Walk on My Way "I love sharing little pieces of my world — photos I take, music I enjoy, books I read, places I’ve been, and my thoughts on life and the world around me.

Just whatever’s on my heart at the moment."

🇨🇭 Does Thailand Have to Accept and Treat Wounded Enemy Soldiers?Answer: Not necessarily. It depends on custody, not jus...
02/08/2025

🇨🇭 Does Thailand Have to Accept and Treat Wounded Enemy Soldiers?

Answer: Not necessarily. It depends on custody, not just humanitarian requests.
✅ Summary (in English)
Thailand is not obligated to accept or treat enemy combatants
who are not yet in Thai custody.
If wounded soldiers are still in their own territory or under their own control,
Thailand has no duty under the Geneva Conventions to accept them.
However, if wounded or sick enemy soldiers
Surrender to Thailand
Cross into Thai territory and are captured
Are otherwise under Thai control
and are no longer capable of fighting
→ Then Thailand must provide humane medical care,
as required by the Geneva Conventions.
If a warring party requests Thailand to take in their wounded,
but those individuals are still outside Thai control,
→ Thailand may refuse based on national discretion.
There is no automatic legal obligation.

📘 Key Legal Reference
Geneva Convention (IV) relative to the Protection of Civilian Persons in Time of War (1949), Article 12:
"Members of the armed forces and other persons mentioned... who are wounded or sick, shall be respected and protected in all circumstances. They shall be treated humanely and cared for by the Party to the conflict in whose power they may be..."
📎 Source (ICRC database):
https://ihl-databases.icrc.org/en/ihl-treaties/gciv-1949/article-12

🧭 Conclusion
Humanitarian care is required when wounded persons are in the power of Thailand.
No obligation exists to take in those outside Thai control.
It is a matter of state discretion, not international legal duty

RE: Geneva Convention (IV) 1949, Article 12:

*** ** * -

🇹🇭 ไทยจำเป็นต้องรับทหารบาดเจ็บของฝ่ายคู่สงครามมารักษาหรือไม่?

คำตอบ: ไม่จำเป็น เว้นแต่บุคคลนั้นจะอยู่ในความควบคุมของไทยแล้ว

✅ สรุปใจความสำคัญ

1. ไทยไม่มีพันธกรณีต้องรับหรือรักษาทหารฝ่ายตรงข้าม
หากบุคคลนั้น ยังไม่ได้อยู่ในการควบคุมของฝ่ายไทย
เช่น ยังอยู่ในประเทศของตนเอง หรือยังไม่ข้ามเขตแดน
→ เจนีวาไม่บังคับให้ไทยต้องรับตัวมารักษา

2. แต่หากบุคคลนั้น

ยอมจำนนต่อฝ่ายไทย

ข้ามแดนมาและถูกควบคุมตัว

อยู่ในเขตอำนาจของไทย
และ หมดความสามารถในการสู้รบ
→ ไทยมีหน้าที่ ให้การรักษาอย่างมีมนุษยธรรม
ตามพันธกรณีในอนุสัญญาเจนีวา

3. หากมีฝ่ายสงครามร้องขอให้ไทยรับผู้บาดเจ็บ
แต่บุคคลเหล่านั้นยังอยู่นอกเขตไทย
→ ไทยมีสิทธิ์ปฏิเสธได้
เพราะเป็น ดุลยพินิจของรัฐไทย
ไม่ใช่ข้อบังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ

📘 อ้างอิงจากกฎหมายระหว่างประเทศ

อนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 ปี 1949 ข้อ 12 ระบุว่า:

> “ผู้สังกัดในกองทัพและบุคคลอื่นที่บาดเจ็บหรือป่วย จะต้องได้รับความเคารพและความคุ้มครองในทุกกรณี และต้องได้รับการรักษาโดยมนุษยธรรมจากฝ่ายที่บุคคลนั้นตกอยู่ในอำนาจ”

(ต้นฉบับภาษาอังกฤษ: “They shall be treated humanely and cared for by the Party to the conflict in whose power they may be…”)

📎 แหล่งอ้างอิง (ICRC):
https://ihl-databases.icrc.org/en/ihl-treaties/gciv-1949/article-12

📌 สรุปอีกครั้ง

หากบุคคลยัง ไม่อยู่ในมือของไทย → ไม่ต้องรับ

หากบุคคล อยู่ในมือของไทยแล้ว → ต้องดูแลตามหลักมนุษยธรรม

28/07/2025

ฝ่ายการเมืองของอิงค์ ไม่กล้าชนฮุนเซนอย่างชัดเจน เพราะผูกโยงกับความสัมพันธ์ส่วนตัวของ “พ่ออิงค์” และประวัติทางการธุรกิจ ระหว่าง 2 ตระกูล
การช่วยเหลือแบบให้เปล่าเขมร (เม.ย. 68) ทั้งที่เพิ่งมีเหตุขุดคูเรต เป็นพฤติกรรมที่ “ไม่สอดคล้องกับภัยคุกคามจริง”

การพูดว่า “อิงค์ปราบคอลเซนเตอร์” ฟังไม่ขึ้น เพราะ ทุกพฤติกรรมก่อนหน้าล้วนไม่สอดคล้อง

ไทม์ไลน์ชี้ชัดว่า “คอลเซนเตอร์” ถูกหยิบมาใช้ หลังจากโดนแรงกดดันจากคลิปเสียง + ยิงข้ามแดน + ทหารเหยียบทุ่น แล้วเท่านั้น

รัฐบาลดู ไร้ยุทธศาสตร์ตอบโต้ และยังคงเน้น “ภาพลักษณ์” มากกว่าความมั่นคง

ขอบคุณผู้เขียน

https://www.facebook.com/share/p/1ELFixKoeE/

Send a message to learn more

ขอความร่วมมือจ่ะ
24/07/2025

ขอความร่วมมือจ่ะ

S*X in Modern Relationships — EP.3 รักบนโลกใหม่ — มีเซ็กซ์อย่างไรไม่ให้เสียใจ 💔 ลูกจะรักใครก็ได้ แต่ขอให้รอดกลับมาทั้งตั...
23/07/2025

S*X in Modern Relationships — EP.3

รักบนโลกใหม่ — มีเซ็กซ์อย่างไรไม่ให้เสียใจ 💔

ลูกจะรักใครก็ได้ แต่ขอให้รอดกลับมาทั้งตัว และหัวใจ

🕯️เรามาลองสร้างบทสนทนาที่เรียบง่าย จริงใจ เพื่อสื่อความหมาย “แค่ก้าวเดียว... ถ้าผิดทาง ก็กลับไม่ได้” :

“ไม่ว่าเธอจะมีเซ็กซ์เพราะรัก หรือแค่เพราะอยากลอง… เราจะไม่ตัดสินกัน”

“ถ้าเรารู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง รู้จักมองคนให้ลึกกว่าโปรไฟล์ และสื่อสารกับอีกฝ่ายอย่างซื่อตรง ความสัมพันธ์นี้จะไม่กลายเป็นหลุมพรางที่เราต้องดึงตัวเองขึ้นมาคนเดียว”

"ผู้หญิงเราไม่ได้อ่อนแอหรอก แต่ในบางสถานการณ์... ร่างกายเราเล็กกว่า เสียงเราดังกว่านี้ก็ไม่มีใครได้ยิน และถ้าใจเรายังไม่แข็งพอ เราอาจพังทั้งที่ยังยิ้มละไม"

💔 S*x ไม่ใช่ของแสลง...

