NetZeroCarbon Everything about our planet and more 🌍
(1)

ซูเปอร์แมน (Superman) ยอดมนุษย์กางเกงในแดง กำลังเป็นที่พูดถึงเมื่อภาพยนตร์ฉบับใหม่ออกฉาย แต่สิ่งที่ผมอยากพาทุกคนไปสำรวจค...
18/07/2025

ซูเปอร์แมน (Superman) ยอดมนุษย์กางเกงในแดง กำลังเป็นที่พูดถึงเมื่อภาพยนตร์ฉบับใหม่ออกฉาย แต่สิ่งที่ผมอยากพาทุกคนไปสำรวจคือการแตกสลายของดาวคริปตอน ดาวบ้านเกิดของซูเปอร์แมนที่ถูกลบหายเพราะสิ่งแวดล้อมพังทลาย
คริปตอน (Krypton) เป็นดาวบ้านเกิดของซูเปอร์แมน กำเนิดจากจินตนาการของสองนักเขียน/นักวาดการ์ตูนชาวอเมริกัน เจอร์รี่ ซีเกล (Jerry Siegel) และโจ ชูสเตอร์ (Joe Shuster) ปรากฏครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 1938 ในหนังสือการ์ตูนแอ็คชันคอมิคส์เล่มที่ 1 (Action Comics) หัวเรื่องซูเปอร์แมน
ซูเปอร์แมนมีการตีพิมพ์และถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ รวมถึงแอนิเมชันหลายครั้ง โดยในแต่ละเวอร์ชันก็ตีความการแตกสลายของดาวคริปตอนต่างกันไป บ้างก็ว่าเกิดจากรังสี บ้างก็ว่าเกิดจากแกนกลางดาวที่แหลกสลาย บ้างก็เกิดจากสงคราม แต่โดยส่วนมากเกิดจากชาวคริปโตเนียน (มนุษย์บนดาวนั้น) เสียเอง ซึ่งก็แทบไม่ต่างอะไรกับดาวโลกของเราในปัจจุบันที่มนุษย์ได้เริ่มรุกรานธรรมชาติเกินขนาด
ภาพยนตร์ Man of Steel (บุรุษเหล็ก ซูเปอร์แมน) (2013) อาจเป็นการฉายภาพดาวคริปตอนที่แตกสลายได้เด่นชัดที่สุด มันมีต้นเหตุมาจากการขยายตัวสังคมและการบริโภคพลังงานมหาศาลของชาวคริปโตเนียน ทำให้ต้องใช้พลังงานจากแกนของดวงดาวจนล่มสลาย เหลือเพียงคาล-เอล ที่ถูกส่งมาดาวโลกทั้งที่ยังเป็นเพียงเด็กแรกเกิด จนเขาได้นามว่า ‘ซูเปอร์แมน’ ที่เรารู้จักกันภายหลัง
ส่วนการล่มสลายของดาวคริปตอนในเวอร์ชันอื่นก็มีเหตุจากมนุษย์เหมือนกัน โดยส่วนมากมักมาในรูปแบบสงครามที่ทำให้กัมมันตภาพรังสีแผ่กระจายไปทั่วจนอารยธรรมล่มสลาย หรือไม่ก็ยิงกันจนดาวระเบิดไปเลยก็มี แต่ก็มีบางเวอร์ชันที่มีเหตุมาจากดาวฤกษ์ของคริปตอนระเบิด ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับชาวคริปโตเนียนโดยตรง
แน่นอนว่ามนุษย์โลกอย่างเราคงไม่อยากให้ดาวบ้านเกิดของเราต้องล่มสลายเหมือนดาวในจินตนาการดวงนี้ สิ่งที่เราทำได้ก็คงเป็นการหันกลับมาดูแลรักษาโลกและไม่ถลุงทรัพยากรเหมือนกับคริปตอน เพราะในชีวิตจริงคงไม่มีซูเปอร์แมนจากดาวดวงไหนมาบอกเล่าว่าดาวของเขาพังทลายไปเช่นไร
เขียนโดย : ทองคำดำ
#ทองคำดำ #โลกแตก

พื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetlands) เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ทว่ากลับถูกคุกคามจากการขยายตัวของสังคมมนุษย์ การสูญเสียพื้น...
17/07/2025

