BrandThink Cinema

BrandThink Cinema Community for the better cinema. 🎬🎥

BKKIFF 2025: เมื่อ ‘แบรนด์’ กับ ‘หนัง’ ไม่ใช่แค่การ Tie-in ถอดรหัสกลยุทธ์ ‘Movie Marketing’ ที่พาหนังและแบรนด์ไปได้ไกลกว...
02/10/2025

BKKIFF 2025: เมื่อ ‘แบรนด์’ กับ ‘หนัง’ ไม่ใช่แค่การ Tie-in
ถอดรหัสกลยุทธ์ ‘Movie Marketing’
ที่พาหนังและแบรนด์ไปได้ไกลกว่าเดิม
ในยุคที่โลกการสื่อสารเต็มไปด้วยตัวเลือกมากมาย การสร้างแบรนด์ให้เข้าไปนั่งในใจผู้บริโภคกลายเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง แต่ ‘ภาพยนตร์’ กลับกลายมาเป็นสื่อที่ทรงพลังและสามารถสร้างคุณค่าให้แบรนด์ได้อย่างน่าสนใจ
เวทีเสวนา ‘FILM IS FUTURE’ by BrandThink ใน Session 3: When Movies Move Brand Impact เมื่อ ‘แบรนด์เจอหนัง’ คือการสร้างสรรค์ที่ไม่รู้จบ’ ได้ชวนเปิดมุมมองและโอกาสใหม่ๆ ของการสื่อสาร โดยมีสองผู้เชี่ยวชาญมาร่วมไขคำตอบ นำโดย ไผ่-ภาคย์ วรรณศิริ (CCO, VML Thailand) จากมุมมอง Creative Agency และ น้ำหวาน-ชวนา กีรติยุตอมรกุล (Chief Strategy and Services Officer, BrandThink) จากมุมนักกลยุทธ์ผู้สร้างแบรนด์
[ ทำไม ‘หนัง’ จึงเป็นคอนเทนต์ที่ทรงพลังกับผู้บริโภคในยุคนี้]
คุณน้ำหวานมองว่า ‘ภาพยนตร์’ คือฟอร์แมตที่ดีในการทำการตลาดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคนี้ที่คอนเทนต์ไทยมีความหลากหลาย และออกสู่สายตาโลกเยอะขึ้นมาก ซึ่งหัวใจของการสื่อสารคือการเข้าไปอยู่ใน ‘ความเชื่อและประสบการณ์’ ของผู้บริโภค ซึ่งภาพยนตร์คือภาพสะท้อนของชีวิต ผู้คน และประสบการณ์ ทำให้แบรนด์สามารถหาโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของความคิดและความเชื่อเหล่านั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ในขณะที่คุณไผ่เสริมว่า เมื่อแบรนด์เข้ามาอยู่ในภาพยนตร์ มันคือ ‘Cultural Verhical’ ที่สามารถดึงคนดูให้เข้ามามีส่วนร่วมได้ ต่างจากโฆษณาแบบดั้งเดิมที่มักจะผลักผู้ชม และถูกปฏิเสธจากผู้ชมเพราะมองว่ามันคือการขายของ ซึ่งธุรกิจที่มองแต่ยอดขายระยะสั้นจะไม่ยั่งยืน แต่การร่วมมือกับภาพยนตร์จะทำให้แบรนด์เข้าถึง ‘ความเชื่อ’ และ ‘คอมมูนิตี’ ของผู้คนได้จริง
[การตลาดยุคใหม่: ไม่ใช่แค่การ Tie-in แต่คือการแชร์ ‘คุณค่า’ ร่วมกัน]
ภาพจำของการตลาดในหนังที่หลายคนคุ้นเคยคือการ Tie-in หรือ Product Placement ที่บางครั้งรู้สึกเหมือนถูกยัดเยียด จนสร้างความรู้สึกลบให้ผู้ชมและทำให้คนทำหนัง แต่ทั้งสองท่านชี้ว่า จริงๆแล้ว การร่วมมือกันระหว่างแบรนด์และหนังสามารถไปได้ไกลกว่านั้น นั่นคือการสร้าง ‘คุณค่าร่วม’ ระหว่าง 3 ส่วนสำคัญ คือ ตัวหนัง, ผู้ชม และแบรนด์ เมื่อแบรนด์เข้าไปอยู่ในหนังที่ผู้ชมรักและให้คุณค่า แบรนด์ก็จะได้รับคุณค่านั้นไปด้วย ซึ่งเป็นการสร้าง Brand Love และต่อยอดไปสู่การสร้าง Culture ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างยอดขายในระยะสั้น
แต่สิ่งที่ต้องทำคือการตั้งเป้าหมายทางการตลาด (KPI) ร่วมกัน เช่น การสร้าง Awareness ผ่านยอดผู้ชมภาพยนตร์, การสร้างความเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์ ที่ต่อยอดไปสู่การสร้างยอดขายผ่านแคมเปญหรือโปรโมชันที่ทำควบคู่กับหนัง เป็นต้น
[แนวทางการทำงานร่วมกัน: เมื่อหนังและแบรนด์มองเป้าหมายเดียวกัน]
1 - มุมคนทำหนัง: ต้องเริ่มจากการมองว่าภาพยนตร์ของตนมีสินทรัพย์หรือองค์ประกอบอะไรที่สามารถนำมาต่อยอดเพื่อสร้างบทสนทนาให้กับแบรนด์ได้บ้าง
2 - มุมแบรนด์: สามารถใช้ภาพยนตร์เป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องตัวตน, วัฒนธรรมองค์กร (Corporate Culture) หรือวิสัยทัศน์ (Vision) ได้อย่างลึกซึ้ง
3 - หาพาร์ตเนอร์ที่ใช่ (Co-Branding): การใช้เงินทุนของแบรนด์ในการโปรโมตจะช่วยให้หนังเป็นที่รู้จักในวงกว้าง การหาพาร์ตเนอร์ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยต่อยอดความสำเร็จ
4 - ต่อยอดความคิดสร้างสรรค์: ร่วมมือกันสร้างคอนเทนต์ที่ Spin-off ออกไป เพื่อให้เกิด Conversation หรือการแชร์แฟนด้อมระหว่างแบรนด์และหนัง เพื่อขยายฐานแฟนคลับไปพร้อมๆ กัน
[ความ ‘ท้าทาย’ ของ ‘ศิลปะ’ กับ ‘มาร์เก็ตติ้ง’]
คุณไผ่เล่าจากประสบการณ์ในฐานะครีเอทีฟว่า ความท้าทายสำคัญคือ ‘งบประมาณ’ หนังหลายเรื่องมีศักยภาพ แต่ขาดงบโปรโมต และอีกกำแพงหนึ่งคือ
‘ทัศนคติ’ ของคนทำหนังที่มักมองหนังเป็นงานศิลปะ แต่ไม่ได้มองในมุมการตลาดตั้งแต่จุดเริ่มต้น ทำให้พลาดโอกาสดีๆ ไป
ในขณะที่คุณน้ำหวานมองว่า ความท้าทายของฝั่งคนทำหนังคือ ‘การขายความเชื่อ’ เพราะเป็นการขายโปรเจกต์ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง จึงต้องหาแบรนด์ที่มีภาพและความเชื่อในทิศทางเดียวกันให้เจอ
[ทิศทางของ Movie Marketing ในอนาคต]
คุณไผ่มองเห็นทิศทางที่มาร์เก็ตติ้งจะเข้ามามีส่วนร่วมกับภาพยนตร์มากขึ้นแน่นอน ตั้งแต่ขั้นตอนการเขียนบท และในยุคที่ AI เริ่มมีบทบาท การที่แบรนด์จับมือกับ Storytelling ที่มีความเป็นมนุษย์จะยิ่งทรงคุณค่ามากขึ้น
และในส่วนของคนทำหนัง การสร้าง ‘Experiential Marketing’ หรือการดึงประสบการณ์จากหนังออกมาสู่ชีวิตจริงจะเป็นสิ่งที่เห็นมากขึ้น ซึ่งเป็นช่องทางที่ดีในการที่แบรนด์จะเข้ามามีส่วนร่วม
ทั้งสองท่านกล่าวสรุปหัวใจของ Movie Marketing ว่ามันคือ ‘การเปิดใจ’ เพื่อหาจุดลงตัวร่วมกัน คนทำหนังอาจต้องลองมองหนังในฐานะผลิตภัณฑ์มากขึ้น (Product) เพื่อจะเห็นโอกาสใหม่ๆ ในขณะที่แบรนด์เองก็ต้องพร้อมที่จะรับฟัง สนับสนุนและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันทั้งแบรนด์และหนังให้ได้ประโยชน์ร่วมกันมากที่สุด
#เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพมหานคร #ปอนด์กฤษดา #นุชี่อนุชา #ต้องเตธิติ #ศราวุธ #แก่พันธุ์ทาง