แต่ถ้าให้ใครเข้ามาโดยไม่รู้ว่าเขาเห็นค่าเราหรือแค่ใช้เรา — เราอาจไม่ได้กลับออกมาเป็นคนเดิมอีกเลย
อย่าปล่อยให้เสรีภาพกลายเป็นกับดัก
อย่าปล่อยให้คำว่า “กล้า” บดบังคำว่า “ปลอดภัย”

เธอมีค่าพอจะรอ... จนเจอคนที่แตะเธอด้วยหัวใจ 💗 ไม่ใช่แค่มือสัมผัส

👂 น้ำเสียงนี้ไม่ใช่การสั่งห้าม
แต่เป็น “เสียงพูดคุย” กับหญิงสาวอย่างเปิดอก, จริงใจ, และอยากให้เธอรอดปลอดภัย

หรือ เราจะลองเขียนจดหมายคุยกัน เช่น :

✉️ จดหมายถึงลูกสาว

ลูกแม่,

แม่อยากเล่าอะไรบางอย่างให้ฟัง — เรื่องที่ผู้หญิงรุ่นแม่หลายคนไม่ทันได้รู้
และผู้หญิงรุ่นลูกหลายคน... กำลังลืมมันเร็วเกินไป

ลูกจะโตเป็นผู้หญิงแบบไหน แม่ไม่ห้าม
แม่ไม่หวงตัวลูก — แต่แม่ห่วง “ใจ” ของลูก
ร่างกายลูก — แม่ให้ลูกเป็นเจ้าของเต็มที่
แต่ ตัวและหัวใจลูก — แม่อยากให้มันรอดกลับมา จากทุกที่ที่ลูกไป

ขอให้ชั่งใจก่อน "เขาเห็นค่าเรา หรือแค่หิวเรา?"

🧠 ความรัก กับ ความหลง — แยกกันแค่เส้นบาง ๆ
🚪 ความไว้ใจ กับ ความประมาท — กั้นกันด้วยบานประตูที่ไม่ใส่กลอน
🕳️ ความรอดปลอดภัย กับ ความพัง — ตัดสินกันในห้องเงียบ ๆ ที่ไม่มีใครได้ยินเสียงของลูกเลย

แม่ไม่อยากให้ลูก “กลัว”
แต่แม่อยากให้ลูก “รู้ทัน”
เพราะผู้หญิงที่ฉลาดทางเพศ
ไม่ใช่คนที่ “ห้ามตัวเองทุกอย่าง”
แต่คือคนที่รู้ว่า “เมื่อไหร่ควรเปิดใจ และกับใครที่ควรให้ร่างกาย”

ลูกมีค่ามากกว่าคำชมในคืนเดียว
มากกว่าการยอมใครเพียงเพราะเหงา
มากกว่าการพิสูจน์ความรักผ่านเตียงนอน

แม่เชื่อในตัวลูก
และแม่อยากให้ลูกเชื่อใน “คุณค่า” ของตัวเอง
จำไว้นะลูก...

🚨 อิสระ เสรี จะงดงาม เมื่อมันไม่พาเราไปตกเหวที่ไม่มีใครดึงขึ้นมาได้

รักเสมอ
— แม่

+++ หรือว่า แนวพ่อ-ลูก *** **

✉️ จดหมายจากพ่อถึงลูกสาว

ลูกรักของพ่อ,

พ่อรู้ว่าลูกกำลังโต เริ่มมีเสียงรอบตัวดังขึ้น —
เสียงเพื่อนเรื่องแฟน เสียงแชตแปลก ๆ เสียงในหัวที่ถามว่า

“ฉันยังเป็นเด็กอยู่ไหม?”
หรือ “ฉันโตพอจะมีใครหรือยัง?”

พ่อไม่ห้ามลูก “มีความรัก”
แต่พ่ออยากให้ลูกรู้ว่า...

บางคนที่เรียกตัวเองว่า “แฟน” หรือ “รักเรา”..อาจไม่ได้คิดจะดูแลใจเราจริง ๆ

⚠️ ระวังคำพูดที่ดูหวาน แต่แอบซ่อนเจตนา อื่น :

“ไปบ้านเรามั้ย วันนี้ไม่มีใครอยู่”

“แค่เราสองคนเอง อย่าบอกใครนะ”

“ถ้าเธอรักเรา ต้องให้เราบ้างสิ”

“ใคร ๆ ก็ทำกันแหละ ไม่เห็นเป็นไรเลย”

ถ้าใครพูดแบบนี้กับลูก — ลูกมีสิทธิ์หนีออกมา
ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนว่า เพราะ “คนที่รักลูกจริง จะไม่ทำให้ลูกรู้สึกไม่ปลอดภัย”

พ่อไว้ใจหัวใจของลูก
แต่ถ้าวันไหนรู้สึกไม่แน่ใจ...
รู้ไว้นะลูก — ลูกไม่ต้องเก็บไว้คนเดียว

👂 พ่อรอฟังเสมอ

รักที่สุด — พ่อ

✦ ฝากไว้ให้สาวน้อย — คนที่ยังไม่รู้ว่าอิสระ เสรีภาพ ต้องมาคู่กับการรู้คุณค่าของตัวเอง
📩 แชร์จดหมายฉบับนี้ ถ้าคุณเคยอยากพูด…แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง
*Xในยุคใหม่ #รักแล้วต้องรอด #เสียงของพ่อแม่ #จดหมายถึงลูกสาว

โพสต์นี้ คือ EP 2 ของซีรีส์  (S*X in Modern Relationships )อ่านเพื่อป้องกันตัวเอง และเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย🛡️ ต...
21/07/2025

โพสต์นี้ คือ EP 2 ของซีรีส์ (S*X in Modern Relationships )อ่านเพื่อป้องกันตัวเอง และเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย

🛡️ ตอนที่ 2:

“ความงดงามในอิสระ เสรีของหญิงสาว อาจจะไร้ค่า ถ้าหัวใจถูกทิ้งไว้ในห้องที่เงียบงัน ”
(S*X in Modern Relationships — EP.2)

“S*x scene” กับ “crime scene” มีแค่เส้นบาง ๆ คั่นกลาง อ่านแล้วจะเข้าใจว่า... ความไว้ใจไม่ควรเป็นตั๋วผ่านสำหรับใคร
👉 กดอ่านเลย ก่อนคิดว่า 'ยินยอม' คือคำปลอดภัยเสมอ

