The Red Line Safety Roads, Take Me Home.

เมืองราชบุรี “รณรงค์ขับขี่ปลอดภัย - ควบคู่บังคับใช้กฎหมาย” เดินหน้าภารกิจทีมอำเภอเสี่ยงต้นแบบ ลดอุบัติเหตุทางถนนความท้าท...
14/08/2025

เมืองราชบุรี “รณรงค์ขับขี่ปลอดภัย - ควบคู่บังคับใช้กฎหมาย” เดินหน้าภารกิจทีมอำเภอเสี่ยงต้นแบบ ลดอุบัติเหตุทางถนน
ความท้าทายในการลดอุบัติเหตุ และผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน คือลดการเกิดเหตุในพื้นที่ “อำเภอเสี่ยงสูง” ซึ่งทั่วทั้งประเทศไทยมีอยู่ 222 อำเภอ (จากทั้งหมด 878 อำเภอ) เนื่องจากผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มากถึง 60% เกิดขึ้นในพื้นที่เหล่านี้
อ.เมือง จ.ราชบุรี นับเป็น 1 ในอำเภอเสี่ยงสูง ที่ได้ดำเนินมาตรการลดและป้องกันอุบัติเหตุในพื้นที่ และได้รับคัดเลือกเป็นทีมอำเภอเสี่ยงต้นแบบ จากการเดินหน้าตรวจจับผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยที่เพิ่มมากขึ้น 31.4% จาก 7,490 ราย ในปี 2566 เพิ่มเป็น 10,931 ราย ในปี 2567: 10,931 ราย (เพิ่มขึ้น 31.4%) ทำให้เพิ่มอัตราสวมหมวกได้ถึง 60.6%
ขณะที่ ในภาพรวมสามารถลดผู้เสียชีวิตลง 4 ราย จาก 39 ราย ในปี 2566 เป็น 35 ราย ในปี 2567
‘พ.ต.อ.นฤดม มารศรี’ รอง ผบก.ภ.จว.ราชบุรี บอกว่า ก่อนเริ่มดำเนินมาตรการลดอุบัติเหตุอย่างเข้มข้น พื้นที่อำเภอเมืองราชบุรี นับว่ามีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนค่อนข้างสูง เฉลี่ยเดือนละ 20 ราย หรือประมาณ 250 ต่อปี อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าการลดอุบัติเหตุนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของตำรวจ แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงขนส่ง ฝ่ายปกครอง ฝ่ายสาธารณสุข และฝ่ายการศึกษา ที่ผ่านมาได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้น มาให้ข้อมูลและประสานการทำงานร่วมกัน ทั้งการแก้ไขจุดเสี่ยงและวางมาตรการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยง
สำหรับในกลุ่มเด็กและเยาวชนซึ่งถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญนั้น พ.ต.อ.นฤดม กล่าวว่า แม้จะมีคำพูดว่าในโรงเรียนเป็นหน้าที่ของคุณครู นอกโรงเรียนเป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่ก็ได้มีการโครงการร่วมกันคือ “ปิดโรงเรียน เปิดโรงรถ” และ “สวมหมวกนิรภัย 100%” โดยส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปประจำหน้าโรงเรียน 2 สัปดาห์ เพื่อเก็บข้อมูลการสวมหมวกกันน็อก และการทำ พ.ร.บ. เป้าหมายคือการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และทำให้เกิดภาพจำในสังคม ทั้งการสวมหมวกกันน็อกและการทำ พ.ร.บ. 100%
ด้าน ‘พ.ต.ท.ณัฎฐ์ ชูแก้ว’ รอง ผกก.จร.สภ.ราชบุรี กล่าวเสริมว่า โครงการที่เข้าไปดำเนินการในโรงเรียนนำร่อง ซึ่งปัจจุบันดำเนินการมาถึงเฟสที่ 3 รวม รร.ที่เข้าร่วม 6 แห่ง มุ่งเน้นนักเรียนผู้ปกครองในพื้นที่ อ.เมือง สวมหมวกกันน็อกเมื่อขับขี่ เพราะช่วยลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตได้ ส่วนการทำ พ.ร.บ. 100% นั้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุก็จะได้รับการเยียวยา ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่ตำรวจภูธรภาค 7 เริ่มต้นนำร่อง ก่อนมีการขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ
ขณะเดียวกัน สภ.เมืองราชบุรี ยังได้มีการดำเนินโครงการถนนปลอดภัยเมืองราชบุรี เริ่มต้นในปี 2566 กำหนด “คลีนนิ่งโซน” สั่งการให้ สภ.ในสังกัดดำเนินการ นำร่องถนนไกรเพชร ความยาว 700 เมตร มีแยกไฟแดง 4 จุด (จัดตำรวจประจำอย่างน้อยแยกละ 2 นาย) และมีโรงเรียน 4 แห่ง โดยการดำนเนินงานแบ่งออกเป็น
ระยะประชาสัมพันธ์ มีการพูดคุยกับนายกเทศมนตรี จัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ เน้นข้อความสื่อสารคนขับและซ้อนมอเตอร์ไซค์ ให้สวมหมวกกันน็อก 100% รวมถึงป้ายเตือนค่าปรับคนขับไม่เกิน 2,000 บาท คนขับปรับสูงกว่า 2 เท่า และป้ายห้ามฝ่าฝืนกฎจราจร ซึ่งในระยะนี้จะเริ่มว่ากล่าวตักเตือนผ่านระบบ PPM และแจกหมวกให้คนที่ไม่ใส่ จากนั้นจะเข้าสู่ระยะดำเนินการ (ควบคุมเข้มข้น) เน้นดำเนินการตามกฎหมาย
“ภายหลังดำเนินมาตรการเข้มข้น สามารถลดจำนวนอุบัติเหตุลงได้ จากก่อนดำเนินการ 25 ราย เหลือเพียง 2 ราย เช่นเดียวกับการสวมหมวกกันน็อก ก่อนดำเนินการไม่ใส่ถึง 258 ราย แต่ภายหลังพบเพียง 31 ราย”
นอกจากนี้ สภ.เมืองราชบุรี ยังได้อาศัยเวทีประชุม อบต. ประจำเดือน สื่อสารงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนน ร่วมวิเคราะห์และลงพื้นที่จุดเกิดเหตุทุกเคสที่มีผู้เสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุเล็กหรือใหญ่
นอกจากนี้ ตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี ยังได้อาศัยเวทีประชุม อบต. ประจำเดือน สื่อสารงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนน ร่วมวิเคราะห์และลงพื้นที่จุดเกิดเหตุทุกเคสที่มีผู้เสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุเล็กหรือใหญ่
นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เน้นย้ำถึงความท้าทายว่า ขณะนี้เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 2 ปี ในการบรรลุเป้าหมายลดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเหลือ 12 ต่อแสนประชาการ แต่ปัจจุบันเรายังห่างไกลเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยทีดีอาร์ไอได้ประมาณการตัวเลขความสูญเสียทางเศรษฐกิจ การบาดเจ็บและตายจากอุบัติเหตุทางถนน คิดเป็น 5% ของจีดีพีเลยทีเดียว อีกเรื่องที่น่าห่วงคือกลุ่มที่สูญเสียเป็นวัยเจริญเติบโต ท่ามกลางประชากรสังคมไทยที่เกิดน้อยลง
“ในเรื่องการลดและป้องกันอุบัติเหตุทางถนน หากพูดถึงบทบาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาจมองคล้ายว่าเป็นด่านสุดท้ายในการบังคับใช้กฎหมาย แต่ด้วยนิสัยของคนไทยที่ส่วนใหญ่ไม่เคารพกฎหมาย ดังนั้น การดำเนินงานต้องมุ่งเน้นทำอย่างครอบคลุม ทำให้ครบวงจรทุกปัจจัยเสี่ยง ทั้งคน รถ และถนน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็นับว่ามีส่วนสำคัญมาก ในการสื่อสารและรณรงค์ให้ประชาชน ตระหนักถึงความสำคัญในการขับขี่เคารพกฎจราจร” นพ.ศิริวัฒน์ กล่าว
#อำเภอเสี่ยงสูง #อำเภอเมืองราชบุรี #ราชบุรี #อุบัติเหตุทางถนน #ขับขี่ปลอดภัย #ถนนปลอดภัย #สสส #สอจร

