All Music Spoken by Pratak Faisupagarn

  • Home
  • All Music Spoken by Pratak Faisupagarn

All Music Spoken by Pratak Faisupagarn All music categories - jazz, classical music, pop, etc.

YEAR 5 - WEEK 36 (September 5, 2025)เรด ฮอลโลเวย์เฉียบทั้งแจ๊ส บลูส์ และโซลสัปดาห์ที่แล้ว “All Music Spoken” ได้เสนอเรื่...
05/09/2025

YEAR 5 - WEEK 36 (September 5, 2025)
เรด ฮอลโลเวย์
เฉียบทั้งแจ๊ส บลูส์ และโซล

สัปดาห์ที่แล้ว “All Music Spoken” ได้เสนอเรื่องราวของโจชัว เรดแมน นักแซ็กโซโฟนที่ได้รับความนิยมในยุคนี้

โจชัว เรดแมน เคยกล่าวว่า เขาเอาอย่างทางดนตรีจาก เรด ฮอลโลเวย์ ดังนั้น สัปดาห์นี้ในเนื้อที่นี้จึงอยากจะกล่าวถึง เรด ฮอลโลเวย์

เจมส์ เวสลีย์ หรือรู้จักในวงการดนตรีแจ๊สในนาม เรด ฮอลโลเวย์ เกิดที่เฮเลนา รัฐอาร์คันซอส์ สหรัฐอเมริกา วันที่ 31 พฤษภาคม 1927

เรด ฮอลโลเวย์ เติบโตและก้าวเข้าสู่วงการดนตรีที่นครชิคาโก

เสียงเทเนอร์แซ็กโซโฟนของเลสเตอร์ ยัง โซโลอิสต์ในวงเคานท์ เบซี ที่เรดได้ยินจากสถานีวิทยุกระจายเสียงในนครชิคาโก สะดุดหู สะดุดใจ เกิดแรงบันดาลใจให้เรดอยากเป่าแซ็กโซโฟน อยากเป็นอย่างเลสเตอร์ ยัง

เรดวางแบนโจและหีบเพลงปาก (harmonica) หันมาฝึกแซ็กโซโฟนอย่างจริงจัง โดยได้รับความช่วยเหลือจากวอลเทอร์ ดูเบตต์ หัวหน้าวง “ดูซาเบิลไฮสกูล” ที่เรดเรียนอยู่

จอห์นนี กริฟฟิน, จีน แอมมอนส์, วอน ฟรีแมน ล้วนเป็นนักเทเนอร์แซ็กโฟนลือชื่อของวงการดนตรีแจ๊สในเวลาต่อมา นอกจากนี้ ไฮสกูลแห่งนี้ยังสร้างนักร้องแจ๊สดังอย่าง จอห์นนี ฮาร์ตแมน, แน็ต “คิง” โคล, ไดนาห์ วอชิงตัน

เรดเข้าสู่วงการดนตรีอาชีพตั้งแต่อายุ 16 ปี เพื่ออนาคตทางดนตรี เขาเข้าเรียนที่ Chicago Conservatory of Music

ขณะเดียวกันเป็นนักดนตรีอาชีพ โดยเข้าเล่นในวง “บิ๊กแบนด์” ของจีน ไรท์ ซึ่งต่อมาเป็นผู้เล่นเบสโด่งดังใน “เดฟ บรูเบค ควอร์เทต” ยุครุ่งเรือง โดยเฉพาะในอัลบั้มคลาสสิกแจ๊ส “Time Out” เพลง Take Five ในแบบ “Odd Time” ของพอล เดสมอนด์ ที่แหวกวงการดนตรีแจ๊ส

ประสบการณ์ 3 ปีในวงจีน ไรท์ ของเรดนำไปสู่การเป็นหัวหน้าวงดนตรีกองทัพที่ 5 สหรัฐอเมริกา

หลังปลดประจำการ เรดกลับไปนครชิคาโก เล่นกับนักดนตรีแจ๊สยิ่งใหญ่อย่าง ยูเซฟ ลาทีฟ, เด็กซ์เตอร์ กอร์ดอน

ปี 1948 รูสเวลท์ ไซเคส ขอให้เรด ฮอลโลเวย์ ร่วมงานกับวง ออกตระเวนแสดงทั่วสหรัฐอเมริกา จากนั้น เรดได้เล่นกับนักร้องนักดนตรีบลูส์ชื่อดังอย่าง วิลลี ดิ๊กสัน, จูเนียร์ พาร์กเกอร์, บ็อบบี แบลนด์, จอห์น เมยัลล์, บี.บี. คิง

ช่วงทศวรรษ 1950 เรดเล่นกับนักร้องนักดนตรีแจ๊สและบลูส์ชื่อก้อง อาทิ บิลลี ฮอลิเดย์, มัดดี้ วอเทอร์ส, ชัค เบร์รี, จีมมี รัชชิง, อารีธา แฟรงกลิน, โจ วิลเลียมส์, ซันนี รอลลินส์, เลสเตอร์ ยัง, ซันนี สติตต์, ไลอะเนิล แฮมพ์ตัน, เบน เวบสเตอร์ นักเทเนอร์แซ็กโซโฟนที่เรดโปรดปราน

ทศวรรษถัดมา เรดเล่นในวงแจ็ค แม็คดัฟฟ์ นักออร์แกนแจ๊สระดับแนวหน้า ซึ่งมีจอร์จ เบนสัน นักร้องนักกีตาร์แจ๊สที่ไต่มาจากวงนี้ และเป็นช่วงที่เริ่มมาแรงในวงการดนตรี

ช่วงทศวรรษ 1970 เรดได้เล่นกับเพื่อนเก่า ซันนี สติตต์ ผู้แนะให้เขาเป่าอัลโตแซ็กโซโฟน ระหว่างเดินสายออกตระเวนแสดงกับซันนี สติตต์ ครั้งแรก ทั้งสองผลัดกันโซโล Now’s the Time เพลงบลูส์ดังของชาร์ลี พาร์กเกอร์ ต้นแบบดนตรี “บีบ็อพ” ซันนีเล่น “อิมโพรไวส์” ยาวถึง 10 เที่ยว อวดความช่ำชองในการเดี่ยว “ด้นสด” เรดบอกให้ซันนีรอด้วย ทำเหมือนเขาเป็นศัตรู ซันนีตอบสวนทันควัน “บนเวทีไม่มีคำว่ามิตร”

การประชันฝีมือระหว่างซันนี สติตต์ กับ เรด ฮอลโลเวย์ ทำให้ทั้งคู่ออกอัลบั้มร่วมกัน “Forecast” และ “Partners: Sonny Stitt & Red Holloway” ใน “สารานุกรมแจ๊ส 70” ของ เลนาร์ด เฟเธอร์ เขียนถึงเรดว่า “ฮอลโลเวย์มีความสามารถสร้างความตื่นเต้นอย่างยิ่งด้วยเนื้อเสียงหนาที่ขับเคลื่อนแจ๊สแนวหลักสมัยใหม่”

เรด ฮอลโลเวย์ ออกอัลบั้มแรก “The Burner” กับแผ่นเสียง “เพรสทิจ” ปี 1963 โดยมี จอห์น แพตตัน เล่นออร์แกน เอริก เกล เล่นกีตาร์

ปีถัดมา อัลบั้มที่สอง “Cookin’ Together” โดยเรดเล่นกับแจ็ค แม็คดัฟฟ์ ที่มีจอร์จ เบนสัน เป็นดาวเด่นของวง เรดประสบความสำเร็จจากอัลบั้มนี้เป็นอย่างมาก ทำให้เรดดังระเบิดในวงการดนตรีแจ๊ส

เรด ฮอลโลเวย์ มีผลงานในนามตนเองกว่า 20 อัลบั้ม ร่วมบรรเลงกับแจ็ค แม็คดัฟฟ์กว่า 10 อัลบั้ม และร่วมงานกับนักร้องนักดนตรีอีกมาก อาทิ เอตทา เจมส์, คาร์เมน แม็คเร, โจ วิลเลียมส์, คลาร์ก เทร์รี, ฮอเรซ ซิลเวอร์, จีน แอมมอนส์, จอร์จ เบนสัน

YEAR 5 - WEEK 35 (August 29, 2025)โจชัว เรดแมนเรียนเก่งและเล่นเก่งโจชัว เรดแมน นักเทเนอร์แซ็กโซโฟนอันดับต้น ๆ ในวงการดนต...
29/08/2025

YEAR 5 - WEEK 35 (August 29, 2025)
โจชัว เรดแมน
เรียนเก่งและเล่นเก่ง

โจชัว เรดแมน นักเทเนอร์แซ็กโซโฟนอันดับต้น ๆ ในวงการดนตรีแจ๊สที่ไม่ได้เรียนจากสถาบันดนตรี

ความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่ ในสังคมตะวันตกมีมานานแล้ว คนที่ไม่ได้เรียนดนตรีมาโดยตรง แต่ก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักยกย่องในวงการดนตรี ทั้งนี้อาจเป็นเพราะดนตรีมีความสำคัญในวัฒนธรรมตะวันตกก็เป็นได้ เป็นที่น่าสังเกต คนเหล่านี้มักเรียนดนตรีมาแต่เยาว์วัย

โจชัว เรดแมน เกิดในเมืองเบิร์กลีย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1969

โจชัวเริ่มหัดเป่าคลาริเน็ตตั้งแต่อายุ 9 ปี แล้วเปลี่ยนมาเป่าเทเนอร์แซ็กโซโฟนภายหลังโดยการเรียนด้วยตนเอง ศึกษาและฟังผลงานของจอห์น โคลเทรน, ออร์เนตต์ โคลแมน, แคนนอนบอล แอดเดอร์ลี

ซันนี รอลลินส์ มีอิทธิพลต่อโจชัว รวมถึงยกย่องนักเทเนอร์แซ็กโซโฟนอย่างเด็กซ์เตอร์ กอร์ดอน และ สแตนลี เทอร์เรนทีน

ช่วงเรียนที่ “เบิร์กลีย์ไฮสกูล” โจชัวมีส่วนร่วมช่วยให้วงแจ๊สของโรงเรียนได้รับรางวัล หลังจบไฮสกูล โจชัวไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเสตส์ จบในสาขาวิชา “สังคมศึกษา” (Social Studies) ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง (summa cm laude) ในปี 1991 แล้วไปเรียนต่อวิชากฎหมาย (Law School) ที่มหาวิทยาลัยเยล

ปีเดียวกันนี้เอง โจชัว เรดแมน ได้รางวัลแซ็กโซโฟนชนะเลิศจาก Thelonious Monk Institute of Jazz International Competition (สถาบันแจ๊สธีโลเนียส มังค์) ในกรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สถาบันเฮอร์บี แฮนค็อค”

ชัยชนะครั้งนี้ส่งผลให้โจชัว เรดแมน ได้ก้าวเข้าสู่ดนตรีอาชีพ โดยได้เซ็นสัญญากับ “แผ่นเสียงวอร์เนอร์ บราเธอร์ส” ออกอัลบั้มแรก “Joshua Redman” ในปี 1993 ซึ่งมีนักดนตรีแจ๊สฝีมือดีร่วมด้วย ได้แก่ คริสเชียน แม็คไบรด์ (เบส), เควิน เฮย์ส (เปียโน), เกรกอรี ฮัตชินสัน (กลอง)

นักแซ็กโซโฟนหนุ่มวัย 22 ใช้ชื่อตนเองเป็นชื่ออัลบั้ม แจ้งเกิดทันทีในวงการดนตรีแจ๊ส ซึ่งได้เข้าชิงรางวัล “แกรมมี่” ในเวลาต่อมา

ปีเดียวกันนี้เอง โจชัว เรดแมน ได้ออกอัลบั้มที่สอง “Wish” โจชัวเป็นหัวหน้าวงเหมือนเดิม แต่เป็น “ควอร์เทต” ที่ไม่ใช้เปียโนเหมือนอัลบั้มแรก แต่ใช้กีตาร์ ผู้ที่มาเล่นกีตาร์ให้คือ แพ็ท เมธีนี นักกีตาร์แจ๊สที่แฟนแจ๊สรู้จักกันดี ชาร์ลี เฮเดน เป็นผู้เล่นดับเบิลเบส และกลองเป็นยอดฝีมืออย่างบิลลี ฮิกกินส์

แค่เพลงแรกในอัลบั้มนี้ Turnaround ผลงานของ ออร์เนตต์ โคลแมน เจ้าแห่ง “ฟรีแจ๊ส” ก็ชวนติดตามแล้ว หลังทำนองหลักจากเสียงแซ็กโซโฟนของโจชัว เรดแมน เสียงกีตาร์ที่พลิ้วมากับการ “อิมโพรไวส์” ของแพ็ท เมธีนี ผู้เคยเล่นกับออร์เนตต์ โคลแมน ก็สะใจคนฟังแล้ว ตามด้วย ชาร์ลี เฮเดน โซโลเบส ข้อสำคัญที่ชาร์ลี เฮเดน และ บิลลี ฮิกกินส์ เคยเป็นนักดนตรีหลักในวงออร์เนตต์ โคลแมน

เพลง Soul Dance; The Deserving Many และ Wish เป็นเพลงที่โจชัว เรดแมน แต่งเอง

Make Sure You’re Sure เป็นผลงานของสตีวี วันเดอร์ แพ็ท เมธีนี เปลี่ยนไปใช้กีตาร์อะคูสติก โซโลสลับกับโจชัว ไพเราะน่าฟังมาก

Tears in Heaven ผลงานของเอริก แคปตัน เป็นเพลงป๊อปอีกหนึ่งเพลงที่โจชัว เรดแมน และ แพ็ท เมธีนี นำมาตีความเล่นเป็น “บัลลาด” ฟังเพราะ ฟังเพลิน

โจชัวโชว์ความช่ำชองในการเล่น “บ็อพ” ที่เขาถนัดในเพลง Mooche ผลงานของชาร์ลี พาร์กเกอร์ ต้นแบบดนตรี “บ็อพ” หรือ “บีบ็อพ”

นอกจากนี้ มีเพลง We Had A Sister และ Whittling’ ของแพ็ท เมธีนี ส่วนชาร์ลี เฮเดน แต่งเพียงเพลงเดียว Blues for Pat

ผมได้สัมผัสเสียงแซ็กโซโฟนของโจชัว เรดแมน คนเรียนเก่งและเล่นดนตรีเก่งที่ห้อง “ฮัดสัน” ใน “North Sea Jazz Fest” เมืองร็อตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เที่ยงคืนวันที่ 10 กรกฎาคม 2009 โดยมีรูเบิน รอเจอร์ส (ดับเบิลเบส) และ เกรก ฮัตชินสัน (กลอง) ร่วมเล่นด้วย ความพิเศษ โจชัว เรดแมน ได้เชิญโจ โลวาโน มาร่วมแจมกับวงด้วย

YEAR 5 - WEEK 34 (August 22, 2025)ฟารีด ฮักนักกีตาร์ดังแห่งชิคาโกชื่อของ ฟารีด ฮัก (Fareed Haque) นักกีตาร์แจ๊สอเมริกัน ...
22/08/2025

YEAR 5 - WEEK 34 (August 22, 2025)
ฟารีด ฮัก
นักกีตาร์ดังแห่งชิคาโก

ชื่อของ ฟารีด ฮัก (Fareed Haque) นักกีตาร์แจ๊สอเมริกัน เชื้อสายปากีสถานกับชิลี อาจไม่คุ้นหูคุ้นตานัก แต่หากดูจากผลงานและประสบการณ์ไม่ธรรมดา

ฟารีดมีผลงานในนามตนเองสิบกว่าอัลบั้ม และร่วมงานกับนักร้องนักดนตรีแจ๊สชั้นนำอีกมาก อาทิ เคิร์ท เอลลิง, ไดแอนน์ รีฟส์, คัสแซนดรา วิลสัน, ปากีโต ดริเวร่า, อาร์ตูโร ซันโดวัล, โจ เฮนเดอร์สัน, โย ซอวินูล, เลสเตอร์ โบวี, เดฟ ฮอลแลนด์, ทูทส์ ธีลมันส์

ผมแวะไปที่ “กรีนมิลล์” แจ๊สคลับหรือค็อกเทลเลาจ์ แหล่งบันเทิงย่านบรอดเวย์แอวินิว นครชิคาโก สหรัฐอเมริกาปลายเดือนพฤษภาคม 1990

“กรีนมิลล์” เป็นที่ที่แฟนแจ๊สมักไปสังสรรค์ในยามราตรี สถานที่แห่งนี้เปิดมากว่าร้อยปี ในปี 1914 ได้เปลี่ยนมาเป็น “กรีนมิลล์” หรือ “กังหันเขียว” เลียนแบบ “มูแรงรูจ” หรือ “กังหันแดง” ไนท์คลับลือชื่อในกรุงปารีส ฝรั่งเศส

เล่ากันว่าสมัยก่อน “กรีนมิลล์” เป็นที่ชุมนุมสังสรรค์ของเหล่าดารานักแสดง แม้แต่มาเฟียดังอย่างอัล คาโปน ก็ชอบมาสิงสู่ที่นี่ เพราะ “กรีนมิลล์” มีทำเลที่เหมาะสม มองเห็นความเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนทั้งด้านหน้าและด้านหลังคลับ ด้วยความที่ อัล คาโปน เป็นเจ้าพ่อ มีคู่อริคอยตามล่า บ่อยครั้งอัลหายตัวไปจากที่นั่น ตามคำเล่าลือว่า “กรีนมิลล์” มีทางลับทะลุไปยังตึกอื่นได้

