BrandThink Cinema

BrandThink Cinema Community for the better cinema. 🎬🎥

10/08/2025

ถามว่าพี่แดนจะไปไหน…
ตัวอย่างภาพยนตร์ ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’
ชวนทุกคนมาเตรียมตัวให้พร้อม แล้วร่วมดำดิ่งสู่ความลี้ลับของผืนป่าต้องห้าม
พร้อมกันใน Netflix 11 สิงหาคมนี้!!
นำแสดงโดย ฉันทวิชช์ ธนะเสวี, ณัฎฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์,
อานนท์ สายแสงจันทร์ และยะสะกะ ไชยสร
#ได้เวลาเอาคืน
#ฮาลาบาลา #ป่าจิตหลุด
#ณิชา #ณิชาณัฏฐณิชา
#เต๋อฉันทวิชช์ #ปูแบล็คเฮด

Red Life บุกจาการ์ตา ใน Thai Festival ประเทศอินโดนีเซียRed Life ภาพยนตร์เรื่องแรกของ BrandThink Cinema ซึ่งออกฉายในปี 25...
09/08/2025

Red Life บุกจาการ์ตา ใน Thai Festival ประเทศอินโดนีเซีย
Red Life ภาพยนตร์เรื่องแรกของ BrandThink Cinema ซึ่งออกฉายในปี 2566 ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 6 ภาพยนตร์ไทยที่จะไปฉายในงานเทศกาล Thai Festival ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9-10 สิงหาคม 2565 ที่ CGV Cinemas ห้างสรรพสินค้า Central Park โดยอยู่โปรแกรม Thai Film Screening ร่วมกับภาพยนตร์ไทยอีก 5 เรื่อง ได้แก่ "ปีนเกลียว", "เหมรย", "The Stone พระแท้ คนเก๊", "Jenny, I Love You", และ "วัยหนุ่ม" ซึ่งภาพยนตร์ทั้งหมดคัดเลือกโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม และ THACCA โดยจะมี สุพิชชา สังขจินดา และ กานต์พิชชา พงษ์พานิชย์ สองนักแสดงนำจาก Red Life ไปร่วมงานนี้ด้วย
ใครที่อยู่ที่จาการ์ตาแวะเวียนไปให้กำลังใจหนังไทยของเรากันได้
#หนังรักโลกไม่สวย #เรื่องรักโลกไม่สวย

‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ ภาพยนตร์แนวแอ็กชัน-สยองขวัญจากสตูดิโอ BrandThink Cinema กำลังจะกลับมาสตรีมมิงในจอ Netflix วันที่ 1...
09/08/2025

‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ ภาพยนตร์แนวแอ็กชัน-สยองขวัญจากสตูดิโอ BrandThink Cinema กำลังจะกลับมาสตรีมมิงในจอ Netflix วันที่ 11 สิงหาคมนี้ เราจึงอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักความเป็นมาก่อนจะไปชมภาพยนตร์แบบเต็มๆ กัน!
ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด เล่าเรื่องราวของสารวัตรแดน ตำรวจมือปราบฉายา ‘แดนร้อยศพ’ ได้รับโอกาสล้างมลทินและกอบกู้ชื่อเสียง แลกกับการกลับเข้าประจำการที่กรุงเทพฯ แต่ภารกิจครั้งนี้อาจเป็นการก้าวสู่ขุมนรก เมื่อเป้าหมายคือ ‘ตั๊บตาไฟ’ หัวหน้าแก๊งวิปริตที่แหกคุกและหลบหนีเข้าสู่ป่า ‘ฮาลาบาลา’ ดินแดนต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้าเหยียบย่าง
ที่น่าสนใจคือ ป่าฮาลาบาลา คือป่าที่มีอยู่จริงในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างของประเทศ เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่เกิดจากการรวมผืนป่าสองแห่งคือ ‘ป่าฮาลา’ (อ.เบตง จ.ยะลา และ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส) และ ‘ป่าบาลา’ (อ.แว้ง และ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส) ด้วยความอุดมสมบูรณ์และกว้างใหญ่ไพศาล ทำให้ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวลี้ลับที่ถูกนำมาเป็นฉากหลังสำคัญของเรื่อง โดย ‘เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์’ ผู้กำกับกล่าวว่า ฮาลาบาลา น่าสนใจตรงที่มันเป็นป่าที่มีเรื่องลึกลับเต็มไปหมด หนึ่งในนั้นคือเรื่องของ ‘เผ่ากินคน’
ตำนานเล่าว่า ป่าฮาลาบาลาเคยเป็นถิ่นของเผ่า ‘บาเตาะ’ ชนเผ่ากินคนที่มีลักษณะพิเศษคือมีหางหรือติ่งเนื้อที่ก้นกบ พวกเขามักล่ามนุษย์ที่หลงทางและชาวบ้านใกล้เคียง แม้บางครั้งจะเป็นการกินโดยไม่จำเป็นต่อการอยู่รอด บ้างก็ว่ากันว่าบาเตาะสูญพันธุ์เพราะถูกล่อลวงและเผาทั้งเป็น จนตำนานนี้เป็นนิทานเรื่องเล่าขู่เด็กซน แต่ผู้กำกับอย่างเอกสิทธิ์ มองว่าเรื่องเล่านี้น่าสนใจจึงได้นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้
ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด นำทีมนักแสดงโดย ‘เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี’ ในบท ‘สารวัตรแดน’ ตำรวจหนุ่มไฟแรง ผู้ยึดมั่นในความถูกต้องและทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการกวาดล้าง ‘ขยะ’ ในสังคม ร่วมด้วย ‘ณิชา-ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์’ รับบท ‘วิ’ ภรรยาของสารวัตรแดน หญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์และหวังจะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวที่เรียบง่ายและอบอุ่น แต่ชีวิตกลับพลิกผัน เมื่อเธอต้องย้ายตามสามีไปยังฮาลาบาลา
(ปู แบล็คเฮด) ‘อานนท์ สายแสงจันทร์’ รับบท ‘ตั๊บตาไฟ’ หัวหน้าแก๊งตาไฟ อาชญากรที่กำลังถูกสารวัตรแดนไล่ล่า และเลือกหลบหนีเข้าสู่ป่าฮาลาบาลา สถานที่ที่ปลุกจิตวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังความโหดเหี้ยม และความเชื่อว่า ปีศาจคือสิ่งเดียวที่ไม่เคยทรยศเขา และ ‘ยะสะกะ ไชยสร’ รับบท ‘พรานดำ’ นายพรานท้องถิ่นที่ดูเหมือนคนวิกลจริต แต่เมื่อเหล้าเข้าปาก เขาก็กลับกลายเป็นอีกคน มีสติ พูดรู้เรื่อง และกลายเป็นผู้นำทางเพียงหนึ่งเดียวที่ทีมของสารวัตรแดนพึ่งพาได้ในการเข้าไปทำภารกิจในป่าต้องห้ามแห่งนี้
ภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกได้ว่าจัดหนักทั้งโปรดักชันและงานแสดง โดยเฉพาะการพลิกบทบาทครั้งใหญ่ของ เต๋อ ฉันทวิชช์ ที่ทิ้งภาพจำเดิมๆ ไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นตัวละครที่เข้มข้น ดุดัน และเต็มไปด้วยแรงกดดันทางอารมณ์ทุกวินาทีบนจอ
และสำหรับเวอร์ชันที่ทุกคนจะได้รับชมทาง Netflix คือเวอร์ชัน Survival Cut เป็นเวอร์ชันที่ถูกฉายในต่างประเทศ เพิ่มความเข้มข้นให้ทุกฉากเอาตัวรอดเดือดกว่าเดิม ใส่จังหวะโหดที่กดดันแทบหายใจไม่ทั่วท้อง และขยี้บรรยากาศลุ้นระทึกจนคนดูแทบจิกเบาะไม่ปล่อย เรียกได้ว่านี่คือเวอร์ชันที่ทั้งสมจริงและโหดสะใจที่สุดของเรื่องนี้
เตรียมตัวให้พร้อม แล้วร่วมดำดิ่งสู่ความลี้ลับของผืนป่าต้องห้ามใน ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ 11 สิงหาคมนี้ ที่ Netflix
#ฮาลาบาลา #ป่าจิตหลุด

‘ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost)’ ภาพยนตร์ไทยที่สร้างกระแสฮือฮาในระดับนานาชาติ โดยเป็นผลงานการกำกับขนาดยาวเรื่องแรกของ ‘รัช...
08/08/2025