พื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetlands) เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ทว่ากลับถูกคุกคามจากการขยายตัวของสังคมมนุษย์ การสูญเสียพื้นที่เหล่านั้นไปอาจทำให้โลกต้องสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจมากถึง 39 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทุกปี
พื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นคำเรียกรวมๆ ถึงพื้นที่ที่มีน้ำเป็นปัจจัยหลักของสภาพแวดล้อม ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของสิ่งมีชีวิตบริเวณนั้น ทั้งนี้พื้นที่ชุ่มน้ำอาจเกิดจากทั้งแหล่งน้ำใต้ดินหรือน้ำท่วมขังก็ได้ เช่น ป่าชายเลน แนวปะการัง สามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ทะเลสาบ บึง แม่น้ำ ลำธาร หนองน้ำ ฯลฯ
พื้นที่เหล่านี้คิดเป็นเพียง 6% ของพื้นที่ทั้งหมดของโลก หรือราว 10 ล้านตารางกิโลเมตร แม้จะมีเพียงส่วนน้อยแต่พวกมันกลับเป็นหนึ่งในระบบนิเวศที่มีสภาพแวดล้อมอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มันเป็นทั้งแหล่งที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์นานาชนิด ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ นก สัตว์เลื้อยคลาน ทว่าปัจจุบัน 22% ของพื้นที่ชุ่มน้ำได้หายไปตั้งแต่ปี 1970
นอกจากพื้นที่ชุ่มน้ำจะรุ่มรวยทางระบบนิเวศน์แล้ว มันยังเป็นแหล่งน้ำสะอาด แหล่งอาหาร พื้นที่ป้องกันน้ำท่วม และพื้นที่กักเก็บคาร์บอน ซึ่งล้วนส่งผลดีต่อมนุษย์และมีส่วนขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจกว่า 7.5% ของ GDP โลก กระนั้นพื้นที่เหล่านี้ยังถูกคุกคามราว 0.52% ทุกปี จากการเกษตร การประมง การสร้างเขื่อน และการท่องเที่ยว
มีการรายงานว่าปัจจุบันเราเสียเงินปีละ 2.75-5.50 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำที่โดนทำลายให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ดังเดิม ทว่าการใช้จ่ายดังกล่าวยังคงเป็นการลงทุนที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ขณะที่พื้นที่ชุ่มน้ำราว 1 ใน 4 ที่เหลืออยู่ยังคงถูกจัดเป็นพื้นที่เสื่อมโทรม
โดยพื้นที่ชุ่มน้ำที่ยังเหลืออยู่ได้สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้แก่โลกราว 7.98-39.01 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี และหากพวกมันถูกดูแลอย่างดีจนถึงปี 2050 จะสามารถสร้างแรงเคลื่อนทางเศรษฐกิจได้ 205.25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาดังกล่าวเลยทีเดียว
เห็นได้ว่าพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีขนาดน้อยนิดกลับสร้างแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจแก่โลกมากกว่าที่เราคิด อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่ามนุษย์เรายังคงต้องพึ่งพาธรรมชาติอยู่มาก ทั้งเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี หรือเพื่อเศรษฐกิจก็ตามที
#พื้นที่ชุ่มน้ำ #ป่าชายเลน #สิ่งมีชีวิต
ที่มา : https://www.reuters.com/sustainability/climate-energy/world-risks-up-39-trillion-economic-losses-vanishing-wetlands-report-says-2025-07-15/
https://www.wetlands.org/vanishing-wetlands-threaten-39-trillion-in-global-benefits-warns-new-report/
https://www.global-wetland-outlook.ramsar.org/outlook
https://ngthai.com/science/30325/wetland/

พืชใบเลี้ยงเดี่ยวตระกูลหญ้า เจริญเติบโตเป็นกอเบียดเสียดแน่น หยั่งรากประสานกันได้ลึกถึง 1.5-3 เมตร ลักษณะเด่นที่ใครๆ ต่าง...
16/07/2025