Trauma / Guilt / Self-harm / PTSD — ไม่ใช่คำสวยงามในนิยาย แต่คือของจริงที่ตามมาหลังคืนที่ไม่มีใครรู้

💔 “ฉากที่หญิงเชื่อใจคนผิด จบด้วยแผลในใจ — หากเคราะห์ร้าย อาจกลายเป็นอาชญากรรม”
— จาก s*x scene ไปสู่ crime scene ที่มีเพียงเส้นบาง ๆ กั้นไว้
ผู้ชายบางคน ใช้ s*x เพื่อหลอกเอาความไว้ใจจากหญิงบางคน ใช้ความไว้ใจ — เป็นทางลัดสู่ s*x
จุดเริ่มต้นที่เหมือนจะโรแมนติก อาจกลายเป็นพื้นที่ของความเจ็บปวดและการละเมิดได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ ความไว้ใจถูกล่อลวง ไม่ใช่เป็นความสมัครใจที่แท้
ความไม่สมดุลนี้... คือจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวดในความสัมพันธ์ยุคใหม่ และบางครั้ง มันลงเอยไม่ใช่แค่ “เสียใจ” แต่นำไปสู่คดีอาญา ที่ครอบครัวฝ่ายหญิงไม่เคยคาดคิด

Note :
Trauma : ความบอบช้ำทางจิตใจจากเหตุการณ์รุนแรง แม้ดู “ยินยอม” แต่ใจไม่พร้อม

Guilt : ความรู้สึกผิดในภายหลัง แม้จะไม่ได้ผิดเองเต็ม ๆ แต่รู้สึกว่าตัวเอง “น่าจะป้องกันได้”, กดทับตนเอง จมอยู่กับคำถามว่า “ทำไมถึงไว้ใจ”

Self-harm : การทำร้ายตัวเอง เพื่อระบายความเจ็บภายในหรือโทษตัวเอง ผลลัพธ์จากความสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย

PTSD Post-Traumatic Stress Disorder : ภาวะเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ เช่น flashback หรือหลอนจาก “คืนที่ไม่มีใครรู้” ทำให้ใช้ชีวิตปกติได้ยาก แม้เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว

❗ ทั้งหมดนี้ เป็น “ร่องรอยจริง” ที่ทิ้งไว้หลังความยินยอม (Consent) ที่ไม่พร้อมใจจริง ๆ

📎 ติดตามตอนต่อไป — เพราะสิ่งที่เราหลงคิดว่า “ธรรมดา” อาจกลายเป็น “กับดัก” ที่ธรรมดาเกินกว่าจะทันระวัง

✅ ข้อเท็จจริง:
ร่างกายผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชายโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่มีพยาน หรือมีแอลกอฮอล์ หรือภาวะเสียเปรียบด้านกำลังกาย ผู้หญิงเสี่ยงต่อการถูกกระทำมากกว่าผู้ชาย แม้จะ “ยินยอม” ในตอนแรก แต่ในพื้นที่ลับตา ความยินยอมสามารถถูกบีบบังคับแฝงได้โดยไม่รู้ตัว
อันตรายไม่ได้มีแค่ทางกาย แต่รวมถึง Trauma, PTSD, ความรู้สึกผิด, การถูกตีตรา, และ Self-harm ด้วย

💬 ทำอย่างไรให้หญิงสาวรุ่นใหม่ “ตระหนัก” แต่ไม่ “ถูกควบคุม”

1. พูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่ด้วยน้ำเสียงห้ามหรือศีลธรรมจารีต แต่พูดด้วยภาษาที่เป็นธรรมชาติ เช่น:
“ในสถานการณ์แบบนี้ เธอมีโอกาสเสียเปรียบสูงมาก ต่อให้ไว้ใจกันแค่ไหน เขาแข็งแรงกว่าเธอแน่นอน และเมื่อเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครช่วยเธอได้ทัน”
เสียงแบบนี้ไม่ใช่การตำหนิ แต่คือการให้ “เธอ” ตั้งหลัก คิดเอง

2. สร้างภูมิคุ้มกันผ่าน “บทสนทนา” แม่ พี่สาว เพื่อน หรือแม้แต่ครู ควรกล้าคุยเรื่อง s*x / ความเสี่ยง / การจัดการอารมณ์ ในแบบที่ไม่สั่ง แต่ “ช่วยให้เธอรู้ว่าเธอมีค่า”

3. ให้ “ทางเลือก” แทน “ข้อห้าม” ยิ่งห้าม เธอยิ่งอยากลอง แต่ถ้าเรายื่นทางเลือก เช่น:
“มีวิธีอ่านพฤติกรรมผู้ชายยังไง”
“จะรู้ได้ยังไงว่าเขาให้เกียรติจริงหรือแค่อยากเอาเรา”
“ไปเที่ยวยังไงให้ปลอดภัย”
“จะปฏิเสธแบบแนบเนียนและรอดได้อย่างไร”
“เธอ” จะเริ่มใช้หัวใจ + สมอง มากกว่าใช้อารมณ์ล้วน ๆ

4. สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของ "หญิงฉลาดทางเพศ" ไม่ใช่หญิงที่ปิดกั้น แต่หญิงที่รู้ “ว่าเมื่อไรควรเปิด” และ “กับใครที่ควรไว้ใจ”
“S*x ไม่ใช่ของแสลง — ถ้าเธอรู้จักคุณค่าในตัวเองมากพอ ผู้ชายที่มองเห็นสิ่งนั้น... ถึงคู่ควรจะได้เข้าใกล้”

5. วรรณกรรม ภาพยนตร์ เพลง บทกวี — ควรพูดแทนเราได้ ส่งต่อเรื่องราวที่สะท้อนความจริงแบบไม่โป๊เปลือย แต่ลึก และจรรโลง เช่น:

ฉากที่หญิงเชื่อใจคนผิดแล้วจบด้วยแผลในใจ หากเคราะห์ร้ายหนักอาจเป็นอาชญากรรม หรือแม้แต่ฆาตกรรม
เพลงที่พูดถึงการรอคนที่เห็นคุณค่า มากกว่า รสสัมผัสทางกาย

🕯️ สรุป (อีกครั้ง)

“เสรีภาพทางเพศของหญิงสาว จะไร้ค่า ถ้าความปลอดภัยทางกายและใจ ถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างหลัง”
หน้าที่ของเราคือ ไม่กีดกัน แต่ ส่งสัญญาณเตือนแบบคนที่เคยผ่านมาก่อน ไม่ใช่ด้วยไม้เรียว — แต่ด้วยแสงเทียน
s*x ไม่ใช่ของแสลง — ถ้าเธอรู้จักคุณค่าของตัวเองมากพอ ผู้ชายที่มองเห็นสิ่งนั้น...จึงคู่ควรจะได้ใกล้ชิด

✦ ตอนหน้า: จดหมายจากพ่อแม่ — ถึงลูกสาว เพราะเรารักเธอมากพอจะไม่ใข้คำพูดแรง แต่พูดจริง