‘ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost)’ ภาพยนตร์ไทยที่สร้างกระแสฮือฮาในระดับนานาชาติ โดยเป็นผลงานการกำกับขนาดยาวเรื่องแรกของ ‘รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค’ จากค่าย 185 Films ล่าสุดได้เปิดตัวโปสเตอร์และเทรลเลอร์เวอร์ชันไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมเข้าฉายให้คนไทยได้ดูพร้อมกัน 28 สิงหาคมนี้
ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวของ ‘มาร์ช’ ชายหนุ่มที่จมอยู่กับความเศร้าหลังจากที่ ‘แนท’ ภรรยาของเขาเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศ แต่ไม่นาน เขากลับพบว่าวิญญาณของแนทยังไม่ไปไหน แต่เธอกลายเป็นผีที่สิงอยู่ในเครื่องดูดฝุ่น แม้ทั้งคู่จะดีใจที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง แต่ความรักครั้งนี้ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ซึ่งไม่ได้เกิดจากโลกหลังความตาย หากแต่เป็นความวุ่นวายในโลกของชีวิตจริงที่เราทุกคนคุ้นเคย
นำทีมนักแสดงโดย ‘ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่’ ที่มารับบทผีสาวสุดน่ารักผู้สิงอยู่ในเครื่องดูดฝุ่น และนักแสดงมากฝีมือร่วมสมทบ อย่าง อุ๋ม-อาภาศิริ นิติพน, โมสต์-วิศรุต หิมรัตน์, อุ้ม-วัลลภ รุ่งกำจัด และ บลาบูม-วิศรุต หอมหวน
‘ผีใช้ได้ค่ะ’ ไม่ได้เป็นเพียงหนังรักเหนือธรรมชาติระหว่างคนกับผี แต่ยังสะท้อนความสัมพันธ์ ความผูกพัน และความยากลำบากในการประคับประคองความรักท่ามกลางแรงกดดันของโลกใบนี้ เตรียมพบกับเรื่องราวอบอุ่น ขำปนเศร้า ที่ทั้งแปลกใหม่และกินใจ BrandThink Cinema จึงอยากชวนทุกคนไปดูหนังไทยที่ไปไกลถึงคานส์ไปพร้อมกัน 28 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
#ผีใช้ได้ค่ะ #ใหม่ดาวิกา

ในวาระที่ ‘Dead Poets Society’ ภาพยนตร์ในปี 1989 ของ ปีเตอร์ เวียร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวออสเตรเลียนหวนกลับมาฉายให้ชมทาง N...
08/08/2025

ในวาระที่ ‘Dead Poets Society’ ภาพยนตร์ในปี 1989 ของ ปีเตอร์ เวียร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวออสเตรเลียนหวนกลับมาฉายให้ชมทาง Netflix กันอีกครั้งอีกทั้งหนังเองเพิ่งมีอายุครบ 36 ปีไปหมาดๆ (ออกฉายเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 1989) จึงสมควรอย่างยิ่งที่เราจะรำลึกถึงหนังเรื่องนี้กันอีกสักหนในฐานะหนังที่สร้าง ‘แรงบันดาลใจ’ ให้กับผู้ชมมาตลอดเวลาเกือบสี่ทศวรรษ
เหตุที่ต้องเอาคำว่าแรงบันดาลใจไปขังไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศนั้นก็เพราะว่า ‘Dead Poets Society’ ได้สร้างแรงกระเพื่อมสำคัญให้กับนักดูหนังและสังคมในวงกว้าง ด้วยการเป็นหนังที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ชมในเวลานั้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นวัยเรียน ให้ออกค้นหาความต้องการภายในของตัวเองแล้วเดินทางตามเสียงเรียกของหัวใจนั้น จนคำว่า ‘แรงบันดาลใจ’ แทบจะกลายเป็นชื่อเล่นของหนังเรื่องนี้ไปโดยปริยาย นั่นรวมถึงคำสวยๆ ที่อยู่ในหนังไม่ว่าจะเป็น ‘Carpe Diem’ หรือ ‘Sieze the Day’ (ที่ในบ้านเราคือวลีที่ว่า ‘ฉกฉวยวันเวลาเอาไว้’) และ ‘O Captain! My Captain!’ ก็ถูกนำไปใช้กันเอิกเกริก เป็นคำที่อยู่บนเสื้อยืด บ้างก็บนแก้วกาแฟหรือกระเป๋าผ้า แต่โดยรวมแล้วสิ่งที่หนังนำเสนอได้กลายเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวในยุคนั้น เหตุนั้นเองที่ทำให้ ‘Dead Poets Society’ มีสถานะเป็นหนังแห่งยุคสมัยที่เป็นภาพสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของวัยรุ่นในยุค 90s ไปในที่สุด
กระนั้นก็ตาม ความนิยมดังกล่าวดูจะสวนทางกับนักวิจารณ์หลายคนที่มองว่าหนังเรื่องนี้ถูกทำขึ้นอย่างผิวเผิน โรเจอร์ อีเบิร์ต เป็นคนหนึ่งที่วิจารณ์ ‘Dead Poets Society’ ในทางที่ไม่นิยมชมชอบนัก เขาพูดทำนองว่าหนังเรื่องนี้นำแนวคิดที่นักคิดนักเขียนและนักธรรมชาติวิทยาในยุคก่อนอย่าง เฮนรี เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง ‘Walden’ สร้างขึ้นมาใช้อย่างตื้นเขิน หรือแม้แต่บทกวีอันยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ 19 ‘O Captain! My Captain!’ ของ วอลต์ วิตแมน (Walt Whitman) ที่อ้างถึงประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น นั้นก็ถูกนำมาใช้เพียงเพื่อขับเน้นตัวละครอย่างครูจอห์น คีตติง (โรบิน วิลเลียมส์) ในฐานะตัวแทนของผู้ใหญ่รุ่นใหม่โดยหาได้เอาแก่นแกนของมันมาด้วยไม่ แต่กลับเพิกเฉยที่จะให้ความลึกแก่ตัวละคร โดยเฉพาะตัวละครที่เป็นคู่ขัดแย้งที่ดูเหมือนว่าในหนังจะโผล่มาเพื่อทำหน้าที่เดียวคือเป็นที่รังเกียจ
รวมๆ ก็คือขณะที่คนหนุ่มสาวมอง ‘Dead Poets Society’ เป็นดังดวงดาวนำทางชีวิต นักวิจารณ์กลับสวดยับ แต่สุดท้าย ‘Dead Poets Society’ ก็เข้าชิงอะคาเดมี อะวอร์ดส์ มากถึง 4 สาขา และเป็นสาขาใหญ่ทั้งหมด ได้แก่ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ปีเตอร์ เวียร์), บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (โรบิน วิลเลียมส์) ซึ่งหนังคว้ารางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปครองในที่สุด และเป็นการตบหน้านักวิจารณ์ที่บอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีการเล่าเรื่องที่ตื้นเขิน และจุดเริ่มต้นของการถกเถียงระหว่างคนชอบและไม่ชอบ ‘Dead Poets Society’ ก็ยังคงดำเนินมาถึงวันนี้
โดยย่นย่อ ‘Dead Poets Society’ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนเวลตัน โรงเรียนเตรียมเข้าอุดมศึกษาชายล้วนที่อนุรักษนิยมสุดขั้ว แต่การมาถึงของครูภาษาอังกฤษอินดี้อย่าง จอห์น คีตติง กลับทำให้นักเรียนกลุ่มหนึ่งเกิดแรงบันดาลใจที่จะมองโลกในมุมที่แตกต่างไปจากขนบธรรมเนียมเก่าๆ ที่สืบทอดกันมาช้านาน พวกเขารวมตัวกันก่อตั้งสมาคมกวีไร้ชีพขึ้นมาอย่างลับๆ ค่ำมืดดึกดื่นก็ออกไปรวมตัวกันเขียนและอ่านบทกวีในถ้ำ ปฏิเสธการทำอะไรตามๆ กันโดยไม่ตั้งคำถามและทำตามเสียงเรียกร้องในจิตใจของตัวเอง ด้วยการยึดหลักว่าจงฉกฉวยช่วงวันเวลานี้ไว้ เพราะเมื่อพ้นจากตอนนี้ไปเราจะทำมันไม่ได้แล้ว ก่อนที่หนึ่งในกลุ่มนักเรียนอินดี้จะพบกับโศกนาฏกรรมและนำมาซึ่งการอัปเปหิครูอินดี้ออกจากโรงเรียน
ว่ากันตามตรง การเล่าเรื่องใน ‘Dead Poets Society’ มันก็ผิวเผินตามที่นักวิจารณ์ว่าไว้จริงๆ ในหลายฉาก การกระทำบางอย่างของตัวละครก็ดูไม่สมเหตุสมผลและยังมีท่าที ‘เล่นใหญ่’ ในบทครูคีตติงอยู่ตลอดเวลาในหลายๆ ซีน ไม่ว่าจะเป็นการชวนนักเรียนขึ้นมายืนบนโต๊ะเพื่อสอนเรื่องการมองโลกในมุมที่ต่างออกไป การเชื้อเชิญให้นักเรียนฉีกตำราเพื่อบอกว่าเราไม่อาจวัดคุณค่าของกวีในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ หลักใหญ่ใจความก็คือหนังมีความพยายามปั้นซีนและบทพูดอันน่าจดจำอยู่ตลอดเวลาจนกลบความจริงจังของเนื้อหาไป
แต่ว่ากันอย่างซื่อตรง (อีกครั้ง) ก็เพราะความตั้งอกตั้งใจป่าวประกาศใหญ่โตของ ‘Dead Poets Society’ นี่มิใช่หรือที่ทำให้วัยรุ่นในขณะนั้นซึ่งน่าจะยังผ่านโลกไม่มากพอได้เข้าใจว่า ที่เราควรทำคือหาหนทางในชีวิตด้วยการฟังเสียงของตัวเองมากกว่าการยอมรับโดยไม่ตั้งคำถาม เพียงแค่เราต้องแยกให้ออกว่าการขึ้นไปยืนบนโต๊ะหรือฉีกตำราเรียน หรือแม้แต่พูดพร่ำว่า “คาร์เป เดียม” ซ้ำๆ ไม่ได้ทำให้เราเท่หรือเป็นปัจเจกไปกว่าใคร ที่จริงหนังก็พูดเรื่องความเหมาะควรในการปรับใช้ไปตามสถานการณ์ในซีนที่ครูคีตติงสอนศิษย์ของเขาว่า “แก่นแท้ชีวิตจะต้องรู้กาลเทศะ ตอนไหนควรกล้า ตอนไหนควรระวัง คนฉลาดจะเลือกใช้ถูก …การที่เธอถูกไล่ออกมันไม่ได้ทำให้ดูกล้าแต่มันดูโง่ เพราะเธอจะสูญเสียโอกาสทอง เช่นเสียโอกาสที่จะได้เรียนอยู่กับครูไงเล่า ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน” เพียงแต่มันยาวและไม่งดงามเท่า ‘คาร์เป เดียม’ หรือ ‘O Captain! My Captain!’ นั่นเอง
ถึงวันนี้ 36 ปีผ่านไป เด็กอินดี้ในเวลานั้นได้กลายมาเป็นคน Gen X ผมหงอกที่กำลังโรยแรง สายตายาว และกำลังปรับตัวให้รู้จักกับโลกใบใหม่อยู่ทุกวี่วัน เอไอที่หลอกเราให้เชื่อนั่นนี่, เสิร์ชเอนจินที่มีชื่อว่าติ๊กต็อก, การปรับตัวกับคนรุ่นใหม่ทั้งในครอบครัวและสังคมคนทำงาน พ่อแม่ที่กำลังแก่เฒ่าและต้องการเรามากเป็นพิเศษ อดีตเด็กอินดี้อัลเทอร์เนทีฟกลุ่มนี้ได้กลายมาเป็นกำลังสำคัญของทั้งครอบครัว ในฐานะคนที่อยู่ในสถานะถูกบีบอัดเป็นแซนด์วิชจากคนรุ่นก่อนและหลัง เป็นทั้งกำลังสำคัญขององค์กรที่ยังต้องพึ่งพาประสบการณ์ ซึ่งอีกไม่นานก็อาจไม่จำเป็นและต้องเกษียณ พวกเขาคือคนที่เคยตามหาตัวตน เคยค้นหาความฝันผ่านการมานิเฟสต์ที่เล่นใหญ่เกินความจำเป็นแบบใน ‘Dead Poets Society’ มาแล้วแทบทั้งสิ้น การย้อนกลับไปพิเคราะห์หนังของ ปีเตอร์ เวียร์ อีกครั้งจึงเป็นการหวนระลึกว่าครั้งหนึ่งเราอาจจะเคยทำอะไรที่โง่เขลามาก่อน แต่เพราะความไร้เดียงสาเช่นนั้นเองที่ทำให้เราเป็นเรา เป็นคนที่ผ่านชั่วๆ ดีๆ มาจนวันนี้และเรายังอยู่
สำหรับคนรุ่นใหม่ ‘Dead Poets Society’ จึงเป็นเหมือนคัมภีร์เก่าปรัมปราที่ว่าด้วยการแสวงหาตัวตนของคนหนุ่มสาว มันมีคุณค่าในฐานะสารตั้งต้นของการหานิยามของชีวิต ทว่าก็สมควรใช้หรือดูอย่างระมัดระวัง เพราะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของการมีชีวิตอยู่ การเชื่อแบบสุดลิ่มทิ่มประตูจึงเป็นสิ่งไม่พึงกระทำ ไม่ว่าจะกับ ‘Dead Poets Society’ หรือหนังเรื่องอื่นใดก็ตาม