พืชใบเลี้ยงเดี่ยวตระกูลหญ้า เจริญเติบโตเป็นกอเบียดเสียดแน่น หยั่งรากประสานกันได้ลึกถึง 1.5-3 เมตร ลักษณะเด่นที่ใครๆ ต่างก็ทราบดีสำหรับชนิดพันธุ์ที่มีนามว่า “หญ้าแฝก” พระเอกคนสำคัญของกลุ่มพืชคลุมดินที่คอยช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำ ความรู้พื้นฐานที่ใครๆ ก็ต่างจดจำกันได้อย่างแม่นยำ แต่จริงๆ แล้วมันยังมีบทบาทยิ่งกว่านั้นมากทีเดียว
‘กักเก็บคาร์บอน’ คุณสมบัติที่ใครหลายคนอาจลืมนึกถึงไป แต่หารู้ไม่ว่าด้วยความลึกของรากนี่เอง ช่วยให้มันมีพื้นที่ผิวมากในการดูดซับคาร์บอน และกักเก็บไว้ได้ในระยะยาวเนื่องจากหญ้าแฝกเป็นพืชที่มีอายุยืนยาวหลายปี ทนต่อสภาพภูมิอากาศสามารถอาศัยในอุณภูมิได้ตั้งแต่ 0 – 50 องศาเซลเซียส แต่จะเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น (เคยมีการบันทึกไว้ ณ สถานีวิจัย Msamfu ในประเทศแซมเบียว่าอายุสูงถึง 60 ปี)
เครือข่ายของรากที่หนาแน่นนี้ ช่วยยึดอนุภาคดินเสริมความแข็งแรงของคันดินบนพื้นที่ลาดชันได้อย่างดี พร้อมการดักจับตะกอนและอินทรียวัตถุทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้น ทั้งยังช่วยดูดซับสารปนเปื้อนอย่างโคลิฟอร์มและโลหะหนักหลายชนิด ให้ดินและแหล่งน้ำในบริเวณนั้นกลับมาสมดุลอีกครั้ง
นอกจากนี้เรายังสามารถเห็นหญ้าแฝกในงานหัตถกรรมอย่างกระเป๋าจักรสาน ตะกร้าใส่ของ หรือวัสดุมุงหลังคาก็ได้เช่นกัน เพราะใบของมันมีลักษณะที่เหนียวและทนทานไม่ด้อยไปกว่าผลิตภัณฑ์จากเส้นใยพืชทั่วไป มากไปกว่านั้นคือการสกัดน้ำมันจากรากที่สามารถกลายมาเป็นได้ทั้งน้ำมันหอมระเหย และใช้แต่งกลิ่นอาหารอย่างเครื่องดื่มประเภทนมและโยเกิร์ต
เห็นไหมว่า ‘หญ้าแฝก’ ที่เรารู้จักกันนั้น มีประโยชน์มากกว่าที่เคยรู้มาอีกหลายประการทีเดียว และนี่เองก็สะท้อนถึงความสวยงามของธรรมชาติที่ถูกสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างเฉพาะเจาะจงตามลักษณะของมัน หากมนุษย์เรารู้จักคุณค่าและประโยชน์ของมันอย่างครบถ้วน ก็จะเห็นถึงมูลค่าที่สามารถเติบโตงอกงามได้ ไม่แพ้กับความลึกของรากมันเลยทีเดียว
#หญ้าแฝก #คาร์บอน #พืช #การเกษตร
ที่มา : https://tvnwi.org/what-is-vetiver-grass/
https://vetiver-australia.com/vetiver-grass-understanding-the-climate-combatting-capabilities/
https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2715815
https://www.orchardofflavours.com/vetiver-a-miracle-grass

16/07/2025

'สภาลมหายใจ' คือใคร 'Genฝุ่น' คืออะไร ไปหาคำตอบพร้อมกันได้ที่ : https://youtu.be/UId3E6yay_0?feature=shared
ุ่น #สภาลมหายใจ #สภาลมหายใจกรุงเทพ

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT หันมาทำเรื่องการเกษตรอย่าง “นาข้าว”? นี่อาจเป็นสิ...
15/07/2025

