All Music Spoken by Pratak Faisupagarn

  • Home
  • All Music Spoken by Pratak Faisupagarn

All Music Spoken by Pratak Faisupagarn All music categories - jazz, classical music, pop, etc.

YEAR 5 - WEEK 29 (July 18, 2025)คริส พอตเทอร์ขวัญใจนักแซ็กโซโฟนรุ่นใหม่คริส พอตเทอร์ เคยได้รับเลือกให้เป็น “นักเทเนอร์แซ...
18/07/2025

YEAR 5 - WEEK 29 (July 18, 2025)
คริส พอตเทอร์
ขวัญใจนักแซ็กโซโฟนรุ่นใหม่

คริส พอตเทอร์ เคยได้รับเลือกให้เป็น “นักเทเนอร์แซ็กโซโฟนแห่งปี 2013” จาก “สมาคมสื่อแจ๊สอาชีพ” (Jazz Journalists Association)

คริส พอตเทอร์ เล่นกับนักดนตรีแจ๊สชั้นนำ อาทิ เจมส์ มูดดี้, สตีฟ สวอลโลว์, เดฟ ดักลัส, จิม ฮอลล์, เดฟ ฮอลแลนด์, โจน แบรคคีน, เรด รอดนีย์, มาเรียน แม็คพาร์ตแลนด์ ... และมีอัลบั้มในนามตนเองอีกเกือบ 30 อัลบั้ม

การที่ “สมาคมสื่อแจ๊สอาชีพ” มีการคัดเลือกนักแซ็กโซโฟนแจ๊สทุกปีมากว่า 3 ทศวรรษ เพราะเห็นว่าแซ็กโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญสำหรับแจ๊ส มีบทบาทสูงต่อพัฒนาการดนตรีแจ๊ส หากย้อนกลับไปสมัยแจ๊สเฟื่องฟูในเมืองนิวออร์ลีนส์ ซิดนีย์ บีเชต์ นักคลาริเน็ตชื่อก้องของเมืองนี้ ถือเป็นผู้ริเริ่มนำโซปราโนแซ็กโซโฟนมาใช้ในวงการดนตรีแจ๊ส

โซปราโนแซ็กโซโฟนที่ซิดนีย์ บีเชต์ เริ่มแรกใช้ กลายเป็นเครื่องดนตรีหลักในเวลาต่อมา ถามว่าโซปราโนแซ็กโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นยากไหม คิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับซิดนีย์ เนื่องจากโซปราโน แซ็กโซโฟนใช้เป็นแบบ “บีแฟลต” เหมือนคลาริเน็ต น่าจะง่ายกว่าด้วยซ้ำ เพราะโซปราโนแซ็กโซโฟนใช้ลมเป่าน้อยกว่าคลาริเน็ต

แนวการเป่าของซิดนีย์ บีเชต์ มีอิทธิพลต่อนักแซ็กโซโฟน โดยเฉพาะ จอห์นนี ฮอดเจส นักแซ็กโซโฟนผู้มีส่วนช่วยสร้างสรรค์สีสันให้กับวงดุ๊กเอลลิงตัน แม้ต่อมาจอห์นนี ฮอดเจส หันมาใช้อัลโตแซ็กโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีหลัก แต่สุ้มเสียงสำเนียงก็ยังมีเอกลักษณ์กระเดียดไปทางโซปราโนแซ็กโซโฟน

ชาร์ลี พาร์กเกอร์ ผู้พลิกสไตล์การเป่าอัลโตแซ็กโซโฟนเมื่อต้นทศวรรษ 1940 จนนำมาสู่ความเป็นแจ๊ส สมัยใหม่ที่เรียกว่า “บีบ็อพ” แนวการเล่นของชาร์ลี พาร์กเกอร์ มีอิทธิพลต่อนักแซ็กโซโฟนชั้นแนวหน้าในวงการดนตรีแจ๊สมากมาย อาทิ ออร์เนตต์ โคลแมน, แจ็กกี แม็คลีน, ซันนี สติตต์, เอริก ดอลฟี, ลู โดนัลด์สัน,ชาร์ลี มาเรียโน, ฟิล วูดส์...

ชาร์ลี พาร์เกอร์ แม้เป็นผู้สร้างนวัตกรรมดนตรีแจ๊ส แต่เขายังมีความเข้าใจถึงพื้นฐานแจ๊สแบบดั้งเดิมของแคนซัสซิตี้อย่างแตกฉาน

เจย์ แม็คแชนน์ นักเปียโน หัวหน้าวงแห่งแคนซัสซิตี้ เป็นผู้เปิดทางให้ชาร์ลี พาร์กเกอร์ มีโอกาสไปแสดงฝีมือในนครชิคาโกและนครนิวยอร์ก จนสร้างชื่อเสียงและปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ในตำนานแจ๊ส

แคสซัสซิตี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองแจ๊สที่สำคัญ นักดนตรีชั้นเลิศมากมายเติบโตและพัฒนาฝีมือจากเมืองนี้

เมื่อต้นเดือนมกราคม 2008 บิลล์ คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสองสมัยของสหรัฐอเมริกา ได้บริจาคแซ็กโซโฟนตัวที่ใช้เล่นประจำให้แก่ “พิพิธภัณฑ์แจ๊สอเมริกัน” (American Jazz Museum) ในแคนซัสซิตี้ รัฐมิสซูรี

แม้อดีตประธานาธิบดีคลินตันไม่อาจอยู่ร่วม “แจม” กับพวกนักดนตรี ในงานจัดขึ้นที่ห้องสหภาพเก่า ซึ่งจัดโดย “มูลนิธิรวมนักดนตรี” (Mutual Musicians Foundation) แต่ เอมานูเอล เคลฟเวอร์ ตัวแทนของคณะกรรมการจัดงานก็ได้กล่าวว่า เขาทราบว่าท่านอยากจะเล่นกับพวกนักดนตรีด้วย แต่เดิมแซ็กโซโฟนนี้ได้เก็บรักษาไว้ในห้องสมุดประธานาธิบดีคลินตัน ที่เมืองลิตเทิลร็อค ในรัฐอาร์คันซอ พร้อมกล่าวเสริมว่า ทางรัฐบาลกลางเพิ่งอนุมัติเงินงบประมาณผ่านสภาเป็นเงิน 312,000 ดอลลาร์ เพื่อมอบให้ทางพิพิธภัณฑ์ใช้ในโครงการศึกษา จัดแสดงและซ่อมบำรุงภาพยนตร์แจ๊สที่เก็บสะสมไว้

แซ็กโซโฟนต้องอยู่คู่กับแจ๊ส คนในวงการเชื่ออย่างนั้น นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดนักแซ็กโซโฟนหน้าใหม่ตลอดมาอย่างต่อเนื่อง นักแซ็กโซโฟนที่น่าจับตามองเห็นจะไม่พ้น คริส พอตเทอร์ เพราะในช่วงปี 2004-2007 คริส พอตเทอร์ ได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับ “นักแซ็กโซโฟนดาวรุ่ง” ทั้ง “Critic’s Polls” และ “Reader’s Polls” ของ Down Beat นิตยสารแจ๊สทรงอิทธิพลสหรัฐอเมริกา

สตีฟ เนลสัน นักไวบราโฟน เพื่อนคู่หูของคริสในวงเดฟ ฮอลแลนด์ ตั้งแต่ปี 1997 เล่าว่า “ผู้คนจำนวนมากจะแห่มาฟัง เมื่อรู้ว่าคริสเล่น เวลาเดินสายตระเวนแสดงในที่ต่าง ๆ คนมักอยากเรียนกับเขา และคริสต์สอนเยอะด้วย”

คริสอุทิศตนเพื่อคนรุ่นใหม่ เดฟ ฮอลแลนด์ นักเบสจากเมืองผู้ดี หัวหน้าวงเล่าว่า “ตอนเราจัดปฏิบัติการเชิงวิชาการ พวกนักดนตรีรุ่นอ่อนอาวุโสกว่า คริส พอตเทอร์ พากันแสดงความชื่นชมกับความสำเร็จของเขา”

YEAR 5 - WEEK 28 (July 11, 2025)ลาโล ชิฟรินนำแจ๊สบรรจบกับซิมโฟนีสัปดาห์ที่แล้วได้เน้นผลงานเด่นด้านการประพันธ์เพลงสำหรับภ...
11/07/2025

YEAR 5 - WEEK 28 (July 11, 2025)
ลาโล ชิฟริน
นำแจ๊สบรรจบกับซิมโฟนี

สัปดาห์ที่แล้วได้เน้นผลงานเด่นด้านการประพันธ์เพลงสำหรับภาพยนตร์และโทรทัศน์ของ ลาโล ชิฟริน สัปดาห์นี้จะขอกล่าวถึงความโดดเด่นด้านดนตรีแจ๊ส ทั้งด้านการเล่นและการประพันธ์เพลง