‘5th Round สังเวียนมวยรอง’ ภาพยนตร์สารคดีเรื่องแรกของ BrandThink Cinema ผลงานการกำกับเรื่องแรกของ ‘ระวี พิริยะพงษ์ศักดิ์...
07/08/2025

‘5th Round สังเวียนมวยรอง’ ภาพยนตร์สารคดีเรื่องแรกของ BrandThink Cinema ผลงานการกำกับเรื่องแรกของ ‘ระวี พิริยะพงษ์ศักดิ์’ เข้าชิงรางวัลสุพรรณหงส์ สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม (Best Documentary Film) ร่วมกับภาพยนตร์เรื่อง ‘รอวัน’ (Hours of Ours) ของ ‘คมน์ธัช ณ พัทลุง’ และ ‘อำนาจ ศรัทธา อนาคต’ (Breaking the Cycle) ของสองผู้กำกับ ‘ธนกฤต ดวงมณีพร’ และ ‘เอกพงษ์ สราญเศรษฐ์’
โดย ‘5th Round สังเวียนมวยรอง’ เป็นภาพยนตร์ที่พาผู้ชมไปสำรวจชีวิตของนักมวยไทย 4 รุ่นได้แก่ ซำเหมา เพชรประกายจันทร์ เด็กชายวัย 7 ขวบ ที่หอบความฝันมาฟาดฟันกับคู่ชกรุ่นเดียวกัน, พลายเงิน ศิษย์ศรพิชัย ดาวรุ่งเลือดใหม่ที่ไขว่คว้าหาทางโด่งดังบนเวทีราชดำเนิน, เพชรดำ เพชรยินดี และ ช่อฟ้า พ. แสงเทียนน้อย นักมวยหนุ่มวัยฉกาจที่กำลังจะทำศึกสำคัญ, และ วันฉลอง พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม นักมวยรุ่นใหญ่ ที่กำลังดิ้นรนหาหนทางอยู่ในวงการมวยต่อไป โดยสะท้อนภาพของวงการมวยไทยและการดิ้นรนต่อสู้ของคนที่ไม่แต้มต่อใดนอกจากขึ้นชกให้รู้แล้วรู้รอดไป
รางวัลสุพรรณหงส์ จัดโดย สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ และงานครั้งที่ 33 นี้จะประกาศผลในวันที่ 14 กันยายนนี้ ณ วัน แบงค็อก ฟอรัม
BrandThink Cinema ขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทุกท่าน
#สุพรรณหงส์ครั้งที่33 #รางวัลสุพรรณหงส์
#สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ

‘เวนส์เดย์ แอดดัมส์’ กลับมาแล้ว!  หากใครติดใจและคิดถึงบุคลิกเย็นชา พูดจาขวานผาซาก ไม่แคร์โลกของ ‘เวนส์เดย์’ พี่สาวคนโตจา...
06/08/2025