ภายในคลับ แฟนแจ๊สนั่งกันเต็ม พอผมโผล่เข้าไปใน “กรีนมิลล์” ก็เจอนักดนตรีแจ๊สดังหลายคน เช่น แบรด กู๊ด (Brad Goode) นักทรัมเป็ตแจ๊สชาวชิคาโก ขณะที่บนเวทีเป็นการแสดงฝีมือกีตาร์ของฟารีด ฮัก

หลังจบการแสดง ผมยืนคุยกับฟารีดอยู่พักหนึ่ง เห็นแนวการเล่นของฟารีดเน้นไปทาง “ฟิวชั่น” จำได้ว่าตอนหนึ่งถามฟารีดว่า มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับไมค์ สเติร์น เพราะตอนนั้นมาแรงมากในแนวดนตรี “ฟิวชั่น” หรือ “แจ๊ส-ร็อค” ฟารีดเห็นว่าไมค์เป็นกีตาร์เก่ง แนวการเล่นน่าสนใจ แต่เท่าที่สังเกต วิธีการเล่นของฟารีดมีสไตล์ของตนเอง เรื่องความเร็วไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะการเล่นเร็ว “ดับเบิลไทม์” แบบ “บีบ็อพ” น่าจะได้แนวการเล่นมาจากแพ็ต มาร์ติโน

ฟารีด ฮัก เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1963 ในนครชิคาโก และเขาเติบโตที่เมืองนี้ “กรีนมิลล์” จึงเปรียบเสมือนบ้านที่สอง เพราะมีกิจกรรมดนตรีที่นี่อย่างต่อเนื่องตลอดมา

เนื่องจากฟารีดเคยท่องเที่ยวไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น สเปน ฝรั่งเศส อิหร่าน ปากีสถาน ชิลี แต่ละประเทศเขาอยู่นานพอสมควร ฟารีดจึงรับเอาวัฒนธรรมทางดนตรีของแต่ละประเทศติดตัวมาด้วย นี่แหละเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟารีดมีความหลากหลาย มีความแตกต่างจากนักดนตรีคนอื่น ๆ ประกอบกับได้รับการศึกษาดนตรีควบคู่ไปด้วย ยิ่งทำให้ดนตรีของฟารีดเปิดกว้างเข้าสู่ “ดนตรีโลก” (World Music) มิใช่จำกัดที่ดนตรีแจ๊ส

ฟารีดสนใจกีตาร์คลาสสิก โดยเรียนกับเดวิด บุช, จอห์น โฮล์มควิสต์ และ แอนน์ วอลเลอร์ ที่มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น และได้รับทุนไปเรียนกีตาร์แจ๊สที่มหาวิทยาลัยนอร์ทเท็กซัสสเตท ในปี 1981 ได้เรียนกับแจ็ค พีเทอร์สัน อาจารย์กีตาร์แจ๊สมีชื่อเสียงในแวดวงการศึกษาสหรัฐอเมริกา มีผลงานด้านเท็คนิคการเล่นกีตาร์แจ๊สพิมพ์ออกเผยแพร่ทั่วโลก

ด้วยความสามารถเป็นที่ยอมรับในแวดวงดนตรีนครชิคาโก ฟารีดจึงเป็นนักดนตรีเด่นในรายการ “Ari Beat” ทาง WTTW และ “Chicago Tonight” ฟารีดร่วมรายการโทรทัศน์กับเดวิด แซนบอร์น ทางสถานีโทรทัศน์ “NBC” ขณะเดียวกัน ฟารีดมีรายการของเขาเอง “Lonesome Pines” ในช่วงแจ๊สทางเคเบิลทีวี “PBS” และ “BET”

ชื่อเสียงของฟารีด ฮัก เริ่มเป็นที่รู้จักกว้างขวาง เมื่อนิตยสาร “DownBeat” เลือกให้เขาอยู่อันดับ “Talent Deserving Wider Recognition” ติดต่อกันสองปี

ในอัลบั้ม “Trance Hypothesis” ของฟารีด มีทั้งกลิ่นอายของเพลงพื้นเมืองปัญจาบ ภารตแบบ “บอลลีวูด” และแนวการ “อิมโพรไวส์” ตามแนวคิดแบบอินเดีย ซึ่งรับเอาแนวปฏิบัติตามขนมของดนตรีอินเดียดั้งเดิมมาประยุกต์ในการประพันธ์เพลงและการบรรเลง

ฟารีด ฮัก เป็นอาจารย์สอนกีตาร์แจ๊ส และคลาสสิคที่มหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นอิลลินอยส์ นอกจากมีผลงานด้านแจ๊สแล้ว ยังมีผลงานด้านคลาสสิคด้วย ผลงานประพันธ์บทเพลง Lanara Double Concerto For Sitar/ Guitar and Tabla นำออกแสดงรอบปฐมทัศน์กับชิคาโกซินโฟนีเอ็ตตา ในนครชิคาโก

ฟารีด ฮัก เดี่ยวกีตาร์คอนแชร์โต 2 บท ได้แก่ Concierto De Aranjuez ของรอดริโก นักประพันธ์เพลงชาวสเปน และ Concerto for Guitar and Orchestra ของวิลลา โลบอส นักประพันธ์ชาวบราซิลกับชิคาโก ฟิลฮาร์มอนิก สมกับที่นิตยสาร “Guitar Player” ยกย่องฟารีด ฮัก เป็น “Best World Guitarist”

YEAR 5 - WEEK 33 (August 15, 2025)โจชัว เบรคสโตนประชันฝีมือกีตาร์ที่ชิคาโกช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน 1990 ผ...
15/08/2025

YEAR 5 - WEEK 33 (August 15, 2025)
โจชัว เบรคสโตน
ประชันฝีมือกีตาร์ที่ชิคาโก

ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน 1990 ผมเดินทางไปงาน “CES” (International Summer Consumer Electronics Show) งานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้ายิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

งานจัดขึ้นในบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลของโรงแรม “แม็คคอนิก” นครชิคาโก ภายในงานมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่ออกสู่ท้องตลาดโลก ถูกนำออกมาแสดงล้นหลามลานตา เย้ายวนให้บรรดาตัวแทนจำหน่ายจากทุกมุมโลกบินไปสังเกตการณ์มากมาย

นอกจากนี้ยังมีผู้เกี่ยวข้องจากโรงงาน ตัวแทนโรงงาน นักโฆษณา นักวิจัยการตลาด ตลาดหลักทรัพย์ สื่อมวลชน พากันเข้าชมงานนับแสนคน

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ มาถึงนครชิคาโก เมืองสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ดนตรีบลูส์และแจ๊ส

ได้ข่าวว่าคืนวันที่ 2 มิถุนายน 1990 ประมาณสี่ทุ่ม โจชัว เบรคสโตน จะประชันฝีมือกีตาร์กับบ็อบบี บรูม ที่ “เดอะแจ๊สบุลส์” (The Jazz Bulls) แจ๊สคลับชั้นดีที่ตั้งมาตั้งแต่ปี 1965 อยู่แถวนอร์ทลิงคอล์นพาร์คเวสต์

งานนี้พลาดไม่ได้ ผมแวะไปที่ “แจ๊สบุลส์” ก่อนเวลาแสดงเล็กน้อย

บ็อบบี บรูม ความจริงเป็นนิวยอร์กเกอร์ แต่ช่วงนั้นมีงานสอนที่วิทยาลัยดนตรีชิคาโก มหาวิทยาลัยรูสเวลด์ จึงถือเป็นเจ้าถิ่น ส่วนโจชัว เบรคสโตน ที่จะมาเล่นด้วย เป็นชาวนิวเจอร์ซีย์โดยกำเนิด ในช่วงนั้นเป็นนักกีตาร์ดังในวงการดนตรีแจ๊สนครนิวยอร์ก

พอได้เวลาทั้งบ็อบบี บรูม กับโจชัว เบรคสโตน เริ่มประชันฝีมือกีตาร์บนเวที ความต่างคือ บ็อบบี บรูม เป็นคนผิวสี ส่วนโจชัว เบรคสโตน เป็นคนผิวขาว แต่ทั้งคู่มีความเหมือนกันคือ เป็นศิษย์เก่า “เบิร์กลี คอลเลจออฟมิวสิค” และมีพื้นฐานจากดนตรี “บีบ็อพ”

แฟนแจ๊สชาวชิคาโกไปเชียร์กันเต็มห้อง บ็อบบีเหลือบไปเห็นเฮนรี จอห์นสัน นักกีตาร์แจ๊สที่กำลังดังในช่วงนั้น จึงกล่าวเชิญชวนผ่านไปทางไมโครโฟนให้ขึ้นไป “แจม” ด้วย เสียงเชียร์ดังกึกก้อง แต่เฮนรีโบกไม้โบกมือไม่เอาด้วย