อ.เมืองตาก สั่งลุย “เคาะประตูบ้าน” ขับขี่ต้องสวมหมวกกันน็อก ใครฝ่าฝืนอดได้เงินกองทุนหมู่บ้านอ.เมืองตาก จ.ตาก เป็นหนึ่งใน...
13/08/2025

อ.เมืองตาก สั่งลุย “เคาะประตูบ้าน” ขับขี่ต้องสวมหมวกกันน็อก ใครฝ่าฝืนอดได้เงินกองทุนหมู่บ้าน
อ.เมืองตาก จ.ตาก เป็นหนึ่งในพื้นที่ “อำเภอเสี่ยงสูงมาก” จากอุบัติเหตุทางถนน นำไปสู่การประกาศวาระเร่งด่วนของจังหวัด ภายใต้มาตรการ “สวมหมวกกันน็อก 100%” โดยหน่วยงานรัฐร่วมกับภาคเอกชน และรณรงค์สู่ประชาชนในพื้นที่
นอกจากนี้ ยังมีการลงนามความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดำเนิน 3 มาตรการ เพื่อลดและป้องกันอุบัติเหตุทางถนน ในพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง ประกอบด้วย

1) ประกาศมาตรการสวมหมวกกันน็อก 100%
2) กำหนดเขตพื้นที่ควบคุมวินัยจราจร ติดตั้งป้ายเตือน
3) รณรงค์ปฏิบัติตามกฎจราจร
‘นายศิวัธน์ วงศ์ยุทธนนท์’ ปลัดอำเภอเมืองตาก กล่าวว่า อ.เมืองตาก ใช้เวทีประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กำหนดแผนงานดำเนินการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน โดยให้แต่ละพื้นที่จัดทำธรรมนูญตำบล ออกแบบตามบริบทของตัวเอง พร้อมทั้งผนวกการเคาะประตูบ้านสื่อสาร ร่วมกับกิจกรรมตรวจเยี่ยมผู้ป่วยจิตเวช โดยเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน เช่น การขับขี่สวมหมวกกันน็อก และเมาไม่ขับ เป็นต้น
นายศิวัธน์ บอกว่า หลังการสื่อสารกับชาวบ้านในพื้นที่แล้ว กรณีผู้ที่ไม่ทำตามธรรมนูญชุมชน นอกจากการตักเตือนให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว ยังอาจให้ร่วมบำเพ็ญประโยชน์ด้วย แต่หากผิดซ้ำครั้งที่สองหรือมากกว่านั้น ก็จะพิจารณาไม่ให้ความช่วยเหลือทางสังคม เช่น ไม่อนุมัติเงินกองทุนหมู่บ้าน หรือหากเป็นพฤติกรรมเสี่ยงร้ายแรง ก็อาจถึงขั้นแจ้งตำรวจ
‘นายสมเกียรติ ชื่นอยู่’ นายอำเภอเมืองตาก เสริมว่า ในการกวดขัดวินัยจราจร จะมีการตั้งด่านครอบครัว เน้นเริ่มต้นสื่อสารกับผู้ใหญ่ในบ้าน เพื่อนำไปบอกต่อสมาชิกและลูกหลาน เป็นการสื่อสารแบบบอกต่อในครอบครัว เพื่อให้วัยรุ่นรับฟังจากคนที่ให้ความเคารพ
ส่วนบทบาทในด้านการบังคับใช้กฎหมายนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ มีการกำหนดให้แต่ละโรงพัก มีจุดตรวจและบังคับใช้กฎหมาย 100% โดยการตั้งด่านทุกครั้งต้องทำตามข้อกฎหมาย ปฏิบัติตามหลักการตรวจค้น การออกใบสั่ง และการเป่าแอลกอฮอล์
ที่ผ่านมาหากผู้ขับขี่ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร เจ้าหน้าที่จะใช้ระบบว่ากล่าว (เข้าระบบ PPM) ซึ่งจะไม่สามารถว่ากล่าวซ้ได้ ดังนั้น หากทำผิดซ้ำจะมีการปรับตามระบบ โดยตั้งแต่ 1 มิ.ย. 2568 กำหนดราคาปรับสูงสุด เช่น ข้อหาขับรถไม่คำนึงถึงความปลอดภัย และแข่งรถในทาง ปรับสูงสุด 2,000 บาท
ด้าน ‘นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร’ ผู้จัดการแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการอำเภอเสี่ยงสูง เน้นย้ำว่า การลดอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน โจทย์ที่ยากที่สุดคือการลดการเกิดเหตุในพื้นที่อำเภอเสี่ยงสูง 222 แห่ง เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตในพื้นที่เหล่านี้ คิดเป็น 60% ของทั้งประเทศ ซึ่งพื้นที่ที่ท้าทายที่สุดก็คือ อ.เมือง หากช่วยกันลดการตายในจุดนี้ลงได้ ก็จะช่วยลดยอดผู้เสียชีวิตโดยรวมได้เยอะ
“ถ้าพวกเราลดตัวเลขการตาย ในเขตอำเภอเมืองลงสักครึ่งหนึ่ง จะช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายลดตาย เหลือ 12 ต่อแสนประชากร ได้เร็วมากขึ้น ซึ่งการจะทำได้จำเป็นต้องอาศัย แนวคิด Safe System Approach เป็นแนวทางในการจัดการความปลอดภัยบนท้องถนน เพื่อมุ่งสู่ Vision Zero การตายเป็นศูนย์ในอนาคต” นพ.อนุชา กล่าว
#อำเภอเสี่ยงสูง #อำเภอเมืองตาก #อุบัติเหตุทางถนน #ขับขี่ปลอดภัย #ถนนปลอดภัย #สสส #สอจร