BKKIFF 2025: ‘Thailand as Film Destination’ชวนมองโอกาสภาพยนตร์ไทยสร้างพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจเล่าประเด็น LOCAL ให้ GLOBAL...
01/10/2025

BKKIFF 2025: ‘Thailand as Film Destination’
ชวนมองโอกาสภาพยนตร์ไทย
สร้างพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เล่าประเด็น LOCAL ให้ GLOBAL
การที่ภาพยนตร์ไทยได้ไปปรากฏบนเวทีนานาชาติ ไม่ได้หมายถึงเพียงการคว้ารางวัลหรือสร้างชื่อเสียงให้ประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ทรงพลัง หนังไทยทำหน้าที่มากกว่า ‘ความบันเทิง’ เพราะมันคือการส่งออกเรื่องราวที่มีรากเหง้ามาจากความเป็นไทย ถ่ายทอดผ่าน Hyper Local Content ที่สะท้อนวิถีชีวิตผู้คน และความเชื่อของท้องถิ่น และผลักดันให้ก้าวไกลสู่สายตาผู้ชมทั่วโลก ความสำเร็จนี้จึงไม่ใช่เพียงการเล่าเรื่อง แต่คือการยืนยันว่า ‘Local’ (ท้องถิ่น) กลายเป็น ‘Global’ (สากล) ได้ หากได้รับการเล่าอย่างจริงใจและมีระบบสนับสนุนที่แข็งแรง
บนเวที ‘FILM IS FUTURE FORUM’ Curated by BrandThink Session 2 ‘Thailand as Film Destination เมื่อ Hyper Local Content พาไทยสู่หมุดหมายของโลกภาพยนตร์’ เราได้เชิญผู้ที่มีส่วนร่วมสำคัญในการพัฒนาวงการภาพยนตร์ไทยทั้ง 4 ท่าน
โดย ปอนด์-กฤษดา วิทยาขจรเดช ผู้บริหารของ ค่าย Be On Cloud, นุชี่-อนุชา วิทยาขจรเดช ผู้กำกับและอดีตนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย, ต้องเต-ธิติ ศรีนวล ผู้กำกับภาพยนตร์, และแก่ แก้วน้ำเย็น (แก่ พันธุ์ทาง) Production Designer และ CEO บริษัทพันธุ์ทางอาร์ตเวิร์ค มาร่วมพูดคุยถึงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่สามารถเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่สายตาทั่วโลกได้
[หัวใจของการเล่าเรื่อง: ความเป็นท้องถิ่น (Local) และความจริงใจ (Authenticity)]
Session นี้เริ่มต้นด้วยการชวนนิยามคำว่า ‘Hyper Local’ โดยคุณนุชี่ได้ขยายความคำนี้ผ่านการตีความว่าหัวใจสำคัญของการสร้างหนังหรือคอนเทนต์ที่ ‘ขายได้’ ไม่ได้อยู่ที่การพยายามทำให้ใหญ่โตจนดูเป็นสากล แต่คือการเล่าเรื่องอย่าง ‘จริงใจและจริงแท้’ (Authentic) ผ่านสายตาของผู้เล่าเอง ดังนั้น Hyper Local ในที่นี้จึงให้ความสำคัญกับเรื่องเล่าที่มีรากมาจากชีวิต ความเชื่อ หรือวัฒนธรรมที่ผู้สร้างคุ้นเคย จะทำให้ผู้ชมเชื่อและอินมากกว่า เพราะมันดูไม่ปลอม อย่างที่นุชี่ได้เล่าว่าเรื่อง ‘มะลิลา’ นั้นเป็นการเลือกเล่าเรื่องราวทั้งความรัก ความตาย และพุทธปรัชญาเข้ามาเกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ต้องอาศัยความเข้าใจจริง ไม่ใช่แค่หยิบมาเล่าแบบผิวเผิน ดังนั้น ‘ความธรรมดา’ อย่างความสัมพันธ์ในครอบครัว หรือวิถีชีวิตประจำวัน ก็สามารถเป็นพลังสำคัญในการเชื่อมโยงกับคนดูได้ เช่น ‘หลานม่า’ ที่พูดถึงการสืบมรดกของครอบครัวจีน ดูเผินๆ อาจเรียบง่าย แต่กลับแตะใจผู้ชมจนสามารถคว้ารางวัลมาได้มากมายเพราะความธรรมดานี่เองคือสิ่งที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเข้าถึงและเชื่อมโยงได้ดีที่สุด
[การต่อยอดและการสร้างกระแส]
หลายโปรเจกต์ไทยพิสูจน์แล้วว่า เมื่อความ Local ถูกเล่าออกมาอย่างตั้งใจจริง มันสามารถต่อยอดสู่กระแสในระดับสังคมได้ ตัวอย่างเช่น ‘KinnPorsche The Series’ ที่จับกระแส Y-series มาผสมกับรสชาติแบบไทย ทำให้เกิดความสนุกจัดจ้านจนเป็นที่จดจำ หรืออย่าง ‘แมนสรวง’ (Man Suang) ที่คุณปอนด์ได้กล่าวว่าเรื่องนี้เป็นการต่อยอดโดยการนำ Fandom Marketing หรือการตลาดผ่านกลุ่มแฟนคลับมาผูกกับความเป็น Local ทั้งสถานที่ เสื้อผ้า อาหาร จนทำให้ย่านทรงวาดกลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวของแฟนคลับภาพยนตร์เรื่องนี้และทำให้ทรงวาดกลับมาคึกคักอีกครั้ง มากไปกว่านั้นสิ่งที่สำคัญคือ ความแท้จริง (Authenticity) ไม่สามารถถูกแทนที่ด้วยการ ‘วิ่งตามกระแส’ เพราะถ้าทำเพื่อกระแสเพียงอย่างเดียว ภาพยนตร์อาจไปไม่รอด แต่ถ้าเริ่มจากความตั้งใจจริงที่จะเล่าเรื่อง ผู้ผลิตภาพยนตร์ต้องเป็นคนจุดกระแสเอง เพราะความแท้นี่เองที่จะไปโดนใจผู้ชม
[บทบาทของภาครัฐและการสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน]
ปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง คือการมีส่วนร่วมและการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ
ผู้สร้างภาพยนตร์ต่างเห็นพ้องว่าอุตสาหกรรมนี้ต้องการการ ‘อุ้มชู’ จากภาครัฐอย่างจริงจัง ไม่ใช่พึ่งพาเพียงภาคเอกชนที่พยายามช่วยเหลือกันเอง โดยคุณแก่ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบอุตสาหกรรมภาพยนตร์กับประเทศที่รัฐสนับสนุนโรงภาพยนตร์จนทำให้ตั๋วราคาถูกลงและมีโอกาสสร้างคนดูสูงถึงหลักแสนคนต่อเรื่อง
ทั้งหมดเน้นย้ำว่าหากภาครัฐเข้าใจและเข้ามาสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างถูกจุด ก็มีโอกาสในการผลักดันวงการภาพยนตร์ไทยให้เติบโตได้มากขึ้นในระดับโลก