ลาโล ชิฟริน นักประพันธ์เพลงภาพยนตร์ นักเรียบเรียงดนตรี ผู้อำนวยเพลง นักเปียโนและประพันธ์เพลงแจ๊สที่โด่งดังตั้งแต่ทศวรรษ 1960

ปี 1960 ลาโลออกจากกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เข้าสู่มหานครนิวยอร์กเพื่อร่วมงานกับดิชชี กิลเลสปี นักทรัมเป็ตแจ๊ส ผู้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ดนตรี “บีบ็อพ” กับชาร์ลี พาร์กเกอร์

ลาโล ในวงดิซซี กิลเลสปี เป็นทั้งนักเปียโน นักเรียบเรียงดนตรี นักประพันธ์เพลง ลาโล ชิฟริน เดินทางสู่นครนิวยอร์กเพื่อบันทึกบทเพลง “สวีต” Gillespiana ซึ่งเขาประพันธ์ไว้แล้วก่อนหน้านี้ 2 ปี ที่เพิ่งเจอกับดิซซี กิลเลสปี เมื่อครั้งดิชชีนำวงไปตระเวนแสดงในประเทศลาตินอเมริกา บทเพลง “ชุด” หรือ “สวีต” (Suite) รวม 5 ท่อน ลาโลนำเอาเพลงดังของดิซซี กิลเลสปี ทั้งเพลง Manteca และ Night in Tunisia มาขยายให้บรรเลงด้วยวงดุริยางค์ เพื่อต้องการให้ดิซซีได้แสดงฝีมือทรัมเป็ตเป็นที่ประจักษ์เด่นชัดยิ่งขึ้น ผลงานเพลงชุด Gillespiana ได้บันทึกลงแผ่นเสียง “เวิร์ฟ” และแสดงสดที่ “คาร์เนกีฮอลล์” หอแสดงดนตรีระดับโลกกลางนครนิวยอร์ก ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด

อีก 2 ปีต่อมา ลาโล ชิฟริน ได้ประพันธ์บทเพลงชุด “The New Continent”

ช่วงที่เป็นนักเปียโนและเป็นผู้อำนวยการดนตรีในวงดิซซี กิลเลสปี ได้ร่วมอัดอัลบั้ม “Gillespiana & Carnegie Hall Concert”, “An Electrifying Evening with the Dizzy Gillespie Quintet”, “Perceptions”, “Dizzy on the French Riviera”, “New Wave” ลาโล ชิฟริน ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เป็นที่ลือลั่นในวงการดนตรีแจ๊ส

ลาโล ชิฟริน เข้าไปเล่นเปียโนอยู่ในกลุ่ม “แจ๊สแอตเดอะฟิลฮาร์มอนิก” (Jazz at the Philharmonic) ชื่อย่อว่า “JATP” ช่วงที่มีดิซซี กิลเลสปี เป็นนักดนตรีหลักของวง ซึ่งนอร์แมน แกรนซ์ ผู้มีบทบาทสำคัญในวงการแผ่นเสียงและคอนเสิร์ตแจ๊ส เป็นผู้ให้การสนับสนุน

“JAPT” เป็นวงเฉพาะกิจ เพื่อออกตระเวนแสดงทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ช่วงหลังในญี่ปุ่นด้วย อีกทั้งบันทึกแผ่นเสียง “JAPT” มีผลงานต่อเนื่องอยู่ในวงการดนตรีแจ๊สเกือบ 4 ทศวรรษ

ที่มาของ “JAPT” คือ ปี 1944 นอร์แมน แกรนซ์ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดคอนเสิร์ตเพื่อหารายได้ช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรมในเหตุการณ์จราจลต่อต้านพวก “ชิกาโน” (พวกเชื้อสายเม็กซิกันที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา) ในนครลอสแอนเจลิส

คอนเสิร์ตครั้งนี้ได้บันทึกลงในแผ่นเสียงสปีด 78 เพลง Blues Part 2 โดยมี อิลลินอยส์ ฌาเกต์ เป่าเทเนอร์แซ็กโซโฟน ปรากฏว่าได้รับความสำเร็จ ตามตู้เพลงเปิดกันเกร่อ 2-3 ปีต่อมา นอร์แมน แกรนซ์ จึงใช้ชื่อรายการคอนเสิร์ตนี้ว่า “JAPT” เปลี่ยนตัวนักร้องนักดนตรีไปเรื่อย อาทิ เอลลา ฟิตซ์เจรัลด์, แน็ต “คิง” โคล, บิลลี ฮอลิเดย์, ออสการ์ พีเทอร์สัน, สแตน เกตซ์, ชาร์ลี พาร์กเกอร์, ดิซซี กิลเลสปี, เบนนี คาร์เตอร์, เลสเตอร์ ยัง, โคลแมน ฮอว์กินส์, เฮิร์บ เอลลิส, เจ. เจ. จอห์นสัน ... บางคอนเสิร์ตบรรจุลงแผ่นเสียง “เวิร์ฟ” ของนอร์แมน แกรนซ์

ลาโล ชิฟริน ได้รับอิทธิพลทางเปียโนจากธีโลเนียส มังค์, บิลล์ เอแวนส์, ออสการ์ พีเทอร์สัน ด้านการประพันธ์เพลงได้รับแรงบันดาลใจจากดิซซี กิลเลสปี, สตราวินสกี

ลาโลมีพื้นฐานดนตรีคลาสสิก และประสบการณ์ดนตรีแจ๊ส เขาจึงพยายามคิดหาวิธีหลอมรวมให้ดนตรีทั้งสองประเภทมาผสมผสานกันในผลงานที่เข้าสร้างสรรค์ขึ้น

ปี 1982 อัลบั้ม “Ins and Outs” เป็นครั้งแรกที่ลาโลได้แสดงความเป็นนักดนตรีแจ๊สเด่นชัด เขาเป็นทั้งหัวหน้าวงและนักเปียโน โดยมีเพื่อนนักดนตรีร่วมด้วย แซม มอสต์ (ฟลูต), แอนดี้ ซิมสัน (ดับเบิลเบส), เอิร์ล พาล์มเมอร์ (กลอง), เปาลิโน ดา คอสตา (เครื่องกระทบ) บรรจุเพลง Con Alma และ Manteca ของดิซซี กิลเลสปี รวมอยู่ด้วย

ผ่านไป 10 ปี ลาโล ชิฟริน ใช้แนวคิดในการหลอมรวมดนตรีคลาสสิกกับแจ๊สตามแบบ “Third Stream” (กระแสที่สาม) ก็ปรากฏในอัลบั้ม “Jazz Meets the Symphony” โดยลาโลเรียบเรียงเพลงในแบบ “เมดลีย์” หรือ “เมดเลย์” Echoes of Duke Ellington ของดุ๊ก เอลลิงตัน และ “Dizzy Gillespie Fireworks” ของดิซซี กิลเลสปี รวมเพลงสั้นอีก 2 เพลง Battle Hymn of the Republic และ As Time Goes By บรรเลงโดย “ลอนดอนฟิลฮาร์มอนิก” ซึ่งมีเรย์ บราวน์ (ดับเบิลเบส) และแกรดี เทต (กลอง) ร่วมบรรเลงด้วย ลาโลอำนวยเพลงเอง

ลาโลได้ออกผลงานในลักษณะเดียวกันอีก 3 อัลบั้ม คือ “More Jazz: Meets the Symphony”, “Firebird: Jazz Meets the Symphony No. 3” และ “Metamorphosis: Jazz Meets the Symphony No. 4”

อัลบั้ม “Firebird: Jazz Meets the Symphony No. 3” ดูจะเด่นเป็นพิเศษ คือ นอกจากเพลงฮิตของแฟ็ตส์ วอลเลอร์, ชาร์ลี พาร์กเกอร์, โย ซอวินูล ... เพลง Mission Impossible “มาสเตอร์พีซ” ของลาโล ชิฟริน ควบด้วย Take Five ของพอล เดสมอนด์ ในจังหวะ 5/4 เหมือนกัน

YEAR 5 - WEEK 27 (July 4, 2025)ลาโล ชิฟรินก้องกระหึ่มโลกด้วยเพลง Mission Impossibleข่าวการเสียชีวิตของ ลาโล ชิฟริน นักปร...
04/07/2025

YEAR 5 - WEEK 27 (July 4, 2025)
ลาโล ชิฟริน
ก้องกระหึ่มโลกด้วยเพลง Mission Impossible

ข่าวการเสียชีวิตของ ลาโล ชิฟริน นักประพันธ์เพลงยิ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2025 ในนครลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ยังความอาลัยสู่วงการดนตรี