คอมเมนต์ “💌” ถ้าคุณอยากส่งจดหมายฉบับนี้ต่อให้คนที่คุณห่วงใย
*Xในยุคใหม่ #อิสระเสรีแต่เปราะบาง #รักแล้วต้องรอดปลอดภัย

S*X in MODERN RELATIONSHIPS เรื่องราวของเพศสัมพันธ์ ความรัก และความเปราะบางในยุคที่ทุกอย่างเร็วเกินไปตอนที่ 1: ❝S*X ไม่ใ...
20/07/2025

S*X in MODERN RELATIONSHIPS

เรื่องราวของเพศสัมพันธ์ ความรัก และความเปราะบางในยุคที่ทุกอย่างเร็วเกินไป

ตอนที่ 1: ❝S*X ไม่ใช่ของแสลง — แต่วันนี้มันกลายเป็นของใช้แล้วทิ้งไปหรือยัง?❞
(S*X in Modern Relationships — EP.1)
เนื้อหา:
คนยุคก่อนเดินเข้าซ่อง คนยุคนี้...แค่เปิดแอป
เพศสัมพันธ์ไม่ได้ถูกจ่ายด้วยเงินอีกต่อไป แต่แลกมาด้วยความเหงา ความว่างเปล่า และบางครั้ง...ความรู้สึกผิด

“s*x” กลายเป็นของบริโภคทางอารมณ์ ไม่ต้องรัก ไม่ต้องรู้จัก แค่ตกลงกันว่าไม่ผูกพัน

อะไร ที่หายไปจากความสัมพันธ์ยุคนี้ ?

✦ อ่านตอนแรกของซีรีส์ “S*X in Modern Relationships”
#รักหรือแค่หิว
*Xไม่ใช่ของต้องห้าม
#แต่ใจต้องรอด

EP 1 : S*X ไม่ใช่ของแสลง

ยุคปัจจุบัน — โดยเฉพาะในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยสื่อ ดิจิทัล และค่านิยมแบบบริโภคนิยม — เพศสัมพันธ์ (s*x) มักถูกแปรสภาพให้กลายเป็น สินค้าทางอารมณ์ หรือ บริการเพื่อปลดปล่อยความอยาก มากกว่าจะเป็นการแสดงออกทางความรู้สึกหรือความผูกพันเหมือนอย่างที่คนรุ่นก่อนๆ ยึดถือ
คนยุคนี้จำนวนไม่น้อย “บริโภค s*x” แบบ:

เพื่อความสนุก ความตื่นเต้น
ไม่ได้ผูกกับความรัก ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ความรู้จักกัน
เพื่อบำบัดความเครียด หรือเติมช่องว่างในใจ ราวกับการกินของหวานเวลาเครียด หรือดูซีรีส์ยาว ๆ เพื่อหนีความเหงา
มี s*x ผ่านแอป นัดกันโดยไม่มีพันธะ โดยถือว่าเป็น “ข้อตกลงร่วม” ไม่ผูกใจ ไม่ผูกตัว
ในลักษณะนี้ s*x กลายเป็น เครื่องมือชั่วคราว ที่ใช้เพื่อความพึงพอใจส่วนตัว ไม่ใช่ ภาษาของความรักหรือการเชื่อมโยงทางจิตใจ เหมือนแต่ก่อน

❓ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

สังคมให้เสรีภาพทางเพศมากขึ้น คนกล้าทดลอง และไม่ถูกตีตราเท่าเมื่อก่อน
โลกเร็วขึ้น – คนเหงามากขึ้น – ความสัมพันธ์ตื้นขึ้น ยิ่งเหงา ยิ่งอยากมีสัมผัส ยิ่งไม่อยากรอนาน
ระบบทุน และโซเชียลมีเดียทำให้ s*x ถูกทำให้ “ขายได้” ทั้งในโฆษณา สื่อ เพลง ซีรีส์ หรือแม้แต่เนื้อหาบน OnlyFans

❌ แต่ก็ไม่เสมอไป ยังมีอีกมากที่มองว่า s*x เป็นเรื่องของ:

- ความรัก ความห่วงใย และการผูกพันระยะยาว
- ความเข้าใจตนเองและอีกฝ่าย
- การให้มากกว่าการเอา
คนกลุ่มนี้อาจไม่ได้ใช้ s*x เพื่อ “บำบัดความอยาก” แต่ใช้เพื่อ แบ่งปันความใกล้ชิด อย่างมีความหมาย

💬 สรุปความ

คนสมัยใหม่หลายคนเปลี่ยน “s*x” จากการสื่อสารทางใจ ไปเป็น “ของบริโภคทางอารมณ์” แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังมองว่า s*x หมายถึง ความรัก ความเข้าใจ และการยืนยันตัวตนของกันและกัน
โลกไม่ได้เปลี่ยนในทิศทางเดียว และก็ไม่ใช่ทุกคนจะรู้จักตนเองเท่ากัน บางคนใช้ s*x เพราะอยากเชื่อมโยง บางคนใช้เพื่อลืมความว่างเปล่าในใจตนเองก็มี
ด้วยเหตุนี้กระมัง ที่ซ่องโสเภณี และแหล่งบริการทางเพศอย่างเป็นรูปธรรม ที่เคยเข้าถึงได้ง่าย จึงลดลงอย่างน่าใจหาย สวนทางกับพฤติกรรม ที่คนยุคก่อนเรียกว่า"สำส่อน" เติบโตอย่างรวดเร็วราวจอก-แหน ในบ่อน้ำนิ่ง ในทางกลับกันสิ่งที่ไม่เคยมีกลับเติบโตขยายตัวต่อเนื่อง นั่นคือ ซ่องบริการผู้หญิง และโสเภณีชาย
วันนี้… "ซ่อง" ลดลง แต่ "ความสัมพันธ์ไร้พันธะ" กลับขยายตัว
ราวกับ ความสำส่อนกำลังล่องลอยอย่างเสรี โดยไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องเดินเข้าซอย ไม่ต้องผ่านการแลกเปลี่ยนแบบโบราณอีกต่อไป

📉 การหายไปของ "ซ่อง" และ "โสเภณีแบบเดิม"

เพราะความต้องการเปลี่ยนรูปแบบ คนยุคใหม่ไม่ได้ "ซื้อบริการ" แบบชัดแจ้งอีกต่อไป แต่ มี s*x ฟรี ผ่าน app, แชต, คลับ, การท่องเที่ยว หรือแม้แต่ workplace เพราะโลกออนไลน์กลืนพื้นที่ทางเพศเข้ากับชีวิตประจำวัน
OnlyFans, Twitter, Tinder, Instagram — เปลี่ยนจากการซื้อบริการในซ่อง ไปเป็นการ "สนับสนุนโดยสมัครใจ" / S*x work แบบซ่อนรูป
เพราะคำว่า "สำส่อน" ถูกลบออกจากพจนานุกรมศีลธรรม คนไม่ละอายที่มี s*x กับคนแปลกหน้า หรือแม้แต่ “เป็นคนของใครไม่ได้สักคนเดียว” ก็ยังรู้สึกเท่