ในขณะเดียวกันคุณนุชี่ยังเสนอความคิดเห็นที่น่าสนใจเพิ่มเติมว่าสิ่งสำคัญคือการสร้าง ‘ระบบนิเวศ’ ที่ทำให้คนทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การรอให้ ‘คลื่นลูกใหม่’ เกิดขึ้นเองแล้วเงียบหายไป อุตสาหกรรมนี้จำเป็นต้องมีการปั้นผู้กำกับหน้าใหม่ และสร้างบุคลากรในทุกด้าน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องจนสามารถผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพได้ถี่ขึ้น
นอกจากนี้คุณแก่ได้เสริมว่าการสนับสนุนภาพยนตร์ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของศิลปะ แต่คือการ สร้างการรับรู้และมองเห็น (Awareness) ให้กับประเทศไทย ซึ่งควรนำไปสู่การพิจารณามาตรการทางภาษี เช่น การให้เปอร์เซ็นต์คืนภาษี จากการสร้างผลงานเพราะอุตสาหกรรมภาพยนตร์นั้นมีความสามารถในการเป็นประตูสู่การส่งออกวัฒนธรรมและสร้าง Soft Power อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับที่เกาหลีประสบความสำเร็จจากซีรีส์ดังอย่าง ‘แดจังกึม จอมนางแห่งวังหลวง’ (2003) และนำวัฒนธรรมการรับประทานกิมจิมาสู่ประเทศไทยได้
[ความท้าทายเชิงโครงสร้างและทัศนคติในประเทศ]
แม้ภาพยนตร์และซีรีส์ไทยจะสามารถทลายกำแพงไปไกลจนถึงระดับนานาชาติได้และผู้สร้างจะมีความมุ่งมั่นในการสร้างผลงานคุณภาพ แต่น่าเสียดายที่ยังคงเผชิญกับอุปสรรคที่สำคัญซึ่งหลายส่วนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ เนื่องจากผู้สร้างหนังต้องเผชิญกับงบประมาณที่ไม่มากพอ และรายได้ที่ไม่สอดคล้องกับความทุ่มเท เพราะในบางครั้งแค่แพสชันก็ไม่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตได้
นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องน่าเสียดายที่คนไทยยัง ‘ไม่เปิดใจยอมรับ’ และมีความ ‘ลำเอียง’ ต่อผลงานของคนไทยด้วยกันเอง จากการทำอะไรที่แตกต่างก็จะดูเป็นการทะเยอทะยานมากเกินไป คุณแก่ได้ยกตัวอย่างว่าเมื่อเทียบกับการเลือกดูหนังต่างชาติอย่าง มาร์เวล (Marvel) ที่รู้สึก ‘คุ้มค่าตั๋ว’ มากกว่า เนื่องจากผู้ชมชาวไทยจำนวนมากยังขาดความเชื่อมั่นในคุณภาพของหนังไทย ทำให้เป็นการยากที่งานท้องถิ่นจะไปต่อในระดับนานาชาติได้
ในฐานะของผู้ผลิตภาพยนตร์ท้องถิ่นอย่างคุณต้องเตชี้ให้เห็นว่าอุตสาหกรรมในพื้นที่นอกเหนือจากเมืองหลักยัง ขาดเครื่องมือและความรู้ในการสร้างภาพยนตร์อย่างมาก ในขณะเดียวกัน ช่องว่างระหว่างวัย (Gap Age) ก็สร้างความท้าทายในการสื่อสารกับเด็กรุ่นใหม่ ทำให้การพัฒนาบุคลากรเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่อง
[กรณีศึกษาและการผลักดันท้องถิ่น]
หนึ่งในกรณีศึกษาที่โดดเด่นคือ ‘จักรวาลไทบ้าน’ คุณต้องเตเริ่มจากทุนเล็กๆ เพียง 3 ล้านบาท โดยเป้าหมายแรกคือการโปรโมทจังหวัดศรีสะเกษ แต่เมื่อหนังทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท ทีมงานก็เริ่มตั้งเป้าที่สูงขึ้นเพื่อ ‘ทลายเพดาน’ ของภาพยนตร์อีสานให้ไปไกลกว่าความเป็นหนังท้องถิ่น และเข้าถึงผู้ชมทั้งประเทศรวมถึงต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายคือความแตกต่างระหว่างรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าที่ยังมองว่าบางคอนเทนต์ไม่เหมาะสมและตีกรอบความสร้างสรรค์ไว้ อีกทั้งระบบการตลาดที่ยังไม่เอื้อ ทำให้บางเรื่องไม่สามารถเข้าฉายโรงภาพยนตร์ไม่ได้เมื่อสร้างผลงานเสร็จสิ้น ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าแม้พลังท้องถิ่นจะแข็งแรง แต่หากไม่มีเครื่องมือและโครงสร้างรองรับ การต่อยอดก็ยากที่จะยืนในระยะยาว
[จาก Local สู่ Global]
การเล่าเรื่องท้องถิ่นไม่ได้หมายความว่าต้องปิดกั้นอยู่แค่ภายในประเทศ ตรงกันข้าม มันสามารถเป็นสะพานเชื่อมสู่ระดับนานาชาติได้ หากมีการพัฒนาและดัดแปลงให้ผู้ชมต่างชาติ ‘เข้าใจและรู้สึกร่วม’ ไปกับภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจ กระแส ความคิดเห็น และผลตอบรับจากผู้ชมต่างประเทศ หรือการปั้นผู้กำกับ-นักแสดงไทยให้ก้าวสู่เวทีโลก
ท้ายที่สุดแล้วภาพยนตร์คือสื่อกลางที่มีศักยภาพสูงสุดในการนำเรื่องเล่าและวัฒนธรรมไทยไปสู่เวทีโลก เพราะมันรวบรวมทุกองค์ประกอบของศิลปะและวัฒนธรรมไทยไว้ในเลนส์เดียว พลังขับเคลื่อนที่แท้จริงคือการมีผู้ชมที่ ‘ซึมซับ’ และให้การตอบรับอย่างจริงใจ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติก็ตาม
อย่างไรก็ตามความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เหล่านี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน หากไม่ได้รับโอกาสจากรัฐบาลและนักลงทุน Session นี้จึงทิ้งท้ายไว้ด้วยคำถามที่น่าสนใจว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันสร้าง ‘รากฐานที่มั่นคง’ เพื่อให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสามารถเติบโตเป็นหนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจและซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศอย่างแท้จริง

#เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพมหานคร #ปอนด์กฤษดา #นุชี่อนุชา #ต้องเตธิติ #ศราวุธ #แก่พันธุ์ทาง

แน่นอนว่าการกลับมาของ ‘Avatar: The Way of Water’ คือโอกาสพิเศษที่ทำให้ผู้ชมได้หวนกลับไปสู่ความตระการตาของโลกแพนดอราอีกคร...
01/10/2025