สุดเจ๋ง! อ.ปาย ใช้ CCTV วิเคราะห์จุดเสียว - พฤติกรรมเสี่ยง ลุย “สอบสวนอุบัติเหตุ” ลดความสูญเสียอ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เมืองท...
01/08/2025

สุดเจ๋ง! อ.ปาย ใช้ CCTV วิเคราะห์จุดเสียว - พฤติกรรมเสี่ยง ลุย “สอบสวนอุบัติเหตุ” ลดความสูญเสีย
อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศไทย ด้วยลักษณะทางกายภาพของพื้นที่มีความลาดชัน ประกอบกับการสัญจรที่หนาแน่น ของทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ทำให้ อ.ปาย เป็นหนึ่งใน 222 อำเภอเสี่ยงสูงจากอุบัติเหตุทางถนน เพื่อลดจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต หน่วยงานและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ได้ดำเนินโครงการจัดระเบียบจราจร เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ครอบคลุมทุกพื้นที่ในเขตเทศบาลตำบลปาย
จากการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ อ.ปาย สามารถลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนลงได้ จากจำนวนผู้เสียชีวิต 11 ราย ในปี 2566 เหลือ 4 รายในปี 2567 และปี 2568 คณะทำงานตั้งเป้าไม่ให้เกิน 3 ราย นับเป็นความท้าทายที่ต้องร่วมกันสกัดกั้นการเกิดอุบัติเหตุให้ลดน้อยลง
นายณพล พาหุมันโต นายอำเภอปาย กล่าวว่า อุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เกิดขึ้นจากทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งในส่วนของชาวบ้านในพื้นที่นั้น นอกจากคนไทยและชาวชาติพันธุ์แล้ว ยังมีประชากรแฝงจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงานด้วย กลุ่มนี้มีปัญหาการใช้รถสภาพไม่พร้อม ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนใหญ่มาเช่ารถจักรยานยนต์ขับเที่ยว แต่ไม่มีทักษะหรือความชำนาญในการขับขี่ และไม่รู้เส้นทางทำให้เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ
“นอกจากการตั้งด่านกวดขันวินัยจราจร ปายยังเน้นสร้างความตระหนักรู้ไปพร้อมกันด้วย โดยเฉพาะเรื่องการสวมหมวกกันน็อกที่รณรงค์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ส่วนในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการรถเช่า และจัดทำข้อมูลแจ้งเตือนการขับขี่เป็นภาษาต่างประเทศ” นายณพล กล่าว
เทศบาลตำบลปาย อธิบายขึ้นตอนการดำเนินโครงการจัดระเบียบจราจร เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เริ่มต้นจากการสำรวจจุดเสี่ยง โดยใช้รายงานประจำเดือนของหน่วยกู้ชีพเทศบาลตำบลปาย และวิเคราะห์จุดเสี่ยงเพื่อดำเนินการแก้ไขและป้องกัน ยังได้มีการนำข้อมูลภาพจากกล้อง CCTV ที่ติดตั้งครอบคลุมทุกพื้นที่ มาวิเคราะห์พฤติกรรมเสี่ยงในการขับขี่ และวางแผนทำงานแก้ไขได้อย่างตรงจุด รวมถึงจัดทำคู่มืออบรมการขับขี่ปลอดภัย สำหรับผู้ประกอบการรถเช่าและกลุ่มเยาวชน
ด้าน ‘นางจันทร์ทิพย์ มีชัย’ คณะกรรมการ ศปถ.อ.ปาย กล่าวถึงข้อมูลวิเคราะห์อุบัติเหตุของอำเภอปาย ว่า ในปี 2568 เดือน ม.ค. - มิ.ย. เกิดอุบัติเหตุ 858 ครั้ง เกิดขึ้นกับคนไทย 313 ครั้ง ต่างชาติ 501 ครั้ง ชาวเมียนมา 44 ครั้ง ยานพหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด (มากกว่า 95%) คือ รถจักรยานยนต์ ที่น่าสนใจคือส่วนใหญ่เกิดขึ้นแบบไม่มีคู่กรณี และมากกว่าครึ่งไม่สวมหมวกกันน็อก ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
“นอกจากการไม่สวมหมวกกันน็อก หรือไม่คาดเข็มขัดนิรภัยแล้ว พบว่า พฤติกรรมเสี่ยงในกลุ่มคนไทยคือใช้ความเร็วสูงเพราะชินเส้นทาง ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ แม้จะขับช้ากว่าแต่เพราะความไม่ชำนาญ จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย” นางจันทร์ทิพย์ กล่าว
นางจันทร์ทิพย์ บอกว่า จุดเด่นของปายคือการมีผู้นำที่เข็มแข็งและให้ความร่วมมือ ซึ่งในส่วนของสาธารณสุขนั้น นอกจากการสืบสวนเคสอุบัติเหตุและวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว ยังมุ่งเน้นการลดอัตราเสียชีวิต ลดภาวะแทรกซ้อน โดยฝึกอบรมให้ทีมกู้ชีพมีความรู้และทักษะที่เชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตได้มากขึ้น
ปัจจุบันประเทศไทยมี “อำเภอเสี่ยงสูง” จากอุบัติเหตุทางถนน 222 แห่ง ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนมากกว่า 60% เกิดขึ้นในพื้นที่เหล่านี้ ดังนั้น หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่าย สามารถลดการตายในอำเภอเสี่ยงสูงลงได้ ก็จะช่วยลดความสูญเสียของประเทศให้น้อยลงได้ และขยับเข้าใกล้เป้าหมายลดจำนวนผู้เสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือ 12 ต่อแสนประชากร หรือ 8,478 คน ในปี 2570
#อำเภอเสี่ยงสูง #ปาย #อุบัติเหตุทางถนน #ขับขี่ปลอดภัย #ถนนปลอดภัย #สสส #สอจร

ปักหมุด “ซาแธมป์ตันเมืองไทย” ต้นแบบลดตายอุบัติเหตุทางถนน ดัน อ.แม่จัน หลุดอำเภอเสี่ยงสูง ตำรวจลุยปราบแว้นซิ่ง - เปิด Ope...
31/07/2025