🌿 ความสำส่อนแบบใหม่ราวกับ “จอกแหนในบ่อน้ำนิ่ง”

จอกแหน : ความสัมพันธ์ไร้ราก, ขยายเร็ว, คลุมผิวน้ำ
บ่อน้ำนิ่ง : สังคมที่ขาดภูมิคุ้มกัน, ไม่ขัดขืน, เงียบ, ยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางเพศแบบ passive
สิ่งที่ตามมาคือ:
ความรักจอมปลอม, ความเหงาที่ลึกลงกว่าเดิม
ร่างกายที่ผ่านการแบ่งปันโดยไร้ความทรงจำ

❓เรามองเรื่องราวว่าดำเนินไป อย่างไร

ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มี s*x อย่างเสรีคือผิด แต่ยอมรับว่า สังคมกำลังลื่นไถลจาก “ความรัก” สู่ “ความหลง” โดยไร้จุดหมาย และควร ตั้งคำถาม ว่า:

คนยุคนี้รู้จัก "ตัวเอง" มากพอหรือยัง? หรือเพียงวิ่งไล่ความว่างเปล่าภายในใจด้วยร่างกายของคนอื่น?

ในความเป็นจริงแล้ว — เราปฏิเสธ “ความเปราะบางทางกายภาพและจิตใจของผู้หญิง” ไม่ได้เลย
เปรียบเทียบกับ “จอกแหนในบ่อน้ำนิ่ง” – สังคมไร้แรงต้าน

แล้วเรามี s*x เพราะอยากเชื่อมโยง หรือเพียงแค่ลืมความว่างเปล่าในใจ?

✦ ตอนหน้า: เสรีภาพทางเพศของผู้หญิง...อาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด
กดแชร์หรือคอมเมนต์ “🕯️” ถ้าคุณอยากให้เสียงนี้ส่งถึงใครอีกหลายคน
*Xในยุคใหม่ #รักหรือแค่เหงา #อย่าให้เสรีภาพกลายเป็นกับดัก
***...***

อ่าน​แล้ว​ท่าทางเป็นการฆ่าไล่(เอา) ที่มากกว่าทำสงคราม
14/07/2025

อ่าน​แล้ว​ท่าทางเป็นการฆ่าไล่(เอา) ที่มากกว่าทำสงคราม

อิสราเอลโจมตีภาคกลางและภาคใต้ของฉนวนกาซ่าอีกครั้งในวันจันทร์ เพื่อเพิ่มแรงกดดันต่อกลุ่มฮามาส หลังจากเ....

เช้านี้ ได้อ่านบทความจากนักวิชาการท่านหนึ่ง—ระดับ อาจารย์—ท่านขียนไว้น่าสนใจมาก📌เมื่อภาษีทรัมป์กลายเป็น “ของจริง” – จริง...
14/07/2025

เช้านี้ ได้อ่านบทความจากนักวิชาการท่านหนึ่ง—ระดับ อาจารย์—ท่านขียนไว้น่าสนใจมาก

📌เมื่อภาษีทรัมป์กลายเป็น “ของจริง” – จริงแค่ไหน?
บทคัดย่อ
บทความต้นฉบับเสนอภาพว่า การขึ้นภาษีนำเข้า (Tariffs) รอบล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความเป็นไปได้สูงที่จะดำเนินต่อไปโดยไม่มีการชะลอหรือถอยอีกแล้ว โดยให้เหตุผลว่าขณะนี้ไม่มีแรงกดดันจากภาคส่วนต่าง ๆ ได้แก่
• ตลาดทุนสหรัฐฯ ไม่แสดงอาการหวาดกลัวต่อข่าวภาษี
• ภาคธุรกิจมีเวลาปรับตัวและนำเข้าสินค้าก่อนภาษีมีผล
• ประชาชนได้รับการเยียวยาทางภาษีจากกฎหมาย One Big Beautiful Bill (OBBB)
• และรัฐก็ได้รับรายได้จากภาษีนำเข้ามากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วยลดภาระงบประมาณ

บทความลงท้ายว่า นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “โครงสร้างการค้าโลกใหม่” และเตือนว่าหลายประเทศอาจเผชิญความเสียเปรียบในการแข่งขันจากการกำหนด Tariffs รอบนี้

*+++++*

💬 ความเห็นจากผู้เขียน :

“จริงแค่ไหน?” กับคำว่า ‘ของจริง’
เมื่ออ่านบทความต้นทางด้วยความสนใจ พบว่า มีหลายจุดที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อให้เห็นภาพครบถ้วนยิ่งขึ้น ดังนี้:
1. วางกรอบ (framing) ทรัมป์ให้ ‘แข็งแกร่ง’ โดยละเลยผลกระทบ
บทความต้นทางเสนอให้ทรัมป์ดูเป็นผู้นำที่กล้าตัดสินใจ เดินหน้าได้โดยไร้แรงต้าน ทั้งจากตลาดทุน ธุรกิจ และประชาชน แต่ไม่ได้นำเสนอ “ต้นทุนแฝง” ของนโยบายภาษีนำเข้า
• ตัวอย่างเช่น รายได้จากภาษีนำเข้าที่รัฐสหรัฐได้รับนั้น แท้จริงมาจาก กระเป๋าชาวอเมริกัน ไม่ใช่จากจีน
• ภาษีนำเข้าอาจก่อให้เกิด เงินเฟ้อ, ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น, และ การตอบโต้จากประเทศคู่ค้า (retaliation) ซึ่งบทความต้นทางไม่กล่าวถึงเลย

2. การวิเคราะห์ตลาดทุนแบบ “ปลายเหตุ”
บทความอ้างว่าตลาดทุนไม่ตกใจ แต่ความจริงคือ
• ตลาดอาจไม่ได้ “สงบ” อย่างที่คิด หากดูจากดัชนี VIX หรือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่อ่อนไหวกับ supply chain จากจีน
• นักลงทุนจำนวนมากไม่ได้ “ยอมรับ” ภาษีทรัมป์ แต่กำลัง โยกย้ายการลงทุน และ รอดูท่าทีเจรจา
3. ภาพรวมของภาคธุรกิจสหรัฐฯ ยังซับซ้อน
ผู้เขียนต้นทางระบุว่าภาคธุรกิจมีเวลาปรับตัวจากการเลื่อนภาษี 90 วัน แต่ในความเป็นจริง
• ธุรกิจขนาดใหญ่บางแห่งอาจเอาตัวรอดได้ แต่ SMEs และผู้ผลิตที่ผูกกับจีนลึก ยังคงได้รับผลกระทบหนัก
• ต้นทุนด้านโลจิสติกส์และความไม่แน่นอนของนโยบายยังเป็นอุปสรรคต่อการวางแผนระยะยาว
4. กฎหมาย OBBB – นโยบายหาเสียงหรือการปฏิรูปแท้จริง?
แม้บทความจะกล่าวว่ากฎหมาย OBBB ช่วยให้ประชาชน “พออยู่ได้” ท่ามกลางสินค้าที่แพงขึ้น แต่
• ยังไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า กฎหมายนี้มีผลใช้งานจริงในระดับวุฒิสภาหรือยัง
• การลดภาษีบางรายการ (เช่น tips หรือ OT) ไม่ได้หักล้างผลกระทบด้านราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น
• มีข้อกังวลว่าเป็นเพียง นโยบายหาเสียงระยะสั้น มากกว่าการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความเหลื่อมล้ำหรือหนี้ครัวเรือน