คนฟังไม่ผิดหวัง เมื่อพอล เวอร์ติโก นักกลองและเพอร์คัสชั่นชาวชิคาโกที่เคยเล่นอัดแผ่นกับ “แพ็ต เมธินีกรุ๊ป” อัลบั้ม First Circle; Still Life; Letter from Home เดินขึ้นไปบนเวที ร่วมแจมกับวงอย่างสนุกสนาน

เท่าที่จำได้เพลงที่เล่นในคืนนั้น ได้แก่เพลง I Talk To The Tree; Nightingale Sang In Berkeley Square; Lazy Bird; On Green Dolphin Street ปิดท้ายด้วยเพลง Blues For Alice ของชาร์ลี พาร์กเกอร์

บรรยากาศการประชันกีตาร์ของโจชัว เบรคสโตน กับบ็อบบี บรูม เป็นไปอย่างเข้มข้น ไปยุติตอนเกือบตีสองของวันใหม่

โจชัว เบรคสโตน เกิดในเมืองเอลิซาเบธ รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา วันที่ 22 กรกฎาคม 1955

โจชัวเริ่มเล่นกีตาร์ตั้งแต่อายุ 14 ปี แล้วเล่นกับวงร็อคในท้องถิ่น ขณะเรียนไฮสกูลได้ฟังแผ่นเสียงของลี มอร์แกน นักทรัมเป็ตแห่งแผ่นเสียง “บลูโน้ต” ทำให้โจชัวหันเข้าหาดนตรีแจ๊ส ประกอบกับเพื่อนพี่สาวเป็นนักดนตรีแล่นอยู่ในวงบัดดี ริช เป็นผู้ให้โจชัวได้ฟังเพลงของชาร์ลี พาร์กเกอร์ และนักดนตรีคนอื่น ๆ อีกหลายคน ยิ่งทำให้เขาเข้าใจและอุทิศตนเพื่อเล่นดนตรีแจ๊ส

โจชัว เบรคสโตน ได้เรียนกับซัล ซัลวาดอร์ นักกีตาร์แจ๊สและครูกีตาร์มีชื่อเสียงในนครนิวยอร์ก

ปี 1972 โจชีวเข้าเรียนที่ “นิวคอลเลจ” มหาวิทยาลัยเซาธ์ฟลอริดา จากนั้นไปเรียนที่ “เบิร์กลีคอลเลจออฟมิวสิค” ในเมืองบอสตัน

โจชัวได้เล่นอัดอัลบั้มครั้งแรกกับเกลน ฮอลล์ นักแซ็กโซโฟนชาวแคนาดา

จากนั้นได้เล่นกับวอร์น มาร์ช, เอมิลี เรมเลอร์. เดฟ ชนิทเทอร์, วิก จูริส, บิลลี ฮาร์ต

ปี 1983 โจชัว เบรคสโตน ได้ออกอัลบั้มแรกในนามตนเอง “Wonderful” แล้วตามด้วยอัลบั้ม “4/4 = 1” ในปีถัดมา

อัลบั้มที่ 3 “Echoes” ที่ออกกับ “คอนเทมโพเรรี” ชื่อเสียงของโจชัว เบรคสโตน เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่แฟนแจ๊ส

โจชัว เบรคสโตน นักกีตาร์แจ๊สแนว “บ็อพ” ใหม่มีผลงานรวมกว่า 20 อัลบั้ม

YEAR 5 - WEEK 32 (August 8, 2025)วอน ฟรีแมนแจ๊สตัวจริงแห่งชิคาโกเมื่อใดก็ตามที่มีการกล่าวอ้างถึงความโดดเด่นด้านสุ้มเสียง...
08/08/2025

YEAR 5 - WEEK 32 (August 8, 2025)
วอน ฟรีแมน
แจ๊สตัวจริงแห่งชิคาโก

เมื่อใดก็ตามที่มีการกล่าวอ้างถึงความโดดเด่นด้านสุ้มเสียง สำเนียงเทเนอร์แซ็กโซโฟน ทุกคนต้องนึกถึง วอน ฟรีแมน

วอน ฟรีแมน มีแนวการเป่าแซ็กโซโฟนเฉพาะตัว เสียงแหบ เหลื่อมจังหวะเล็กน้อย ร้อนแรง เร้าใจ ลูกเล่นที่เดี่ยวยากแก่การคาดเดา ใช่ว่าวอนจะเล่นแต่เพลงเร็วได้ดีเท่านั้น เพลงประเภท “บัลลาด” ซึ้ง ๆ ก็เป่าได้ดีมาก

ยุคแรกการเป่าเสียงใหญ่ในลีลา “สวิง” ที่หนักแน่น โดยได้รับอิทธิพลจากโคลแมน ฮอว์กินส์ และ เลสเตอร์ ยัง ต้นแบบเทเนอร์แซ็กโซโฟนแจ๊สที่นักแซ็กโซโฟนรุ่นหลังยังยึดถือเป็นแบบอย่าง

วอน ฟรีแมน จัดเป็นนักเทเนอร์แซ็กโซโฟน “บีบ็อพ” แบบใหม่ ทั้ง “ฮาร์ดบ็อพ” และ “โพสต์บ็อพ” ซึ่งมีกลุ่มเทเนอร์แซ็กโซโฟนชาวชิคาโกที่เจริญรอยตามวอน ฟรีแมน ได้แก่ จีน แอมมอนส์, คลิฟฟอร์ด จอร์แดน, จอห์นนี กรีฟฟิน และ ชิโค ฟรีแมน ลูกชายของวอนที่ดูเหมือนจะดังกว่าพ่อ

เอิร์ล ลาวอน ฟรีแมน หรือ วอน ฟรีแมน เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1923 ในนครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา ในครอบครัวดนตรี แม่เล่นกีตาร์และเป็นนักร้องประสานเสียงในโบสถ์ พ่อเป็นนักทรอมโบนสมัครเล่น พี่ชายเล่นกีตาร์และตีกลอง

วอนหัดเป่าคลาริเน็ตและแซ็กโซโฟนตั้งแต่เยาว์วัย ซึมซาบดนตรีจากการฟังแผ่นเสียงที่คนในบ้านเปิด

อายุเพียง 12 ปี วอนเริ่มเป็นนักดนตรีอาชีพ เล่นในไนต์คลับ แม่ต้องเขียนข้อความกำกับไว้ว่า “อย่าให้เขาดื่มเหล้า อย่าให้สูบบุหรี่ อย่าให้ยุ่งกับผู้หญิงในที่นั้น”

การที่วอนเข้าเล่นในไนต์คลับได้ทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อยอาจเป็นเพราะพ่อของวอนเป็นตำรวจ นอกเวลาราชการ พ่อของวอนทำงานหาลำไพ่พิเศษโดยเป็น “เบาน์เซอร์” (bouncer) ดูแลความเรียบร้อย หากมีใครซ่าก็จะถูกจัดการจับโยนบกให้หายซ่า

วอนมีโอกาสอาจเป็นเพราะทางบ้านรู้จักกับพวกนักดนตรี หลุยส์ อาร์มสตรอง นักทรัมเป็ตยิ่งใหญ่ในวงการดนตรีแจ๊ส เพื่อนสนิทของจอร์จ นักกีตาร์ พี่ชายของวอน เมื่อครั้งมานครชิคาโกครั้งแรกได้พักอาศัยที่บ้านของวอน ฟรีแมน

ปี 1940 วอนได้เล่นกับวงฮอเรซ เฮนเดอร์สัน นักเปียโนที่มีพี่ชาย เฟลทเชอร์ เฮนเดอร์สัน นักเรียบเรียงดนตรีมีชื่อเสียงในยุค “สวิง” เป็นนักประพันธ์เพลงและนักเปียโนเช่นเดียวกับฮอเรซ แต่ด้านเปียโนรู้สึก ฮอเรซจะเด่นกว่า

วอน ฟรีแมน เล่นกับฮอเรซ เฮนเดอร์สัน ประมาณ 1 ปีก็ถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหารช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี วอนเล่นอยู่ในวงกองทัพเรือ 4 ปี ได้ประสบการณ์ทางดนตรีมากมาย

พอพ้นประจำการ วอนพร้อมกับพี่ชายสองคน คือ จอร์จ (กีตาร์) เอลดริดจ์ “บรูซ” (กลอง) เข้าเล่นประจำที่โรงแรม “เพิร์ชชิง” ในนครชิคาโก ระหว่างปี 1946-1950 นักดนตรีแจ๊สรุ่นใหญ่อย่าง ชาร์ลี พาร์กเกอร์, ดิซซี กิลเลสปี, รอย เอลดริดจ์ แวะเวียนมาที่ที่วงวอน ฟรีแมน จะเล่นแบ็ค-อัพให้ ปีสองปีหลังที่ห้องบอลรูมในโรงแรม “เพิร์ชชิง” วอนเจียดเวลาไปเล่นกับวง “ซันรา” วงที่บุกเบิกดนตรีแบบ “ฟรีแจ๊ส” ในยุคนั้น