ปักหมุด “ซาแธมป์ตันเมืองไทย” ต้นแบบลดตายอุบัติเหตุทางถนน ดัน อ.แม่จัน หลุดอำเภอเสี่ยงสูง ตำรวจลุยปราบแว้นซิ่ง - เปิด Open Chat แจ้งเหตุด่วน 24 ชม.
ในการลงพื้นที่สรุปบทเรียน โครงการลดอุบัติเหตุจากการใช้รถจักรยานยนต์เพื่อมุ่งสู่อำเภอขับขี่ปลอดภัย ณ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
‘นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร’ ผู้จัดการแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการอำเภอเสี่ยงสูง เปิดเผยว่า ทั่วทั้งประเทศไทยมีอำเภอเสี่ยงสูงประมาณ 222 แห่ง ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนมากกว่า 60% เกิดขึ้นในพื้นที่เหล่านี้ ดังนั้น หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่าย สามารถลดการตายในอำเภอเสี่ยงสูงลงได้ ก็จะช่วยลดอัตราตายในภาพรวมของประเทศให้น้อยลง และขยับเข้าใกล้เป้าหมายลดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน เหลือ 12 ต่อแสนประชากร ในปี 2570
นพ.อนุชา กล่าวว่า จากการเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ เมืองเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ เมืองที่มีประชากร 260,111 คน (จำนวนประชากรเท่าๆ กับจังหวัดนครนายก และจังหวัดพังงา) ซึ่งประสบความสำเร็จในการลดจำนวนผู้เสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางถนนเหลือเพียง 2 คน ในปี 2567 ได้แสดงให้เห็นว่าการนำแนวคิด Safe System มาเป็นกรอบดำเนินงาน สามารถลดอุบัติเหตุและการเสียชีวิตบนท้องถนน ได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
“เมืองซาแธมป์ตัน ไปสู่การดำเนินงานภายใต้ Vision Zero หรือเป้าหมายการตายเป็นศูนย์แล้ว สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาทั้งระบบ ซึ่งในส่วนของอำเภอแม่จัน นับเป็น 1 ใน 10 อำเภอเสี่ยงสูง ที่สามารถลดการตายลงได้ถึง 11 ชีวิต จาก 25 ราย ในปี 2566 เหลือ 14 ราย ในปี 2567 นับว่าไม่ธรรมดา แต่หากมีการเพิ่มแนวคิด Safe System ในการดำเนินงาน เชื่อว่าเซฟชีวิตได้มากขึ้น” นพ.อนุชา กล่าว
ด้าน ‘นายวุฒิชฑฌ์ แก้วใส’ ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง อ.แม่จัน จ.เชียงราย กล่าวว่า สภาพทั่วไปของอำเภอแม่จัน ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 30 กม. เป็นอำเภอชายแดน มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และเป็นเส้นทางเชื่อมไปยังจังหวัดข้างเคียง ทำให้มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูง จึงได้มุ่งลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตในพื้นที่ โดยส่งเสริมการใช้อุปกรณ์ป้องกัน ทั้งการสวมหมวกนิรภัย และคาดเข็มขัดนิรภัย
นายวุฒิชฑฌ์ กล่าวว่า อำเภอแม่จัน ใช้กลไกส่งเสริมกลไกการขับเคลื่อน โดยอาศัยเวที ศปถ.อำเภอ มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายคือผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ใน 11 ตำบล 139 หมู่บ้านของอำเภอแม่จัน ให้ประชาชนตระหนักและมีส่วนร่วมในการลดอุบัติเหตุ โดยเริ่มจากการออกข้อปฏิบัติสวมหมวกนิรภัย คาดเข็มขัดนิรภัย 100% นำร่องในเขตพื้นที่ราชการ และลงพื้นที่อบรมเยาวชน ขับเคลื่อนงานความปลอดภัยทางถนน ในกลุ่มเด็กและเยาวชน
ขณะเดียวกัน อำเภอยังทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ปภ.จังหวัดเชียงราย ในการขับเคลื่อนมาตรการองค์กรด้านความปลอดภัยทางถนน และการอบรมทักษะเอาตัวรอดบนท้องถนน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ร่วมบูรณาการข้อมูลและสถิตอุบัติเหตุทางถนน การตอบสนองหลังเกิดเหตุเพื่อลดอัตราเสียชีวิต และการสอบสวนอุบัติเหตุ
นอกจากนี้ อีกหนึ่งจุดสำคัญที่ช่วยให้การลดอุบัติเหตุ ประสบผลสำเร็จได้อย่างยั่งยืน คือ การเข้ามามีส่วนร่วมจริงจังของสถานีตำรวจภูธรแม่จัน ภายใต้ภารกิจในการป้องกัน ปราบปราม และบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดอุบัติเหตุ โดยใช้เวทีประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้านประจำเดือน ประชาสัมพันธ์โครงการถนนสีขาว มาตรการสวมหมวกกันน็อก 100% และยังประกาศผ่านเสียงตามสาย รวมถึงไลน์กลุ่มของผู้นำชุมชน
‘พ.ต.ต. ศักดิ์ชาย รีอินทร์’ สภ.แม่จัน กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เพีงเน้นเฝ้าระวัง 8 จุดเสี่ยง โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมแก้ไข ขณะเดียวกันยังดำเนินการตามนโยบายกวดขันเมาแล้วขับจับทุกวัน กวดขันการสวมหมวกนิรภัย และได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการมั่วสุมและแข่งรถยนต์-รถจักรยานยนต์ในทางของกลุ่มวัยรุ่น มีการตรวจยึดรถจักรยานยนต์ดัดแปลงเปลี่ยนท่อไอเสียต่อเนื่อง ปี 2568 ยึดแล้วกว่า 40 คัน
“ตำรวจทำกิจรรมปลูกฝังวินัยจราจร ให้กับนักเรียนและเยาวชนในพื้นที่ เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลไปสู่ผู้ปกครอง และมีการพูดคุยทำความเข้าใจกับผู้ปกครองว่า หากนักเรียนยังมีพฤติกรรมเสี่ยง เมื่อโดนยึดรถผู้ปกครองต้องโดนคาดทัณฑ์ด้วย ซึ่งในเรื่องปราบปรามเด็กแว้น ผู้ปกครองและประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อยการยึดรถแต่งหรือท่อแต่ง จะช่วยให้การแข่งรถเบาบางลงได้” พ.ต.ต. ศักดิ์ชาย กล่าว
ขณะเดียวกัน สภ.แม่จัน ได้เปิด Open Chat ให้ประชาชน แจ้งเหตุด่วน เหตุร้ายได้ตลอด 24 ชม. ซึ่งก็ช่วยลดและป้องกันอุบัติเหตุในพื้นที่ลงได้เช่นกัน
#แม่จัน #อำเภอเสี่ยงสูง #อุบัติเหตุทางถนน #ขับขี่ปลอดภัย #ถนนปลอดภัย #สสส #สอจร

“เกมหมวกนิรภัย” เครื่องมือเปลี่ยนชีวิต สอนเด็กไทยเรียนรู้ - ฝึกทักษะขับขี่ปลอดภัยปัญหา “อุบัติเหตุทางถนน” ส่งผลกระทบทั้ง...
30/07/2025