‘เวนส์เดย์ แอดดัมส์’ กลับมาแล้ว! หากใครติดใจและคิดถึงบุคลิกเย็นชา พูดจาขวานผาซาก ไม่แคร์โลกของ ‘เวนส์เดย์’ พี่สาวคนโตจากบ้านตระกูลแอดดัมส์ ที่หลงใหลเรื่องสยองขวัญและความตาย ประกอบกับความเป็นสาวฉลาดจนสามารถไขปริศนาคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในโรงเรียน Nevermore Academy จนสำเร็จในซีซันแรกกันมาแล้ว
วันนี้เธอและครอบครัวแอดดัมส์สุดพิลึกพิลั่น กลับมาทำให้ผู้ชมขนหัวลุกกันอีกครั้งในซีรีส์ ‘Wednesday’ ซีซัน 2 ที่เล่าถึงการกลับมาเยือนโรงเรียน Nevermore Academy ของเวนส์เดย์ เพื่อไขปริศนาเหนือธรรมชาติ และช่วยเหลืออีนิดจากความตาย อันเป็นภาพที่เวนส์เดย์เห็นในนิมิต รวมถึงการเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนโดยเฉพาะกับคนในครอบครัว
อย่างที่ทราบกันดีกว่าซีรีส์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากตัวละคร ‘Wednesday’ หนึ่งในสมาชิกของ ‘The Adams Family’ สร้างโดย ‘ชาร์ลส์ แอดดัมส์’ (Charles Addams) ที่ต้องการบอกเล่าชีวิตครอบครัวชนชั้นสูงที่หลงใหลความตาย มีความประหลาด แปลกแยกไม่เหมือนใคร ในกลิ่นอายแบบโกธิกเพื่อเสียดสีและตั้งคำถามกับขนบความปกติหรือบรรทัดฐานสังคมอเมริกัน นับตั้งแต่หลังสงครามยุค 50s เป็นต้นมา
เรื่องราวของครอบครัวพิลึกพิลั่นนี้ปรากฏสู่สายตาครั้งแรกในฐานะการ์ตูนสามช่องบนนิตยสาร ‘The Newyorker’ ในปี 1938 ก่อนที่จะถูกพัฒนาให้สมาชิกในบ้านนี้มีชื่อเรียกเป็นของตนเองเพื่อเข้าสู่การเป็นซีรีส์ซิตคอมภาพขาวดำบนจอทีวีในปี 1964 ก่อนถูกนำเสนอบนภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่อปี 1991 และ 1993 ที่ทำให้บทบาทของเวนส์เดย์ แสดงโดย ‘คริสตินา ริชชี’ (Christina Ricci) และครอบครัวแอดดัมส์ ในภาพจำที่ดาร์ก ลึกลับ โหดแต่อบอุ่นนี้กลายมาเป็นไอคอนิกของกลุ่มคนชายขอบและคนแปลกแยกไปทั่วโลก
The Adams Family ยังมีการดัดแปลงเป็นเวอร์ชันอื่นอีกมากมาย กระทั่งการมาถึงของ ‘Wednesday’ ที่เน้นสานต่อเรื่องราวของครอบครัวนี้ในแบบฉบับซีรีส์ปี 2022 ของ Netfilx โดยมุ่งไปเล่าเรื่องราวตัวละครเวนส์เดย์เป็นหลัก ซึ่งได้ ‘ทิม เบอร์ตัน’ (Tim Burton) ผู้กำกับที่มีโทนมืดหม่นลึกลับแฟนตาซีเป็นลายเซ็นของตัวเองมากำกับ ควบด้วยการเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับซีรีส์เรื่องนี้ ส่งผลให้ ‘The Adams Family’ ที่แม้จะถูกนำเสนอผ่านตัวละครเวนส์เดย์ก็จริง แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่จะถูกบอกเล่าในฐานะการเป็นครอบครัวละตินอเมริกัน อันเป็นเชื้อชาติที่ตรงกับต้นฉบับ และบอกเล่าผ่านนักแสดงที่มีเชื้อสายลาตินแทบจะทุกคนโดยเฉพาะนักแสดงที่รับบทเป็นเวนส์เดย์ ในขณะที่เวอร์ชันก่อนหน้านี้ทุกฉบับเล่าด้วยเลนส์ครอบครัวอเมริกันมาโดยตลอด
นอกจากนี้ซีรีส์เรื่องนี้ยังไม่ทิ้งประเด็นการเป็นคนนอก อันเป็นแก่นหลักสำคัญแต่ขยายประเด็นนี้ให้ไกลขึ้น ลึกซึ้งและมีมิติมากขึ้น ด้วยการสร้างโรงเรียน Nevermore Academy ให้เป็นเสมือนพื้นที่ปลอดภัยและพื้นที่พัฒนาตนเองของคนนอกคอก (outside) ที่มความสามารถเหนือธรรมชาติ หรือแปลกประหลาดผิดแผกไปจากสังคมมาเป็นฉากหลัง โดยชื่อโรงเรียนได้แรงบันดาลใจมาจากบทกวี ‘The Raven’ ของ ‘Edgar Allan Poe’ รวมถึงยังดึงกลิ่นอายโกธิกเข้ามาด้วย และเพิ่มรสชาติด้วยการใส่ประเด็นร่วมสมัย เช่น การพูดถึงพื้นที่ของคนนอกทุกรูปแบบ การยอมรับตนเอง แรงกดดันจากครอบครัว เป็นต้น
และที่สำคัญคือ การสร้างตัวละครเวนส์เดย์ ที่ไม่ยึดโยงกับความสัมพันธ์เชิงโรแมนติก กลายเป็นสิ่งที่สร้างความพึงพอใจให้กับนักแสดงที่รับบทนี้ รวมถึงผู้ชมเองที่คุ้นเคยกับครอบครัวแอดดัมส์กันอยู่แล้ว ก็ยังให้ความเห็นว่าตัวละครนี้ไม่น่าจะมีวี่แววที่จะสนใจเรื่องนี้เสียเลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่า การตัดเรื่องความรักออกไป ส่งให้ Wednesday เดินทางเข้าสู่การเป็นซีรีส์ยุคใหม่ ที่ตัวละครเอกที่เป็นผู้หญิง สามารถยึดความหลงใหลของตนเองมาเป็นเป้าหมายหลักในชีวิตได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องฝักใฝ่เรื่องรักใคร่ นอกจากนี้บทความตามสื่อต่างๆ ก็ยังยกให้ตัวละครนี้คือ ‘Anti-Romance Feminist Icon’ แห่งยุค และยังเปิดพื้นที่ให้ผู้ชมและนักวิจารณ์ได้สำรวจตัวละครนี้ในฐานะ ‘Aromantic Representation’ บนสื่อหลัก รวมถึงอัตลักษณ์อื่นได้อย่างเปิดกว้างอีกด้วย
นั่นยิ่งทำให้ Wednesday มีเนื้อหาที่ร่วมสมัยเข้าถึงผู้ชมได้ง่าย และพาให้ซีซันแรกมียอดการเข้าชมในสัปดาห์แรกสูงกว่า 341 ล้านชั่วโมง นับเป็นปรากฏการณ์ซีรีส์ภาษาอังกฤษของ Netflix ที่มีชั่วโมงการชมภายในหนึ่งสัปดาห์สูงสุดของ Netflix
สำหรับ Wednesday ซีซัน 2 นี้นอกจากจะได้เห็นนักแสดงจากซีซันแรกเข้ามารับบทบาทเดิมในซีซันนี้ เรายังได้เห็นตัวละครใหม่ๆ เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อเรื่องราว ซึ่งรับบทโดย Steve Buscemi, Joanna Lumley และ Lady Gaga นอกจากนี้ซีซันนี้ยังเผยมุมมองครอบครัวแอดดัมส์ที่ลึกขึ้น โดยมุ่งเน้นสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกของมอร์ติเซียและเวนส์เดย์ รวมถึงมอร์ติเซียและเฮสเตอร์ ฟรัมป์ คุณแม่และคุณยายประจำตระกูลแอดดัมส์ที่กุมความลับสำคัญ
และที่ขาดไม่ได้คือการสำรวจความซับซ้อนของตัวละครเวนส์เดย์ ที่แม้จะมีจุดยืนและเป็นตัวของตัวเองแบบไม่เกรงกลัวสายตาใคร แต่เมื่อก้าวเข้าสู่สังคมใหม่ที่ต้องเริ่มอยู่ห่างไกลออกจากครอบครัวแอดดัมส์ นับว่าเป็นความสนุกที่เราจะได้ร่วมชมพัฒนาการของตัวละครนี้ว่าจะทิ้งความพิศวงและน่าสะพรึงกลัวอะไรไว้อีกบ้างในซีซันสองนี้
Wednesday ซีซัน 2 จะแบ่งออกมาเป็น 2 พาร์ต พาร์ตละ 4 ตอน พาร์ตแรกสตรีมวันที่ 6 สิงหาคมนี้ ส่วนพาร์ตที่ 2 รับชมในวันที่ 3 กันยายนนี้ ทาง Netflix