แน่นอนว่าการกลับมาของ ‘Avatar: The Way of Water’ คือโอกาสพิเศษที่ทำให้ผู้ชมได้หวนกลับไปสู่ความตระการตาของโลกแพนดอราอีกครั้ง และนี่ไม่ใช่เพียงแค่การชมภาพยนตร์ซ้ำ แต่ยังเป็นเสมือนการทบทวนและรื้อฟื้นบรรยากาศ ก่อนที่ ‘Avatar: Fire and Ash’ (อวตาร: อัคนีและธุลีดิน) จะเข้าฉายในเดือนธันวาคมนี้
สิ่งที่ภาคก่อนหน้ามอบให้เรา ไม่ได้มีเพียงฉากตระการตา แต่ยังเต็มไปด้วยคำถามและประเด็นที่เปิดกว้างให้จินตนาการต่อ ทั้งเรื่องความผูกพันของครอบครัว ความลึกลับของพลังที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ รวมไปถึงความขัดแย้งที่ยังดำเนินอยู่ในโลกของแพนดอรา ทั้งหมดนี้คือร่องรอยที่ทิ้งไว้ และอาจถูกนำไปสานต่อในเส้นทางใหม่ที่เรากำลังจะได้เห็น
การกลับมาฉายซ้ำในช่วงเวลาจำกัดครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การพาผู้ชมไปพบกับฉากที่สวยงามอีกครั้ง แต่คือการ ‘อุ่นเครื่องความทรงจำ’ ให้เราได้พร้อมสำหรับบทใหม่ ที่อาจจะพา Avatar ไปสู่จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดของแฟรนไชส์
การกลับมาฉายซ้ำในครั้งนี้ เปรียบเสมือนการพาผู้ชมกลับไปดื่มด่ำกับบรรยากาศของแพนดอราอีกครั้ง ก่อนที่โลกทั้งใบจะลุกโชนในภาค ‘Avatar: Fire and Ash’ ที่จะเข้าฉายในเดือนธันวาคมนี้ โดย ‘Avatar: The Way of Water’ จะกลับมาฉายในระบบ 3D เพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น ระหว่างวันที่ 2-8 ตุลาคม 2568 และยังมีรอบพิเศษในระบบ IMAX (เฉพาะที่ไอคอน ซีเนคอนิค วันที่ 6 ตุลาคม 2568 เวลา 19.00 น.)
#อวตารวิถีแห่งสายน้ำ

BKKIFF2025: Beyond the Screenความสำเร็จของ ‘หนังไทย’ ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจแต่คือโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศในช่วง...
01/10/2025

BKKIFF2025: Beyond the Screen
ความสำเร็จของ ‘หนังไทย’ ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจ
แต่คือโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องได้พิสูจน์ศักยภาพบนเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเข้าชิงรางวัลและการได้รับเลือกให้เข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติมากมาย ปรากฏการณ์นี้คือภาพสะท้อนของ ‘Soft Power’ ที่กำลังกลายเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
เวทีเสวนา ‘FILM IS FUTURE’ by BrandThink ใน Session ที่มีชื่อว่า ‘Beyond the Screen: หนังไทยกับโอกาสทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยต้องจับตา’ ได้เชิญผู้คร่ำหวอดในวงการมาร่วมสำรวจสถานการณ์ปัจจุบันและโอกาสในอนาคต นำโดยสิน-ยงยุทธ ทองกองทุน (อดีตผู้อำนวยการฝ่ายคอนเทนต์ Netflix Thailand), อ๊อฟ-อิศรา เปี่ยมพงศ์สานต์ (Project Manager: CEA Content Lab) และ คุณชายอดัม-หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล (อดีตประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ THACCA) ซึ่งทุกท่านได้ฉายภาพความสำเร็จและโอกาสทางเศรษฐกิจที่น่าตื่นเต้นของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยไว้อย่างน่าสนใจ
เริ่มต้นจากภาพรวมและบทบาทของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ต่อเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมา ซึ่งชี้ว่าได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในทุกมิติ ด้วยตัวภาพยนตร์เองที่ใช้ Storytelling ที่สร้างผลกระทบและการรับรู้ได้ในหลายด้าน ทั้งสังคม วัฒนธรรม หรือเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ได้สร้างประโยชน์แค่กับตัวอุตสาหกรรมเอง แต่ยังเกี่ยวข้องกับพื้นที่ันั้นๆ และมีผลต่อเศรษฐกิจในระดับประเทศ
[จุดแข็งที่เป็นแต้มต่อ: ระบบนิเวศที่แข็งแกร่งของไทย]
หัวใจสำคัญที่ทำให้ไทยเป็นที่จับตาของอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกคือ ‘ระบบนิเวศ’ (Ecosystem) ที่แข็งแกร่งและเอื้อต่อการสร้างสรรค์ผลงาน เรามีความพร้อมทั้งด้านทรัพยากร ที่พัก อาหาร การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และความเป็นมิตรของผู้คน ทั้งหมดนี้เปรียบเสมือนโครงสร้างพื้นฐานชั้นยอดที่พร้อมรองรับกองถ่ายทำภาพยนตร์ได้ทันที ยังไม่รวมถึงฝีมือและทีมงาน (Craftsmanship) ที่มีคุณภาพของไทย ทำให้กองถ่ายภาพยนตร์ระดับโลกหลายเรื่องเลือกประเทศไทยเป็นหมุดหมายสำคัญในการทำงาน
[สตรีมมิงมีส่วนยกระดับ Local Content ของไทย]
สิน ยงยุทธ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายคอนเทนต์ Netflix กล่าวว่า การเข้ามาของสตรีมมิงมีส่วนในการขยายตลาดภาพยนตร์ของไทย เพิ่มจำนวนและส่งออกคอนเทนต์ไทยไปสู่สายตาโลกซึ่งยกระดับคุณภาพหนังไทยในระดับสากล และที่ผ่านมา ภาพยนตร์และซีรีส์จาก Netflix Thailand หลายเรื่องประสบความสำเร็จติดอันดับโลกในหลายประเทศ ตอกย้ำความสำเร็จของอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
[ฟันเฟืองสำคัญ: บทบาท ‘ภาครัฐ’ ผ่าน CEA และ THACCA]
CEA (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์) ซึ่งยกระดับมาจาก TCDC มีเป้าหมายในการผลักดัน ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ โดยมองว่ากลุ่มคอนเทนต์คือหัวหอกที่จะนำพาอุตสาหกรรมอื่นให้เติบโตตามไปด้วย CEA จึงมุ่งเน้นการ ‘ปั้นโปรดิวเซอร์และครีเอเตอร์’ ซึ่งเป็นบุคลากรสำคัญในการนำโปรเจกต์ไปสู่ตลาดโลก พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็น Hub การ Pitch Project ในอาเซียน
ขณะที่คุณชายอดัมได้ฉายภาพการทำงานของ THACCA ในฐานะองค์กรที่เป็นสื่อกลางระหว่างคนทำหนังและภาครัฐ โดยมีเป้าหมายผลักดัน 4 แกนหลักสำคัญ ได้แก่:
1 - ผู้สร้าง (Creators): สนับสนุนบุคลากรในทุกระดับของอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้กำกับไปจนถึงทีมงานเบื้องหลัง พร้อมผลักดันกฎหมายเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพและสวัสดิการอย่างทั่วถึง
2 - นักลงทุน (Investors): สร้างกลไกให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในอุตสาหกรรม เช่น จัดตั้งกองทุน (Funding Body) หรือออกแบบเครื่องมือทางเศรษฐกิจ (Economic Tools) ที่เอื้อประโยชน์ทั้งฝั่งผู้สร้างและนักลงทุน
3 - ภาครัฐ (Government): เป็นตัวกลางให้เสียงของคนในอุตสาหกรรมส่งไปถึงภาครัฐ เพื่อปฏิรูปกฎระเบียบที่จำเป็น เช่น การปรับปรุงคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์เพื่อส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออก (Freedom of Expression) และการปรับปรุง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ให้ทันสมัย
4 - ผู้ชม (Audience): โจทย์ที่ท้าทายที่สุดคือการสร้างฐานผู้ชมในประเทศให้เปิดกว้างและเห็นคุณค่าของศิลปะมากขึ้น ซึ่งเป็นแผนระยะยาวที่ต้องอาศัยการบ่มเพาะผ่านระบบการศึกษา เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจสุนทรียศาสตร์ (Aesthetic) อย่างลึกซึ้ง
[ประเทศไทยเป็น ‘World Film Destination’ แล้วหรือยัง?]
ข้อสรุปแรกที่ทั้งสามท่านเห็นตรงกันชัดเจนคือ ขณะนี้ประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้ท้าชิง แต่ได้ก้าวขึ้นมาเป็น ‘World Film Destination’ หรือจุดหมายปลายทางด้านภาพยนตร์ระดับแนวหน้าของโลกแล้ว จาก 3 ปัจจัยหลักคือ Content, Craftsmanship และ Culture & Infrastructure ภาพยนตร์ไทยจึงเปรียบเสมือน ‘ทูตทางวัฒนธรรม’ ที่ทรงพลังที่สุดในการส่งออก ‘ความเป็นไทย’ สู่สายตาชาวโลก
[ภารกิจต่อไป: ทลายกำแพงเชิงระบบ และสร้างรากฐานผู้ชม]
แม้ภาพรวมของอุตสาหกรรมจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีภารกิจสำคัญที่ต้องเดินหน้าต่อ เช่นระบบ ‘One-Stop Service’ ที่ใช้งานได้จริง เพื่อลดความซับซ้อนและอำนวยความสะดวกให้กองถ่ายทำอย่างมีประสิทธิภาพ และภารกิจระยะยาว อย่างการลงทุนกับ ‘คนดู’ ผ่านระบบการศึกษา คือการสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมจากภายในประเทศ เพื่อสร้างตลาดที่แข็งแกร่งและเปิดรับความหลากหลาย
กล่าวโดยสรุปคือ ศักยภาพของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยนั้นมีอยู่สูงในทุกด้าน และสามารถเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน และความสำเร็จที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ก้าวต่อไปคือการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องอำนวยความสะดวก ให้เงินสนับสนุน และปฏิรูปกฎหมาย รวมถึงภาคเอกชนและผู้สร้างสรรค์ที่ต้องพัฒนาคอนเทนต์และบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์กลายเป็นหนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศได้อย่างแท้จริง
#กรมส่งเสริมวัฒนธรรม #กระทรวงวัฒนธรรม