“เกมหมวกนิรภัย” เครื่องมือเปลี่ยนชีวิต สอนเด็กไทยเรียนรู้ - ฝึกทักษะขับขี่ปลอดภัย
ปัญหา “อุบัติเหตุทางถนน” ส่งผลกระทบทั้งต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทย จากข้อมูลบูรณาการ 3 ฐาน ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ไทยยังมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 15,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้รถจักรยานยนต์ 74.5% ในจำนวนนี้ไม่สวมหมวกนิรภัยสูงถึง 86%
จากข้อมูลข้างต้น กลุ่มที่เป็นน่าห่วงมากที่สุด คือ กลุ่มเยาวชนอายุ 15-24 ปี เนื่องจากใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะหลัก แต่สวมหมวกนิรภัยแค่ 46%
สสส. ได้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการศึกษา และกองบัญชาการตำรวจนครบาล ดำเนินโครงการส่งเสริมความปลอดภัยในเด็กและเยาวชน “บุหรี่ไฟฟ้าคือภัย สวมหมวกนิรภัยคือทางรอด” ร่วมกันจัดทำสื่อการเรียนรู้แนวใหม่ โดยใช้เกมเป็นฐาน (Game-Based Learning)
ในส่วนของปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ได้พัฒนา “เกมหมวกนิรภัย” เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และกระตุ้นพฤติกรรมการสวมใส่หมวกนิรภัยขณะขับขี่ และโดยสารรถจักรยานยนต์
น.ส.รุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสนร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า “เกมหมวกนิรภัย” ออกแบบการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียน เป็นกลุ่มเด็ก เยาวชน โดยจัดอบรมวิธีการใช้สื่อแก่ครูตำรวจ D.A.R.E (ครูแดร์) ตำรวจชุดมวลชนสัมพันธ์ (ชมส.) และตำรวจจราจรที่เป็นวิทยากรหลัก(ครู ก) จากนครบาล 1-9 เพื่ออบรมขยายผลไปยังตำแทนตำรวจสถานีละหนึ่งคน (ครู ข) ที่ทำงานใกล้ชิดกับชุมชนสถานีตำรวจ 88 สถานีกรุงเทพมหานคร เพื่อขยายผลในสถานศึกษาครอบคลุมเด็กและเยาวชนกว่า 14,000 คนภายในเดือน ก.ย. นี้
ด้าน พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เชื่อว่า การมีเครื่องมือการเรียนรู้ที่สร้างบนฐานคิดของ Game-Based Learning จะช่วยให้ตำรวจจราจร มีเครื่องมือในการเสริมสร้างให้เด็กและเยาวชน มีพฤติกรรมที่ปลอดภัยเมื่อซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มากขึ้น รวมถึงสะกิดเตือนให้ผู้ปกครองสวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่ และโดยสารรถจักรยานยนต์ได้เช่นกัน
ขณะที่ พล.ต.ต.ดร.สุรศักดิ์ เลาหพิบูลย์กุล อาจารย์ (สบ 6) กลุ่มงานอาจารย์ กองบัญชาการศึกษา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าโครงการฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การเรียนรู้แนวใหม่โดยใช้เกมเป็นฐาน (Game-Based Learning) ในรูปแบบของเกมการ์ด ซึ่งมีเนื้อหาเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายคือ เด็กและเยาวชนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย-มัธยมศึกษาตอนต้น ถือเป็นเครื่องมือเปลี่ยนชีวิต ที่จะทำให้เด็กๆ เรียนรู้ผ่านความสนุก ฝึกทักษะจริง จดจำบทเรียนได้ เรียนรู้และเห็นความสำคัญของการสวมหมวกนิรภัย
#เกมหมวกนิรภัย #อุบัติเหตุทางถนน #ขับขี่ปลอดภัย #ถนนปลอดภัย #สสส #สอจร

10 ปี อุบัติเหตุทางถนนคร่าคนไทย 1.9 แสน น่าเป็นห่วง “ผู้สูงอายุ” เสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง!!!ข้อมูล 3 ฐาน จากระบบบูรณา...
23/07/2025

10 ปี อุบัติเหตุทางถนนคร่าคนไทย 1.9 แสน น่าเป็นห่วง “ผู้สูงอายุ” เสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง!!!
ข้อมูล 3 ฐาน จากระบบบูรณาการผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน พบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตรวม 190,289 ราย เฉลี่ย 19,029 รายต่อปี (อัตราเฉลี่ย 10 ปี อยู่ที่ 29 ต่อแสนประชากร)
คนวัยหนุ่มสาวอายุ 15 – 29 ปี ครองสถิติการเสียชีวิตสูงสุด แต่มีแนวโน้มลดลง ในขณะที่ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) กลายเป็นกลุ่มที่มีอัตราเสียชีวิตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากจำนวน 2,834 ราย ในปี 2558 เพิ่มเป็น 4,307 ราย ในปี 2567 นับว่าเพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 51.8
ที่น่าสนใจคือกว่า ร้อยละ 80 ของผู้เสียชีวิตในกลุ่มสูงวัย เป็นผู้ขับขี่เอง และพาหนะที่ทำให้เสียชีวิตส่วนใหญ่คือรถจักรยานยนต์
‘นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล’ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า แม้ผู้สูงอายุจะยังสามารถขับขี่ได้ แต่ต้องทราบข้อจำกัดของสภาพร่างกายตนเองและปรับแก้ไข หรือจำกัดการขับขี่ให้มีความปลอดภัย เนื่องจากสภาพร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น จะมีความถดถอยตามวัย โดยเฉพาะสายตา ความจำ การตัดสินใจ และกำลังกล้ามเนื้อ และเหนื่อยล้าได้ง่ายกว่าคนหนุ่มสาว
ดังนั้น ผู้สูงอายุจึงไม่ควรขับขี่ทางไกล เส้นทางไม่คุ้นเคย และเลี่ยงการขับขี่กลางคืน เพราะเมื่ออายุเพิ่มขึ้นการมองเห็นจะชัดน้อยลง โดยเฉพาะการมองเห็นในที่แสงสว่างน้อย ผนวกกับการตัดสินใจและการตอบสนองที่ทำได้ช้าลง จึงควรเลือกขับขี่ในเส้นทางที่คุ้นเคยและไม่อันตราย
นอกจากความเสื่อมตามวัยแล้ว ผู้สูงอายุมักมีโรคประจำตัวและใช้ยาในการรักษา ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับขี่
‘เอนก มุ่งอ้อมกลาง’ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคประจำตัวบางโรคมีผลต่อการขับขี่ เช่น โรคลมชัก พาร์กินสัน สมองเสื่อม โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) โดยโรคเหล่านี้จะมีผลต่อการรับรู้ การตัดสินใจ หรือโรคทำให้มีความเสี่ยงต่อการหมดสติฉับพลัน เป็นผลให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมรถได้
“ผู้สูงอายุควรได้รับการตรวจร่างกาย ประเมินความพร้อมต่อการขับขี่ และหากผู้สูงอายุมีโรคประจำตัวหรือใช้ยาในการรักษา แพทย์ผู้รักษาควรให้คำแนะนำที่เหมาะสม เพื่อการขับขี่ปลอดภัย”
ขณะเดียวกัน ‘พญ.ศิริรัตน์ สุวรรณฤทธิ์’ ผู้อำนวยการกองป้องกันการบาดเจ็บ เสริมว่า การตรวจร่างกายเพื่อประเมินความพร้อม ต่อการขับขี่และปรับแก้ไข เช่น การใส่แว่นสายตาในผู้มีปัญหาสายตา การใส่เครื่อง CPAP ขณะนอนหลับในผู้ป่วยที่มีภาวะโรคหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ที่สำคัญหากพบว่าสภาพร่างกายไม่พร้อมควรงดขับขี่ เปลี่ยนมาใช้รถสาธารณะหรือให้ผู้อื่นขับแทน เพื่อความปลอดภัยลดการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งร่างกายและทรัพย์สิน
#ผู้สูงอายุ #อุบัติเหตุทางถนน #ขับขี่ปลอดภัย
#ถนนปลอดภัย #สสส #สอจร