All Quiet on the Western Front เมื่อชาตินิยมครอบงำคนหนุ่มสาว จุดจบคือร่างอันว่างเปล่าในสนามรบในยามที่สังคมถูกปลุกเร้าด้ว...
01/08/2025

All Quiet on the Western Front เมื่อชาตินิยมครอบงำคนหนุ่มสาว จุดจบคือร่างอันว่างเปล่าในสนามรบ
ในยามที่สังคมถูกปลุกเร้าด้วยวาทกรรมความรักชาติ จากเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากอารมณ์ของผู้คนจะพัดพากันไปตามกระแสต่างๆ นานาตามสถานการณ์ ความรักในบ้านเกิดเมืองนอนไม่ใช่เรื่องผิดและเป็นเรื่องที่เราควรยกย่องด้วยซ้ำ แต่ในภาวะเปราะบางเช่นนี้ หลายครั้งเรามักปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลและความถูกต้อง จนหลงลืมไปว่าปลายทางของ ‘สงคราม’ นั้นแท้จริงคือความสูญเสีย
ภาพยนตร์เรื่อง ‘All Quiet on the Western Front’ (2022) คือหนึ่งในผลงานที่ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งความสูญเสียของสงคราม ผ่านมุมมองของคนหนุ่มสาวผู้รักชาติที่ถูกปลุกปั่นโดยผู้นำที่ใช้อุดมการณ์ชาตินิยมเป็นเครื่องมือ ทำให้พวกเขาเชื่อมั่นว่าสงครามคือเวทีของวีรบุรุษและความกล้าหาญ จนกระทั่งได้ค้นพบด้วยตนเองว่าความจริงนั้นโหดร้ายกว่าที่จินตนาการไว้ และจบลงด้วยการทิ้งชีวิตไว้ ณ ด่านหน้าของสมรภูมิรบ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากวรรณกรรมสุดคลาสสิกของ เอริช มาเรีย เรอมาร์ก (Erich Maria Remarque) นักเขียนชาวเยอรมัน ซึ่งเคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์และคว้ารางวัลออสการ์มาแล้วในปี 1930 และในเวอร์ชันปี 2022 ของผู้กำกับ เอ็ดเวิร์ด เบอร์เกอร์ (Edward Berger) ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ซ้ำรอยด้วยการกวาดรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมไปครองอีกครั้ง
ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 1 นำเสนอแง่มุมน่าสนใจเกี่ยวกับแนวคิดชาตินิยมที่ถูกปลูกฝังในจักรวรรดิเยอรมันมาอย่างยาวนาน เมื่อ พอล บอยเมอร์ (Paul Bäumer) ตัวเอกของเรื่อง หนุ่มเยอรมันวัย 17 ปี หลังจากที่เขาได้ฟังผู้นำประเทศกล่าวสุนทรพจน์ปลุกใจ เขาก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะสมัครเข้าร่วมกองทัพในปี 1917 ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะสร้างเกียรติยศให้มาตุภูมิและกลับบ้านในฐานะวีรบุรุษ แต่ภาพฝันอันสวยหรูก็พังทลายลงในทันทีที่พวกเขาถูกส่งไปยังแนวรบด้านตะวันตกในฝรั่งเศส
เราจะเห็นแววตาเต็มด้วยความตื่นเต้นของบรรดาเด็กหนุ่มรุ่นราว 15-17 ปี ที่กำลังต่อแถววัดตัว รอรับเครื่องแบบและอาวุธด้วยความภาคภูมิใจว่าจะได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ แต่หารู้ไม่ว่าเครื่องแบบเหล่านั้นไม่ใช่เครื่องแบบสั่งตัดใหม่ หากแต่เป็นชุดที่ได้เคยเปื้อนเลอะเปรอะโคลน ซับหยาดเหงื่อและคราบเลือดของศพทหารรุ่นก่อนหน้า ก่อนจะถูกส่งต่อให้ ‘วีรบุรุษ’ รุ่นต่อมาใส่ไปตายในสนามรบ
ทันทีที่มุ่งหน้าสู่แนวรบด้านตะวันตก (Western Front) ภาพฝันทั้งหมดก็พังทลาย จากเด็กหนุ่มผู้มีแววตาสดใส พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันน่าสะพรึงของสงครามสนามเพลาะ ที่ซึ่งความตายอยู่ใกล้แค่คืบ ดิน โคลน เลือด และซากศพ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เสียงนกหวีดโจมตี เสียงปืนกล และเสียงระเบิดที่ดังสนั่น คือเพลงกล่อมที่พวกเขาต้องฟังอยู่ทุกคืนวัน
ภาพยนตร์ได้ติดตามการเดินทางของพอลที่ค่อยๆ สูญเสียความเป็นมนุษย์และเพื่อนพ้องไปทีละคน จนเหลือเพียงสัญชาตญาณการเอาตัวรอดในสมรภูมิที่ไร้ซึ่งความปรานี แม้เขาจะเข้าร่วมสงครามมาสักระยะแล้ว แต่เราจะเห็นความสับสน ไร้เดียงสาของเขาในฉากที่เขาได้สัมผัสกับการฆ่าคนจริงๆ ด้วยการจับมีดเข้าแทงทหารฝรั่งเศสและได้เห็นการตายของศัตรูแบบซึ่งๆ หน้า นั่นคือจุดที่ทำให้เขารู้สึกตัวทันทีว่าการฆ่าคนไม่ใช่เรื่องปกติที่มนุษย์พึงกระทำ
นอกจากหนังจะสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายและความสูญเสียจากสงครามแล้ว หนังยังเสียดสีภาพความแตกต่างของสองบทบาทระหว่างทหารแนวหน้ากับนายพลยศใหญ่ของพวกเขา ที่เป็นคนพร่ำบอกให้ออกไปรบเพื่อชาติ แต่ตัวเองนั่งสั่งการจากหอคอยงาช้าง จิบไวน์หรูหรา และยืนกรานที่จะไม่ให้สงครามสิ้นสุด เพื่อแสดงเกียรติยศของเยอรมนี
แม้ในท้ายที่สุดจะมีการตกลงทำสัญญาสงบศึก แต่กว่าจะยุติการยิงอย่างเป็นทางการก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง ในสัญญายุติการสู้รบบันทึกว่าให้สงครามจบลงในเช้าวันที่ 11 เวลา 11 นาฬิกา ทว่า 6 ชั่วโมงก่อนหน้าสัญญาสงบศึกจะเป็นผล นายพลกลับเรียกเหล่าทหารมารวมตัวกันเพื่อบอกให้พวกเขากลับเข้าสู่สนามรบเพื่อโจมตีอย่างสุดกำลังเป็นครั้งสุดท้าย และเอาชัยชนะในเขตแดนลาตีแยร์มาให้จงได้
สีหน้าและแววตาของพอลในมุมกล้องระยะใกล้บ่งบอกถึงความรู้สึกของเขาและทหารทุกนายได้เป็นอย่างดี ประกายความหวังที่เพิ่งจุดติดได้ถูกนายพลดับลงอย่างเลือดเย็น ทุกคนรู้ดีว่าการกลับเข้าไปในสนามรบนั้นไม่ต่างอะไรจากการเดินไปสู่ความตาย และก็เป็นไปตามคาด ในการรบครั้งสุดท้ายนี้เองที่พอลต้องจบชีวิตลงในฐานะวีรบุรุษ ก่อนที่เสียงแตรแห่งสันติภาพจะดังขึ้นเพียงไม่กี่อึดใจ
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะยุติลงในเดือนพฤศจิกายน 1918 แนวรบด้านตะวันตกที่กลายเป็นสมรภูมิสนามเพลาะแทบไม่ได้รุกคืบไปไหนเลย แม้จะสู้รบกันมายาวนานกว่า 4 ปี มีทหารต้องสังเวยชีวิต ณ ที่แห่งนี้ไปอย่างน้อยสามล้านนาย และบ่อยครั้งที่การสละชีวิตของพวกเขานั้นก็เพื่อช่วงชิงพื้นที่ข้างหน้าเพียงไม่กี่ร้อยเมตร
All Queit on the Western Front อาจมีการตีความใหม่จากเวอร์ชันเดิมไปบ้าง แต่ก็ยังรักษาไว้ซึ่งแก่นของการเสียดสีความเลวร้ายของสงครามว่าเป็นโศกนาฏกรรมทางมนุษยธรรม และเผยให้เห็นมุมมืดอีกด้านของชาตินิยมสุดโต่ง ที่บังคับให้เราต้องเผชิญหน้ากับราคาที่ต้องจ่ายของ ‘สงคราม’ ซึ่งไม่ได้จ่ายโดยนายพลหรือนักการเมือง แต่จ่ายด้วยเลือดเนื้อและอนาคตของเหล่าหนุ่มสาวที่ถูกพรากไปในสมรภูมิที่เต็มไปด้วยคราบโคลนและความป่าเถื่อน
ในโลกที่ความขัดแย้งยังคงปะทุขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในขณะนี้ที่เกิดขึ้นในประเทศของเราเอง ‘All Quiet on the Western Front’ ได้ทำหน้าที่เป็นเสมือนเครื่องเตือนใจอันทรงพลังว่า “ในสงคราม ไม่เคยมีผู้ชนะอย่างแท้จริง มีเพียงผู้รอดชีวิตที่ต้องแบกรับบาดแผลไปตลอดกาล”