5. ภาระหนี้รัฐบาลสหรัฐ – เงียบเกินไป ?
บทความต้นทางพูดถึง “รายได้ภาษีนำเข้า” แต่ไม่พูดถึงหนี้ระดับเกือบ $34 ล้านล้าน และดอกเบี้ยที่รัฐต้องจ่ายใกล้แตะ $1 ล้านล้าน/ปี
การหวังพึ่งภาษีนำเข้าเพื่ออุดช่องว่างงบประมาณนั้น เสี่ยงต่อเสถียรภาพระยะยาว และอาจผลักภาระทางเศรษฐกิจไปยังประชาชนชั้นล่าง

🔻สรุป:
บทความต้นทางอาจมองภาพ “การค้าแบบทรัมป์” อย่างชื่นชมเกินไป โดยนำเสนอเฉพาะข้อมูลเชิงบวกและละเลยผลกระทบในเชิงโครงสร้าง
การวิเคราะห์เช่นนี้มีคุณค่าในแง่การเปิดมุมมอง แต่ก็ควรเปิดพื้นที่ให้ผู้อ่านได้เห็นภาพที่หลากหลายขึ้น เพื่อไม่ตกอยู่ใน “มายาคติทางเศรษฐกิจ” ว่าภาษีนำเข้าคือชัยชนะของชาติเสมอไป

📌 หมายเหตุเพื่อความเข้าใจอันดี:
โพสต์นี้เขียนขึ้นเพื่อวิพากษ์ในเชิงวิชาการ มิได้มีเจตนาให้ร้ายหรือด้อยค่าผู้เขียนต้นทางแต่อย่างใด หากมีข้อผิดพลาดในเชิงข้อมูลหรือบริบท ยินดีเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนอย่างสุภาพและเคารพกัน
#เศรษฐศาสตร์ #บทความเศรษฐกิจ #วิเคราะห์ข่าว #มุมมองอีกด้าน

🧭 วาทกรรม “นิติสงคราม” กับ ความไม่ (ยอม)รับผิดของนักการเมืองเมื่อกฎหมายกลายเป็นอาวุธเลือกข้าง ความยุติธรรมก็พังทั้งระบบ“...
04/07/2025

🧭 วาทกรรม “นิติสงคราม” กับ ความไม่ (ยอม)รับผิดของนักการเมือง

เมื่อกฎหมายกลายเป็นอาวุธเลือกข้าง ความยุติธรรมก็พังทั้งระบบ
“ผู้ศรัทธาในประชาธิปไตย ไม่ควรกลัวความจริง แม้จะกระทบพวกเดียวกัน”
เมื่อคำว่า “นิติสงคราม” (Lawfare) เป็นดาบที่ใช้แทงฝ่ายตรงข้าม แต่กลายเป็นโล่กำบังเมื่อต้องปกป้องพวกพ้อง — เราต้องถามตัวเองว่า เรายึดหลักจริงหรือแค่เลือกข้าง?
หากวันนี้คุณกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่า “ใช้กฎหมายเล่นงานทางการเมือง”
แต่เมื่อฝ่ายตนเองกระทำผิดกลับโบ้ยไปที่ “สภา”, “สิทธิของผู้แทน”, หรือ “เรื่องส่วนบุคคล” แบบนั้น…
เรายังจะเรียกสิ่งนี้ว่า ยึดหลัก ได้อยู่หรือ?
⚖️ “นิติสงคราม” ไม่ใช่ปัญหา ถ้ามีมาตรฐานเดียวกันกับทุกฝ่าย
ในบริบทการเมืองไทย “นิติสงคราม” หมายถึงการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ไม่ใช่เพื่อสร้างความยุติธรรม แต่เพื่อควบคุมเกมอำนาจ
และเมื่อมันถูกใช้แค่กับศัตรู แต่กลับยกเว้นให้กับพวกพ้อง มันจะย้อนกลับมาทำลายระบบเสียเอง
นี่คือกับดักของ “หลักการแบบเลือกใช้”
เมื่อความยุติธรรมกลายเป็น “กลยุทธ์เฉพาะฝั่ง” ความศรัทธาต่อระบบย่อมเสื่อมถอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
💬 ตัวอย่างวาทกรรมที่สังคมเริ่มตั้งคำถาม
• พรรคที่เรียกร้อง “สิทธิเสรีภาพ” → แต่เมื่อ ส.ส. ของตัวเองมีคดี กลับบอกว่า “ยังไม่ถึงที่สุด”, “เป็นสิทธิในฐานะผู้แทน”, หรือ “เรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรค”
• พรรคที่ตะโกนเรื่อง “ธรรมาภิบาล” → แต่เมื่อนายกฯ พวกตัวเองถูกกล่าวหาทำผิดจริยธรรม (เช่น เจรจากับคู่ขัดแย้งโดยพลการ, สมยอมกับคู่ขัดแย้ง) กลับไม่เคยเรียกร้องความรับผิดชอบ
• แทนที่จะตั้งคำถาม กลับตีรวนด้วยวาทกรรม “นิติสงคราม” ซ้ำ ๆ อย่างเลี่ยงบาลี ทั้งที่ข้อเท็จจริงรอการตรวจสอบจากศาลรัฐธรรมนูญอยู่ตรงหน้า
แถมยังลากโยงไปสู่ข้ออ้างว่า “หีบเลือกตั้งคือคำตัดสิน”
ทั้งที่ “คะแนนเสียง” ตัดสินไม่ได้ว่า ใครทำผิดกฎหมายหรือจริยธรรมหรือไม่
✴️ ถ้าผู้กระทำผิดไม่ใช่ศัตรู แต่คือ “พวกเรา” เรายังยืนยันหลักเดิมไหม?
🌍 ต่างประเทศเขาจัดการอย่างไร เมื่อนักการเมือง “มีปัญหา”?
• 🇬🇧 อังกฤษ → มีคณะกรรมการจริยธรรม + ระบบ “ถอดถอนโดยประชาชน”
• 🇩🇪 เยอรมนี → นักการเมืองลาออกแม้เพียงถูกกล่าวหา เพื่อรักษาภาพลักษณ์พรรค
• 🇺🇸 สหรัฐฯ → มีระบบ Impeachment + แรงกดดันจากสังคม
• 🇨🇳 จีน → แม้ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย แต่มีคณะกรรมการตรวจสอบวินัยเข้มงวด ข้อหาคอร์รัปชันคือภัยต่อความมั่นคงของชาติ
• 🪐 Galactic Empire (ในนิยาย) → ไม่มีกฎหมาย ไม่มีศาล ไม่มีสภา มีแต่จักรพรรดิผู้ถืออำนาจเบ็ดเสร็จ 😅
✅ หลักการสากลที่ควรใช้ในทุกระบอบ
• กฎหมายต้องใช้กับ ทุกคน อย่างเท่าเทียม
• ต้องมีองค์กรตรวจสอบที่ เป็นอิสระจริง
• นักการเมืองต้อง แสดงความรับผิดชอบ ไม่ใช่ “แถ”
• สังคมต้องมีมาตรฐานว่า “ใครควรอยู่” และ “ใครควรถอย”
🇹🇭 แล้วเมืองไทย… ตรงกี่ข้อ?
🔚 บทสรุป
“นิติสงคราม” ไม่ใช่ปัญหา หากทุกฝ่ายยอมให้ คนของตน ถูกตรวจสอบอย่างเปิดเผย
และไม่ใช้กฎหมายเป็นเกราะเฉพาะเพื่อปกป้องพรรคพวก
ประเทศที่ใช้กฎหมายเล่นงานศัตรู
แต่ใช้ “อภิสิทธิ์” ปกป้อง “พวกกัน”
จะไม่มีวันสร้างความยุติธรรมที่น่าเชื่อถือได้เลย