10 ช่วงถนนเสี่ยง “อุบัติเหตุหลับใน” เตือนทางหลวงหมายเลข 1 ช่วงถนนวังม่วง-แม่เชียงรายบน ครองแชมป์ !!!นอกจากการพักผ่อนไม่เ...
21/07/2025

10 ช่วงถนนเสี่ยง “อุบัติเหตุหลับใน” เตือนทางหลวงหมายเลข 1 ช่วงถนนวังม่วง-แม่เชียงรายบน ครองแชมป์ !!!
นอกจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ลักษณะทางกายของถนนทางตรงติดต่อกันเป็นระยะทางไกลๆ ก็นับเป็นจุดเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้ขับขี่ เกิดอาการง่วงและ #หลับใน ได้ง่ายเช่นกัน
#ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย (Thailand Accident Research Center: TARC) ชี้ว่าอุบัติเหตุที่เกิดจากหลับในพบบ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน แต่ยังไม่สามารถหาวิธีป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ...
ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนจาก #กรมทางหลวง (HAIMS) ในช่วง 10 ปี ระหว่าง 2558 - 2567 ระบุว่า 3 ถนนเสี่ยงเกิด #อุบัติเหตุหลับใน มากที่สุด คือ

▪️ทางหลวงหมายเลข 1 ช่วงผ่าน จังหวัดกำแพงเพชร-ตาก

▪️ทางหลวงหมายเลข 4 ช่วงผ่าน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

▪️ทางหลวงหมายเลข 41 ช่วงผ่าน จังหวัดนครศรีธรรมราช
ขณะที่ 10 ช่วงถนนเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุหลับใน ได้แก่

ทางหลวงหมายเลข 1 ช่วงถนนวังม่วง-แม่เชียงรายบน จังหวัดตาก จำนวนอุบัติเหตุ 187 ครั้ง

ทางหลวงหมายเลข 340 ช่วงถนนสาลี-สุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวนอุบัติเหตุ 177 ครั้ง

ทางหลวงหมายเลข 1 ช่วงถนนวังเจ้า-ตาก จังหวัดตาก จำนวนอุบัติเหตุ 175 ครั้ง

ทางหลวงหมายเลข 11 ช่วงถนนนาอิน-ชัยมงคล จังหวัดอุตรดิตถ​์ จำนวนอุบัติเหตุ 134 ครั้ง

ทางหลวงหมายเลข 4 ช่วงถนนวังยาว-หนองหมู จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวนอุบัติเหตุ 99 ครั้ง

ทางหลวงหมายเลข 4 ช่วงถนนหนองหมู-ห้วยยาง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวนอุบัติเหตุ 93 ครั้ง

ทางหลวงหมายเลข 41 ช่วงถนนถ้ำพรรณรา-ทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวนอุบัติเหตุ 87 ครั้ง

ทางหลวงหมายเลข 21 ช่วงถนนม่วงค่อน-คลองกระจัง จังหวัดลพบุรี จำนวนอุบัติเหตุ 86 ครั้ง

ทางหลวงหมายเลข 4 ช่วงถนนนาโหนด-ห้วยทราย จังหวัดพัทลุง จำนวนอุบัติเหตุ 79 ครั้ง

ทางหลวงหมายเลข 41 ช่วงถนนเขาบ่อ-ท่าทอง จังหวัดชุมพร จำนวนอุบัติเหตุ 79 ครั้ง
ทุกคนควรจำไว้ว่าหากต้องขับรถทางไกล นอกจากการเตรียมร่างกายให้พร้อม ไม่ดื่มแอลกอฮอล์และพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว ผู้ขับขี่ยังควรหยุดพักเป็นระยะ เพื่อยืดเส้นยืดสายให้ร่างกายตื่นตัวอยู่เสมอ ที่สำคัญต้องระวังการกินยาบางชนิด ที่อาจมีผลข้างเคียงทำให้ง่วงนอนด้วยนั่นเอง
#ขับขี่ปลอดภัย #อุบัติเหตุทางถนน #ถนนปลอดภัย
#สสส #สอจร

“วิว กุลวุฒิ” ควงคู่ “เมย์ รัชนก” นำทีมตีแบดฯ หาหมวกกันน็อก ให้น้องเด็กสวมใส่เพื่อความปลอดภัย .ด้วยบริบทและข้อจำกัดของปร...
08/07/2025