วอนเป็นนักดนตรีแจ๊สที่แท้จริง ไม่มุ่งเน้นในเชิงธุรกิจ และมีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่วอกแวก ยืนหยัดปักหลักที่นครชิคาโก เขาเปิดเผยว่า ช่วงทศวรรษ 1950 ขณะไมล์ส เดวิส กำลังหานักแซ็กโซโฟนเพื่อมาแทนจอห์น โคลเทรน ไมล์สโทรหาวอน ฟรีแมน แต่เขาไม่ใยดีกับโอกาสทอง เพราะช่วงนั้นวงควินเทตของไมล์สกำลังดังระเบิดในแวดวงแจ๊ส วอนไม่สนและไม่โทรกลับไปหาไมล์ส เดวิส

ปี 1972 วอน ฟรีแมน ออกอัลบั้มแรกในนามตนเอง “Don’t It Right Now” โดยมีเพื่อนนักดนตรีร่วมเล่นด้วย ได้แก่ จอห์น ยัง (เปียโน), แซม โจน (เบส), จิมมี คอบบ์ (กลอง) มีเพลงที่น่าสนใจ อาทิ The First Time Ever I Saw Your Face; Sweet and Lovely; Lost In A Fog

วอน ฟรีแมน มีผลงานในนามตนเองประมาณ 20 อัลบั้ม เช่น อัลบั้ม Have No Fear; Serenade & Blues; Live at the Blue Note … และเล่นอัดอัลบั้มกับแบรด กูด, เคิร์ท เอลลิง, จอร์จ ฟรีแมน, วินตัน มาร์แซลลิส สตีฟ โคลแมน

บ่ายสี่โมงวันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 1990 ที่ห้อง “คริสเติลบอลรูม” โรงแรมแบล็กสโตน นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา เป็นการแสดงในรายการ “Jazz Showcase” ที่จัดโดยโจ ซีกัล “จิมมี สมิธ ทรีโอ” แสดงเป็นวงที่สอง ในวงจิมมี สมิธ นักออร์แกนแจ๊สอันดับหนึ่งตลอดกาล วอน ฟรีแมน เป็นผู้เป่าเทเนอร์แซ็กโซโฟน บ็อบบี บรูม เล่นกีตาร์ ซึ่งนัดคุยกับผมก่อนเวลาแสดง

ความคิดประหลาดของวอน ฟรีแมน ที่เคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ “Chicago Tribune” เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ความว่า “ผมไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องเงิน ผมไม่อยากหาเงินมาก ผมไม่กังวลเกี่ยวกับชื่อเสียง ผมไม่มีเลย ผมเป็นอิสระ”

วอน ฟรีแมน นักดนตรีที่ชาวชิคาโกภูมิใจเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2012 ในนครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา

YEAR 5 - WEEK 31 (August 1, 2025)ชัค มันโจนีนักฟลูเกิลฮอร์นแจ๊สเสียงเพลง Feels So Good จากฟลูเกิลฮอร์นของชัค มันโจนี ดัง...
01/08/2025

YEAR 5 - WEEK 31 (August 1, 2025)
ชัค มันโจนี
นักฟลูเกิลฮอร์นแจ๊ส

เสียงเพลง Feels So Good จากฟลูเกิลฮอร์นของชัค มันโจนี ดังก้องโลกอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการไว้อาลัยการจากไปของเขาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2025 ที่บ้านในเมืองโรเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

ตลอด 4 ทศวรรษ ชัค มันโจนี มีผลงานกว่า 30 อัลบั้มที่อัดกับแผ่นเสียง “เมอร์คิวรี”, เอ แอนด์ เอ็ม, โคลัมเบีย, เชสกี แนวดนตรีเป็นทั้งแจ๊ส, ฟิวชั่น, แจ๊สฟังก์, สมูธแจ๊ส

นอกจากชัคเป็นนักฟลูเกิลฮอร์น นักทรัมเป็ต บางครั้งเล่นเปียโนและแต่งเพลง ซึ่ง Feels So Good ก็เป็นเพลงที่ชัคแต่งเอง

ชัค มันโจนี เกิดวันที่ 29 พฤศจิกายน 1940 ในเมืองโรเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

พ่อแม่เป็นชาวอิตาลี เป็นเจ้าของร้านขายของชำที่ชอบสะสมแผ่นแจ๊ส ขณะเรียนชั้นประถม ชัคเริ่มเรียนเปียโน แต่หลังจากได้ชมภาพยนตร์ เรื่อง “Young Man with a Horn” ที่ เคิร์ก ดักลัส แสดงเป็น บิกซ์ ไบเดอร์เบค นักคอร์เน็ตดังในยุคทศวรรษ 1920 ทำให้ชัคเปลี่ยนใจ หันไปเล่นทรัมเป็ตกับแก็บพี่ชายเล่นเปียโน

ช่วงเรียนไฮสกูล ชัคตั้งวงเล่นตามที่ต่าง ๆ เช่น งานแต่งงานหรือบาร์ บางครั้งพ่อพาไปดูดนตรีที่มาแสดงในเมืองโรเชสเตอร์ เช่น ครั้งหนึ่งไปดูวงอาร์ต เบลกี แอนด์ เดอะแจ๊สเมสเซนเจอร์ส ในวงที่มี ฮอเรซ ซิลเวอร์, รอย เอลดริดจ์

ที่บ้านของชัค พ่อมักทำอาหารเลี้ยงพร้อมไวน์แก่นักดนตรีแจ๊สที่มาเยือน จนนักดนตรีบางคนคุ้นเคยเหมือนเป็นสมาชิกของครอบครัว เช่น ดิซซี กิลเลสปี ได้มอบทรัมเป็ตให้แก่ชัค

ชัค มันโจนี เริ่มอัดอัลบั้มแรก “The Jazz Brothers” กับแผ่นเสียง “ไมล์สโตน” ในปี 1960 เป็นวงที่มีชัคเป่าทรัมเป็ต แก็บ มันโจนี เล่นเปียโน ซัล นิสติโก (เทเนอร์แซ็กโซโฟน), รอย แม็กเคอร์ดี (กลอง), แลร์รี โคมบ์ (อัลโตแซ็กโซโฟน), บิลล์ สแตนเดอร์ (เบส)

วงที่ชัคกับแก็บร่วมกันตั้งออกมาอีก 2 อัลบั้ม ได้แก่ “Hey Baby” และ “Spring Fever”

ชัค มันโจนี เข้าเรียนที่ “อีสต์แมนสกูลออฟมิวสิค” มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ ช่วงปี 1958-1963 เป็นช่วงที่เล่น “ฟลูเกิลฮอร์น”

“ฟลูเกิลฮอร์น” และ ทรัมเป็ต เป็นเครื่องลมทองเหลืองเหมือนกัน มี 3 วาล์วเหมือนกัน แต่ส่วนที่เป็นท่อกรวยของฟลูเกิลฮอร์นกว้างกว่าทรัมเป็ต แต่คล้ายคอร์เน็ต

ฟลูเกิลฮอร์นและทรัมเป็ตที่ใช้ในวงแจ๊สเป็นแบบ “บีแฟลต” เสียงฟลูเกิลฮอร์นหนาและนุ่มนวลกว่าทรัมเป็ต

ตอนเรียนที่ “อีสต์แมน” ชัคเล่นกับวงของสถาบัน หากมีเพลงที่ลอกไมล์ส เดวิส กับ กิล เอแวนส์ จากอัลบั้ม Miles Ahead; Sketches of Spain; Porgy and Bess ชัคมักเลือกเอาแนวสำหรับฟลูเกิลฮอร์นไปเป่า

หลังจากชัคได้เล่นอยู่ในบิ๊กแบนด์ของวูดดี เฮอร์แมน และ เมย์นาร์ด เฟอร์กูสัน ชัคได้รับโทรศัพท์จากอาร์ต เบลกี บอกให้เขาไปเล่นทรัมเป็ตแทนเฟรดดี ฮับบอร์ด โดยการแนะนำของ ดิซซี กิลเลสปี

ชัคเล่นอยู่ในวงอาร์ต เบลกี แอนด์ เดอะ“แจ๊สเมสเซนเจอร์ส” ปี 1965-1967 ประมาณสองปีครึ่ง ให้ประสบการณ์แก่ชัคอย่างมาก จะเห็นได้ว่านักทรัมเป็ตแจ๊สฝีมือเยี่ยมในอดีต ล้วนผ่านวง “แจ๊สเมสเซนเจอร์ส” อาทิ คริฟฟอร์ด บราวน์, ลี มอร์แกน, เคนนี ดอร์แฮม, เฟรดดี ฮับบาร์ด

