23/07/2025
การลื่นล้มทางโลก
เมื่อพระก้าวพลาด
รัก โลภ โกรธ หลง จึงเริ่ม
เข้าใจชีวิตผ่าน Spring, Summer, Fall, Winter… and Spring
ข่าวฉาวพระมีความสัมพันธ์กับสีกาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและมันสะท้อนภาพเชิงลึกของสังคมในหลายมิติ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องวินัยที่หย่อนยานของผู้ที่เรากราบไหว้ หรือกิเลสตัณหาของผู้คนในสังคม แต่มองให้ลึกกว่านั้นนี่อาจเป็นภาพสะท้อนการต่อสู้ระหว่าง 'ความเป็นมนุษย์' ผู้เวียนว่ายอยู่ในห้วงมหรรณพกับ 'อุดมคติแห่งการหลุดพ้น' ซึ่งนับเป็นปลายทางสูงสุดของการหลุดพ้นคือนิพพาน นี่คือการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ในคติของศาสนาพุทธ
ที่ผ่านมามีภาพยนตร์มากมายที่สำรวจเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็น ‘Samsara’ ภาพยนตร์ในปี 2001 ของ ปาน นาลิน ผู้กำกับชาวอินเดีย ไม่เว้นแม้กระทั่งหนังเกรดบีอย่าง ‘Sex and Zen Extreme Ecstacy’ (2011) ของ ไมเคิล มัก ที่มีเรตอาร์กำกับแต่บางช่วงก็สะท้อนภาพนักบวชพ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหาในใจได้เป็นอย่างดี และในบรรดาภาพยนตร์ที่สำรวจเรื่องราวเหล่านี้ ภาพยนตร์สัญชาติเกาหลีอย่าง ‘Spring, Summer, Fall, Winter… and Spring’ (2003) ได้สำรวจแก่นแท้ของมันไว้อย่างลึกซึ้งและอาจจะไปไกลกว่านั้น Spring, Summer, Fall, Winter… and Spring เป็นผลงานจากผู้กำกับเกาหลีใต้ คิม คี-ดุค ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องของพระกับสีกา แต่พาเราดำดิ่งไปสู่แก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ นำเสนอหัวใจแห่งธรรมะและกฎธรรมชาติที่เป็นสากล ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาใด หากสนใจในปรัชญาชีวิต นี่คือภาพยนตร์ที่ควรหามาชมสักครั้ง เพราะเมื่อดูจบเราอาจพบสัจธรรมบางอย่าง
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการถ่ายทอดวัฏสงสารผ่านเรื่องราวของเณรรูปหนึ่งที่เติบโตในอาศรมกลางน้ำ เขาเวียนว่ายผ่านกิเลส ตัณหา และการแสวงหาความสงบในจิตใจ ผ่านวันเวลา ฤดูกาลและบทเรียนต่างๆ จนกระทั่งกลายเป็นพระอาจารย์ผู้เข้าใจในวัฏจักรนั้นอย่างแท้จริง
เรื่องราวเริ่มต้นในฤดูใบไม้ผลิ (Spring) เปรียบเสมือนวัยเยาว์อันบริสุทธิ์ เราเห็นสามเณรน้อยอาศัยอยู่กับพระอาจารย์ในอาศรมที่ลอยสงบนิ่งกลางทะเลสาบ เขาเรียนรู้โลกผ่านการหยอกล้อกับสัตว์น้อยใหญ่ แต่ในความไร้เดียงสานั้นเอง เมล็ดพันธุ์แห่งกิเลสก็ได้ถูกหว่านลงไป เมื่อเขาเริ่มผูกหินกับตัวปลา กบ และงู เพื่อความสนุกสนาน การกระทำนั้นได้สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่สัตว์เหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว และมันได้กลายเป็นบทเรียนแรกที่พระอาจารย์สอนเขาถึงผลแห่งกรรม
เมื่อเณรน้อยเติบใหญ่เข้าสู่วัยหนุ่ม ชีวิตก็ก้าวเข้าสู่ฤดูร้อนอันเร่าร้อน เป็นช่วงชีวิตที่เปรียบดั่งฤดูร้อน (Summer) อันเป็นช่วงเวลาแห่งการเติบโต การตื่นรู้ทางกามารมณ์ เต็มไปด้วยพลังแห่งตัณหา ความหลงใหล เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งเดินทางมารักษาตัวที่อาศรม ความงามของเธอได้ปลุกสัญชาตญาณดิบในตัวเขาให้ตื่นขึ้น ความรัก ความใคร่ และแรงปรารถนาได้ทำให้เขาตัดสินใจละทิ้งผ้าเหลือง หลบหนีออกจากอาศรมไปพร้อมกับเธอ เพื่อใช้ชีวิตในโลกฆราวาส