ในที่สุดเราก็จะได้ชม ‘The Girl in the Feather Jacket’ ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของผู้กำกับโฆษณาและช่างภาพแฟชั่นชาวสวิตเซอ...
01/10/2025

ในที่สุดเราก็จะได้ชม ‘The Girl in the Feather Jacket’ ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของผู้กำกับโฆษณาและช่างภาพแฟชั่นชาวสวิตเซอร์แลนด์ ‘อีโว ไวจ์การ์ด’ (Ivo Wejgaard) ที่ได้รับเลือกให้เข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพ (Bangkok International Film Festival) ประจำปีนี้กันแล้ว
อีโว ไวจ์การ์ด เป็นผู้กำกับที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ผ่านการร่วมงานกับแบรนด์ดังระดับโลกมากมาย อีโวใช้เวลาส่วนหนึ่งในการทำงานที่กรุงเทพฯ ทำให้ได้ร่วมงานกับบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงไทยมากมาย ซึ่งนำมาสู่การสร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์เรื่องนี้
‘The Girl in the Feather Jacket’ เป็นผลงานภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของอีโวที่ได้ทำร่วมกับนักแสดงไทย โดยได้ ‘สายป่าน-อภิญญา สกุลเจริญสุข’ และ ‘ปั้นจั่น-ปรมะ อิ่มอโนทัย’ สองนักแสดงมากฝีมือมารับบทนำ
หนังเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มปริศนา ที่เฝ้าติดตามความเป็นอยู่ของ ‘แนน’ หญิงสาวโสเภณีในเมืองกรุง ที่ไร้ที่มาที่ไปพอๆ กับตัวเขา แม้ว่าทั้งคู่จะไม่รู้จักกัน แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ผูกใจของชายหนุ่มไว้ และเขายินดีที่จะปกป้องเธอ แม้ว่าเธอจะไม่รู้ตัวเลยก็ตาม แต่เรื่องราวมันไม่ได้จบแค่นั้น เมื่อมาเฟียท้องถิ่นที่เป็น ‘เจ้าของชีวิต’ แนน ไม่ยอมให้เรื่องราวจบง่ายๆ และสิ่งที่ชายหนุ่มต้องเผชิญ คือการเอาชนะอันธพาลเหล่านั้นไปพร้อมๆ กับการเอาชนะหัวใจของแนน
โดยภาพยนตร์เรื่องนี้จัดจำหน่ายโดย ‘Smalt’ ที่เป็น Boutique Art Distributor น้องใหม่ ที่มีความตั้งใจที่นำเสนอผลงานที่มีความสร้างสรรค์และแปลกใหม่ให้กับตลาดหนังไทย ‘The Girl in the Feather Jacket’ จึงถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจในเทศกาล BKKIFF 2025 โดยจะเข้าฉาย 2 รอบ พร้อมพบกับผู้กำกับ ‘อีโว ไวจ์การ์ด’ ที่จะมาร่วมวงเสวนา Q&A หลังภาพยนตร์จบ
📍 Paragon Cineplex โรง 14
🗓️ 3 ตุลาคม 2568 เวลา 19.00 น.
🗓️ 4 ตุลาคม 2568 เวลา 20.00 น.


#กรมส่งเสริมวัฒนธรรม #กระทรวงวัฒนธรรม

เปิดม่านแล้ว สำหรับ ‘BKKIFF 2025’ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ หลังจากห่างหายไปนานกว่า 16 ปี! ครั้งนี้กลับมาอย่างยิ่งใ...
30/09/2025