#หนังสงคราม

วันนี้ (26 กรกฎาคม) เมื่อ 70 ปีที่แล้วหรือในปี 1955 เป็นวันที่ภาพยนตร์เรื่องแรกและเรื่องเดียวของ ‘ชาร์ลส์ ลาฟตัน’ (Charl...
26/07/2025

วันนี้ (26 กรกฎาคม) เมื่อ 70 ปีที่แล้วหรือในปี 1955 เป็นวันที่ภาพยนตร์เรื่องแรกและเรื่องเดียวของ ‘ชาร์ลส์ ลาฟตัน’ (Charles Laughton) นักแสดงชาวอังกฤษในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ออกฉายในอเมริกา ชาร์ลส์ ลาฟตัน ในขณะนั้นมีชื่อเสียงมาจากการแสดงภาพยนตร์เรื่องต่างๆ มากมาย และยังเคยได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากการรับบทเป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ใน ‘The Private Life of Henry VIII’ (1933) ซึ่งทำให้เขาได้รับการยอมรับในฐานะนักแสดงเจ้าบทบาท แต่มันกลับตรงข้ามเมื่อลาฟตันผันตัวมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ แต่กลับล้มเหลวทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์ กระทั่งทำให้อาชีพผู้กำกับภาพยนตร์ของเขาต้องจบลงเพียงแค่เรื่องแรกและเป็นเรื่องสุดท้ายด้วยนี่เอง
แต่ ‘The Night of the Hunter’ นั้นถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของภาพยนตร์ที่ใช้คำว่า ‘มาก่อนกาล’ ได้เต็มปาก เพราะกว่าที่คนจะเห็นคุณค่าของมันเวลาก็ผ่านไปนานเนิ่นจนถึงวันนี้นับเป็นเวลา 7 ทศวรรษพอดิบพอดี อันที่จริงต้องให้เครดิต ‘โรเจอร์ อีเบิร์ต’ (Roger Ebert) นักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่ง Chicago Sun-Times ผู้ล่วงลับ ที่ยกให้ The Night of the Hunter เป็นหนึ่งในหนังในดวงใจของเขา และพูดถึงมันในฐานะหนังที่มีคนประเมินคุณค่าของมันต่ำเกินไปในตอนแรก อิทธิพลของอีเบิร์ตมีผลอย่างมากกับการทำให้นักดูหนังในยุคหลังหันกลับมาพิจารณา The Night of the Hunter ใหม่จนได้รับการยกย่องและกลายเป็นหนังคลาสสิกมาจนทุกวันนี้
The Night of the Hunter สร้างจากนวนิยายขายดีในปี 1953 ของ เดวิส กรับบ์ (Davis Grubb) ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของฆาตกรต่อเนื่องที่ชื่อแฮร์รี พาวเวอร์ส (Harry Powers) ผู้ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในปี 1932 จากการฆาตกรรมหญิงหม้าย 2 คน และลูกอีก 3 ที่เวสต์เวอร์จิเนีย ผสมกับภาพชีวิตของผู้คนในยุควิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ (The Great Depression) ในยุค 30s ที่แม่ของกรับบ์ต้องทำงานหนักแทบล้มตายเพื่อดูแลลูกๆ ของตน ในตอนแรกลาฟตันไม่เต็มใจที่จะทำโปรเจกต์นี้เป็นภาพยนตร์เดบิวต์ของตนในฐานะผู้กำกับนัก เขาอ่านนวนิยายของกรับบ์ แล้วไม่ชอบอย่างมาก แต่โปรดิวเซอร์เพื่อนของเขาอย่าง พอล เกรกอรี (Paul Gregory) หว่านล้อมจนเขาเปลี่ยนใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลาฟตันได้พบกับกรับบ์และพูดคุยจนถูกคอและเห็นตรงกันในวิสัยทัศน์ของลาฟตัน ว่าเมื่อมาเป็นภาพยนตร์เขาอยากทำมันให้เป็นไปในรูปแบบนิทานก่อนนอนสอนเป็นคติเตือนใจเด็กๆ โดยอ้างอิงมาจาก ‘Mother Goose’ นิทานพื้นบ้านที่นิยมเล่ากันในยุโรป แต่มันจะเป็นนิทานที่มาพร้อมกับฝันร้ายบนการนำเสนอที่ได้รับอิทธิพลมาจากหนังเงียบและอาร์ตไดเรกชันแบบ German Expressionism ในยุค 20s โดยได้ ‘เจมส์ เอจี’ (James Agee) ซึ่งมีประสาบการณ์โดยตรงกับวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่มาเป็นผู้เขียนบท
The Night of the Hunter เล่าเรื่องของแฮร์รี พาวเวลส์ (รับบทโดย โรเบิร์ต มิตชัม - Robert Mitchum) นักเทศน์ผู้ที่ภายนอกดูน่าเลื่อมใสออกเดินทางสอนผู้คนให้ใกล้ชิดกับพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นคนคลั่งศาสนาและใช้อย่างผิดวิธีด้วยการตระเวนหาแม่หม้ายรวยๆ แล้วหว่านล้อมจนได้อยู่กินกับเธอ จากนั้นจึงลงมือฆาตกรรมเพื่อชิงสมบัติ แต่เขาถูกจับเข้าคุกในข้อหาลักทรัพย์ ที่นั่นเขาไปได้ยินว่า เบน ฮาร์เปอร์ (ปีเตอร์ เกรฟส์ - Peter Graves) เพื่อนร่วมห้องขังผู้ต้องโทษประหารแขวนคอของตนขโมยเงิน 10,000 ดอลลาร์มา โดยมีเพียงลูกของเขาที่รู้ที่ซ่อนเงินนั้น เมื่อออกจากห้องขัง พาวเวลส์จึงออกเดินทางหาครอบครัวนี้ด้วยกลวิธีเดิมๆ โดยมีจุดมุ่งหมายคือการแย่งชิงเงินก้อนนั้นมา
เขาเกือบทำได้สำเร็จในแง่ที่วางตัวเป็นคนดีมีศีลธรรมจนสามารถพิชิตใจแม่หม้าย วิลลา ฮาร์เปอร์ (แสดงโดย เชลลีย์​ วินเทอร์ส - Shelley Winters) แต่งงานกันเป็นสามี-ภรรยาก่อนจะลงมือฆาตกรรมอย่างเลือดเย็นและอำพรางศพในแม่น้ำ ก่อนจะล้มเหลวในการตามหาเงินที่มีเพียงสองลูกเลี้ยงเท่านั้นที่เป็นผู้รู้ที่ซ่อน เด็กทั้งสองล่องแม่น้ำหนีหัวซุกหัวซุนจนมาพบกับ ราเชล คูเปอร์ (ลิลเลียน กิช - Lillian Gish) สาวใหญ่ในเมืองผู้สูญเสียลูกไป เธอจึงรับเลี้ยงเด็กกำพร้าและดูแลราวเป็นลูกแท้ๆ ของตน พาวเวลส์ตามจนพบว่าลูกเลี้ยงของตนอยู่กับคูเปอร์ เขาจึงพยายามแย่งชิงตัวเด็กมาให้ได้ การห้ำหั่นกันของคนร้ายในคราบคนดีกับแม่ผู้มีประสบการณ์ชีวิตที่กางปีกปกป้องลูกของตนสุดกำลังจึงเกิดขึ้นในค่ำคืนหนึ่ง ที่กลายเป็น ‘ค่ำคืนแห่งนักล่า’ ตามชื่อเรื่อง
หากดูตามรูปลักษณ์ของการเป็นหนังขาว-ดำแล้ว The Night of the Hunter อาจดูคล้ายหนังฟิล์มนัวร์ที่ถ่ายทอดจิตใจอันสลับซับซ้อนของมนุษย์ซึ่งก็นับว่าถูกอยู่บ้างในแง่ของตัวละครคลั่งศาสนาอย่างพาวเวลส์ แต่เมื่อมองให้ดีแล้วหนังเรื่องนี้ดูคล้ายเป็นนิทานสอนใจคน (เด็ก) มากกว่าเพราะหนังทำให้เห็นค่อนข้างชัดเจนว่าคนมือถือสากปากถือศีลหรือคนที่ภายนอกดูดีงามแต่ภายในเลวทรามต่ำช้านั้นมีองค์ประกอบอย่างไร การแสดงอันลึกซึ้งทว่าเยือกเย็นของโรเบิร์ต มิตชัม คล้ายเป็นการให้ ‘ภาพจำ’ กับเด็กๆ ว่าคนเลวๆ ประมาณนี้เขามีวิธีเข้าหาและหลอกลวงผู้คนอย่างไร
การปะทะกันของพาวเวลส์และคูเปอร์จึงเป็นตัวแทนของการต่อสู้ระหว่างขาวและดำ การต่อสู้ระหว่างความดีและความเลว แต่มากไปกว่านั้นมันคือการปะทะกันของสองนักแสดงแห่งยุคสมัย โรเบิร์ต มิตชัม ผู้มอบการแสดงที่ดีที่สุด ลึกซึ้งที่สุดของเขาเพื่อสู้กับการแสดงแบบ ‘น้อยแต่มาก’ ของสุดยอดนักแสดงหญิงแห่งยุคหนังเงียบอย่าง ลิลเลียน กิช ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘First Lady of American Cinema’ หรือนางเอกคนแรกแห่งวงการภาพยนตร์อเมริกา (เธอรับบทนำในหนังเรื่อง ‘The Birth of a Nation’ (1915) หนังทำเงินสูงสุดเรื่องแรกของโลก) ในแง่นี้ The Night of the Hunter จึงไม่ใช่ฟิล์มนัวร์เสียทั้งหมด หากดูคล้ายเป็นนิทานก่อนนอนที่บอกเล่าจากมุมที่อับแสงที่สุดมากกว่า
เมื่อพูดถึงมุมที่อับแสงที่สุดแล้ว The Night of the Hunter ก็นับว่าเป็นหนังที่ใช้แสงและเงาได้อย่างมีศิลปะเต็มเม็ดเต็มหน่วย ลาฟตันตั้งใจทำหนังเรื่องนี้เพื่อหวนระลึกถึงโลกของหนังเงียบที่กำลังหายไปในตอนนั้นจากการมาถึงของหนังบันทึกเสียง ลิลเลียน กิชไม่ใช่แค่สัญลักษณ์เดียวของ Silent Films ในหนังเรื่องนี้ แต่มันยังรวมถึงการเซ็ตติ้งฉาก การกำหนดแสงและเงาแบบ Low-key ที่แสดงนัยซุกซ่อนเอาไว้มากมาย ควบคู่ไปกับงานด้านองค์ประกอบศิลป์ที่รับอิทธิพลมาจากลัทธิ German Expressionism ที่ถ่ายทอดความบิดเบี้ยวแปลกตาทว่าสวยงาม ฉากการพบศพของ วิลลา ฮาร์เปอร์ นับเป็นการตายที่สวยงามราวภาพวาดมากที่สุดเท่าที่วงการภาพยนตร์เคยสร้างมา สวยจนเกือบลืมไปว่านั่นคือความน่าสะพรึงกลัวที่สุดที่ภาพยนตร์เคยสร้างมาอีกเช่นกัน
อย่างที่บอกว่า The Night of the Hunter ล้มเหลวในทุกมิติเมื่อแรกออกสู่สาธารณะ ด้วยมาก่อนเวลาอันควร แต่คุณค่าของมันส่งต่อและสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักทำหนังรุ่นหลังอย่าง โรเบิร์ต อัลต์แมน, มาร์ติน สกอร์เซซี, สไปก์ ลี, พี่น้องโคเอน หรือแม้แต่ กิลเยอร์โม เดล โตโร ที่นำบางส่วนของ The Night of the Hunter มาสร้างสรรค์ผลงานในแบบเฉพาะของตน
วันนี้ The Night of the Hunter มีอายุครบ 70 ปีพอดี และถึงเวลาแล้วที่คุณค่าของมันสมควรได้รับการมองเห็น ในสภาพสังคมที่ไม่ต่างไปจากเมื่อ 7 ทศวรรษก่อน ‘The Night of the Hunter’ ยังคงเป็นนิทานก่อนนอนที่ชวนให้เราฝันร้ายได้ทุกครั้งที่หลับตา
เพื่อตื่นขึ้นมาเราจะได้มองหาสิ่งที่ดีกว่า
ชม ‘The Night of the Hunter’ ได้ทาง Apple TV


ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยกับการมาถึงของ ‘The Fantastic Four: First Steps’ ภาพยนตร์มาร์เวลเรื่องล่าสุดจาก Marvel Studio ที่เป็...
25/07/2025

ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยกับการมาถึงของ ‘The Fantastic Four: First Steps’ ภาพยนตร์มาร์เวลเรื่องล่าสุดจาก Marvel Studio ที่เป็นการเปิดปฐมบทใหม่ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวซูเปอร์ฮีโร่ทีมแรกของ Marvel ที่ลุกขึ้นมาปกป้องโลกบอกเล่าผ่านธีมโลกอนาคตในเลนส์ของยุค 60s กำกับภาพยนตร์โดย ‘Matt Shakman’ ที่เคยฝากผลงานการกำกับ ‘WandaVision’
และหากใครที่เป็นคอหนังซูเปอร์ฮีโร่บ้านมาร์เวลจะเข้าใจว่าการมาถึงของ The Fantastic Four: First Steps ไม่เพียงแต่เป็นการเปิดเฟด 6 ของจักรวาลมาร์เวล Marvel Cinematic Universe (MCU) เท่านั้น แต่นี่ถือเป็นโอกาสครั้งแรกและครั้งสำคัญที่ครอบครัวคนกายสิทธิ์ จะถูกบอกเล่าในฐานะภาพยนตร์ของสตูดิโอมาร์เวลบ้านเกิด หลังจากที่ออกเดินทางโลดแล่นไปยังสตูดิโออื่นมากกว่า 30 ปี
วันนี้ BrandThink Cinema ขอพาทุกท่านเดินทางคืนสู่เหย้าสำรวจประวัติศาสตร์ของ Fantastic Four นับตั้งแต่วันที่ได้ปรากฏบนคอมิกส์ที่เป็นจุดเปลี่ยนทิศทางของมาร์เวลไปตลอดกาล กับชะตากรรมของฮีโร่ครอบครัวทีมแรกที่ต้องออกจากบ้านมาร์เวล ก่อนคืนสู่บ้านมาร์เวลในที่สุด เป็นอย่างไรมาดูกัน
#เดอะแฟนแทสติก4

การลื่นล้มทางโลกเมื่อพระก้าวพลาด รัก โลภ โกรธ หลง จึงเริ่มเข้าใจชีวิตผ่าน Spring, Summer, Fall, Winter… and Springข่าวฉา...
23/07/2025