ลาโล ชิฟริน เป็นทั้งนักเปียโนแจ๊ส นักเรียบเรียงดนตรี นักประพันธ์เพลงฝีมือเยี่ยม มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะอย่างยิ่งเพลง Mission Impossible ถือเป็นสัญลักษณ์ของลาโล

เพลงไตเติลในภาพยนตร์ Mission Impossible เน้น “ออสตินาโต” (Ostinato) ในรูปแบบซ้ำ 2 ห้อง จังหวะ 5/4 ลีลาตื่นเต้นเร้าใจ ซึ่งมีส่วนเสริมให้ภาพยนตร์มีความเข้มข้นอย่างมาก บวกกับความหล่อของ ทอม ครูส ดารานำเจ้าบทบาท ยิ่งทำให้ Mission Impossible ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น

ภาพยนตร์นี้เดิมเป็น “ซีรีส์” ทางโทรทัศน์ โด่งดังมากเมื่อปี 1961 ปีเดียวกันนี้เอง Mission Impossible ได้ “แกรมมี่” ถึง 2 รางวัล เพลงหลักในภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังคงเป็นของลาโล ชิฟริน เหมือนเดิม แม้จะโปรดิวซ์และเรียบเรียงโดยแลร์รี มัลเลน กับ เดวิด บีล

บอริส เคลาดิโอ มีชื่อเล่นว่า “ลาโล” ต่อมาจึงใช้ชื่อลาโล ชิฟริน เกิดในบัวโนสไอเรส เมืองหลวงประเทศอาร์เจนตินา วันที่ 21 มิถุนายน 1932

เนื่องจากพ่อเป็นนักไวโอลินใน “บัวโนสไอเรสฟิลฮาร์มอนิก” จึงส่งเสริมให้ลาโลเรียนเปียโนตั้งแต่อายุ 6 ปี กับ เอนริเก บาเรนโบยม์ พ่อของดาเนียล บาเรนโบยม์ นักเปียโนคลาสสิกระดับโลก และเรียนหลักการประสานเสียงกับ ฮวน การ์ลอส เปซ นักประพันธ์เพลงชาวอาร์เจนตินา

ลาโลเรียนสังคมวิทยาและนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยบัวโนสไอเรส ด้วยความสนใจทางด้านดนตรี ลาโลได้รับทุนไปเรียนที่ “สถาบันดนตรีแห่งปารีส” (Conservatoire de Paris) และได้เรียนกับ โอลิวิเยร์ เมส์ซิยอง ในปี 1955 แม้จะเรียนดนตรีคลาสสิก แต่ลาโลก็สนใจศึกษาและฝึกเล่นแจ๊ส ช่วงเรียนที่กรุงปารีส กลางคืนลาโลไปเล่นแจ๊สตามคลับด้วย และลาโล ชิฟริน เล่นเปียโนกับนักบังโดเนียนดังชาวอาร์เจนตินา อัสตอร์ เปียซซอลลา ในเทศกาลดนตรีแจ๊สในนามตัวแทนจากอาร์เจนตินา

หลังกลับบ้านเกิด ลาโลตั้ง “บิ๊กแบนด์” วงแจ๊ส 16 ชิ้น บรรเลงถ่ายทอดทางโทรทัศน์ในกรุงบัวโนสไอเรส เริ่มแต่งเพลงสำหรับภาพยนตร์และโทรทัศน์

ลาโลเรียบเรียงเพลงให้กับ “ซาเวียร์คูกัส” วงดนตรีลีลาศแบบละตินที่มีชื่อเสียง

ลาโลย้ายไปอยู่นครนิวยอร์กปี 1960 ได้เจอกับ ดิซซี กิลเลสปี ความจริงก่อนหน้านี้ ลาโลรู้จักกับดิซซีเมื่อคราวที่เขานำวง “บิ๊กแบนด์” ไปตระเวนแสดงในอเมริกาใต้ แต่ตอนนี้ดิซซีต้องลดวงให้เล็กลงเพื่อลดค่าใช้จ่าย และออกปากชวนลาโลมาเล่นเปียโนในวง และเรียบเรียงเพลงให้กับวง อีกทั้งแต่งเพลงเพื่อบันทึกแผ่นเสียงในเวลาต่อมา

ปี 1963 ลาโล ชิฟรินร่วมเล่นเปียโนกับจอห์นนี ฮอดเจส ควอร์เทต ในอัลบั้ม “Buenos Aires Blues” ซึ่งมีเพลงที่แต่งโดย ดุ๊ก เอลลิงตัน, บิลลี สเตรย์ฮอร์น และ จอห์นนี ฮอดเจส มีเพลงที่แต่งโดยลาโล ชิฟริน 2 เพลง คือเพลง Dreary Blues และ B.A. Blues รวมอยู่ด้วย

ปีเดียวกันนี้เอง ลาโล ชิฟริน ได้เซ็นสัญญากับ “เมโทร-โกลวิน เมเยอร์” ประพันธ์เพลงภาพยนตร์ เรื่อง “Rhino” ในฮอลลีวูด ทำให้ลาโลต้องย้ายมาอยู่นครลอสเองเจลิส จนได้สัญชาติอเมริกันอีก 6 ปีต่อมา

อยู่แอลเอเพียงปีเดียว ลาโล ชิฟริน ได้ประพันธ์เพลงให้กับ “ทีวีซีรีส์” Mission Impossible ต่อด้วย “Mannix”

เพลงเด่น ๆ ที่ประพันธ์โดยลาโล ชิฟริน อาทิ ภาพยนต์เรื่อง “The Cincinnati Kid”, “Bullitt” ช่วงที่ร่วมงานกับ คลินต์ อีสต์วูด เพลงในภาพยนตร์ดังอย่างเรื่อง “Dirty Harry”

นอกจากนี้ ลาโล ชิฟริน ยังประพันธ์เพลงในภาพยนตร์เรื่อง Enter the Dragon นำแสดงโดยเจ้าพ่อกังฟู บรูซ ลี เรื่อง Big Brawl นำแสดงโดย แจ็กกี ชาน หรือ เฉินหลง ดาราจอมบู๊ฮ่องกง

ลาโล ชิฟริน ใช้ความรู้ ประสบการณ์ สอนและบรรยายเกี่ยวกับวิชา การประพันธ์เพลงภาพยนตร์ใน “UCLA” (University of California, Los Angeles) มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงใน เวสต์โคสต์ สหรัฐอเมริกา

YEAR 5 - WEEK 26 (June 27, 2025)แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิสร่วมแสดงสดในรัสเซีย“วันแจ๊สสากล” (International Jazz Day) 2018 นครเซ...
27/06/2025

YEAR 5 - WEEK 26 (June 27, 2025)
แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิส
ร่วมแสดงสดในรัสเซีย

“วันแจ๊สสากล” (International Jazz Day) 2018 นครเซ็นปีเตอร์สเบิร์กรับเป็นเมืองเจ้าภาพ โดยได้รับการสนับสนุนจาก UNESCO (องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ)

เฮอร์บี แฮนค็อก ในฐานะทูตสันถวไมตรี (Goodwill Ambassador) ของ “ยูเนสโก” จากสหรัฐอเมริกา ร่วมเป็นผู้อำนวยการศิลปินกับ อีกอร์ บุตมัน ประเทศเจ้าภาพ

ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา “ยูเนสโก” ร่วมกับสถาบันดนตรี ธีโลเนียส มังค์ ได้กำหนดให้วันที่ 30 เมษายน ของทุกปีเป็น “วันแจ๊สสากล”

เนื่องจาก เฮอร์บี แฮนค็อค เป็นผู้มีส่วนผลักดันให้เกิด “วันแจ๊สสากล” ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อจากสถาบัน ธีโลเนียส มังค์ เป็น เฮอร์บี แฮนค็อค งานนี้ในปี 2018 จัดคอนเสิร์ตใหญ่เป็นพิเศษที่ “มารีอินสกีเธียเตอร์” (Mariinsky) ตั้งอยู่ย่านจัตุรัสการละคร ตรงข้าม “ริมสกี-คอร์ซาคอฟคอนเซอร์เวทอรี” สถาบันดนตรีเก่าแก่แห่งนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

โรงมหรสพแห่งนี้ตั้งขึ้นเมื่อปี 1763 สมัยพระนางเจ้าแคเธอรีน เดิมใช้เป็นที่แสดงละคร อุปรากร และ “บาเลต์” หรือ “บัลเลต์” (Ballet)