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT หันมาทำเรื่องการเกษตรอย่าง “นาข้าว”? นี่อาจเป็นสิ่งที่หลายคนตั้งคำถามขึ้นมาไม่ต่างกันกับเรา แต่ทุกอย่างก็ได้คลายความสงสัยลงหลังจากได้รับฟังวิสัยทัศน์จาก ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT ในเช้าวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 (วันนี้)
“โครงการทำนาลดคาร์บอน” ถูกประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนและตั้งใจ เพื่อนำร่องความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Tollway Better Way – ยกระดับคุณภาพชีวิต” และ “Tollway Green Way – ยกระดับสิ่งแวดล้อมและสังคม” ที่มุ่งเน้นส่งเสริมการทำนาแบบลดการใช้น้ำ (Alternate Wetting and Drying: AWD) เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศอันเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักจากภาคเกษตรกรรม เพื่อตอกย้ำว่าดอนเมืองมีความตั้งใจจริงในการดำเนินการด้านความยั่งยืนทุกรูปแบบไม่ว่าจะในมิติของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลายโครงการ จนได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ระดับ “AA” ในกลุ่มธุรกิจบริการจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตั้งเป้าเพื่อจะไปถึงระดับ “AAA” ให้ได้ในอนาคต
ซึ่งโครงการดังกล่าว ได้ถูกริเริ่มเพื่อเป็นพื้นที่ต้นแบบจำนวน 20 ไร่ ที่ตำบลวัดยม อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมทั้งสนับสนุนเกษตรกรรมปลอดสารเคมี เสริมสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน และวางรากฐานด้านเศรษฐกิจให้กับเกษตรกร ไปพร้อมกับพันธมิตรอย่างบริษัท เนตซีโรคาร์บอน จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ AWD ที่มีประสบการณ์ในการดำเนินงานมามากกว่า 3 ปี และความร่วมมือจากบริษัท สไปโร คาร์บอน จำกัด ผู้ให้บริการระบบติดตามและประเมินผลแบบดิจิทัล (dMRV) ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อตรวจวัดผลการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างแม่นยำ มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
ซึ่งอีกหนึ่งความประทับใจที่ถ้าไม่พูดถึงคงไม่ได้ คือสถานที่จัดงานแถลงข่าว ทับขวัญรีสอร์ท บริเวณท่าน้ำนนท์ ที่ถูกเลือกมาแล้วอย่างตั้งใจจาก DMT ว่าอยากให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสถึงความร่มรื่นย์ท่ามกลางบรรยากาศของบ้านเรือนไทยริมน้ำ ที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยที่ผูกพันกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาเนิ่นนานแล้ว ซึ่งการประกาศเจตนารมณ์ในวันนี้ก็เสมือนการย้ำถึงความมุ่งมั่นที่ต้องการให้องค์กรกลายเป็นต้นแบบของความยั่งยืนที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปก็ตาม
#ทำนาลดคาร์บอน #ทางยกระดับดอนเมือง #นาข้าวเปียกสลับแห้ง #ข้าว

กลับมาอย่างยิ่งใหญ่กับวงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังแดนกิมจิ ‘BLACKPINK’ ในชื่อ BLACKPINK WORLD TOUR  แต่ในการแสดงวันที่ 5-6 กรกฎา...
15/07/2025

