป แต่จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้ จนกว่าจะได้บรรลุธรรม”

เมื่อถึง รุ่งอรุณของวันเพ็ญเดือน 6 พระองค์ได้ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงรู้แจ้ง อริยสัจ 4 และ ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนา

การประกาศธรรม / แสดงปฐมเทศนา
หลังตรัสรู้แล้ว 7 สัปดาห์ พระองค์ทรงแสดงธรรมครั้งแรก (ปฐมเทศนา) แก่ ปัญจวัคคีย์ 5 รูป ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี ธรรมที่แสดงคือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

ผลคือ โกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม กลายเป็นพระอรหันต์องค์แรก

จากนั้นพระองค์ทรงเผยแผ่ธรรมทั่วชมพูทวีปเป็นเวลา 45 ปี มีพระสาวกมากมาย เช่น พระอานนท์, พระสารีบุตร, พระโมคคัลลานะ, พระมหากัสสปะ ฯลฯ

ปรินิพพาน
เมื่อพระชนมายุ 80 พรรษา พระพุทธเจ้าเสด็จไปยัง เมืองกุสินารา และเสด็จดับขันธปรินิพพานที่ สาลวโนทยาน (ระหว่างต้นรัง 2 ต้น) การปรินิพพานของพระองค์ไม่ใช่การตาย แต่คือการพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง

อ่านได้ทั้งหมดได้ที่ตามลิงค์

https://dhamma.watchmekorat.com/%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%9e%e0%b8%b8%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b9%89%e0%b8%b2-the-buddha/

#พระพุทธเจ้า #ประวัติพระพุทธเจ้า

10/05/2025

05/01/2025

27/11/2024

การที่เราทุกข์นั้น เราจะได้ยินคำสอนหนึ่งที่เรียก อุปาทาน 4 หรือ การที่เราไม่ปล่อยวาง เข้าไปยึดมั่นถือมั่นไว้ ทำให้เกิดความสงสัยว่าเหตุใดจิตเข้าไปยึดนั่้นมีอะไรทีทำให้เรานั้นถือกองทุกข์เหล่านั้นไว้ แล้วทำให้สัตว์โลกทั้งหลาย ต้องเวียนว่ายตายเกิดกันมากมาย ซึ่งกองทุกข์ที่ว่านั้นก็คือ ขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สังขาร สัญญา วิญญาณ

อุปาทาน 4 คืออะไร มีความหมายอย่างไร
อุปาทาน หมายถึง การยึดมั่นถือมั่น

ในจูฬสีหนาทสูตร พระโคตมพุทธเจ้าตรัสว่าอุปาทานมี 4 อย่าง ได้แก่

กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม
ความยึดมั่นติดอยู่ในกาม คือ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์
ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในทิฏฐิ
มีความยึดติดในความคิดเห็นของตัวเอง ว่าความเห็นว่าเรานั้นถูก คนอื่นคิดผิด ไม่มองเหตุปัจจัยอะไร
สีลัพพัตตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและวัตร
ความลังเลสงสัยในวัตรปฏิบัติ
อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในวาทะว่ามีอัตตา
ความยึดถือ ยึดมั่นในความเป็นตัวตน ว่านี่เป็นเรา นี่เป็นของเรา เช่น ของที่เราซื้อ ที่มีในบ้าน เป็นของเรา ที่ดิน นั้นเป็นของเรา ไม่เข้าใจในการสมมุติที่ปรุงเเต่ง เพราะในความเป็นจริงนั้น ที่ดินก็คือดินไม่ได้เป็นของใคร แต่เราไปสมมุติในโลกกัน่วาอันนี้ของฉันของเรา

#ธรรมะ #อุปทาน4 #อุปทาน
https://dhamma.watchmekorat.com/%e0%b8%ad%e0%b8%b8%e0%b8%9b%e0%b8%b2%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99-4/
อ่านเพิ่มเติม

เครดิต https://th.wikipedia.org/wiki/

17/11/2024

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ได้ให้ความหมายของคำว่าอภัยทานดังนี้
อภัยทาน คือ การยกโทษให้ คือการไม่ถือความผิดหรือการล่วงเกินกระทบกระทั่งว่าเป็นโทษ อภัยทานนี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ เช่นเดียวกับทานทั้งหลายเหมือนกัน คืออภัยทานหรือการให้อภัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด จะยังจิตใจของผู้นั้นให้ผ่องใสพ้นจากการกลุ้มรุมบดบังของโทสะ อันใจที่แจ่มใส กับใจที่มืดมัว ไม่อธิบายก็น่าจะทราบกันอยู่ทุกคนว่าใจแบบไหนที่ยังความสุขให้เกิดขึ้นแก่ เจ้าของ ใจแบบไหนที่ยังความทุกข์ให้เกิดขึ้น และใจแบบไหนที่เป็นที่ต้องการ ใจแบบไหนที่ไม่เป็นที่ต้องการเลย

ความจริงนั้น ทุกคนที่สนใจบริหารจิต จะต้องสนใจอบรมจิตให้รู้จักอภัยในความผิดทั้งปวง ไม่ว่าผู้ใดจะทำแก่ตน แม้การให้อภัยจะเป็นการทำได้ไม่ง่ายนัก สำหรับบางคนที่ไม่เคยอบรมมาก่อน แต่ก็สามารถจะทำได้ด้วยการอบรมไปทีละเล็กละน้อย เริ่มแต่ที่ไม่ต้องฝืนใจมากนักไปก่อนในระยะแรก