สถานที่แห่งนี้เปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1860 มีชื่อว่า “มารีอินสกี” อันเป็นพระนามของจักรพรรดินีมาเรีย อเล็กซานดรอฟนา พระมเหสีพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 เปลี่ยนชื่อมา 3-4 ครั้ง ดูเหมือนใช้ชื่อชื่อว่า “คีรอฟ” นานเกือบ 60 ปี จึงเป็นที่รู้จักกันมากพอสมควร คีรอฟเป็นชื่อของเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เช่นเดียวกับนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ถูกเปลี่ยนไปเป็น “เลนินกราด” แล้วเปลี่ยนกลับมาเป็นเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเหมือนเดิม

“มารีอินสกี” เป็นสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ดนตรีของรัสเซีย “อุปรากร” (Opera) หลายเรื่องที่มีชื่อเสียงของนักประพันธ์เพลงชาวรัสเซียเริ่มแสดงเป็นปฐมทัศน์ที่นี่ โดยเฉพาะผลงาน “บัลเลต์” ของไชคอฟสกี “The Sleeping Beauty” และ “The Nutcracker รวมถึง “Swan Lake” ฉบับแก้ไขปรับปรุงจนเป็นที่แซ่ซ้องขึ้นที่ “มารีอินสกี”

ผมท่องเที่ยวไปยังรัสเซียหลายครั้งในสมัยบอริส เยลต์ซิน ประธานาธิบดีคนแรกกำลังฟื้นฟูหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต

ได้รับความอนุเคราะห์จากอดีตท่านทูต สุจิตรา หิรัญพฤกษ์ ให้พักที่เรือนรับรองภายในสถานเอกอัครราชทูตไทย เดิมในกรุงมอสโก ซึ่งเป็นบ้านเก่าของท่านผู้นำครุสชอฟ โดยท่านทูตวานเจ้าหน้าที่ชาวรัสเซียช่วยจองบัตรชมบัลเลต์ “Swan Lake” ที่ “มารีอินสกี” บัตรค่อนข้างแพง แต่คุ้ม วิจิตรตระการตา ได้กลิ่นอายสมัย “โรแมนติก” ของรัสเซีย

“มารีอินสกีเธียเตอร์” ในช่วงฉลอง “International Jazz Day – 2018” ที่รัสเซียเป็นเจ้าภาพจัดอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีการ “ไลฟ์สตรีมมิง” ถ่ายทอดการแสดงสดผ่าน “แพลตฟอร์มออนไลน์” ต่าง ๆ ชมได้ทั่วโลก

นักร้อง นักดนตรีแจ๊สจากหลายประเทศมาร่วมแสดงบนเวทีคึกคัก จากสหรัฐอเมริกา ได้แก่ เฮอร์บี แฮนค็อค, แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิส, เคิร์ท เอลลิ่ง, โรเบิร์ต แกลสเปอร์, ฤทธาเรส มหรรทัพพะ, เบน วิลเลียมส์, ไดแอนน์ รีฟส์, ลี ริเทนาวร์, เทร์รี ลีน คาร์ริงตัน, โจอี้ เด ฟรานเชสโก, เจมส์ จีนัส, วงแมนฮัตตัน แทรนสเฟอร์, โดยมีจอห์น บิลลี รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการด้านดนตรี

นักดนตรีชาวรัสเซีย ได้แก่ อีกอร์ บุตมัน (เทเนอร์แซ็กโซโฟน), โอเลก อัคคราคอฟ (เปียโน), อาดิม เอเลนคริก (ทรัมเป็ต), โอเลก บุตมัน น้องชายอีกอร์ (กลอง) และ อนาโตลี ครอสล์ นักเปียโน หัวหน้าวงควบคุม “Moscow Jazz Orchestra” บรรเลงประกอบให้ “แมนฮัตตันแทรนสเฟอร์” กลุ่มนักร้องแจ๊สอเมริกันในเพลง “Birdland” “มาสเตอร์พีซ” ของวง “เวเธอร์รีพอร์ต” ในอดีต

จากประเทศอื่น ได้แก่ อันโตนีโอ ฟาราโอ (อิตาลี), ทิลล์ เบรินเนอร์ (เยอรมนี), โอราซิโอ เอร์นันเดช (คิวบา), กานิโล เปเรซ (ปานามา), ลูเซียนา ซูซา (บราซิล), เจมส์ มอริสัน (ออสเตรเลีย), มาโคโตะ โอโซเนะ (ญี่ปุ่น), ฮัสซัน ฮัคมูน (โมร็อกโก), กิลาด เฮกเซลมัน (อิสราเอล), เกาหยาง ลี (จีน), ฟาตูมาตา อิอาวารา (มาลี)

“มอสโกแจ๊สออร์เคสตรา” บรรเลงเพลง Birdland ให้กับ “แมนฮัตตันแทรนสเฟอร์” และวงนี้ยังบรรเลงประกอบให้กับ นาตาเลีย สมีร์โนวา นักร้องนักเปียโน โชว์เพลง “แจ๊สสแตนดาร์ด” เพลง My One and Only Love

อนาโตลี ครอลล์ แสดงฝีมือเปียโนลีลา “ซัมบา” หรือ “แซมบา” กับ ลูเซียนา ซูซา เพลง Eu Vim Da Bahia

อีกอร์ บุตมัน นักเทเนอร์แซ็กโซโฟนมือหนึ่งของรัสเซีย ร่วมบรรเลงกับเฮอร์บี แฮนค็อค นักเปียโนชื่อดังมายาวนานในเพลง You Got It Bad Girl ผลงานของ สตีวี วันเดอร์

ไดแอนน์ รีฟส์ ร้องเพลง In a Sentimental Mood โดยมี เดวิด โกลอสเชกิน, มาโคโตะ โอโซเนะ, เบน วิลเลียมส์ ร่วมบรรเลงประกอบสุดฝีมือ

เฮอร์บี แฮนค็อค บรรเลงเพลง I Have A Dream

แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิส นักเทเนอร์แซ็กโซโฟนชื่อดังเป่าเพลง As You’re Living ตามด้วยเสียงของเคิร์ท เอลลิ่ง นักร้องแจ๊สแห่งยุคจากนครชิคาโก ทิลล์ เบรินเนอร์ ทรัมเป็ตมือดีจากเยอรมนี และอันโตนิโอ ฟาราโอ นักเปียโนที่มาแรงจากกรุงโรม

YEAR 5 - WEEK 25 (June 20, 2025)แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิสรังสรรค์ดนตรีหลายมิติแบรนฟอร์ด มาร์แซลลิส นำวงเข้าบรรเลงประจำรายการ ...
20/06/2025

YEAR 5 - WEEK 25 (June 20, 2025)
แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิส
รังสรรค์ดนตรีหลายมิติ

แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิส นำวงเข้าบรรเลงประจำรายการ “Tonight Show” ทางสถานีโทรทัศน์ “เอ็นบีซี” ในปี 1992

ปีเดียวกัน แบรนฟอร์ดได้ออกอัลบั้ม “I Heard You Twice the First Time” แบรนฟอร์ดเป่าทั้งโซปราโน อัลโต เทเนอร์แซ็กโซโฟน และร้อง เคนนี เคิร์กแลนด์ (เปียโน), โรเบิร์ต เฮิร์สต์ (เบส), เจฟฟ์ วัตต์ส (กลอง), รัสเซลล์ มาโลน (กีตาร์), วินตัน มาร์แซลลิส (ทรัมเป็ต), เดลฟีโย มาร์แซลลิส (ทรอมโบน), ลินดา ฮอปกินส์ (ร้อง)... โดยเชิญนักร้องนักกีตาร์บลูส์มีชื่อเสียงมา 3 คน บี.บี.คิง, จอห์น ลี ฮุกเกอร์ และ โจ หลุยส์ วอล์กเกอร์ เพื่อต้องการเน้นเพลงในอัลบั้มนี้ให้เป็น “บลูส์”

ปรากฏว่าประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับดี จนคว้ารางวัล “แกรมมี” สาขา “Best Instrumental Jazz Album” มาครอง

หลังออกจากรายการ “ทูไนท์โชว์” แบรนฟอร์ดได้ออกอัลบั้ม “Dark Keys” กับ “โซนี” ซึ่งนอกจากแจ๊สก็ยังแทรกเพลงสไตล์ “ฮิพฮอพ” และ “ร็อค” เข้าไปด้วย

“Requiem” เป็นอัลบั้มที่มีความหมาย ปกติบทเพลงประเภทนี้ใช้ประกอบพิธีศพในศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอริก Requiem ที่มีชื่อเสียง เช่น ผลงานของโมสาร์ท