เปิดม่านแล้ว สำหรับ ‘BKKIFF 2025’ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ หลังจากห่างหายไปนานกว่า 16 ปี! ครั้งนี้กลับมาอย่างยิ่งใหญ่พร้อมขนหนังคุณภาพกว่า 200 เรื่อง จาก 40 ประเทศ ทั้งหนังรางวัลระดับโลก หนังสั้น สารคดี แอนิเมชัน หนัง World Premiere ยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมภาพยนตร์เอเชียสู่เวทีนานาชาติ!
เทศกาลปีนี้อัดแน่นไปด้วยโปรแกรมที่น่าสนใจมากมาย โดยภาพยนตร์ที่ได้รับเกียรติให้ฉายเปิดเทศกาลคือ ‘ธี่หยด 3’ ภาพยนตร์สยองขวัญสัญชาติไทยที่หลายคนรอคอย โดยจะจัดฉายเป็นรอบปฐมทัศน์โลก (World Premiere) ในงานนี้โดยเฉพาะ เพื่อตอกย้ำการเป็นเวทีผลักดันหนังไทยไปสู่ระดับโลก
และปิดเทศกาลด้วย ‘KOKUHO’ (2025) ภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่สร้างปรากฏการณ์และกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันที่ทำรายได้สูงสุด และได้รับการยกย่องให้เป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ดีที่สุดในรอบหลายปี
พร้อมโปรแกรมฉายอีกมากมาย ทั้งภาพยนตร์เด่นจากนานาชาติที่เดินสายกวาดรางวัลและได้รับเสียงชื่นชมจากเทศกาลหนังระดับโลก เช่น โปรแกรม Special Presentation ที่นำผลงานคุณภาพและทีมผู้สร้างระดับโลกมาพบแฟนหนังชาวไทย ได้แก่ A PALE VIEW OF HILLS, KY NAM INN, LOVE ON TRIAL, THE FOX KING, THE SOUFFLER และ YAKUSHIMA’S ILLUSION
ในส่วนของสายประกวด มีการแข่งขันหลายสาขา ได้แก่
• Main Competition ประกวดภาพยนตร์นานาชาติ ชิงรางวัลสูงสุด 15,000 USD
• New Voices สำหรับผู้กำกับเอเชียรุ่นใหม่ ชิงรางวัล 5,000 USD
• Thai Panorama สำหรับภาพยนตร์ไทยที่ฉายแล้วหรือยังไม่ฉาย ชิง Thai Panorama Audience Award 5,000 USD
• Asian Short Films Competition ประกวดภาพยนตร์สั้นเอเชีย ชิง Asian Short Film Grand Prix 5,000 USD และ Short Film Audience Award 2,000 USD
นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมฉายพิเศษที่สะท้อนความหลากหลายของโลกภาพยนตร์ เช่น Canvas สำหรับแอนิเมชันระดับนานาชาติ, Reel of the World สารคดีจากทั่วโลก, Multicolor หนังร่วมสมัยที่นำเสนอประเด็นใหม่ๆ, Retrospective ย้อนชมผลงานของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล, โปรแกรม Ryusuke Hamaguchi ผู้กำกับรางวัลออสการ์, โปรแกรม Classic ภาพยนตร์คลาสสิกจากต่างประเทศ และ Bangkok Midnight หนังสยองขวัญและทริลเลอร์
เทศกาลจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 กันยายน - 15 ตุลาคม 2568
สามารถไปจับจองที่นั่งได้ทั้ง 5 โรงภาพยนตร์ที่เข้าร่วมเทศกาล
- พารากอน ซีนีเพล็กซ์
- SF World CentralWorld
- House สามย่าน
- Major Sukhumvit
- ลิโด้ คอนเน็คท์
บัตรเข้าชมเริ่มต้นเพียง 150 บาท สำหรับนักเรียน-นักศึกษาเพียง 120 บาท และโปรแกรมพิเศษ Thai Panorama ในราคาสุดพิเศษ 59 บาท
ติดตามรายละเอียดโปรแกรมการฉายได้ที่ Facebook: https://www.facebook.com/bkkiffofficial/
#กรมส่งเสริมวัฒนธรรม #กระทรวงวัฒนธรรม

ก่อน ‘ธี่หยด 3’ จะเข้าฉายในวันพรุ่งนี้ (1 ต.ค.)  BrandThink Cinema ของพาทุกคนมาย้อนรอยการเดินทางของ ‘ธี่หยด’ ตั้งแต่ภาคแ...
30/09/2025

ก่อน ‘ธี่หยด 3’ จะเข้าฉายในวันพรุ่งนี้ (1 ต.ค.) BrandThink Cinema ของพาทุกคนมาย้อนรอยการเดินทางของ ‘ธี่หยด’ ตั้งแต่ภาคแรกว่าผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมาถึงภาคนี้ พร้อมวิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาลหนังผีไทยที่จะสามารถก้าวสู่ระดับนานาชาติได้
**มีสปอยล์เนื้อหา**
หากใครที่ยังไม่ได้เริ่มก้าวเข้าสู่จักรวาล ‘ธี่หยด’ สามารถรับชมภาคแรกและภาคสองได้ทาง Netflix ก่อนที่จะดำดิ่งไปสู่บทสรุปในภาคสาม อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านต้องคำสาป แล้วไปร่วมลุ้นกันว่าเรื่องราวจะจบลงอย่างไรใน ‘ธี่หยด 3’ 1 ตุลาคม นี้ ในโรงภาพยนตร์
#ธี่หยด #ธี่หยด3 #ผี #ผีไทย

BrandThink ชวนเข้าร่วมเวทีเสวนา ‘FILM IS FUTURE’ ที่ชวนมอง ‘ภาพยนตร์ไทย’ ในฐานะ ‘เศรษฐกิจ’ ของประเทศ ว่าด้วยหนังในฐานะ S...
30/09/2025

BrandThink ชวนเข้าร่วมเวทีเสวนา ‘FILM IS FUTURE’ ที่ชวนมอง ‘ภาพยนตร์ไทย’ ในฐานะ ‘เศรษฐกิจ’ ของประเทศ ว่าด้วยหนังในฐานะ Soft Power, ทรัพย์สินทางวัฒนธรรม และแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งอนาคต
และนี่คือ AGENDA ที่จะพาคุณไปเห็นว่า
‘หนังไทย’ ไม่ได้มีแค่บทสนทนา แต่มีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจที่ไม่ควรมองข้าม
เวทีเสวนา ‘Film is Future’
🗓️วันที่ 1 ตุลาคม 2568
🕒 13.30-17.30น.
📍 ICONSIAM | โรงภาพยนตร์ 5 Icon Cineconic, 7th floor
🔗 เข้าร่วมฟรี! ลงทะเบียนเลย: https://forms.gle/qQMDbgUPiisCKQeFA
Roundtable
Movie : The Next Chapter หนังจะเป็นยังไงต่อไป เมื่อผู้ชมไม่ได้อยู่แค่ในโรงฯ
🗓️วันที่ 4 ตุลาคม 2568
🕒 13.00-14.30น.
📍 ICONSIAM | Meeting room 13, 8th floor
🔗 เข้าร่วมฟรี! ลงทะเบียนเลย: https://forms.gle/D3iZst6ELVTiWGbX8
#กรมส่งเสริมวัฒนธรรม #กระทรวงวัฒนธรรม

27/09/2025

ในเมื่อช่วงนี้ฝนตกกระหน่ำไม่พัก ถ้าอย่างงั้นเราลองมาดูความหมายของสายฝนในแบบต่างๆ กับภาพยนตร์ 5 เรื่อง ที่เต็มไปด้วยรสชาติของหยาดฝน ฝนพรำ ฝนโปรยปราย พายุฝนฟ้าคะนอง ไปจนถึงพายุทอร์นาโด ที่จะพาคุณไปสัมผัสกับความหมายของฝนทั้ง 5 แบบกัน
#แนะนำหนัง #หน้าฝน #เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
#ฝนตกขึ้นฟ้า

ภาพยนตร์คือพลังทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ ถึงเวลาแล้วที่เราจะร่วมกันขับเคลื่อนวงการหนังไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกันBran...
26/09/2025