เพราะสุดท้าย...
ถ้าความยุติธรรมเลือกข้าง ระบบจะล่มเอง — โดยไม่ต้องรอรัฐประหาร

🧠 Lawfare “นิติสงคราม” ไม่ใช่ปัญหา หากถูกใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม
“นิติสงคราม” ในบริบทไทยคือการใช้กฎหมายเป็นอาวุธทางการเมือง — ไม่ได้เพื่อความยุติธรรม แต่เพื่อผลลัพธ์ทางอำนาจ และมันจะกลายเป็น “ย้อนศร” ถ้าใช้แค่กับฝ่ายตรงข้าม แต่อุ้มฝ่ายตัวเอง

นี่คือกับดักของ “selective principle” → เมื่อความยุติธรรมกลายเป็นกลยุทธ์เฉพาะฝั่ง ระบบจะสูญเสียศรัทธา

เรื่องสัพเพเหระแต่ดีนะ
04/07/2025

เรื่องสัพเพเหระ
แต่ดีนะ

👇💥 ปรากฏการณ์เซิร์ฟเวอร์ล่ม = ความเคยชินประจำชาติ?ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เว็บล่มทุกครั้ง  เพราะไม่ใช่ *“คนแย่ง”* แต่คือ *...
03/07/2025

👇

💥 ปรากฏการณ์เซิร์ฟเวอร์ล่ม = ความเคยชินประจำชาติ?

ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เว็บล่มทุกครั้ง
เพราะไม่ใช่ *“คนแย่ง”* แต่คือ *“ระบบไม่เผื่อให้แย่งได้”*

ทุกทีที่โครงการรัฐเปิดลงทะเบียน
ระบบก็พร้อม... ล่ม
เหมือนออกแบบโดยคนที่ไม่เคยอยู่หน้าคอมตอนเจ็ดโมงเช้าในวันกดสิทธิ์

> เว็บไม่ได้ล่มเพราะคนเยอะ
> เว็บล่มเพราะ *มันไม่เคยเผื่อคนเยอะเลย*

🪪 “Queue-based Access” ไม่ใช่ของเล่น... แต่มันคือยาดี

แค่ให้คน “รอคิวอย่างเป็นระบบ”
เหมือนจองคิวโรงพยาบาลก็ได้
ประชาชนพร้อมรอ ถ้าแค่รู้ว่า **"สิทธิ์ยังอยู่"**

> ไม่ใช่ทุกคนจะว่างมานั่ง ไถจอ รีเฟรชเว็บรัว ๆ
> ขอแค่รู้ว่า... "ฉันยังอยู่ในคิว" แค่นั้นก็ใจเย็นแล้ว

🔁 แต่รัฐชอบวนลูป...

เวลาเว็บล่ม = โทษประชาชนว่าแย่งกัน
แต่ไม่เคยมีใครถามว่า
> “ระบบของท่านเผื่อคนไว้มั่งหรือยัง?”

---

📌 สรุปแบบไม่ดราม่า... แค่ขอสะกิด :

- ปัญหา = ระบบไม่เผื่อโหลด
- วิธีแก้ = ใช้ระบบคิว + แจ้งสถานะ
- ประชาชนพร้อมรอ ถ้า **ไม่เสียสิทธิ์**
- หยุดโทษคนแย่งสิทธิ์ แล้วหันมาดูว่า *"ระบบพร้อมแค่ไหน?"*

**เซิร์ฟเวอร์ล่ม ไม่ใช่สัญลักษณ์ของประเทศที่พัฒนาแล้ว**
อย่าให้มันเป็น “มรดกดิจิทัล” ที่ลูกหลานต้องทนจนชิน

#ซ้อมความเข้าใจ
#เซิร์ฟเวอร์ล่มไม่ใช่โชคชะตา
#รัฐโปรดอย่าออกแบบให้เหนื่อยใจ

เก้าสิบกว่าปีแล้ว นักการเมืองหัวดี กระทั่งไอ้ที่จบ OX-เฝิด อะไรนั่นน่ะ เคยคิด เคยทำท่าจะทบทวนเรื่อง "การศึกษา" บ้างหรือย...
01/07/2025

เก้าสิบกว่าปีแล้ว นักการเมืองหัวดี กระทั่งไอ้ที่จบ OX-เฝิด อะไรนั่นน่ะ เคยคิด เคยทำท่าจะทบทวนเรื่อง "การศึกษา" บ้างหรือยัง

การเมืองไทยยุคมีรัฐธรรมนูญ เริ่มปี พ.ศ. 2475 นับถึงปีนี้ พ.ศ.​2568 ก็ 93 ปีแล้ว

๑. เรายังไม่รู้จักว่าประชาธิปไตยคืออย่างไร อะไรคือหน้าที่สำหรับพลเมือง สำหรับนักการเมือง
แม้ปากจะเอ่ยคำว่า “รัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นการกำหนดกรอบและแนวทางในการบริหารประเทศ แต่ในใจนำไปสับสนกับนิยามซ้อน กลายเป็นว่ารัฐธรรมนูญคือประชาธิปไตย เมื่อคิดว่ารัฐธรรมนูญกับประชาธิปไตยเป็นเรื่องเดียวกัน ก็หมกมุ่นแก้รัฐธรรมนูญ แบบแก้ไม่รู้แล้ว ราวกับว่าแก้ได้แล้วประชาธิปไตยจะลอยมาเอง
เราพูดตามๆ กันมาว่า การเป็นประชาธิปไตยคือการมีเลือกตั้งทั่วไป ไม่มีเลือกตั้งแปลว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ราวกับว่าประชาธิปไตยคือเผด็จการแบบหนึ่ง คือต้องเป็นแบบแผนเดียวนี้เท่านั้น ทั้งๆ ที่ธรรมชาติรอบตัวก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ในโลกนี้มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมาก ทั้งผู้คนก็มีหลากเผ่าพันธุ์ หลายภาษา หลายวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตและระบบการดูแลสังคม
แม้ปากจะเรียกร้องเสรีภาพ แต่ก็ยอมรับไม่ได้ว่าคนอื่นเขาก็มีเสรีภาพที่จะเป็นแบบอื่น