ในอัลบั้มนี้ แบรนฟอร์ดเป่าแซ็กโซโฟน เอริก เรวิส (เบส), เจฟฟ์ วัตต์ส (กลอง), และ เคนนี เคิร์กแลนด์ (เปียโน) บันทึกเมื่อปลายปี 1998 หลังบันทึกเสียงเสร็จ 2-3 เดือน เคนนี เคิร์กแลนด์ นักเปียโนเพื่อนรักของแบรนฟอร์ดเสียชีวิต แบรนฟอร์ดจึงตั้งชื่ออัลบั้มว่า Requiem เพื่ออุทิศและเป็นการรำลึกถึงเคนนี เคิร์กแลนด์

“Requiem” บรรจุไว้ 8 เพลง มี Trieste เพียงเพลงเดียวที่ พอล โมเชียน เป็นผู้แต่ง นอกนั้นประพันธ์โดย แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิส ได้แก่เพลง Doctone: A Thousand Autumns; Lykief; Bullworth; Elysium; Cassandra; 10th St. Baptist Church

ปีถัดมา แบรนฟอร์ดได้ออกอัลบั้มสุดท้ายกับ “โคลัมเบีย” “Contemporary Jazz” ผู้เล่นเบสยังคงเป็น เอริก เรวิส กลองเป็นหน้าที่ของเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนที่ “เบิร์กลีคอลเลจออฟมิวสิค” ได้ โจอี้ คัลเดรัสโซ นักเปียโนรุ่นน้องที่ “เบิร์กลี” มาแทน เคนนี เคิร์กแลนด์ ฝีมือเปียโนไม่ธรรมดา เพราะก่อนหน้านี้เขาเล่นกับนักแซ็กโซโฟนรุ่นใหญ่อย่าง ไมเคิล เบรกเกอร์

ต่อมา แบรนฟอร์ดเปลี่ยนแนวดนตรีไปเล่นเพลงคลาสสิกของ วิลลา โลบอส นักประพันธ์เพลงชาวบราซิล กับ “ฟิลฮาร์โมเนีย บราซิเลอิรา” เป็นการเดี่ยวแซ็กโซโฟนบทเพลงของ วิลลา เพื่อเป็นการแสดงคารวะแด่วิลลา โลบอส ล่วงลับไปครบรอบ 50 ปี

วิลลา โลบอส นักประพันธ์เพลงมีชื่อเสียแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 และยังเป็นผู้อำนวยเพลง นักกีตาร์ นักเชลโล มีผลงานมากกว่า 2,000 บทเพลง ผลงานที่ได้รับความนิยมจากนักกีตาร์ทั่วโลก คือ บทเพลง “เพรลูด” (Prelude) และที่เด่นมาก คือ บทเพลงประเภท “โชรู” (Choro)

แบรนฟอร์ดเดี่ยวแซ็กโซโฟนกับ “นิวยอร์กฟิลฮาร์มอนิก” เดี่ยวผลงานของ กลาซูนอฟ “Concerto for Alto Saxophone” ร่วมบรรเลงกับ “นอร์ทแคโลไลนาซิมโฟนีออร์เคสตรา” เล่นผลงานของ จอห์น วิลเลียมส์, คริสโตเฟอร์ เราส์ ...

ผลงานล่าสุดของ แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิส ที่ออกเผยแพร่ปลายเดือนมีนาคมปีนี้ คือ อัลบั้ม “Belonging” ซึ่งแบรนฟอร์ดเป่าแซ็กโซโฟน โจอี้ คัลเดรัสโซ (เปียโน) เอริก เรวิส (เบส) จัสติน ฟอล์คเนอร์ (กลอง)

ทั้ง 6 เพลงในอัลบั้มนี้เป็นผลงานของ คีธ จาร์เรตต์ นักเปียโนแจ๊สล้ำยุค ได้แก่ เพลง Spiral Dance; Blossom; Long As You Know You’re Living Yours; Belonging; The Windup; Solstice

“Belonging” แบรนฟอร์ดประเดิมอัดกับแผ่นเสียง “บลูโน้ต” ทั้งนี้ แบรนฟอร์ดได้นำเพลงทั้งหมดที่ คีธ จาร์เรตต์ บรรเลงไว้ในอัลบั้ม “Belonging” ชื่อเดียวกันนี้ ในแผ่นเสียง “อีซีเอ็ม” ที่ออกเมื่อปี 1974 มาตีความใหม่ โดยคงไว้ซึ่งทำนองและเสียงประสานตามต้นฉบับของ คีธ จาร์เรตต์ ทุกอย่าง

คีธ จาร์เรตต์ นักเปียโนแจ๊สอเมริกัน ใช้ชื่อวง “European Quartet” อัดอัลบั้ม “Belonging” โดยมีนักดนตรีชาวนอร์เวย์ร่วมด้วย 2 คน คือ ญาณ การ์บาเรค (แซ็กโซโฟน) ญอน คริสเทนเสน (กลอง) และ พาลก์ ดาเนียสซอน ชาวสวีเดน (ดับเบิลเบส)

แบรนฟอร์ด มาร์เซลลิส ยังมีอีกหลายมิติที่สื่อสารเสียงดนตรีผ่านแซ็กโซโฟน

YEAR 5 - WEEK 24 (June 13, 2025)แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิสลุยล้ำหน้าในถนนสายแจ๊สแบรนฟอร์ด มาร์แซลลิส นักแซ็กโซโฟนแจ๊สที่ไม่ยอม...
13/06/2025

YEAR 5 - WEEK 24 (June 13, 2025)
แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิส
ลุยล้ำหน้าในถนนสายแจ๊ส

แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิส นักแซ็กโซโฟนแจ๊สที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง ตลุยสร้างผลงานล้ำหน้าตลอด 4 ทศวรรษที่โลดแล่นอยู่ในวงการดนตรีทั้งแจ๊ส ร็อค คลาสสิก

แบรนฟอร์ดเกิดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1960 ในเมืองโบรซ์บริดจ์ รัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา

เอลลิส มาร์แซลลิส พ่อของแบรนฟอร์ด เป็นนักเปียโนแจ๊ส และเป็นนักการศึกษาดนตรีแจ๊ส เป็นครูสอนแจ๊สมีชื่อเสียงของเมืองนิวออร์ลีนส์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ก่อกำเนิดดนตรีแจ๊ส

ส่วนแม่ โดโลเรส เป็นนักร้องแจ๊ส น้องชายทั้งสามคนล้วนเป็นนักดนตรีแจ๊ส วินตันเป็นนักทรัมเป็ต เดลฟีโยเป็นนักทรอมโบน สองปีที่แล้วแวะมาแสดงใน “Thailand International Jazz Conference” ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เดินเข้ามาทักทายและขอเซลฟีด้วย นัยว่าจะไปให้วินตันดู เพราะครั้งหนึ่งผมเคยอยู่บนเวทีกับวินตัน

เจสัน น้องชายคนสุดท้อง ตีกลองและตีไวบราโฟน เท่าที่เคยดูเจสัน มาร์แซลลิส ตีกลอง และโรเบิร์ต เฮิสต์ เล่นดับเบิลเลสกับ “เบอร์ลินเนอร์ฟิลฮาร์มอนิเคอร์” บรรเลงเพลง Rhapsody in Blue ของ จอร์จ เคิร์ชวิน อำนวยเพลงโดย เซจิ โอซาวะ จาก “DVD” ต้องบอกว่ามือถึง

แบรนฟอร์ดเริ่มเรียนดนตรีตั้งแต่เด็ก ชีวิตเปลี่ยนไปเมื่อเขามุ่งสู่เมืองบอสตัน เข้าเรียนที่ “เบิร์กลี คอลเลจออฟมิวสิค” ช่วงระหว่างเรียนที่นี่ปี 1980 แบรนฟอร์ดมีโอกาสออกตระเวนแสดงในยุโรปกับอาร์ต เบลกี แอนด์ แจ๊สเมสเซนเจอร์ส แบรนฟอร์ดเป่าทั้งอัลโต เทเนอร์ และบาริโทนแซ็กโซโฟน

จากนั้นหาประสบการณ์เล่นกับวงไลอะเนิล แฮมพ์ตัน และคลาร์ก เทร์รี

ปลายปี 1981 แบรนฟอร์ดเข้าไปเล่นแทนบ็อบบี วัตสัน ในวง “แจ๊สเมสเซนเจอร์ส” ซึ่งควบคุมวงโดยอาร์ต เบลกี พร้อมน้องชาย วินตัน มาร์แซลลิส นักทรัมเป็ตชื่อดัง และแบรนฟอร์ดออกตระเวนแสดงในญี่ปุ่นกับเฮอร์บี แฮนค็อค

วินตัน มาร์แซลลิส ออกไปตั้งวงควินเทต ช่วงที่เริ่มกำลังดังระเบิด แบรนฟอร์ดเข้าร่วมวงด้วย โดยเป่าโซปราโนและเทเนอร์แซ็กโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีหลัก ช่วงนี้เอง แบรนฟอร์ดได้เซ็นสัญญากับแผ่นเสียง “โคลัมเบีย” ค่ายเพลงใหญ่ ออกอัลบั้มแรกในนามตนเอง “Scenes in the City” ปลายปี 1983