หลังออกจาวงอาร์ต เบลลี ชัคได้เข้าไปเป็นผู้ควบคุมวง “Eastman jazz ensemble” และตั้งวง “ชัค มันโจนี ควอร์เทต” ออกอัลบั้ม “Chuck Mangione Quartet” กับ “เมอร์คิวรี” ปรากฏว่าได้รับการตอบรับดีมาก จึงออกตามมาอีก 3 อัลบั้ม “Land of Make Believe” เป็นอัลบั้มสุดท้าย

ชัคเปลี่ยนไปสังกัด “A & M” ประเดิมด้วยอัลบั้ม “Chase the Clouds Away” ในปี 1975 ปีเดียวกันนี้ออกอัลบั้ม “Bellavia” ทำให้เพลง Bellavia ที่ชัค มันโจนี แต่ง ได้รางวัล “แกรมมี่” ครั้งแรกในสาขา “Best Instrumental Composition” ต่อด้วยอัลบั้ม “Main Squeeze”

ปี 1977 อัลบั้ม Feels So Good ฮิตระเบิด ขายได้กว่า 2 ล้านแผ่น เพลง Feels So Good กลายเป็นเพลงสัญลักษณ์ของชัค มันโจนี

เพลง Feels So Good นอกจาก ชัค มันโจนี เป่าฟลูเกิลฮอร์นได้ยอดเยี่ยมแล้ว แกรนต์ กีสสแมน ยังช่วยเสริมความโดดเด่นด้วยการแทรกเสียงกีตาร์โดยเฉพาะช่วง “อิมโพรไวส์” สลับกับชัค มันโจนี

YEAR 5 - WEEK 30 (July 25, 2025)คริส พอตเทอร์แสดงสดใน “Jazz Showcase” และ “North Sea Jazz”คริส พอตเทอร์ นักเทเนอร์แซ็กโซ...
25/07/2025

YEAR 5 - WEEK 30 (July 25, 2025)
คริส พอตเทอร์
แสดงสดใน “Jazz Showcase” และ “North Sea Jazz”

คริส พอตเทอร์ นักเทเนอร์แซ็กโซโฟนแจ๊สอันดับต้น ๆ ความจริงเขาเป่าทั้งโซปราโนและอัลโตแซ็กโซโฟน บางครั้งเป่าเบสคลาริเน็ต

คริส พอตเทอร์ เกิดในนครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา วันที่ 1 มกราคม 1971 แล้วย้ายตามครอบครัวไปยังเมืองโคลัมเบีย รัฐเซาท์แคโรไลนา เพราะแม่ย้ายไปเป็นอาจารย์สอนวิชาจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยเซาท์แคโรไลนา

คริสสนใจดนตรีทุกประเภทตั้งแต่เยาว์วัย เล่นเครื่องดนตรีได้หลายเครื่องอย่างแคล่วคล่อง เช่น กีตาร์ เปียโน หลังจากได้ฟัง พอล เดสมอนด์ ทำให้หันเข้าหาแซ็กโซโฟน เริ่มหัดเป่าอัลโตแซ็กโซโฟนตอนอายุ 10 ปี

ช่วงแรกเรียนรู้จากแผ่นเสียงที่พ่อแม่สะสมไว้ ดนตรีคลาสสิก ฟังตั้งแต่บาค ไปจนถึงเชินแบร์ก ป๊อป ฟังเพลงของเดอะบีเทิลส์ ดนตรีตะวันออก ฟังระนาดวง “กัมลัน” หรือ “กาเมลัน” ของพวกชาวเกาะชวาและบาหลี อินโดนีเซีย แจ๊สสนใจพิเศษ ผลงานของไมล์ส เดวิส และเดฟ บรูเบค ควอร์เทต

ตอนอายุ 13 คริสเข้าเล่นกับวงดนตรีแจ๊สท้องถิ่น อาทิ จอห์นนี เฮล์มส์ และ เทร์รี โรเซน

สองปีต่อมา มาเรียน แม็คพาร์ตแลนด์ นักเปียโนแจ๊สหญิงรุ่นใหญ่ชาวอังกฤษ ได้ฟังคริส พอตเทอร์ เล่นครั้งแรก เกิดชอบแนวการเล่นของเขา จึงชักนำให้ทำสัญญาอัดแผ่นกับแผ่นเสียง “คองคอร์ด” อีก 5-6 ปี ต่อมา คริสก็ได้ออกอัลบั้มแรกกับ “คองคอร์ด” Presenting Chris Potter ในปี 1992 ต่อด้วยอัลบั้มฮิต “Concentric Circles” ปีถัดมา

ด้วยความที่คริสเป็นคนฟังเพลงกว้างและศึกษาไปด้วย โดยศึกษาจากสกอร์บางบทเพลงของเดอบูส์ซี, แบร็ก, บาร์ทอค, บาค รวมถึงบทเพลงสำหรับ “บาเลต์” หรือ “บัลเลต์” Rite of Spring ของสตราวินสกี ขณะเดียวกัน ฟังเพลงของชาร์ลี พาร์กเกอร์, สตีวี วันเดอร์... คริสพยายามซึมซาบทุกอย่างที่ได้ฟังมา หลอมรวมเป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์ผลงาน ทั้งด้านการประพันธ์เพลงและแสดงออกทางดนตรี

คริส พอตเตอร์ ย้ายมาอยู่นครนิวยอร์กตอนอายุ 18 เข้าเรียนที่ “นิวสกูล” แล้วไปเรียนต่อที่ “แมนฮัตตันสกูลออฟมิวสิค”

ที่นครนิวยอร์กนี่เอง นักแซ็กโซโฟนหนุ่ม คริส พอตเทอร์ ได้เล่นกับวงเรด รอดนีย์ นานถึง 4 ปี

ผมได้ชมฝีมือแซ็กโซโฟนของคริส พอตเทอร์ กับวงเรด รอดนีย์ นักทรัมเป็ตยิ่งใหญ่แห่งวงการดนตรีแจ๊สใน “Jazz Showcase” ที่ห้อง “คริสตัลบอลรูม” โรงแรมแบล็กสโตนในนครชิคาโก สหรัฐอเมริกา บ่าย 4 โมง วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 1990

“Jazz Showcase” จัดโดย โจ ซีกัล นักจัดแจ๊สที่มีกิจกรรมแจ๊สเป็นประจำในนครชิคาโก เมืองแจ๊สสำคัญในประวัติศาสตร์ดนตรีแจ๊สต่อจากเมืองนิวออร์ลีนส์

วันนั้น เรด รอดนีย์ เล่นเป็นวงแรก ก่อนที่ จิมมี สมิธ ทรีโอ แสดงต่อ

เรด รอดนีย์ หัวหน้าวงเป็นนักทรัทเป็ตมีชื่อเสียง ทั้งดนตรีสไตล์ “บีบ็อพ” และ “ฮาร์ดบ็อพ” ซึ่งเคยเล่นกับชาร์ลี พาร์กเกอร์ อยู่ช่วงหนึ่ง เรดเป่าทั้งทรัมเป็ตและฟลูเกิลฮอร์น

ใน “เรด รอดนีย์ ควินเทต” เจร์ราร์ด ดังเจโล เล่นเปียโน ชิป แจ็กสัน แม้จะไม่ดังมากแต่ ดร.บิลลี เทย์เลอร์ นักเปียโน นักการศึกษาแจ๊สเคยบอกว่า ชิปเป็นนักดับเบิลเบสที่เขาชอบ เท่าที่เห็น ทั้งคล่อง แพรวพราว แนวการโซโลเล่นทันอกทันใจ โจล สเปนเซอร์ ตีกลอง คริส พอตเทอร์ ตอนนั้นกำลังเป็นนักแซ็กโซโฟนมาแรง แฟนแจ๊สเริ่มคุ้นชื่อของเขา สรุป เรด รอดนีย์ ควินเทตบรรเลงได้สะใจแฟนแจ๊สในที่นั้นอย่างมาก

ผมได้ชมฝีมือแซ็กโซโฟนของคริส พอตเทอร์ อีกครั้งใน “North Sea Jazz” เทศกาลดนตรีแจ๊สที่จัดใน “อินดอร์” ใหญ่ที่สุดของยุโรปที่เมืองร็อตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์ สี่ทุ่มครึ่งวันที่ 16 กรกฎาคม 2006 ที่ห้อง “ฮัดสัน”

คริส พอตเทอร์ กับวง “อันเดอร์กราวน์” ของเขา คริสเป่าแซ็กโซโฟน อดัม รอเจอร์ส เล่นกีตาร์ เครก เทบอร์น เล่นคีย์บอร์ด เนต สมิธ ตีกลอง