กลับมาอย่างยิ่งใหญ่กับวงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังแดนกิมจิ ‘BLACKPINK’ ในชื่อ BLACKPINK WORLD TOUR แต่ในการแสดงวันที่ 5-6 กรกฎาคม ที่สนามกีฬาโกยาง ประเทศเกาหลีใต้ พวกเขาได้ใช้ขวดน้ำรักษ์โลกเพื่อหล่อเลี้ยงแรงกายของแฟนคลับ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในวงการ K-POP ที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์รักษ์โลก
ขวดน้ำ ‘BLACKPINK WATER’ มาในดีไซน์ชมพูดำอันเป็นเอกลักษณ์ของวง ขนาด 330 มล. โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง Tetra Pak บริษัทด้านบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนจากเกาหลีใต้ และ YG Entertainment ที่พร้อมสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมให้กับ BLINK ที่มาชมคอนเสิร์ตของสี่สาว
BLACKPINK WATER มีความพิเศษเพราะเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% ซึ่งสอดคล้องกับการที่เทศกาลแสดงดนตรีสดได้กลายเป็นแหล่งสะสมขยะมหาศาล ยกตัวอย่างเช่นเทศกาลดนตรีที่โด่งดังที่สุดอย่าง Coachella ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม ‘เทศกาลที่สร้างมลพิษมากที่สุดในโลก’ ด้วยปริมาณขยะถึง 1,600 ตันต่อปี ทว่าสามารถรีไซเคิลได้เพียง 20%
นอกจากขวดน้ำรักษ์โลกแล้ว Tetra Pak ยังตั้งบูธ ‘Be a BLINK, Make the Right Move’ เพื่อสอนการรีไซเคิลกล่องเครื่องดื่มให้แก่แฟนคลับ อีกทั้งยังวางจุดทิ้งกล่องรีไซเคิลไว้ถึง 21 จุดทั่วงานแสดงแล้วนำกลับไปรีไซเคิลเป็นกระดาษทิชชู่ต่อไป
กระนั้นอุตสาหกรรมการแสดงสดทั่วโลกได้ปล่อยคาร์บอนกว่าปีละ 405,000 ตัน โดยมีเหตุมาจากการใช้พลังงาน ระบบแสงเสียง ปริมาณขยะมหาศาล รวมถึงการเดินทางของผู้ร่วมงานที่คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 70%
BLACKPINK ไม่ใช่วงแรกที่มองเห็นปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการจัดการแสดงดนตรีและเทศกาลสด ก่อนหน้าวงดนตรีจากเกาะอังกฤษ Coldplay ได้ริเริ่มการทัวร์คาร์บอนต่ำใน ‘Music of the Spheres World Tour’ (2022-2025) โดยตั้งเป้าลดคาร์บอน 50% จากทัวร์ครั้งก่อน ผ่านการใช้พลังงานทดแทน ลดคาร์บอนจากการเดินทาง ลดขยะจากการแสดง ฯลฯ
การริเริ่มของ BLACKPINK อีกวงถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของวงการ K-POP และวงการเพลงที่ได้เริ่มตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงจะส่งผลดีต่อศิลปินเองเท่านั้น แต่มันยังสร้างความตระหนักแก่แฟนคลับในวงกว้างอีกด้วย
#คอนเสิร์ต
ที่มา : https://www.posttoday.com/lifestyle/727037
https://kaoupdate.com/2025/07/11/87280-blackpink-water/
https://today.line.me/th/v3/article/9mlvVDe

เรามักคุ้นชินว่าการปลูกต้นไม้เป็นการช่วยโลกดูดซับก๊าซคาร์บอนที่ดีที่สุด ทว่าเรากำลังมองข้าม ‘วาฬ’ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขน...
14/07/2025