แบรนฟอร์ดได้เพื่อนนักดนตรีฝีมือดี ทุกคนล้วนเป็นสิงห์หนุ่มแห่งวงการดนตรีแจ๊ส มัลกรูว์ มิลเลอร์, เคนนี เคิร์กแลนด์ (เปียโน), ชาร์เนตต์ มอฟเฟตต์ (ดับเบิลเบส), เจฟฟ์ “เทน” วัตส์, มาร์วิน สมิธ (กลอง) แค่อัลบั้มแรก แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิส ก็แจ้งเกิดในวงการอย่างง่ายดาย

สองปีต่อมา แบรนฟอร์ดร่วมงานกับสติง นักร้องและเบส ” Police" วงร็อคดังอังกฤษ ออกอัลบั้ม “The Dream of the Blue Turtles” นอกจากแบรนฟอร์ดแล้ว ยังมีนักดนตรีแจ๊สจากอเมริการ่วมด้วย ได้แก่ แดร์ริล โจนส์ (เบส), เคนนี เคิร์กแลนด์ (คีย์บอร์ด), โอมาร์ ฮาคิม (กลอง)

ต่อมา แบรนฟอร์ดได้ออกอัลบั้มดี ๆ กับ “โคลัมเบีย” ติดต่อกันอีกหลายอัลบั้ม อาทิ Royal Garden Blues; Renaissance; Random Abstract; Trio Jeep; I Heard You Twice the First Time

ช่วงหนึ่ง แบรนฟอร์ดไปเล่นกับไมล์ส เดวิส ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการดนตรี

“Tonight Show” เป็นรายการ “ท็อล์ก โชว์” ทางโทรทัศน์ “เอ็นบีซี” ฮิตที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะยุค จอห์นนี คาร์สัน เป็นผู้ดำเนินรายการ

นอกจาก “ท็อล์กโชว์” แล้ว รายการนี้ยังเน้นเรื่องดนตรีและคนในวงการดนตรี โดยมีด็อค เซเวรินเสน เป็นผู้ควบคุมวงที่บรรเลงในรายการนานถึง 30 ปี

พอมาถึงยุคเจย์ ลีโน เป็นผู้ดำเนินรายการ “ทูไนท์โชว์” ที่มีผู้ชมถึงประมาณ 10 ล้านคน ก็ได้มอบหน้าที่ควบคุมวงให้แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิส พร้อมด้วยดนตรีรวม 8 ชิ้นในปี 1992-1995

แบรนฟอร์ด มาร์แซลลิส ได้ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในหน้าที่ “มิวสิคไดเร็คเตอร์” พร้อมเพื่อนนักดนตรีชั้นยอด อาทิ เคนนี เคิร์กแลนด์, เควิน ยูแบงค์ส, เจฟฟ์ วัตส์ ... บรรเลงเพลงหลากรูปแบบใน “Tonight Show”

YEAR 5 - WEEK 23 (June 6, 2025)คีธ จาร์เรตต์เดี่ยวเปียโนเชิงปฏิภาณการเดี่ยวเปียโนในวงการดนตรีแจ๊สทำกันตลอดมา เริ่มตั้งแต...
06/06/2025

YEAR 5 - WEEK 23 (June 6, 2025)
คีธ จาร์เรตต์
เดี่ยวเปียโนเชิงปฏิภาณ

การเดี่ยวเปียโนในวงการดนตรีแจ๊สทำกันตลอดมา เริ่มตั้งแต่ดนตรีประเภท “แร็กไทม์”, “บูกี-วูกี”, “สไตรค์”, “สวิง”, “บ็อพ”, “อวองต์การ์ด”

การเดี่ยวเปียโนของคีธ จาร์เรตต์ โดดเด่นไม่เหมือนใคร ทุกอย่างที่บรรเลงคิดขึ้นโดยฉับพลันในลักษณะเป็น “การเดี่ยวเปียโนเชิงปฏิภาณ” (Solo Piano Improvisation) ไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตที่ค่อนข้างท้าทาย ต้องใช้ความสามารถ ประสบการณ์ และจินตภาพอันสูงส่ง

การบรรเลงแบบนี้เป็นที่ถูกใจคนหนุ่มสาว เป็นที่ทราบกันดี คนวัยนี้มีความเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจมาก พัฒนาการด้านต่าง ๆ มักเกิดขึ้นในวัยนี้ อารมณ์อ่อนไหวง่าย พวกมองโลกในแง่ดีมักมีความสนใจในศิลปะแขนงต่าง ๆ บางคนก็หันไปสนใจกีฬา วัฒนธรรม ... ตรงกันข้าม พวกมองโลกในแง่ร้าย มักทำแต่เรื่องที่ไร้สาระ มีอคติ หลงตัวเอง มักสร้างปัญหา ... ดังนั้น พฤติกรรมของคนหนุ่มสาวจึงมักส่งผลต่อสังคม

ค่ำวันเสาร์ที่ 10 เมษายน 1982 ณ บริเวณด้านหน้า “โอเปร่าเฮาส์” (Opera House) โรงละครเก่าแก่กลางเมืองบอสตัน แถวถนนวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา คลาคล่ำด้วยหนุ่มสาว แต่ละคนดูสดชื่น หน้าตาเบิกบานอย่างเห็นได้ชัด ต่างรอเข้าชมการแสดงของคีธ จาร์เรตต์ นักเดี่ยวเปียโนแจ๊สยิ่งใหญ่ทาง “อิมโพรไวส์”

ผมเป็นผู้หนึ่งซึ่งยืนปะปนอยู่ในกลุ่มชนนี้ด้วย พอได้เวลาประตูทางเข้าเปิด ต่างทยอยเดินเรียงแถวเข้าไปตามลำดับอย่างมีระเบียบ

ระหว่างที่แสงไฟในห้องยังไม่หรี่ลง สอดส่ายสายตามองไปรอบห้อง เห็นเพดานแต้มแต่งด้วยจิตรกรรมวิจิตรตระการตา บรรยากาศโรแมนติก ช่างเหมาะกับแนวดนตรีชวนฝันของคีธ จาร์เรตต์

ความงดงามทั้งหลายแหล่ เขาประมวลจากเนื้อหาอันดีเด่นของดนตรีหลากรูปแบบจากหลากแหล่ง แล้วใช้พลังสรรค์สร้างเสียงดนตรีที่เปี่ยมด้วยจินตนาการและสุนทรียรส บ่อยครั้งสะกดให้คนฟังปล่อยอารมณ์คล้อยไปกับเสียงเปียโนไพเราะ อ่อนหวาน เวิ้งว้างอย่างมีความหมาย

อิริยาบถของคีธ จาร์เรตต์ บนเวที ดูแตกต่างไปจากนักเปียโนแจ๊สคนอื่น ๆ เท่าที่เคยพบเห็นมา เขานั่งค่อนข้างห่างจากด้านหน้าของเปียโน โน้มตัวก้มลงออกจะต่ำสักหน่อย ท่าคล้ายบิลล์ เอแวนส์ นักเปียโนแจ๊สที่คีธโปรดปรานคนหนึ่งซึ่งล่วงลับไปแล้ว

บางช่วงอยู่ในท่าผุดลุกผุดนั่ง บางส่วนของร่างกายย้วยยายเคลื่อนไหว บิดตัวขยับเท้าเต้นไปตามคลื่นเสียง ปากก็ร้องไปตามเสียงที่เขาเนรมิตขึ้นตามมโนภาพ ทุกอากัปกิริยาผิดแผกไปจากนักเปียโนทุกคนในโลก

เทคนิคในการควบคุม “แป้นเหยียบ” (Pedal) ของคีธทำได้อย่างน่าอัศจรรย์ บางช่วงบางตอน สุ้มเสียงดุจดังสีเครื่องสายประเภทเชลโล นุ่มนวล ล้ำลึก

“การเดี่ยวเปียโน” (Solo Piano) แบบที่ได้สัมผัสครั้งนี้ ดูเหมือนคีธ จาร์เรตต์ ได้ทดลองนำร่องมาก่อนเมื่อปี 1972 โดยอัดอัลบั้ม “Facing You” กับแผ่นเสียง “อีซีเอ็ม” ที่ห้องอัดในกรุงออสโล

อัลบั้มนี้แม้จะไม่ทำเงิน แต่ คีธก็ได้ยินอะไรบางอย่างที่ตนเองชื่นชอบอย่างเด่นชัด เป็นการพิสูจน์ให้เห็นความสำเร็จในงานอาชีพ คือการเดี่ยวเปียโนในแบบ “การอิมโพรไวส์” จากบทเพลงที่เขาประพันธ์เองทั้งหมด เป็นอัลบั้มที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานคุณภาพของคีธ

The Köln Concert เป็นอัลบั้มคู่ บันทึกจากการเดี่ยวเปียโนที่ “โอเปร่าเฮาส์” ในเมืองโคโลญจ์ เยอรมนี เมื่อวันที่ 24 มกราคม 1975

โคโลญจ์ (Cologne) เยอรมันเรียกว่า “เคิลน์” เป็นเมืองเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ “ไรน์” มี มหาวิหารโคโลญจ์ สถาปัตยกรรมโกธิกเป็น “แลนด์มาร์ก” ของเมือง เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม แหล่งอารยธรรมของเยอรมนี

เท่าที่เคยไปเมืองนี้ 2-3 ครั้ง ได้เห็นร่องรอยความศิวิไลซ์มาแต่โบราณกาล

คอนเสิร์ตที่โคโลญจ์จัดโดยสาวเยอรมันวัย 18 ปี เฟรา บรันเดส บัตรที่นั่ง 1,400 ที่ขายหมดเกลี้ยง

แม้มีอุปสรรคอยู่บ้างเกี่ยวกับเปียโน แต่ในที่สุดก็ผ่านพ้นไปด้วยดี

เพลงทั้งหมดประพันธ์โดยคีธ จาร์เรตต์ เอง ได้แก่ Part I; Part II a; Part II b; Part II c โดยคีธ จาร์เรตต์ วางกรอบเป็น “แวมพ์” (Vamp) คือการวางกรอบทำนอง เสียงประสาน และจังหวะเป็น “วลี” (Phrase) วนไปมาเป็นหลัก เพื่อใช้เป็นทางการเดี่ยวเปียโนเชิงปฏิภาณ แปรเปลี่ยนเรื่อยไปจนจบรายการ

“Keith Jarrett: The Köln Concert” เป็นอัลบั้มเดี่ยวเปียโนขายดีที่สุดจำนวนถึง 4 ล้าน

อัลบั้มนี้ได้รับการกล่าวขวัญจากเหล่านักวิจารณ์แจ๊ส คีธ จาร์เรตต์ บรรจงบรรเลงทุกบทเพลงที่แฝงไว้ด้วยสารัตถะ แสดงนัยสำคัญทั้งทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และชาติพันธุ์พื้นเมือง

YEAR 5 - WEEK 22 (May 30, 2025)คีธ จาร์เรตต์สรรค์สร้างเสียงด้วยอะคูสติกเปียโนคีธ จาร์เรตต์ นักเปียโนยอดฝีมือในหลากหลายสไ...
30/05/2025

YEAR 5 - WEEK 22 (May 30, 2025)
คีธ จาร์เรตต์
สรรค์สร้างเสียงด้วยอะคูสติกเปียโน

คีธ จาร์เรตต์ นักเปียโนยอดฝีมือในหลากหลายสไตล์ ทั้งแจ๊สร่วมสมัย, อวองต์การ์ดแจ๊ส, โพสต์บ็อพ, ฟิวชั่น ... ยังยึดมั่นสรรค์สร้างเสียงธรรมชาติด้วยอะคูสติกเปียโน

คีธ จาร์เรตต์ เกิดที่แอลเลนทาวน์ รัฐเพนซิลเวเนีย วันที่ 8 พฤษภาคม 1945 เริ่มเรียนเปียโนเมื่ออายุ 3 ปี

คีธส่อแววเป็นเด็กอัจฉริยะทางดนตรีแต่เยาว์วัย พ่อจึงซื้อเปียโนจากร้านขายของเก่า 50 เหรียญให้เขาใช้ฝึกซ้อม คีธเล่นทำนองเพลงที่จำจากวิทยุได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน

ตอนอายุ 5 ปี คีธได้ไปออกรายการคนเก่งทางโทรทัศน์ จัดโดยพอล ไวท์แมน หัวหน้าวง “บิ๊กแบนด์” – ยุคสวิง และคีธออกแสดงเดี่ยวเปียโน ผลงานของบาค, เบโธเฟน, โมสาร์ท, แซงต์-ซองส์ และเพลงของตนเอง 2 เพลงที่มีการ “อิมโพรไวส์” บรรเลงลื่นไหลไปตามปฏิภาณ

คีธเรียนแต่งเพลงตอนวัยรุ่น และยังชิมลางด้วยการออกตระเวนเล่นเป็นอาชีพกับวงเฟรด แวริง คนบ้านเดียวกันเป็นเวลาหนึ่งฤดูกาล

จากการสนับสนุนของแม่ คีธเรียนเปียโนคลาสสิกกับเอเลนอร์ โซโคลอฟฟ์ แห่ง “สถาบันดนตรีเคอร์ทิส” ในเมืองฟิลาเดลเฟีย

ช่วงเรียนไฮสกูล คีธเรียนเล่นแจ๊สจนคล่อง พัฒนาสู่แจ๊สร่วมสมัย โดยได้แรงบันดาลใจจากเดฟ บรูเบค

จากนั้น คีธ จาร์เรตต์ เข้าเรียนที่ “เบิร์กลีคอลเลจออฟมิวสิค” ในเมืองบอสตัน และออกเล่นตามคลับในเมืองนี้เป็นเวลาหนึ่งปี

ปี 1964 คีธพร้อมภรรยามุ่งสู่นครนิวยอร์ก ออกตะลุยหางานอุตลุด ได้เล่นที่แจ๊สคลับดังอย่าง “วิลเลจ แวนการ์ด” ในย่านกรีนิชวิลเลจ

อาร์ต เบลกี ได้ว่าจ้างให้คีธ จาร์เรตต์ เล่นกับวง “เดอะแจ๊สเมสเซนเจอร์ส” และได้เล่นอัดอัลบั้ม Buttercorn Lady กับวงนี้ นับเป็นงานอัดแผ่นเสียงครั้งแรกของคีธ

การแสดงฝีมือเปียโนกับ “แจ๊สเมสเซนเจอร์ส” เข้าตา แจ็ค ดีจอห์นเนตต์ นักกลองหัวก้าวหน้าของวงการดนตรีแจ๊ส เขาจึงชักนำให้คีธไปเล่นกับชาร์ลส์ ลอยด์ นักเทเนอร์แซ็กโซโฟนโด่งดังในยุคนั้น

คีธ จาร์เรตต์ ได้ร่วมเล่นในอัลบั้ม “Forest Flower” ผลงาน “มาสเตอร์พีซ” ของชาร์ลส์ ลอยด์ หัวหน้าวงในมาดทรงผม “แอโฟร” เป่าทั้งเทเนอร์แซ็กโซโฟนและฟลูต ซีซิล แม็คบี (ดับเบิลเบส), แจ็ค ดีจอห์นเนตต์ (กลอง) และคีธยังได้ออกตระเวนแสดงในอเมริกาและยุโรป

ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่คีธ นักดนตรีหนุ่มอย่างมาก แสดงที่โปแลนด์, เช็กโกสโล วาเกีย โดยเฉพาะในกรุงมอสโก และเลนินกราด ซึ่งต่อมาเปลี่ยนกลับไปชื่อเดิม คือ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง เพราะในยุคนั้น ประเทศและเมืองดังกล่าวข้างต้นอยู่ในอิทธิพลของสหภาพโซเวียต ผู้นำในระบบการปกครองคอมมิวนิสต์ ซึ่งตรงกันข้ามกับสหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำฝ่ายโลกเสรี

จากนั้น ชาร์ลส์ ลอยด์ ควอร์เทต ในนามทูตวัฒนธรรมยังได้มาแสดงในกลุ่มประเทศตะวันออกไกล ได้แก่ จีน, ฟิลิปปินส์, ลาว, ไทย ที่หอประชุมธรรมศาสตร์ ในประเทศไทย คีธ จาร์เรตต์ ไม่ได้มาด้วย ชาร์ลส์ ลอยด์ เอา เจน เกตซ์ มาเล่นเปียโนแทน เพราะคีธต้องไปร่วมงานกับวงไมล์ส เดวิส

คีธ จาร์เรตต์ เล่นออร์แกนไฟฟ้า (Electric Organ) กับเปียโนไฟฟ้า “โรดส์” (Rhodes – Electric Piano) สลับกับชิค โคเรีย นักคีย์บอร์ด ทั้งสองคนเล่นเคียงข้างกัน จนกระทั่งปี 1970 ชิคลาออก เหลือคีธ จาร์เรตต์ เล่นเพียงคนเดียว