การลื่นล้มทางโลก
เมื่อพระก้าวพลาด
รัก โลภ โกรธ หลง จึงเริ่ม
เข้าใจชีวิตผ่าน Spring, Summer, Fall, Winter… and Spring
ข่าวฉาวพระมีความสัมพันธ์กับสีกาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและมันสะท้อนภาพเชิงลึกของสังคมในหลายมิติ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องวินัยที่หย่อนยานของผู้ที่เรากราบไหว้ หรือกิเลสตัณหาของผู้คนในสังคม แต่มองให้ลึกกว่านั้นนี่อาจเป็นภาพสะท้อนการต่อสู้ระหว่าง 'ความเป็นมนุษย์' ผู้เวียนว่ายอยู่ในห้วงมหรรณพกับ 'อุดมคติแห่งการหลุดพ้น' ซึ่งนับเป็นปลายทางสูงสุดของการหลุดพ้นคือนิพพาน นี่คือการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ในคติของศาสนาพุทธ
ที่ผ่านมามีภาพยนตร์มากมายที่สำรวจเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็น ‘Samsara’ ภาพยนตร์ในปี 2001 ของ ปาน นาลิน ผู้กำกับชาวอินเดีย ไม่เว้นแม้กระทั่งหนังเกรดบีอย่าง ‘Sex and Zen Extreme Ecstacy’ (2011) ของ ไมเคิล มัก ที่มีเรตอาร์กำกับแต่บางช่วงก็สะท้อนภาพนักบวชพ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหาในใจได้เป็นอย่างดี และในบรรดาภาพยนตร์ที่สำรวจเรื่องราวเหล่านี้ ภาพยนตร์สัญชาติเกาหลีอย่าง ‘Spring, Summer, Fall, Winter… and Spring’ (2003) ได้สำรวจแก่นแท้ของมันไว้อย่างลึกซึ้งและอาจจะไปไกลกว่านั้น Spring, Summer, Fall, Winter… and Spring เป็นผลงานจากผู้กำกับเกาหลีใต้ คิม คี-ดุค ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องของพระกับสีกา แต่พาเราดำดิ่งไปสู่แก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ นำเสนอหัวใจแห่งธรรมะและกฎธรรมชาติที่เป็นสากล ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาใด หากสนใจในปรัชญาชีวิต นี่คือภาพยนตร์ที่ควรหามาชมสักครั้ง เพราะเมื่อดูจบเราอาจพบสัจธรรมบางอย่าง
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการถ่ายทอดวัฏสงสารผ่านเรื่องราวของเณรรูปหนึ่งที่เติบโตในอาศรมกลางน้ำ เขาเวียนว่ายผ่านกิเลส ตัณหา และการแสวงหาความสงบในจิตใจ ผ่านวันเวลา ฤดูกาลและบทเรียนต่างๆ จนกระทั่งกลายเป็นพระอาจารย์ผู้เข้าใจในวัฏจักรนั้นอย่างแท้จริง
เรื่องราวเริ่มต้นในฤดูใบไม้ผลิ (Spring) เปรียบเสมือนวัยเยาว์อันบริสุทธิ์ เราเห็นสามเณรน้อยอาศัยอยู่กับพระอาจารย์ในอาศรมที่ลอยสงบนิ่งกลางทะเลสาบ เขาเรียนรู้โลกผ่านการหยอกล้อกับสัตว์น้อยใหญ่ แต่ในความไร้เดียงสานั้นเอง เมล็ดพันธุ์แห่งกิเลสก็ได้ถูกหว่านลงไป เมื่อเขาเริ่มผูกหินกับตัวปลา กบ และงู เพื่อความสนุกสนาน การกระทำนั้นได้สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่สัตว์เหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว และมันได้กลายเป็นบทเรียนแรกที่พระอาจารย์สอนเขาถึงผลแห่งกรรม
เมื่อเณรน้อยเติบใหญ่เข้าสู่วัยหนุ่ม ชีวิตก็ก้าวเข้าสู่ฤดูร้อนอันเร่าร้อน เป็นช่วงชีวิตที่เปรียบดั่งฤดูร้อน (Summer) อันเป็นช่วงเวลาแห่งการเติบโต การตื่นรู้ทางกามารมณ์ เต็มไปด้วยพลังแห่งตัณหา ความหลงใหล เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งเดินทางมารักษาตัวที่อาศรม ความงามของเธอได้ปลุกสัญชาตญาณดิบในตัวเขาให้ตื่นขึ้น ความรัก ความใคร่ และแรงปรารถนาได้ทำให้เขาตัดสินใจละทิ้งผ้าเหลือง หลบหนีออกจากอาศรมไปพร้อมกับเธอ เพื่อใช้ชีวิตในโลกฆราวาส
ทว่าความสุขทางโลกไม่จีรัง การตัดสินใจนั้นทำให้เขากลายเป็นชายวัยกลางคนผู้ซึ่งต้องหลบหนีจากความผิดและกลับมาหาหลวงพ่ออีกครั้ง ในฤดูใบไม้ร่วง (Fall) พร้อมกับบาดแผลและความโกรธแค้นจากการถูกภรรยานอกใจจนพลั้งมือฆ่าเธอเสียชีวิต ฤดูใบไม้ร่วงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสูญเสีย และผลกรรมที่ตามทัน เขาพยายามจบชีวิตตัวเอง แต่พระอาจารย์ได้หยุดเขาไว้และมอบหมายภารกิจให้แกะสลักบท ‘มหาปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร’ (The Heart Sūtra) ลงบนพื้นไม้ของอาศรม เพื่อเป็นหนทางขัดเกลาจิตใจที่ฟุ้งซ่านและรุ่มร้อนให้สงบลง ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะตามมาจับกุมตัวเขาไปรับโทษ
หลายปีผ่านไป ชายหนุ่มพ้นโทษและกลับมายังอาศรมอีกครั้งในฤดูหนาว (Winter) แต่พระอาจารย์ผู้เป็นดั่งแสงนำทางได้จากไปแล้ว ฤดูหนาวนับเป็นช่วงเวลาแห่งความเย็นยะเยือก สันโดษ และการชำระล้างภายใน เขากลับมาฝึกฝนร่างกายจิตใจ อย่างสันโดษท่ามกลางความหนาวเหน็บ ฝึกฝนกายใจตนเอง เช่น ลากก้อนหินขึ้นภูเขา ปลุกสมาธิด้วยน้ำเย็นยะเยือก ไม่มีคำสอน ไม่มีพระอาจารย์ มีเพียงธรรมชาติและสติที่หล่อหลอมเขากลับมา แต่แล้ววันหนึ่งก็มีหญิงสาวปริศนาอุ้มทารกมาฝากเขาไว้ที่อาศรมก่อนที่หญิงคนนั้นจะจากไปอย่างไม่คาดคิด
และแล้วฤดูใบไม้ผลิก็หวนกลับมาอีกครั้ง (and Spring) เขาไม่ได้เป็นเพียงชายผู้ผ่านโลก แต่ได้กลายเป็นพระอาจารย์รูปใหม่ผู้คอยอบรมเลี้ยงดูเด็กชายที่เปรียบเสมือนตัวเขาเองในอดีต วัฏจักรแห่งชีวิตได้เวียนมาบรรจบอีกครั้ง แต่ฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม หากแต่เป็นฤดูใบไม้ผลิที่ผลิบานขึ้นจากความเข้าใจในธรรมะ ความสงบ และการตื่นรู้ และทำให้เราเห็นถึงบทสรุปของการเวียนว่ายแห่งชีวิตที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่เปลี่ยนไปตามความเข้าใจในธรรม
ความงดงามของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้อยู่แค่ภาพทิวทัศน์ที่แปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาล แต่ยังอยู่ที่ภาษาหนังและการกระทำของตัวละครที่ซ่อนนัยความหมายเชิงสัญลักษณ์ แม้จะอ้างอิงพุทธปรัชญา แต่ก็สื่อสารด้วยภาษาที่เป็นสากลจนทุกคนสามารถครุ่นคิดและทำความเข้าใจได้
แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจไม่ได้ให้คำตอบสำเร็จรูปว่าเกิดอะไรขึ้นกับพุทธศาสนิกชนในสังคมไทยปัจจุบัน แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้มอบให้คือความเข้าใจในหนึ่งในคำสอนหลักของพุทธศาสนา นั่นคือ ‘วัฏสงสาร’ ที่ไม่มีใครหนีผลแห่งการกระทำของตนเองพ้น กรรมจะนำพาให้เรากลับมาเผชิญหน้ากับสิ่งเดิมในรูปแบบใหม่เสมอ
‘Spring, Summer, Fall, Winter… and Spring’ จึงไม่ใช่หนังเทศนา แต่คือการดำรงอยู่ของคำสอนแห่งพุทธะในรูปแบบของงานศิลปะที่ทรงพลัง
#ภาพยนตร์เกาหลี

ที่อยู่

Bangkok
10400

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ BrandThink Cinemaผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง BrandThink Cinema:

แชร์