“วิว กุลวุฒิ” ควงคู่ “เมย์ รัชนก” นำทีมตีแบดฯ หาหมวกกันน็อก ให้น้องเด็กสวมใส่เพื่อความปลอดภัย
.
ด้วยบริบทและข้อจำกัดของประเทศไทย ที่คนส่วนใหญ่ยังต้องพึงพาการเดินทางด้วย #มอเตอร์ไซค์ การรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญ ในการสวม #หมวกกันน็อก อันเป็นอุปกรณ์สำคัญในการลดการบาดเจ็บที่หัวและสมอง จะช่วยให้อัตราการบาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิตลดลงได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กและเยาวชน ผู้เป็นอนาคตของประเทศไทย ที่กำลังเผชิญวิกฤติโครงสร้างประชากรเกิดใหม่ถดถอย
ทุกคนรู้หรือไม่ว่า...ในแต่ละปีประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางถนนปีละกว่า 17,000 คน ส่วนใหญ่หรือ 80% เกิดจากการใช้มอเตอร์ไซค์ สาเหตุสำคัญมาจากการไม่สวมหมวกกันน็อก (ค่าเฉลี่ยจากการสำรวจทั้งคนขับและซ้อนท้าย สวมหมวกกันน็อกไม่ถึง 50%)
ข้อมูลที่น่ากังวลคือ ในจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส มีเด็กอายุระหว่าง 3-15ปี รวมอยู่ด้วย ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ความเสียหายต่อเศรษฐกิจ มากกว่าปี 5 แสนล้านบาทเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงกำลังคนและบุคลากร ที่จะเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคตด้วย
จากข้อมูลการสำรวจของ แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจร (สอจร.) ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ปัจจุบันเด็กก่อนวัยเรียนในบ้านเรา มีสถิติการสวมหมวกกันน็อกเพียง 16% เท่านั้น นอกจากความตระหนักรู้ในเรื่องความปลอดภัยแล้ว ส่วนหนึ่งยังมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจของครอบครัว ที่ไม่สามารถหาซื้อหมวกกันน็อกสำหรับเด็กเล็กได้..
ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 ก.ค. 2568 สสส. ได้ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อความปลอดภัยทางถนน จัดกิจกรรมระดมทุนรับบริจาคเพื่อจัดหาหมวกกันน็อกสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน ซึ่งเป็นโครงการนำร่องให้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมี ‘นายกร ทัพพะรังสี’ อดีตนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันในพระบรมราชูปถัมภ์ ชวนนักกีฬาแบดมินตันขวัญใจคนไทย
ทั้ง ‘วิว - กุลวุฒิ วิทิตศานต์’ มือหนึ่งแบดมินตันชาย เจ้าของตำแหน่งแชมป์โลกปี 2024 และ ‘เมย์ - รัชนก อินทนนท์’ แชมป์แบดมินตันโลกหญิงเดี่ยว ปี 2013 และมือวางอันดับ 1 โลก ปี 2016 ร่วมด้วย ‘ส้ม - สรัลรักษ์ วิทิตศานต์’ แชมป์เยาวชนโลกปี 2024 เปิดสนามตีแบดระดมทุนเพื่อจัดซื้อหมวกกันน็อกสำหรับเด็กเล็ก โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดทั้งสิ้น
ทุกคนเห็นตรงกันว่า #หมวกกันน็อกสำหรับเด็ก เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ปกป้องศรีษะของบุตรหลาน ที่กำลังมีพัฒนาการทางสมองไม่ให้ได้รับการกระทบกระเทือน หากเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดมอเตอร์ไซค์ล้มระหว่างการเดินทาง
หมวกกันน็อกแต่ละใบจะมีอายุการใช้งาน 3 ปี เว้นแต่มีการเกิดเหตุก็จะทำให้เสื่อมคุณสมบัติในการปกป้อง จึงจำเป็นสำหรับครอบครัว ที่ใช้มอเตอร์ไซค์ เป็นยานพาหนะในการเดินทาง ต้องจัดหาไว้ให้ลูกหลาน สวมใส่ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน
“กิจกรรมนี้เป็นการใช้กีฬาเป็นสื่อรณรงค์ เพื่อสร้างความตระหนักถึงความปลอดภัยของเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่ต้องซ้อนจักรยานยนต์ไปโรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่สวมหมวกกันน็อก และบางครอบครัวก็ไม่สามารถจัดหาหมวกให้ลูกได้” - นายกร ทัพพะรังสี กล่าว
อดีตนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า นับเป็นโอกาสดีที่นักกีฬาไทยระดับโลก มาร่วมรณรงค์ด้วยตัวเอง ซึ่งจะสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชน และเป็นแบบอย่างที่ดีของนักกีฬาจิตอาสา และต้องขอบคุณ สสส. ที่จัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา
ด้าน 'นางก่องกาญจน์ ทักษ์หิรัญฤทธิ์’ ผอ.สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส. กล่าวถึงโครงการ “ตีแบดฯ เพื่อหัวน้อง” ว่า จุดเริ่มต้นคือการส่งเสริมให้คนที่ตีแบดมินตันสวมหมวกกันน็อก เพราะพบว่าบางส่วนใช้มอเตอร์ไซค์เดินทางมาสนามแบดฯ จึงเริ่มรณรงค์ในจุดนี้ก่อน จากนั้นได้ขยายมาเป็นการตีแบดการกุศลเพื่อระร่วมระดมทุน จัดตั้งเป็นกองทุนหมวกกันน็อกเพื่อหัวน้อง เพื่อจัดหาหมวกกันน็อกให้กับเด็กเล็ก ซึ่งจากตัวเลขมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ทั่วประเทศประมาณ 20,000 ศูนย์ ที่ไม่มีหมวกกันน็อกสำหรับเด็ก
“เด็ก ๆ มาโรงเรียนด้วยการโดยสารมอเตอร์ไซค์ของผู้ปกครอง แต่ไม่มีหมวกใส่ป้องกันการบาดเจ็บ สำหรับจังหวัดประจวบฯ มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั้งหมด 126 ศูนย์ สสส. ไม่ได้มีงบประมาณที่จะจัดหาหมวกน็อกให้กับทุกศูนย์ จึงอยากเชิญชวนภาคเอกชนที่สนใจ ร่วมบริจาคเข้ากองทุนฯ เพื่อจัดหาหมวกให้กับเด็ก ๆ เพื่อลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตของเยาวชนไทย” นางก่องกาญจน์ กล่าว
นางก่องกาญจน์ บอกด้วยว่า สสส. ยังได้ดำเนินกิจกรรมร่วมกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ เพื่อปลูกฝังวินัยและความปลอดภัยทางถนน นอกจากให้ผู้ปกครองและน้อง ๆ สวมหมวกกันน็อกทุกครั้งที่มาโรงเรียน ขณะเดียวกันคุณครูต้องเตรียมการสอน เรื่องวินัยจราจรและการสวมหมวกกันน็อก เพราะ สสส. ตระหนักว่าการเสริมสร้างวินัยจราจรตั้งแต่เด็ก จะเป็นส่วนช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนได้ เมื่อเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นอกจากนี้ คุณครูยังได้ร่วมกับชุมชนสำรวจจุดเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน เพื่อแจ้งหน่วนงานในพื้นที่ร่วมกันปรับปรุงแก้ไขให้ปลอดภัย
สำหรับยอดเงินจัดหาหมวกกันน็อกเพื่อหัวน้อง สำหรับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สรุปยอดเงินบริจาคในวันดังกล่าว 274,750 บาท
#วิวกุลวุฒิ #เมย์รัชนก #กรทัพพะรังสี
#ตีแบดเพื่อหัวน้อง #หมวกกันน็อกสำหรับเด็ก
#ประจวบคีรีขันธ์ #สสส #สอจร

อบรมไวใช่ว่าจะเวิร์ก! เมื่อการฝึกอบรมขับขี่มอเตอร์ไซค์แบบวันเดียว ยิ่งสร้างความเสี่ยงในวัยรุ่นนอกจากความไม่ประมาทและเคาร...
30/06/2025