ปีถัดมา คีธ คาร์เรตต์ พร้อมเพื่อนนักดนตรีอีก 2 คน ชาร์ลี เฮเดน (ดับเบิลเบส), พอล โมเชียน (กลอง) รวมวงเป็น “ทรีโอ” เล่นอัดอัลบั้ม “The Mourning of a Star; El Juicio (The Judgement) และ Birth ให้แก่ “แอตแลนติก เร็คคอร์ดส์”

ต่อมา คีธ จาร์เรตต์ ได้รับจดหมายจากมันเฟรด ไอเชอร์ โปรดิวเซอร์ เจ้าของบริษัทแผ่นเสียง “อีซีเอ็ม” ชาวเยอรมัน เชิญชวนให้คีธ จาร์เรตต์ ออกอัลบั้ม “The Survivors’ Suite” และ “Eyes of the Heart” อีกทั้ง “ดูเอ็ด” กับแจ็ค ดีจอห์นเนตต์ ยอดนักกลองฝีมือเยี่ยมที่เป็นผู้ชักนำให้คีธ จาร์เรตต์ ได้เล่นกับชาร์ลส์ ลอยด์ และแจ็คเพิ่งออกมาจากไมล์ส เดวิส เป็น “ดูโอ” ระหว่างกลองกับเปียโนในอัลบั้ม “Ruta and Daitya”

ปี 1983 ไอเชอร์ขอให้เอาแกรี พีค็อค ดับเบิลเบสชั้นยอด มาร่วมกับแจ็ค ดีจอห์นเนตต์ และคีธ จาร์เรตต์ รวมเป็น “ทรีโอ” ที่ฉีกแนววงการดนตรีแจ๊ส จนได้รับการยกย่องเป็น “แจ๊สทรีโอมาตรฐาน”

ตลอดเวลาที่อยู่ในวงการดนตรีแจ๊ส 7 ทศวรรษ คีธ จาร์เรตต์ เน้นเล่นอะคูสติกเปียโน เล่นคีย์บอร์ดไฟฟ้า (Electric Keyboard) เพียงช่วงสั้น ๆ ในวงไมล์ส เดวิส

YEAR 5 - WEEK 21 (May 23, 2025)เบตที คาร์เตอร์นักร้องแจ๊สแท้เบตที คาร์เตอร์ นักร้องแจ๊สที่เชี่ยวชาญการร้องด้นสดแบบ “สแกต...
23/05/2025

YEAR 5 - WEEK 21 (May 23, 2025)
เบตที คาร์เตอร์
นักร้องแจ๊สแท้

เบตที คาร์เตอร์ นักร้องแจ๊สที่เชี่ยวชาญการร้องด้นสดแบบ “สแกต” (S**t Singing) คือการร้องที่ไม่ใช้คำ บางครั้งร้องเลียนเสียงเครื่องดนตรี ซึ่งถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งในการร้องเพลงแจ๊ส

เบตทีเป็นนักร้องมีชื่อเสียง มีเสียงแม่นยำดุจเสียงดนตรี จนได้รับการยกย่องว่าเธอเหมือนเป็นนักดนตรีคนหนึ่งในวงการดนตรีแจ๊ส ซึ่งไมล์ส เดวิส เป็นผู้หนึ่งที่กล่าวเช่นนั้น

ตลอด 5 ทศวรรษที่ เบตที คาร์เตอร์ อยู่ในวงการดนตรีแจ๊ส ได้สร้างตำนานการร้องเพลงแจ๊ส จนกลายเป็นแบบอย่างการร้องแจ๊สที่นักร้องรุ่นหลังได้ศึกษา

เบตที คาร์เตอร์ ชื่อจริงคือ ลิลลี เม โจนส์ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1929 ในเมืองฟลินต์ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา แต่ไปเติบโตที่เมืองดีทรอยต์

พ่อเป็นผู้อำนวยการดนตรีในโบสถ์เมืองดีทรอยต์ เบตทีเรียนเปียโนที่ “ดีทรอยต์คอนเซอร์เวทอรีออฟมิวสิค” ตอนอายุ 15 และเริ่มร้องเพลงในปีถัดมา พ่อแม่ไม่สนับสนุนให้เบตทีร้องเพลงเป็นอาชีพ แต่เธอก็แอบหนีไปทดสอบเป็นนักร้องสมัครเล่นในตอนกลางคืน

หลังชนะเลิศจากการแข่งขันร้องเพลงครั้งแรก เธอคิดว่าน่าจะได้รับการยอมรับในวงการดนตรี ก็เริ่มออกแสดงสด แต่อายุยังน้อยเข้าบาร์ไม่ได้ จึงหาวิธีเข้าไปจนได้

เบตทีฝึกร้องตามเสียงโซโลของดิซซี กิลเลสปี และ ชาร์ลี พาร์กเกอร์ สองนักดนตรีที่ร่วมสร้างสรรค์ดนตรี “บีบ็อพ” จนกระทั่งต่อมาได้ร่วมร้องเพลงกับดิซซีและชาร์ลีที่ไปเยือนเมืองดีทรอยต์

ช่วงปี 1948-51 เธอเข้าไปร้องเพลงอยู่ในวงไลอะเนิล แฮมพ์ตัน เป็น “บิ๊กแบนด์” ที่มีชื่อเสียงในสไตล์ดนตรี “สวิง” โดยเธอใช้ชื่อว่า “ลอร์เรน คาร์เตอร์” แกรดี้ ภรรยาของไลอะเนิล แฮมพ์ตัน เห็นว่าเธอมีความหลงใหลและคล่องตัวในแนวดนตรี “บีบ็อพ” จึงตั้งชื่อเล่นเธอว่า “เบตที บีบ็อพ” (Betty Bebop) ต่อมา เธอจึงใช้ชื่อว่า “เบตที คาร์เตอร์”

จริงอยู่ แม้เบตที คาร์เตอร์ ร้องเพลงในวงไลอะเนิล แฮมพ์ตัน หลายปี แต่บทบาทในการร้องเพลงก็ไม่โดดเด่น เนื่องจากหัวหน้าไม่ค่อยปลื้มกับการร้องของเบตทีนัก เพราะดนตรีกับแนวการร้องไม่ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน

หลังเบตทีออกจากวงไลอะเนิล แฮมพ์ตัน เธอมุ่งสู่นครนิวยอร์ก มีโอกาสได้ร้องอัดแผ่นเสียงกับเรย์ ไบรอันต์ ทรีโอ อัลบั้ม “Meet Betty Carter and Ray Bryant” สลับกับเรย์ คนละ 6 เพลง กับแผ่นเสียง “โคลัมเบีย” ในปี 1955 ผลทำให้เบตทีเป็นที่รู้จักมากขึ้น จนได้ไปร้องที่ “อพอลโล เธียเตอร์”

ปีถัดมาร้องอัดอัลบั้ม “Social Call” กับ “บิ๊กแบนด์” นำโดย จีจี ไครซ์ อีก 2 ปีจากนั้น เบตทีออกเดี่ยวครั้งแรก อัลบั้ม “Out There with Betty Carter”

ไมล์ส เดวิส ได้แนะนำให้เบตทีได้ร่วมงานกับเรย์ ชาร์ลส์ ออกตระเวนแสดงกับเรย์ ชาร์ลส์ และได้ร่วมกันออกอัลบั้ม “Ray Charles and Betty Carter” กับ “เอบีซี พาราเมาน์ท” ในปี 1961 เพลง Baby, It’s Cold Out side ในอัลบั้มนี้ได้ขึ้นอยู่ในอันดับเพลง “อาร์แอนด์บี” ส่งผลให้เบตทีเป็นที่รู้จักของแฟนเพลงป๊อป

สองปีต่อมา เบตที คาร์เตอร์ ได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตกับซันนี รอลลินส์ ที่ญี่ปุ่น

ในช่วงที่เบตทีออกอัลบั้ม “What Happened to love?” ผมได้ชมการแสดงสดของเธอที่ “โจนาธานสวิฟต์” แจ๊สคลับดังย่านฮาร์วาร์ดสแควร์ เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเสตส์ สหรัฐอเมริกา ตอนเที่ยงคืนวันที่ 19 สิงหาคม 1982 ได้ฟังเพลง My Favorite Things; Body And Soul ที่เบตทีร้อง “สแกต” เต็ม ๆ สะใจ ประทับใจไม่รู้ลืม

นอกจากรางวัล “แกรมมี่” สาขา “Best Jazz Vocal Performance” จากอัลบั้ม “Look What I Got!” แล้ว “National Medal of Arts” ที่ได้รับจากมือประธานาธิบดี บิลล์ คลินตัน เป็นรางวัลที่เบตที คาร์เตอร์ ภูมิใจที่สุด

เบตที คาร์เตอร์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในตับในเขตบรุคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา วันที่ 26 กันยายน 1998

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when All Music Spoken by Pratak Faisupagarn posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share