ทว่าความสุขทางโลกไม่จีรัง การตัดสินใจนั้นทำให้เขากลายเป็นชายวัยกลางคนผู้ซึ่งต้องหลบหนีจากความผิดและกลับมาหาหลวงพ่ออีกครั้ง ในฤดูใบไม้ร่วง (Fall) พร้อมกับบาดแผลและความโกรธแค้นจากการถูกภรรยานอกใจจนพลั้งมือฆ่าเธอเสียชีวิต ฤดูใบไม้ร่วงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสูญเสีย และผลกรรมที่ตามทัน เขาพยายามจบชีวิตตัวเอง แต่พระอาจารย์ได้หยุดเขาไว้และมอบหมายภารกิจให้แกะสลักบท ‘มหาปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร’ (The Heart Sūtra) ลงบนพื้นไม้ของอาศรม เพื่อเป็นหนทางขัดเกลาจิตใจที่ฟุ้งซ่านและรุ่มร้อนให้สงบลง ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะตามมาจับกุมตัวเขาไปรับโทษ
หลายปีผ่านไป ชายหนุ่มพ้นโทษและกลับมายังอาศรมอีกครั้งในฤดูหนาว (Winter) แต่พระอาจารย์ผู้เป็นดั่งแสงนำทางได้จากไปแล้ว ฤดูหนาวนับเป็นช่วงเวลาแห่งความเย็นยะเยือก สันโดษ และการชำระล้างภายใน เขากลับมาฝึกฝนร่างกายจิตใจ อย่างสันโดษท่ามกลางความหนาวเหน็บ ฝึกฝนกายใจตนเอง เช่น ลากก้อนหินขึ้นภูเขา ปลุกสมาธิด้วยน้ำเย็นยะเยือก ไม่มีคำสอน ไม่มีพระอาจารย์ มีเพียงธรรมชาติและสติที่หล่อหลอมเขากลับมา แต่แล้ววันหนึ่งก็มีหญิงสาวปริศนาอุ้มทารกมาฝากเขาไว้ที่อาศรมก่อนที่หญิงคนนั้นจะจากไปอย่างไม่คาดคิด
และแล้วฤดูใบไม้ผลิก็หวนกลับมาอีกครั้ง (and Spring) เขาไม่ได้เป็นเพียงชายผู้ผ่านโลก แต่ได้กลายเป็นพระอาจารย์รูปใหม่ผู้คอยอบรมเลี้ยงดูเด็กชายที่เปรียบเสมือนตัวเขาเองในอดีต วัฏจักรแห่งชีวิตได้เวียนมาบรรจบอีกครั้ง แต่ฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม หากแต่เป็นฤดูใบไม้ผลิที่ผลิบานขึ้นจากความเข้าใจในธรรมะ ความสงบ และการตื่นรู้ และทำให้เราเห็นถึงบทสรุปของการเวียนว่ายแห่งชีวิตที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่เปลี่ยนไปตามความเข้าใจในธรรม
ความงดงามของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้อยู่แค่ภาพทิวทัศน์ที่แปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาล แต่ยังอยู่ที่ภาษาหนังและการกระทำของตัวละครที่ซ่อนนัยความหมายเชิงสัญลักษณ์ แม้จะอ้างอิงพุทธปรัชญา แต่ก็สื่อสารด้วยภาษาที่เป็นสากลจนทุกคนสามารถครุ่นคิดและทำความเข้าใจได้
แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจไม่ได้ให้คำตอบสำเร็จรูปว่าเกิดอะไรขึ้นกับพุทธศาสนิกชนในสังคมไทยปัจจุบัน แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้มอบให้คือความเข้าใจในหนึ่งในคำสอนหลักของพุทธศาสนา นั่นคือ ‘วัฏสงสาร’ ที่ไม่มีใครหนีผลแห่งการกระทำของตนเองพ้น กรรมจะนำพาให้เรากลับมาเผชิญหน้ากับสิ่งเดิมในรูปแบบใหม่เสมอ
‘Spring, Summer, Fall, Winter… and Spring’ จึงไม่ใช่หนังเทศนา แต่คือการดำรงอยู่ของคำสอนแห่งพุทธะในรูปแบบของงานศิลปะที่ทรงพลัง
#ภาพยนตร์เกาหลี