ภาพยนตร์คือพลังทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่
ถึงเวลาแล้วที่เราจะร่วมกันขับเคลื่อนวงการหนังไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน
BrandThink ชวนเจาะลึกทุกมิติของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในงาน Bangkok International Film Festival 2025 กับ 3 Sessions สุดเข้มข้นบนเวทีเสวนา ‘Film is Future’ วันที่ 1 ตุลาคมนี้ ที่ ICONSIAM
[Session 1]
Film x Economy: ชวนมองภาพยนตร์ในฐานะสินทรัพย์ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ผ่านมุมมองของผู้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย อาทิ
✔️ ยงยุทธ ทองกองทุน - อดีตผู้อำนวยการฝ่ายคอนเทนต์ประจำประเทศไทยของ Netflix
✔️ ดร.ชาคริต พิชญางกูร - ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
✔️ หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล - อดีตประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ (THACCA)
✔️ ดำเนินรายการโดย: จักรพันธุ์ ขวัญมงคล - Head of Publisher Business ของ BrandThink
[Session 2]
Thailand as Film Destination: ชวนแลกเปลี่ยนมุมมองกับเสน่ห์ของ Hyper Local Content และการผลักดันให้ไทยเป็นหมุดหมายการถ่ายทำระดับโลก ผ่านสายตาผู้กำกับและทีมสร้างภาพยนตร์ อาทิ
✔️ กฤษดา วิทยาขจรเดช - ผู้กำกับแมนสรวง และผู้บริหารค่าย BeOnCloud
✔️ ศราวุธ แก้วน้ำเย็น - Pantang Artwork Production Designer
✔️ ธิติ ศรีนวล - ผู้กำกับ สัปเหร่อ และผู้ให้กำเนิดจักรวาลไทบ้าน
✔️ อนุชา บุญยวรรธนะ - อดีตนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย
✔️ ดำเนินรายการโดย: นคร โพธิ์ไพโรจน์ - คอลัมนิสต์วงการภาพยนตร์ และโปรดิวเซอร์อิสระ
[Session 3]
When Movies Move Brand Impact: สำรวจพลังของภาพยนตร์ในการสร้างคุณค่าให้แบรนด์ ผ่านมุมมองของแบรนด์ เอเจนซี่ และผู้วางกลยุทธ์ อาทิ
✔️ ภาคย์ วรรณศิริ - CCO จาก VML Thailand
✔️ ชวนา แพร่ศรีสกุล - Chief Strategy and Services Officer จาก BrandThink
✔️ ดำเนินรายการโดย: เพิท-พงษ์ปิติ ผาสุขยืด - Founder & CEO - AD ADDICT
พร้อม Roundtable สุดพิเศษในหัวข้อ ‘The Next Chapter: หนังจะเป็นยังไงต่อไป เมื่อผู้ชมไม่ได้อยู่แค่ในโรงฯ’ ที่จะชวนผู้เชี่ยวชาญจากโรงภาพยนตร์ ผู้กำกับ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และนักแสดง มาพูดคุยถึงทิศทางของหนังไทยเมื่อผู้ชมไม่ได้อยู่แค่ในโรงภาพยนตร์อีกต่อไป
✔️ สุภาพ หริมเทพาธิป - หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Doc Club & Pub
✔️ ศิวโรจณ์ คงสกุล - ผู้กำกับภาพยนตร์
✔️ เอกลักญ กรรณศรณ์ - MD จาก BrandThink และผู้กำกับภาพยนตร์ RedLife
✔️ ภูมิภัทร ถาวรศิริ - นักแสดง และเลขานุการ สมาคมนักแสดงแห่งประเทศไทย (TOSAA)
และตัวแทนจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์อีกมากมาย
มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างระบบนิเวศภาพยนตร์ที่แข็งแกร่งไปด้วยกัน
เวทีเสวนา ‘Film is Future’
🗓️วันที่ 1 ตุลาคม 2568
🕒 12.30-17.30น.
📍ณ โรง 5, ICON CINECONIC ชั้น 7 ICONSIAM
Roundtable: The Next Chapter
🗓️วันที่ 4 ตุลาคม 2568
🕒 13.00-14.30น.
📍 ICONSIAM
🔗 เข้าร่วมฟรี! ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ เร็วๆ นี้
#กรมส่งเสริมวัฒนธรรม #กระทรวงวัฒนธรรม

วงการภาพยนตร์สั้นไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อ Documentary Club และ ECCA Family Foundation ประกาศจัดงาน ‘Inspiring Asia ...
26/09/2025

วงการภาพยนตร์สั้นไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อ Documentary Club และ ECCA Family Foundation ประกาศจัดงาน ‘Inspiring Asia Micro Film Festival 2025 – Inspiring Thailand เทศกาลหนังสั้นเพื่อสังคมระดับประเทศ ซึ่งปีนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อที่ท้าทายและมีความสำคัญต่อสังคมปัจจุบัน นั่นคือ ‘สุขภาพจิตเยาวชน’ (Youth Mental Well-being) โดยงานจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2568 นี้ ณ โรงภาพยนตร์ HOUSE SAMYAN สามย่านมิตรทาวน์
Inspiring Asia Micro Film Festival เป็นเทศกาลระดับนานาชาติที่ริเริ่มขึ้นในสิงคโปร์เมื่อปี 2021 โดยเป็นพื้นที่เชื่อมโยงนักเล่าเรื่องเข้ากับนักขับเคลื่อนสังคม เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกผ่านผลงานภาพยนตร์ และเปิดโอกาสให้คุณขยาย ‘เสียง’ ของท้องถิ่นไปทั่วเอเชียและไกลกว่านั้น พร้อมสร้างเครือข่ายกับองค์กร ผู้สนับสนุนด้วยเงินรางวัลสูงสุดมากกว่า 3 ล้านบาท
โดยในปีนี้เทศกาลได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้สร้างภาพยนตร์รุ่นใหม่ทั่วประเทศ มีผลงานส่งเข้าประกวดรวมทั้งสิ้น 243 เรื่อง แบ่งเป็นสาขาหนังสั้นยอดเยี่ยม (Best Micro Film Award) ถึง 229 เรื่อง ซึ่งถือเป็นจำนวนสูงสุดในระดับภูมิภาคเอเชียประจำปีนี้ และสาขาโครงการเพื่อสังคมยอดเยี่ยม (Best Project Award) อีก 14 โครงการ โดยนอกเหนือจากประเทศไทยแล้ว Inspiring Asia Micro Film Festival 2025 ยังมีผู้เข้าร่วมจากประเทศต่างๆ ได้แก่ จีน, อินโดนีเซีย, มองโกเลีย, สิงคโปร์, เวียดนาม และอื่นๆ ที่มาช่วยทำหน้าที่เปิดประตูให้แก่เสียงเล็กๆ ของผู้คนในท้องถิ่น เพื่อที่จะมีโอกาสได้เปล่งประกายบนเวทีระดับทวีป
สำหรับกิจกรรมในวันที่ 28 กันยายนนี้ จะมีการจัดฉายภาพยนตร์สั้นที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารอบสุดท้ายจำนวน 16 เรื่องให้ผู้ที่สนใจได้รับชม ก่อนจะเข้าสู่ช่วงสำคัญคือการประกาศผลและมอบรางวัลใน 2 สาขาหลัก ได้แก่ Best Micro Film Award และ Best Project Award นอกจากนี้ ยังมีรางวัลพิเศษ Audience Award ที่ผู้ชมภายในงานสามารถมีส่วนร่วมโหวตให้กับภาพยนตร์ที่ชื่นชอบได้
🗓️28 กันยายน 2568 14.00-17.00 น. (ลงทะเบียนได้ตั้งแต่ 13.30 น.)
📍HOUSE SAMYAN ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์



ในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์มีผลงานไม่กี่เรื่องที่สามารถเปลี่ยนทิศทางของศิลปะแขนงนี้ไปได้อย่างสิ้นเชิง หนี่งในนั้นก็คือ ...
26/09/2025

ในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์มีผลงานไม่กี่เรื่องที่สามารถเปลี่ยนทิศทางของศิลปะแขนงนี้ไปได้อย่างสิ้นเชิง หนี่งในนั้นก็คือ ‘À bout de souffle’ หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘Breathless’ ผลงานการกำกับเรื่องแรกของฌ็อง-ลุก โกดาร์ (Jean-Luc Godard) ที่ออกฉายในปี 1960 ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงหนังอาชญากรรมธรรมดา แต่มันคือการทุบทำลายขนบเดิมๆ และเป็นกุญแจสู่ประตูแห่งคลื่นลูกใหม่ของวงการภาพยนตร์ฝรั่งเศส หรือ ‘French New Wave’ ที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไปตลอดกาล
‘Breathless’ ถือเป็นภาพยนตร์ที่มีความยิ่งใหญ่ในระดับหมุดหมายแห่งยุค มีประโยคหนึ่งที่ว่า หนังมีเพียงสองยุคเท่านั้น คือ pre-Breathless และ post-Breathess นั่นแสดงถึงความสำคัญของผลงานอมตะชิ้นนี้
‘Breathless’ เล่าเรื่องราวของ ‘มิเชล ปัวการ์’ (รับบทโดย ฌ็อง-ปอล เบลมอนโด) อาชญากรหนุ่มผู้มี ‘ฮัมฟรีย์ โบการ์ต’ เป็นไอดอล เขาขโมยรถและพลั้งมือยิงตำรวจเสียชีวิตระหว่างทางไปปารีส เมื่อมาถึงเมืองหลวง เขาได้พบกับ ‘แพทริเซีย ฟรานชินี’ (รับบทโดย จีน ซีเบิร์ก) นักเรียนสาวชาวอเมริกันผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักข่าวและหาเลี้ยงชีพด้วยการขายหนังสือพิมพ์ New York Herald Tribune บนถนนฌ็องเซลิเซ
มิเชลพยายามเกลี้ยกล่อมให้แพทริเซียหนีไปอิตาลีกับเขา ขณะเดียวกันก็ต้องคอยหลบหนีตำรวจที่กำลังตามล่าตัว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เต็มไปด้วยบทสนทนาปรัชญา ความเจ้าชู้ ความไม่แน่นอน และการหักหลังที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมในตอนท้าย
ตลอดทั้งเรื่องเราจะสังเกตได้ว่าตัวละครหลักอย่างแพทริเซียกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางอัตถิภาวนิยม (Existentialism) เธอเป็นตัวแทนของผู้หญิงสมัยใหม่ที่โหยหาอิสระและไม่ขึ้นกับใคร แต่ก็ยังค่อนข้างสับสนและค้นหาตัวเองอยู่ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอรักเขา หรือเธอต้องการให้เขารักเธอหรือไม่ หรือแม้กระทั่งคำถามที่เธอพึมพำกับตัวเอง "ฉันไม่มีความสุขเพราะฉันไม่เป็นอิสระ หรือฉันไม่เป็นอิสระเพราะฉันไม่มีความสุข?"
ในขณะเดียวกัน มิเชลเป็นเหมือนอีกขั้วของเธอ บทมิเชลได้สร้างภาพลักษณ์ของ ‘แอนตี้ฮีโร่’ เป็นภาพสะท้อนของความขบถต่อสังคมและโชคชะตา เปิดเรื่องมิเชลก็พูดตั้งแต่ประโยคแรกเลยว่า “After all, I'm an as***le. After all, yes, I've got to. I've got to!” มันคือคำปฏิญาณที่จะใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณดิบ โดยไม่สนอดีตหรืออนาคต และการเจอกันของทั้งคู่จึงไม่ใช่แค่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่คือการปะทะกันระหว่างสองขั้วปรัชญา กลางเมืองใหญ่ที่วุ่นวายแต่เปลี่ยวเหงา
ฉากการพูดคุยกันในห้องพักของแพทริเซีย จึงไม่ใช่แค่การเกี้ยวพาราสี แต่คือสมรภูมิทางความคิด เมื่อแพทริเซียยกประโยคจากนวนิยายของวิลเลียม ฟอล์กเนอร์ ที่ว่า "Between grief and nothing, I will take grief." (ระหว่างความเศร้ากับความว่างเปล่า ฉันขอเลือกความเศร้า) เธอถามมิเชลว่าเขาเลือกอะไรระหว่างสองอย่างนี้ มิเชลตอบอย่างไม่ลังเลว่าเขาเลือก ‘ความว่างเปล่า’ ซึ่งก็บ่งบอกตัวตนของเขาอย่างชัดเจน คือการปฏิเสธความผูกพัน ความเสียใจ และภาระทางอารมณ์ทั้งปวง แต่แพทริเซียกลับแย้งแนวคิดนี้ เธอหลับตาแล้วบอกว่า "ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน มันก็ไม่มีทางมืดสนิท" เป็นการปฏิเสธความสุดโต่งของมิเชลอยู่นัยๆ เพราะในความเป็นมนุษย์ แม้ในความมืดมิดที่สุด เราก็ยังคงมองเห็นแสงรำไรของความรู้สึกอยู่เสมอ เธอไม่อาจยอมรับความว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์ได้
สิ่งที่ทำให้ ‘Breathless’ เป็นตำนานไม่ใช่แค่เนื้อเรื่อง แต่เป็น ‘วิธีการเล่าเรื่อง’ ที่โกดาร์นำมาใช้ เขาท้าทายกฎเกณฑ์การสร้างภาพยนตร์แบบฮอลลีวูดอย่างสิ้นเชิงด้วยเทคนิคอย่างเช่น jump cut ที่เป็นเทคนิคที่โดดเด่นที่สุดของเรื่อง โกดาร์ตัดต่อฉากโดยจงใจทำให้ภาพกระตุกและไม่ต่อเนื่อง เพื่อสร้างความรู้สึกที่เร่งรีบ วุ่นวาย และสะท้อนสภาวะจิตใจที่ไม่มั่นคงของตัวละคร รวมถึงการใช้กล้องมือถือถ่ายทำไปตามท้องถนนจริงในกรุงปารีส ต่างจากหนังในยุคนั้นที่มักถ่ายทำในสตูดิโอที่จัดฉากไว้อย่างประณีต
โครงสร้างของ ‘Breathless’ นั้นก็ไร้รูปแบบ การถ่าย long take ที่ปล่อยให้บทสนทนาที่ดูเหมือนจะไร้สาระกินเวลาไปอย่างไร้จุดหมาย โดยเฉพาะฉากในห้องนอนที่ยาวเกือบ 25 นาที ถือเป็นการท้าทายกฎที่ว่าหนังต้องเดินเรื่องไปข้างหน้าตลอดเวลา แต่สำหรับโกดาร์เขาให้ความสำคัญใน ‘ห้วงขณะ’ มากกว่า ‘เส้นเรื่อง’
มิเชลและแพทริเซียก็ไม่ใช่ตัวละครที่มีมิติทางจิตวิทยาตามตำรา พวกเขาพูดจาไม่ปะติดปะต่อ เปลี่ยนใจไปมาอย่างไม่มีเหตุผล โกดาร์แสดงให้เห็นว่ามนุษย์จริงๆ นั้นยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยความขัดแย้ง หรือในบางฉาก มิเชลจะหันมาพูดกับคนดูโดยตรง ซึ่งเป็นการทำลายเส้นแบ่งระหว่างโลกของภาพยนตร์และความเป็นจริง ที่เรียกว่า Breaking the Fourth Wall ซึ่งเป็นเทคนิคที่ล้ำสมัยและน่าทึ่งมากในยุคนั้น
‘Breathless’ ถือเป็นแถลงการณ์ของคนทำหนังที่ปฏิเสธจะก้มหัวให้ตำรา มันคือการสำรวจความเจ็บปวดของการมีอยู่ การเลือก และอิสรภาพ ในโลกที่กฎเกณฑ์เก่าๆ พังทลายลง และกลายเป็นใบอนุญาตให้คนทำหนังรุ่นหลังกล้าที่จะตั้งคำถาม ท้าทายขนบเดิมๆ และเปลี่ยนแนวคิดการทำหนังไปตลอดกาล
และสิ่งที่โกดาร์ได้สร้างเอาไว้ใน ‘Breathless’ เรื่องเล่าระหว่างการกำเนิดของ genre ใหม่ของภาพยนตร์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าการเล่าเรื่องไปทั้งหมดนั้นได้รับการถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์อีกครั้ง ใน ‘Nouvelle Vague’ ภาพยนตร์ของริชาร์ด ลิงเคลเตอร์ (Richard Linklater - ‘Before Trilogy’, ‘Boyhood’) ที่เล่าเรื่องเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ของฌ็อง-ลุก โกดาร์ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่จุดประกายกระแส French New Wave และกำลังจะสตรีมลง Netflix ปลายเดือนกันยายนนี้
#แนะนำหนัง
#ภาพยนตร์ฝรั่งเศส

ที่อยู่

Bangkok
10400

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ BrandThink Cinemaผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง BrandThink Cinema:

แชร์