ตัวอย่างเช่น เวลาขึ้นรถประจำทางที่มีผู้โดยสารคอยขึ้นรถอยู่เป็นจำนวนมาก หากจะมีผู้เบียดแย่งขึ้นหน้า ทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ถ้าเกิดโกรธขึ้นมาไม่ว่าน้อยหรือมาก ก็ให้ถือเป็นโอกาสอบรมจิตใจให้รู้จักอภัยให้เขาเสีย เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรถือโกรธกันหนักหนา เป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกินควรจะอภัยให้กันได้ แต่บางทีไม่ตั้งใจคิดเอาไว้ก็จะไม่ทันให้อภัยจะเป็นเพียงโกระแล้วจะหายโกรธ ไปเอง

โกรธแล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ้งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น”

https://dhamma.watchmekorat.com/%e0%b8%ad%e0%b8%a0%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99/
อ่านเพิ่มเติมเรื่องอภัยทาน และธรรมะดี ๆ

#อภัยทาน #ธรรมะ #พรหมวิหาร4 #เมตตา

04/11/2024

ฌาน 4 คืออะไร จากปฐมฌานสู่จตุตถฌานของจิต

ฌาณ คืออะไร
ลักษณะภาวะของจิต ที่สงบจากการปฏิบัติสมาธิ ภาวนา เพ่งจิตสมาธิจนเป็น อัปปณาสมาธิ

อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เป็นการเจริญสมาธิในขั้นฌาน ถือเป็น ความสำเร็จสูงสุดของการเจริญสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป

อัปปะนาสมาธิของปฐมฌาน เปรียบดังเด็กที่วิ่งได้อย่างคล่องแคล่ว

เมื่อนั่งสมาธิตามลำดับหลังจากที่ได้ฝึกปฏิบัติจนแน่ว และมาตามลำดับตั้งแต่

ขณิกสมาธิ การนั่งสมาธิที่เริ่มต้น จิตเริ่มเป็นสมาธิ แต่ก็ตั้งได้เดี๋ยวเดียวก็ จะนึึกถึงอย่างอื่น ๆ แต่ก็จะกลับมารู้สึกตัวได้ง่าย ลักษณะจิตเหมือน เด็กที่กำลังตั้งไข่
อุปปจารสมาธิ มีอารมณ์กับความแน่วแน่มาขึ้น เริ่มเฉียด ๆ ฌาน เปรียบเหมือน เด็กนั้นเริ่มเดินได้คล่องแคล่ว หลังจากที่พ้นจากวัยตั้งไข่ แต่ยังวิ่งไม่คล่อง
อัปปณาสมาธิ มีอารมณ์ที่ลงร่วมเพ่งในความสงบเป็นที่ตั้งและเกิด ฌาน

รูปฌาน ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ ฌานที่เป็นรูปาวจร ได้แก่

ปฐมฌาน ( ฌานที่ 1 ) ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา
ทุติยฌาน ( ฌานที่ 2 ) ประกอบด้วย ปิติ สุข เอกัคคตา
ตติยฌาน ( ฌานที่ 3 ) ประกอบด้วย สุข เอกัคคตา
จตุตถฌาน ( ฌานที่ 4) ประกอบด้วย อุเบกขา เอกัคคตา

อ่านเพิ่มเติม
https://dhamma.watchmekorat.com/%e0%b8%8c%e0%b8%b2%e0%b8%99-4/

#ฌาน8 #ฌาน4 #ฌาน #สมาธิ #นั่งสมาธิ

01/11/2024

31/10/2024

โลกธรรม 8 คืออะไร ธรรมชาติของมนุษย์ที่ครอบงำสัตว์โลก

ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมมีจิตพื้นฐานจากกิเลส และ กรรมมาเป็นของดั้งเดิม โลกธรรม 8 เป็นอีกหนึ่งหลักธรรมที่อธิบายให้รู้ถึงความเป็นธรรมดาของโลกกับมนุษย์ที่มีนิสัยติดตัวมา เมื่อเรารับรู้แล้ว ก็ทำความเข้าใจเพื่อให้ปล่อยวางและปล่อยให้มันเป็นไป จะได้จากโลกนี้ไปโดยไม่ต้องติดค้างหรือเข้าไปยึดให้จิตทุกข์

โลกธรรม 8 คืออะไร
โลกธรรมทั้ง8นั้น หมายถึง ธรรมดาของโลก เรื่องของ ธรรมชาติของโลกที่ครอบงำสัตว์โลก และต้องเป็นไปตามนี้ โดยมี 8 ประการอันประกอบด้วย

โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ คือ พอใจของมนุษย์ เป็นที่รักเป็นที่ปรารถนา

ลาภ หมายความว่า ได้ผลประโยชน์ ได้มาซึ่งทรัพย์
ยศ หมายความว่า ได้รับฐานันดรสูงขึ้น ได้อำนาจเป็นใหญ่เป็นโต
สรรเสริญ คือ ได้ยิน ได้ฟัง คำสรรเสริญคำชมเชย คำยกย่อง เป็นที่น่าพอใจ
สุข คือ ได้ความสบายกาย สบายใจ ความเบิกบาน บันเทิงใจเริงใจ

เครดิต
https://dhamma.watchmekorat.com/%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%81%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1-8/

#โลกธรรม8 #สรรเสริญนินทา #ธรรมะ #หลักธรรมคำสอน