เรามักคุ้นชินว่าการปลูกต้นไม้เป็นการช่วยโลกดูดซับก๊าซคาร์บอนที่ดีที่สุด ทว่าเรากำลังมองข้าม ‘วาฬ’ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดมหึมาที่กำลังมีส่วนร่วมในการดูดซับคาร์บอนอยู่อย่างเงียบเชียบใต้ทะเลลึก
ในหนึ่งปี ต้นไม้หนึ่งต้นสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ราว 20 กิโลกรัม ขณะที่วาฬตัวเต็มวัยหนึ่งตัวสามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากถึง 33 ตัน เท่ากับว่าต้องใช้ต้นไม้มากถึง 1,500 ตัน ถึงจะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้เท่าวาฬหนึ่งตัว
เหตุที่วาฬมีส่วนช่วยในการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาจาก ‘whale pump’ หรือการที่พวกมันหาอาหารอยู่ในทะเลลึก แล้วจำเป็นต้องว่ายขึ้นมาสู่ผิวน้ำเพื่อหายใจและขับถ่าย ส่งผลให้สารอาหารใต้ทะเลลึกถูกพัดพาขึ้นมาสู่ผิวน้ำด้วย อีกทั้งอุจจาระของวาฬยังมีสังกะสีและไนโตรเจน ซึ่งทั้งหมดเป็นอาหารชั้นดีของ ‘แพลงก์ตอน’ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ช่วยดูดซับคาร์บอนและปล่อยออกซิเจนสู่ชั้นบรรยากาศ
แพลงก์ตอนจิ๋วพวกนี้ผลิตออกซิเจนสู่ชั้นบรรยากาศถึง 50% ของทั้งหมด อีกทั้งยังดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 40% ของที่มนุษย์ผลิตในแต่ละปี หากเป็นต้นไม้ต้องใช้ปริมาณมากถึง 1.7 ล้านล้านต้น หรือเทียบเท่าป่าแอมะซอนถึง 4 ผืน ทำให้การเพิ่มขึ้นของแพลงก์ตอน แม้ 1 % ก็สามารถช่วยลดคาร์บอนและเพิ่มออกซิเจนให้แก่โลกมหาศาลแล้ว
แม้วาฬจะมีสามารถช่วยโลกได้มากขนาดนี้ ทว่าจำนวนของพวกมันกลับลดลงเรื่อยๆ จาก 4-5 ล้านตัวก่อนมีการล่าวาฬเชิงพาณิชย์ สู่เพียง 1.3 ล้านตัวเท่านั้นในปัจจุบัน โดยวาฬหนึ่งตัวมีอายุถึง 60 ปี นานพอที่จะให้มันดำผุดดำว่ายเพื่อนำพาสารอาหารมาให้แพลงก์ตอน หากเราสามารถฟื้นฟูให้ประชากรวาฬกลับสู่จุดนั้นได้จะทำให้มีการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นถึง 1.7 พันล้านตันต่อปี
แต่หนทางไม่ได้ง่ายดาย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund; IMF) ได้ประเมินไว้ว่าเราต้องใช้เงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการฟื้นฟูประชากรวาฬให้กลับสู่จำนวนเดิม อีกทั้งยังต้องใช้เวลาอีกราว 30 ปีเพิ่มดำเนินการ
ท้ายที่สุดการฟื้นฟูประชากรวาฬอาจไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เป็นเรื่องที่เราควรทำ เพื่อรักษาให้สภาพอากาศไม่ย่ำแย่ไปมากกว่าที่มันเคยเป็น
#คาร์บอน #วาฬ #สัตว์โลก #ทะเล
ที่มา : https://ngthai.com/environment/76634/protecting-the-earth-by-protecting-whales/
https://www.imf.org/en/Publications/fandd/issues/2019/12/natures-solution-to-climate-change-chami
https://www.arcticwwf.org/the-circle/stories/protecting-the-earth-by-protecting-whales/

ท่านรู้ไหมว่าในอนาคตข้างหน้านมวัวจะได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนจนอาจทำให้ผลผลิตลดลงข้อมูลจาก The Guardian ระบุไว้ว่าจาก...
14/07/2025

ท่านรู้ไหมว่าในอนาคตข้างหน้านมวัวจะได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนจนอาจทำให้ผลผลิตลดลง
ข้อมูลจาก The Guardian ระบุไว้ว่าจากการสำรวจวัวกว่า 130,000 ตัวในกรอบเวลา 12 ปี พบว่าความร้อนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการผลิตนมลดลงถึง 10% เป็นผลมาจากที่การผลิตนมวัวอ่อนไหวต่ออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก หากสูงเกิน 26 องศาเซลเซียส ผลผลิตจะลดลง 0.5% นอกจากนี้มันยังส่งผลระยะยาวอีกด้วย โดยข้อมูลได้ระบุว่าอัตราการผลิตยังลดลงหลังจากอุณหภูมิกลับมาปกติแล้วถึง 10 วัน
ประกอบกับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยรูซาเลม ที่ระบุว่าหากคาดการณ์จากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิภายในปี 2050 ผลผลิตนมทั่วโลกจะลดลงราว 4 % โดยเฉลี่ย
นมวัวอุดมไปด้วยสารอาหารและแร่ธาตุมากมายทั้งแคลเซียม โปรตีน วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินบี 12 ฟอสฟอรัส ฯลฯ ทำให้มันกลายเป็นอาหารที่สามารถช่วยพัฒนาร่างกายและสมองของเด็กอย่างดี อีกทั้งผู้ใหญ่อย่างเราก็ยังบริโภคนมกันทั้งทางตรง และในฐานะส่วนประกอบของอาหารอื่น ทั้งกาแฟ ชา ขนม เป็นต้น หากผลผลิตนมวัวลดลงอาจกระทบผู้คนราว 150 ล้านคนเลยทีเดียว ซึ่งประเทศไทยก็มีการดื่มนมเฉลี่ยอยู่ปีละ 28.8 ลิตรต่อคน
เกษตรกรจึงมีวิธีการที่จะช่วยให้วัวสามารถผลิตนมได้เท่าเดิม ทั้งการหาร่มให้วัวหรือติดตั้งสปริงเกอร์เพื่อทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลง ทว่าจากงานวิจัยก็พบว่าหากวันไหนอุณหภูมิสูงเกิน 24 องศาเซลเซียส วิธีการลดความความร้อนอาจช่วยได้ 40% เท่านั้น
สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ในตอนนี้คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุด แล้วหวังให้ความร้อนของโลกไม่เพิ่มขึ้นไปกว่านี้ มิเช่นนั้นของอร่อยที่มีนมเป็นส่วนประกอบอาจกลายเป็นเพียงอดีตอันเลือนลางในสักวันหนึ่ง
#นมวัว #อาหาร #โลกร้อน
ที่มา : https://www.theguardian.com/environment/2025/jul/03/heatwaves-global-dairy-decline-milk-production-farming-environment
https://worldpopulationreview.com/country-rankings/milk-consumption-by-country
https://www.uchicagomedicine.org/forefront/pediatrics-articles/do-kids-need-milk