ปีถัดมาได้สัมผัสฝีมือแซ็กโซโฟนของคริส พอตเทอร์ ใน “North Sea Jazz Fest” ที่ห้องเดิม ค่ำวันที่ 15 กรกฎาคม 2007 ครั้งนี้ คริสเล่นในวง “เดฟ ฮอลแลนด์ ควินเทต” ที่มี เดฟ ฮอลแลนด์ เบสแจ๊สชั้นนำชาวอังกฤษเป็นหัวหน้า รอบิน ยูแบงค์ส (ทรอมโบน), สตีฟ เนลสัน (ไวบราโฟน), เนต สมิธ (กลอง), คริส พอตเทอร์ เป่าทั้งโซปราโน อัลโต และเทเนอร์แซ็กโซโฟน

ผู้ชมฟังล้นหลาม เบียดเสียดกันแทบไม่มีที่ยืน ฟังกับหูเห็นกับตา แฟนแจ๊สของคริส พอตเทอร์ มากมาย เหนียวแน่น แฟนรุ่นหนุ่มสาวติดตามผลงานและชมการแสดงของคริสอย่างไม่รู้จักเบื่อ ตื่นเต้น เร้าใจ ตลอดเวลา

YEAR 5 - WEEK 29 (July 18, 2025)คริส พอตเทอร์ขวัญใจนักแซ็กโซโฟนรุ่นใหม่คริส พอตเทอร์ เคยได้รับเลือกให้เป็น “นักเทเนอร์แซ...
18/07/2025

YEAR 5 - WEEK 29 (July 18, 2025)
คริส พอตเทอร์
ขวัญใจนักแซ็กโซโฟนรุ่นใหม่

คริส พอตเทอร์ เคยได้รับเลือกให้เป็น “นักเทเนอร์แซ็กโซโฟนแห่งปี 2013” จาก “สมาคมสื่อแจ๊สอาชีพ” (Jazz Journalists Association)

คริส พอตเทอร์ เล่นกับนักดนตรีแจ๊สชั้นนำ อาทิ เจมส์ มูดดี้, สตีฟ สวอลโลว์, เดฟ ดักลัส, จิม ฮอลล์, เดฟ ฮอลแลนด์, โจน แบรคคีน, เรด รอดนีย์, มาเรียน แม็คพาร์ตแลนด์ ... และมีอัลบั้มในนามตนเองอีกเกือบ 30 อัลบั้ม

การที่ “สมาคมสื่อแจ๊สอาชีพ” มีการคัดเลือกนักแซ็กโซโฟนแจ๊สทุกปีมากว่า 3 ทศวรรษ เพราะเห็นว่าแซ็กโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญสำหรับแจ๊ส มีบทบาทสูงต่อพัฒนาการดนตรีแจ๊ส หากย้อนกลับไปสมัยแจ๊สเฟื่องฟูในเมืองนิวออร์ลีนส์ ซิดนีย์ บีเชต์ นักคลาริเน็ตชื่อก้องของเมืองนี้ ถือเป็นผู้ริเริ่มนำโซปราโนแซ็กโซโฟนมาใช้ในวงการดนตรีแจ๊ส

โซปราโนแซ็กโซโฟนที่ซิดนีย์ บีเชต์ เริ่มแรกใช้ กลายเป็นเครื่องดนตรีหลักในเวลาต่อมา ถามว่าโซปราโนแซ็กโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นยากไหม คิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับซิดนีย์ เนื่องจากโซปราโน แซ็กโซโฟนใช้เป็นแบบ “บีแฟลต” เหมือนคลาริเน็ต น่าจะง่ายกว่าด้วยซ้ำ เพราะโซปราโนแซ็กโซโฟนใช้ลมเป่าน้อยกว่าคลาริเน็ต

แนวการเป่าของซิดนีย์ บีเชต์ มีอิทธิพลต่อนักแซ็กโซโฟน โดยเฉพาะ จอห์นนี ฮอดเจส นักแซ็กโซโฟนผู้มีส่วนช่วยสร้างสรรค์สีสันให้กับวงดุ๊กเอลลิงตัน แม้ต่อมาจอห์นนี ฮอดเจส หันมาใช้อัลโตแซ็กโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีหลัก แต่สุ้มเสียงสำเนียงก็ยังมีเอกลักษณ์กระเดียดไปทางโซปราโนแซ็กโซโฟน

ชาร์ลี พาร์กเกอร์ ผู้พลิกสไตล์การเป่าอัลโตแซ็กโซโฟนเมื่อต้นทศวรรษ 1940 จนนำมาสู่ความเป็นแจ๊ส สมัยใหม่ที่เรียกว่า “บีบ็อพ” แนวการเล่นของชาร์ลี พาร์กเกอร์ มีอิทธิพลต่อนักแซ็กโซโฟนชั้นแนวหน้าในวงการดนตรีแจ๊สมากมาย อาทิ ออร์เนตต์ โคลแมน, แจ็กกี แม็คลีน, ซันนี สติตต์, เอริก ดอลฟี, ลู โดนัลด์สัน,ชาร์ลี มาเรียโน, ฟิล วูดส์...

ชาร์ลี พาร์เกอร์ แม้เป็นผู้สร้างนวัตกรรมดนตรีแจ๊ส แต่เขายังมีความเข้าใจถึงพื้นฐานแจ๊สแบบดั้งเดิมของแคนซัสซิตี้อย่างแตกฉาน

เจย์ แม็คแชนน์ นักเปียโน หัวหน้าวงแห่งแคนซัสซิตี้ เป็นผู้เปิดทางให้ชาร์ลี พาร์กเกอร์ มีโอกาสไปแสดงฝีมือในนครชิคาโกและนครนิวยอร์ก จนสร้างชื่อเสียงและปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ในตำนานแจ๊ส

แคสซัสซิตี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองแจ๊สที่สำคัญ นักดนตรีชั้นเลิศมากมายเติบโตและพัฒนาฝีมือจากเมืองนี้

เมื่อต้นเดือนมกราคม 2008 บิลล์ คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสองสมัยของสหรัฐอเมริกา ได้บริจาคแซ็กโซโฟนตัวที่ใช้เล่นประจำให้แก่ “พิพิธภัณฑ์แจ๊สอเมริกัน” (American Jazz Museum) ในแคนซัสซิตี้ รัฐมิสซูรี

แม้อดีตประธานาธิบดีคลินตันไม่อาจอยู่ร่วม “แจม” กับพวกนักดนตรี ในงานจัดขึ้นที่ห้องสหภาพเก่า ซึ่งจัดโดย “มูลนิธิรวมนักดนตรี” (Mutual Musicians Foundation) แต่ เอมานูเอล เคลฟเวอร์ ตัวแทนของคณะกรรมการจัดงานก็ได้กล่าวว่า เขาทราบว่าท่านอยากจะเล่นกับพวกนักดนตรีด้วย แต่เดิมแซ็กโซโฟนนี้ได้เก็บรักษาไว้ในห้องสมุดประธานาธิบดีคลินตัน ที่เมืองลิตเทิลร็อค ในรัฐอาร์คันซอ พร้อมกล่าวเสริมว่า ทางรัฐบาลกลางเพิ่งอนุมัติเงินงบประมาณผ่านสภาเป็นเงิน 312,000 ดอลลาร์ เพื่อมอบให้ทางพิพิธภัณฑ์ใช้ในโครงการศึกษา จัดแสดงและซ่อมบำรุงภาพยนตร์แจ๊สที่เก็บสะสมไว้

แซ็กโซโฟนต้องอยู่คู่กับแจ๊ส คนในวงการเชื่ออย่างนั้น นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดนักแซ็กโซโฟนหน้าใหม่ตลอดมาอย่างต่อเนื่อง นักแซ็กโซโฟนที่น่าจับตามองเห็นจะไม่พ้น คริส พอตเทอร์ เพราะในช่วงปี 2004-2007 คริส พอตเทอร์ ได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับ “นักแซ็กโซโฟนดาวรุ่ง” ทั้ง “Critic’s Polls” และ “Reader’s Polls” ของ Down Beat นิตยสารแจ๊สทรงอิทธิพลสหรัฐอเมริกา

สตีฟ เนลสัน นักไวบราโฟน เพื่อนคู่หูของคริสในวงเดฟ ฮอลแลนด์ ตั้งแต่ปี 1997 เล่าว่า “ผู้คนจำนวนมากจะแห่มาฟัง เมื่อรู้ว่าคริสเล่น เวลาเดินสายตระเวนแสดงในที่ต่าง ๆ คนมักอยากเรียนกับเขา และคริสต์สอนเยอะด้วย”

คริสอุทิศตนเพื่อคนรุ่นใหม่ เดฟ ฮอลแลนด์ นักเบสจากเมืองผู้ดี หัวหน้าวงเล่าว่า “ตอนเราจัดปฏิบัติการเชิงวิชาการ พวกนักดนตรีรุ่นอ่อนอาวุโสกว่า คริส พอตเทอร์ พากันแสดงความชื่นชมกับความสำเร็จของเขา”