คำว่านักการเมืองกลายเป็นชนกลุ่มหนึ่งที่ไม่น่าไว้ใจ เพราะกลับกลอกได้ เพราะหิวเงินเพื่อตน และแสวงหาพวกเพื่ออำนาจในการสร้างความมั่งคั่งให้ตน จนกระทั่งเราต้องมีคำขยายว่า “นักการเมืองน้ำดี” ให้ต่างจากคำว่า “นักการเมือง” ทั่วไป
และการเมือง “คือสิ่งที่ตั้งรากฐานอยู่บนความทะเยอทะยานในการอยู่เติบกินเติบ... มีอำนาจเป็น “ความถูกต้อง” และประโยชน์ตน “ เป็นความยุติธรรม” (ยกมาจากเนื้อหาที่อ้างท่านพุทธทาสมาอีกทอดหนึ่ง)

๒. ตอนที่ปฏิวัติปี ๒๔๗๕ คณะราษฎร์ประกาศหลัก 6 ประการ ได้แก่
1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่นเอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
2. จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดลงให้มาก
3. จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4. จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้-- คือ พ.ศ. ๒๔๗๕)
5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
6. จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
(คัดมาจาก https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=แถลงการณ์ของคณะราษฎร)

เพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้น วาจากับการกระทำก็เดินสวนทางกัน วาจามีไว้พูดให้คนทั่วไปเชื่อ แต่เนื้อแท้คือการกระทำ ซึ่งเป็นไปเพื่อยึด “อำนาจ” เข้ามาไว้ในมือตน
ผ่านมา ๙๓​ ปี ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงคือ พูดอย่างหนึ่งให้ดูสวย ทำอีกอย่างหนึ่งเพื่ออำนาจของกลุ่มตน รุ่นแล้วรุ่นเล่าได้สืบทอดความคิดนี้ คำว่าอุดมการณ์ถูกแทนที่ด้วยคำว่าอำนาจ ไม่มีการสืบทอดอุดมการณ์เพราะอุดมการณ์เลื่อนลอย แต่อำนาจคือของจริงที่จับต้องได้

และเมื่ออำนาจทั้งสามหลอมรวมเป็นหนึ่งกว่าๆ (คือนิติบัญญัติกับบริหารเป็นอำนาจที่อยู่ร่วมกัน) สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนปลวกกำลังกัดกินทั้งประเทศ โดยที่มองแต่ผิวๆ ทุกอย่างยังพอไปได้ แต่ปลวกกัดกินจากภายใน ในส่วนที่มองเห็นได้ยาก ถ้าไม่รื้อ ไม่พินิจ ไม่จัดการ และสมาชิกบางคนในสังคมเป็นปลวก บางคนไม่เชื่อว่าประเทศนี้มีปลวก บางคนคิดว่าปลวกเป็นเรื่องเล็ก จะเชื่อก็เมื่อบ้านพังลงไปคาตา ซึ่งสายเกินแก้ไปแล้ว
แต่ถ้าไม่ยึดหลักการเลย พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็ไม่มีความหมายอะไรมากกว่าการแย่งอำนาจกันธรรมดาๆ ไม่ต่างอะไรกับการเปลี่ยนแปลงผู้ถืออำนาจรัฐในเวลาต่อๆ มาตราบจนวันนี้
เทียบกับหลักการที่แถลงไว้ ไล่เรียงรายข้อ
ข้อ ๑. ตอนนี้เป็นอย่างไร ทุกคนที่ฟังข่าวสารบ้านเมืองรู้อยู่แล้ว
ข้อ ๒ หาตัวเลขยืนยันได้ ช่วงที่กลุ่ม ๒๔๗๕ มีอำนาจ อำนาจของบุคคลในเครื่องแบบ ขัดและคานกันเอง บางครั้งบางคนก็ทำตัวเหมือนอยู่เหนือกฎหมาย และตอนนี้ ๒๕๖๘ ก็ยังซ้ำรอยเดิม แต่รูปแบบเนียนยิ่งขึ้น
ข้อ ๓ ๔ ๕ ก็ทำนองเดียวกัน
ข้อ ๖ รัฐบาลมีนโยบายการ “ปลูกคน” แบบไหน เมื่อกล่าวถึงการให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
การศึกษาคืออะไร
เต็มที่คืออย่างไร
และคุณภาพหรือเนื้อหาที่ให้ ทำให้ได้พลเมืองอย่างไร
ถ้าไม่ได้คิดปลูกให้ดี แต่ปล่อยให้เป็นไปตามแต่จะได้ เราได้บ่มเพาะอะไรลงไปบ้าง และได้อะไรมา
พรรคการเมืองหนึ่งวางแนวทางบ่มเพาะเยาวชนไปในทางที่ตนเชื่อ เข้าไปเล่น ไปสอน ไปอบรมนักเรียนถึงในโรงเรียน รัฐบาลหรือผู้ดูแลเรื่องการศึกษาสนใจดูหรือไม่ว่า การบ่มเพาะนั้นๆ เหมาะสมเพียงใด
เรื่องของเยาวชนเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ากระทรวงหรือรัฐบาลละเลย พ่อแม่ก็ไม่รู้หรือไม่สนใจ ผลต่อชาติ ต่อประชาธิปไตยที่วาดหวังไว้จะเป็นอย่างไร

๓. “คำกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงระเบียบราชการแผ่นดิน ร.ศ. ๑๐๓” ที่เจ้านายหนุ่ม ๔ พระองค์ และข้าราชการสถานทูตไทยในสมัยนั้น เขียนเสนอเมื่อเดือน มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๗ และพูดกันว่าเป็นการเรียกร้องให้กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ จากสารคดีที่อ้างในภาพ สรุปว่ามี ๗ ข้อ เรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเพียงข้อเดียวพร้อมเหตุผลประกอบ ดิฉันนำมาเรียงเป็นภาพไว้ประกอบข้อเขียน ณ ที่นี้ เผื่อใครจะอยากทบทวนว่าที่ท่านกล่าวไว้นั้นเป็นเช่นไร และถ้าใครมีอุตสาหะไปหาข้อเขียนตัวเต็มมาอ่าน น่าจะกระจ่างยิ่งขึ้น

ที่อยู่

Ban Khao Lak
82110

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Walk on My Wayผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์