13/07/2025

ใครจะเชื่อว่าทรายจะกลายเป็นพลังงานสะอาด เป็นไปได้ยังไง? เดี๋ยววันนี้ recap ให้ฟัง #ทราย #พลังงาน #พลังงานสะอาด

12/07/2025

ภาพงานศิลปะ ที่มีลักษณะคล้ายแผนที่ชิ้นนี้คืออะไร เดี๋ยว scene นี้เราเล่าให้ฟัง #ศิลปะ #แผนที่ #ขยะ

“ปัญหาเรื่องฝุ่นไม่ใช่เรื่องของคนรุ่นใดรุ่นหนึ่ง แต่มันคือเรื่องที่คนทุกรุ่นต้องเข้าใจ”‘Genฝุ่น’ คือโปรเจกต์ที่เราต้องกา...
11/07/2025

“ปัญหาเรื่องฝุ่นไม่ใช่เรื่องของคนรุ่นใดรุ่นหนึ่ง แต่มันคือเรื่องที่คนทุกรุ่นต้องเข้าใจ”
‘Genฝุ่น’ คือโปรเจกต์ที่เราต้องการสื่อสารถึงปัญหาของฝุ่น ในหลากหลายมิติ ผ่านคนหลากหลาย Generation และสาขาอาชีพ เพื่อสร้างการรับที่เข้าใจ ในปัญหา และทางแก้ไขของมัน
เราจึงร่วมมือกับ ‘สภาลมหายใจกรุงเทพ’ ที่เป็นเสมือนกระบอกเสียงที่สำคัญเรื่องปัญหาฝุ่นในการนำองค์ความรู้ ข้อมูล และแนวทางต่างๆ ที่เราได้รับมาขยายผลเป็นคอนเทนต์ที่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยให้คนทุกรุ่นเข้าใจปัญหานี้อย่างแท้จริง
นี้เป็นเพียงวิดิโอเพื่อแนะนำทั้งตัวองค์กรและโปรเจกต์ หลังจากนี้ถ้าเห็นโลโก้ ‘Genฝุ่น’ ที่ไหน ก็อย่าลืมเข้าไปฟัง เข้าไปอ่านเนื้อหาที่มีประโยชน์จากพวกเรา NZC ได้เลยนะ
ุ่น #ฝุ่น #สภาลมหายใจ #สภาลมหายใจกรุงเทพ

“ปัญหาเรื่องฝุ่นไม่ใช่เรื่องของคนรุ่นใดรุ่นหนึ่ง แต่มันคือเรื่องที่คนทุกรุ่นต้องเข้าใจ”‘Genฝุ่น’ คือโปร....

ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว สร้างเม็ดเงินสะพัดมหาศาลให้กับประเทศเรา ทว่าขณะเดียวกันมันก็สร้างขยะและปล่อยก๊าซคาร์บอนมหาศ...
11/07/2025

ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว สร้างเม็ดเงินสะพัดมหาศาลให้กับประเทศเรา ทว่าขณะเดียวกันมันก็สร้างขยะและปล่อยก๊าซคาร์บอนมหาศาล Marriott ในฐานะเครือโรงแรมชั้นนำของโลก ไม่ได้ยืนตรงเป็นไม้แข็ง ทว่าพวกเขากลับลู่ลมปรับตัวไปตามวิกฤติสภาพอากาศโลก
เราได้เดินทางไปที่โรงแรม Sheraton Grande Sukhumvit ในเครือ Marriott ตรงข้าม Terminal 21 ขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องสวีทสูงเสียดฟ้า Neeraj Govil ผู้ดำรงตำแหน่ง COO เครือโรงแรม Marriott ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กำลังคอยท่าเราอยู่กลางห้องโถง
“เราเป็นเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และต้องการอยู่แนวหน้า เพื่อที่จะแน่ใจว่าทุกกระบวนการดำเนินงานของเรามีความยั่งยืนและความรับผิดชอบ (ต่อสิ่งแวดล้อม) จริงๆ” Neeraj บอกเรา สอดคล้องกันที่ Marriott ก็เป็นหนึ่งในเครือโรงแรมแรกๆ ที่มีเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ที่ล้อไปกับข้อตกลง ปารีส นอกจากนี้ Marriott ยังมีการกำหนดเป้าหมายชัดเจน โดยมี Science Based Targets Initiative (SBTI) ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเข้าร่วมตรวจสอบความเป็นไปได้
Neeraj ได้แบ่งแกนหลักในการบริหารจัดการของโรงแรมในเครือออกเป็น 3 แกน คือด้านพลังงาน ด้านการใช้น้ำ และการจัดการของเสีย
เขาเล่าว่าในประเทศที่สามารถทำได้ พวกเขาจะเลือกใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนให้มากที่สุด ขณะเดียวกันพวกเขาก็ลดการปล่อยน้ำเสียให้มากที่สุด อีกทั้งยังมีการลดของเสียจากอาหารและขยะพลาสติกให้น้อยลงอีกด้วย ซึ่งแต่และแกนก็มีการกำหนดตัวเลขชี้วัดอย่างชัดเจน
“หากเป็นสามปีที่แล้วผมคงไม่สามารถบอกได้ว่าเราปล่อย (ของเสีย) ออกไปมากเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เรามีข้อมูลอยู่ในมือแล้ว”
Neeraj บอกเพิ่มเติมว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 และ Scope 2 กำลังดำเนินไปสู่เส้นทางที่สดใส แต่ใน Scope 3 ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรงแรมโดยตรง ยังต้องอาศัยการจัดการอีก
เครือ Marriott มีแพลตฟอร์มกลาง MESH (Marriott Environmental Sustainability Hub) เพื่อการตรวจสอบคะแนนความยั่งยืนของโรงแรมกว่า 9,000 แห่งในเครือ โดยพวกเขาได้ใช้เครื่องมือนี้ในการวัดประสิทธิภาพการทำงานของคนในองค์กร ตั้งแต่ผู้จัดการโรงแรม ประธานภูมิภาค รวมถึงผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการอย่าง Neeraj ก็ไม่ถูกยกเว้น เพราะพวกเขาไม่ได้มองตัวชี้วัดแค่ด้านการเงินเพียงอย่างเดียว แต่กำลังผลักดันให้ด้านความยั่งยืนเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดของ Marriott ทั่วโลก
นอกจากนั้นพวกเขายังผลักดันให้โรงแรมทุกแห่งถูกตรวจสอบโดยองค์กรภายนอก เพื่อรับรองว่าพวกเขาลงมือด้านความยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยขณะนี้โรงแรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกว่า 50% ได้รับใบรับรองแล้ว ขณะที่อีก 30% กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ
“เป้าหมายหลักของเราคือการอธิบายกับลูกค้าทุกคนเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำ และที่สำคัญคืออธิบายได้ว่าทำไมเราถึงต้องทำสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นในภาพใหญ่เราจะสร้างแรงจูงใจให้คนตระหนักเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศมากขึ้น” Neeraj กล่าวทิ้งท้าย

ที่อยู่

Bang Kapi

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 17:30
อังคาร 09:00 - 17:30
พุธ 09:00 - 17:30
พฤหัสบดี 09:00 - 17:30
ศุกร์ 09:00 - 17:30

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ NetZeroCarbonผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง NetZeroCarbon:

แชร์