YEAR 5 - WEEK 28 (July 11, 2025)ลาโล ชิฟรินนำแจ๊สบรรจบกับซิมโฟนีสัปดาห์ที่แล้วได้เน้นผลงานเด่นด้านการประพันธ์เพลงสำหรับภ...
11/07/2025

YEAR 5 - WEEK 28 (July 11, 2025)
ลาโล ชิฟริน
นำแจ๊สบรรจบกับซิมโฟนี

สัปดาห์ที่แล้วได้เน้นผลงานเด่นด้านการประพันธ์เพลงสำหรับภาพยนตร์และโทรทัศน์ของ ลาโล ชิฟริน สัปดาห์นี้จะขอกล่าวถึงความโดดเด่นด้านดนตรีแจ๊ส ทั้งด้านการเล่นและการประพันธ์เพลง

ลาโล ชิฟริน นักประพันธ์เพลงภาพยนตร์ นักเรียบเรียงดนตรี ผู้อำนวยเพลง นักเปียโนและประพันธ์เพลงแจ๊สที่โด่งดังตั้งแต่ทศวรรษ 1960

ปี 1960 ลาโลออกจากกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เข้าสู่มหานครนิวยอร์กเพื่อร่วมงานกับดิชชี กิลเลสปี นักทรัมเป็ตแจ๊ส ผู้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ดนตรี “บีบ็อพ” กับชาร์ลี พาร์กเกอร์

ลาโล ในวงดิซซี กิลเลสปี เป็นทั้งนักเปียโน นักเรียบเรียงดนตรี นักประพันธ์เพลง ลาโล ชิฟริน เดินทางสู่นครนิวยอร์กเพื่อบันทึกบทเพลง “สวีต” Gillespiana ซึ่งเขาประพันธ์ไว้แล้วก่อนหน้านี้ 2 ปี ที่เพิ่งเจอกับดิซซี กิลเลสปี เมื่อครั้งดิชชีนำวงไปตระเวนแสดงในประเทศลาตินอเมริกา บทเพลง “ชุด” หรือ “สวีต” (Suite) รวม 5 ท่อน ลาโลนำเอาเพลงดังของดิซซี กิลเลสปี ทั้งเพลง Manteca และ Night in Tunisia มาขยายให้บรรเลงด้วยวงดุริยางค์ เพื่อต้องการให้ดิซซีได้แสดงฝีมือทรัมเป็ตเป็นที่ประจักษ์เด่นชัดยิ่งขึ้น ผลงานเพลงชุด Gillespiana ได้บันทึกลงแผ่นเสียง “เวิร์ฟ” และแสดงสดที่ “คาร์เนกีฮอลล์” หอแสดงดนตรีระดับโลกกลางนครนิวยอร์ก ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด

อีก 2 ปีต่อมา ลาโล ชิฟริน ได้ประพันธ์บทเพลงชุด “The New Continent”

ช่วงที่เป็นนักเปียโนและเป็นผู้อำนวยการดนตรีในวงดิซซี กิลเลสปี ได้ร่วมอัดอัลบั้ม “Gillespiana & Carnegie Hall Concert”, “An Electrifying Evening with the Dizzy Gillespie Quintet”, “Perceptions”, “Dizzy on the French Riviera”, “New Wave” ลาโล ชิฟริน ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เป็นที่ลือลั่นในวงการดนตรีแจ๊ส

ลาโล ชิฟริน เข้าไปเล่นเปียโนอยู่ในกลุ่ม “แจ๊สแอตเดอะฟิลฮาร์มอนิก” (Jazz at the Philharmonic) ชื่อย่อว่า “JATP” ช่วงที่มีดิซซี กิลเลสปี เป็นนักดนตรีหลักของวง ซึ่งนอร์แมน แกรนซ์ ผู้มีบทบาทสำคัญในวงการแผ่นเสียงและคอนเสิร์ตแจ๊ส เป็นผู้ให้การสนับสนุน

“JAPT” เป็นวงเฉพาะกิจ เพื่อออกตระเวนแสดงทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ช่วงหลังในญี่ปุ่นด้วย อีกทั้งบันทึกแผ่นเสียง “JAPT” มีผลงานต่อเนื่องอยู่ในวงการดนตรีแจ๊สเกือบ 4 ทศวรรษ

ที่มาของ “JAPT” คือ ปี 1944 นอร์แมน แกรนซ์ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดคอนเสิร์ตเพื่อหารายได้ช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรมในเหตุการณ์จราจลต่อต้านพวก “ชิกาโน” (พวกเชื้อสายเม็กซิกันที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา) ในนครลอสแอนเจลิส

คอนเสิร์ตครั้งนี้ได้บันทึกลงในแผ่นเสียงสปีด 78 เพลง Blues Part 2 โดยมี อิลลินอยส์ ฌาเกต์ เป่าเทเนอร์แซ็กโซโฟน ปรากฏว่าได้รับความสำเร็จ ตามตู้เพลงเปิดกันเกร่อ 2-3 ปีต่อมา นอร์แมน แกรนซ์ จึงใช้ชื่อรายการคอนเสิร์ตนี้ว่า “JAPT” เปลี่ยนตัวนักร้องนักดนตรีไปเรื่อย อาทิ เอลลา ฟิตซ์เจรัลด์, แน็ต “คิง” โคล, บิลลี ฮอลิเดย์, ออสการ์ พีเทอร์สัน, สแตน เกตซ์, ชาร์ลี พาร์กเกอร์, ดิซซี กิลเลสปี, เบนนี คาร์เตอร์, เลสเตอร์ ยัง, โคลแมน ฮอว์กินส์, เฮิร์บ เอลลิส, เจ. เจ. จอห์นสัน ... บางคอนเสิร์ตบรรจุลงแผ่นเสียง “เวิร์ฟ” ของนอร์แมน แกรนซ์

ลาโล ชิฟริน ได้รับอิทธิพลทางเปียโนจากธีโลเนียส มังค์, บิลล์ เอแวนส์, ออสการ์ พีเทอร์สัน ด้านการประพันธ์เพลงได้รับแรงบันดาลใจจากดิซซี กิลเลสปี, สตราวินสกี

ลาโลมีพื้นฐานดนตรีคลาสสิก และประสบการณ์ดนตรีแจ๊ส เขาจึงพยายามคิดหาวิธีหลอมรวมให้ดนตรีทั้งสองประเภทมาผสมผสานกันในผลงานที่เข้าสร้างสรรค์ขึ้น

ปี 1982 อัลบั้ม “Ins and Outs” เป็นครั้งแรกที่ลาโลได้แสดงความเป็นนักดนตรีแจ๊สเด่นชัด เขาเป็นทั้งหัวหน้าวงและนักเปียโน โดยมีเพื่อนนักดนตรีร่วมด้วย แซม มอสต์ (ฟลูต), แอนดี้ ซิมสัน (ดับเบิลเบส), เอิร์ล พาล์มเมอร์ (กลอง), เปาลิโน ดา คอสตา (เครื่องกระทบ) บรรจุเพลง Con Alma และ Manteca ของดิซซี กิลเลสปี รวมอยู่ด้วย

ผ่านไป 10 ปี ลาโล ชิฟริน ใช้แนวคิดในการหลอมรวมดนตรีคลาสสิกกับแจ๊สตามแบบ “Third Stream” (กระแสที่สาม) ก็ปรากฏในอัลบั้ม “Jazz Meets the Symphony” โดยลาโลเรียบเรียงเพลงในแบบ “เมดลีย์” หรือ “เมดเลย์” Echoes of Duke Ellington ของดุ๊ก เอลลิงตัน และ “Dizzy Gillespie Fireworks” ของดิซซี กิลเลสปี รวมเพลงสั้นอีก 2 เพลง Battle Hymn of the Republic และ As Time Goes By บรรเลงโดย “ลอนดอนฟิลฮาร์มอนิก” ซึ่งมีเรย์ บราวน์ (ดับเบิลเบส) และแกรดี เทต (กลอง) ร่วมบรรเลงด้วย ลาโลอำนวยเพลงเอง

ลาโลได้ออกผลงานในลักษณะเดียวกันอีก 3 อัลบั้ม คือ “More Jazz: Meets the Symphony”, “Firebird: Jazz Meets the Symphony No. 3” และ “Metamorphosis: Jazz Meets the Symphony No. 4”

อัลบั้ม “Firebird: Jazz Meets the Symphony No. 3” ดูจะเด่นเป็นพิเศษ คือ นอกจากเพลงฮิตของแฟ็ตส์ วอลเลอร์, ชาร์ลี พาร์กเกอร์, โย ซอวินูล ... เพลง Mission Impossible “มาสเตอร์พีซ” ของลาโล ชิฟริน ควบด้วย Take Five ของพอล เดสมอนด์ ในจังหวะ 5/4 เหมือนกัน

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when All Music Spoken by Pratak Faisupagarn posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share