อบรมไวใช่ว่าจะเวิร์ก! เมื่อการฝึกอบรมขับขี่มอเตอร์ไซค์แบบวันเดียว ยิ่งสร้างความเสี่ยงในวัยรุ่น
นอกจากความไม่ประมาทและเคารพกฎจราจรแล้ว ทักษะการขับขี่ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ในการลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ด้วยเหตุนี้หลายประเทศจึงให้ความสำคัญ กับการฝึกอบรมทักษะการขับขี่ที่ปลอดภัย และยังมีกระบวนการที่เข้มข้นมาก ในการออกให้ใบอนุญาตขับขี่กับพลเมือง รวมถึงมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
แต่สำหรับประเทศไทย การฝึกอบรมทักษะการขับขี่ที่ปลอดภัยนั้น นอกจากไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในระบบการศึกษาภาคบังคับ กระบวนการได้รับใบอนุญาตขับขี่ ก็ถือว่าทำได้ไม่ยากนักและใช้เวลาเพียงไม่นาน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการตั้งคำถามชวนคิดจาก แผนงานยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลกด้านความปลอดภัยทางถนน ว่า “การฝึกอบรมขับขี่รถจักรยานยนต์แบบวันเดียว สร้างความเสี่ยงของอุบัติเหตุในวัยรุ่นหรือไม่?”
มีการหยิบยกข้อมูลที่น่าสนใจจากงานวิจัยจำนวนมาก ที่พบว่าโปรแกรมการฝึกอบรมขับขี่รถจักรยานยนต์แบบวันเดียว แม้จะสามารถพัฒนาทักษะการรับรู้ความเสี่ยงในระยะสั้น (HAZARD PERCEPTION) ได้บ้าง แต่ไม่ได้ส่งผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อการลดอุบัติเหตุในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น
ที่น่าเป็นห่วงคือข้อมูลงานวิจัยแบบสุ่มในออสเตรเลีย โดย IVERS ET AL. (2016) พบว่า หลักสูตรอบรมความปลอดภัย 4 ชั่วโมงสำหรับเยาวชน ไม่ได้ผลในการลดอุบัติเหตุ หรือลดจำนวนใบสั่งภายใน 12 เดือนหลังอบรม และในบางกรณีผู้ที่เข้าอบรมกลับมีพฤติกรรมขับรถเร็วมากขึ้น
ดังนั้น หากจะกล่าวว่า “ยิ่งอบรม ยิ่งเสี่ยง” อาจไม่ผิดนัก เมื่อความมันใจที่เกินจริง กลายเป็นภัยบนท้องถนน
งานวิจัยของ SAVOLAINEN & MANNERING (2007) ในรัฐอินเดียนา สหรัฐฯ พบว่า ผู้ที่ผ่านการอบรมขับขี่ระยะสั้น กลับมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากกว่าผู้ที่ไม่ได้อบรม เนื่องจากเกิดความมั่นใจเกินจริงในทักษะของตนเอง ทำให้ขับรถเสี่ยงมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
อบรมไว ใช่ว่าจะเวิร์ก องค์การอนามัยโลกา (WHO, 2023) ระบุว่า หลักสูตรอบรมแบบเร่งรัด มักไม่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการลดอุบัติเหตุในกลุ่มวัยรุ่น เทียบเท่ากับหลักสูตรระยะยาว หรือระบบใบอนุญาตแบบแบ่งขั้น (GLS) ซึ่งเน้นการฝึกฝนสะสมประสบการณ์ และควบคุมความเสี่ยงอย่างเป็นระบบในระยะยะยาว
ที่ผ่านมาหลายประเทศเริ่มทบทวนนโยบาย การขับขี่ในโรงเรียนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ จากเยาวชนที่ยังขาดทักษะและประสบการณ์ โดยเมื่อปี 2015 จาการ์ตาประกาศห้ามนักเรียน ขับรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียน หลังพบอุบัติเหตุกว่า 226,000 ครั้งในปี 2011-2012 โดยเกือบ 700 ครั้ง เกิดจากผู้ขับที่อายุต่ำกว่ากฎหมายกำหนด
จากข้อมูลข้างต้นที่หยิบยกมา ชี้ว่าโปรแกรมฝึกขับขี่ในโรงเรียนมัธยมแบบเร่งรัด ไม่ช่วยลดอุบัติเหตุในวัยรุ่นและอาจเพิ่มความเสี่ยง เนื่องจากทำให้เยาวชนได้ใบขับขี่เร็วและเกิดความมั่นใจเกินจริง หลายรัฐจึงปรับลดหรือยกเลิกโปรแกรมเหล่านี้ และใช้ระบบใบขับขี่แบบค่อยเป็นค่อยไป (GDL) แทน
#อบรมทักษะขับขี่ปลอดภัย #ใบอนุญาตขับขี่
#อุบัติเหตุทางถนน #ถนนปลอดภัย
#สสส #สอจร

ระดมสมองงัดกลยุทธ์...พิชิต “อำเภอเสี่ยงสูง” ภาคีป้องกันอุบัติเหตุทางถนนทั่วประเทศ ผสาน ”Hard Power - Soft Power“ ลดเสียช...
26/06/2025

ระดมสมองงัดกลยุทธ์...พิชิต “อำเภอเสี่ยงสูง” ภาคีป้องกันอุบัติเหตุทางถนนทั่วประเทศ ผสาน ”Hard Power - Soft Power“ ลดเสียชีวิต ให้เหลือ 12 ต่อแสนประชากร
สถานการณ์การเสียชีวิตจากอุบัติภัยทางถนนไทย ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา แม้ได้ลดอันดับอัตราเสียชีวิตจากอันดับ 2 ลงมาสู่อันดับ 18 แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ยอดและอัตราการเสียชีวิตยังค้างอยู่ที่ประมาณ 17,000 รายต่อปี หรือที่ 26 ต่อแสนประชากร ในขณะที่เป้าหมายตามแผนแม่บทฉบับที่ 5 ตั้งเป้าลดเหลือ 12 ต่อแสนประชากร ในปี 2570 ถือเป็นสถานการณ์พิเศษ ที่ต้องเร่งและร่วมมือจากทุกฝ่าย
‘นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร‘ ผู้จัดการแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) กล่าวว่า สอจร. ระยะที่ 10 ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รับผิดชอบสนับสนุนเคลื่อนงานความปลอดภัยทางถนน เพื่อมุ่งลดอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ตามเป้าหมายแผนแม่บทฉบับที่ 5 เริ่มดำเนินการเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2568 คลุมพื้นที่ สอจร. 7 ภาค 76 จังหวัด และเขตกรุงเทพมหานคร
นพ.อนุชา กล่าวว่า ทุกอำเภอเมืองในประเทศนี้เป็น “อำเภอเสี่ยงสูง” ทั้งสิ้น ปัจจุบัน สอจร. มีสมาชิกในแผนงานทั่วประเทศกว่า 400 คน ทุกภาคเน้นการระดมความร่วมมือกับหลากหลายเครือข่าย ตามบริบทของความเสี่ยงของพื้นที่ เพื่อตอบสนองการแก้ปัญหาอำเภอเสี่ยงสูง ซึ่งมีประมาณกว่า 220 อำเภอ แต่กลับมีส่วนแบ่งของการเสียชีวิต สูงเกือบ ร้อยละ 70 และมุ่งเป้ากลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ที่มีอัตราเสียชีวิตสูงถึง ร้อยละ 80 ในแต่ละปี
ทั้งนี้ สอจร. 10 ได้มีกระบวนการกระตุ้นการทำงานของ ศปถ.จังหวัด และ ศปถ.อำเภอ ร่วมกับเครือข่าย ตามหลัก Safe System เพื่อการมุ่งลดความเสี่ยงด้านคน รถ ถนน และความเร็ว ไปพร้อมกันอย่างเป็นระบบ พบว่ามีการอำเภอที่ลดการเสียชีวิตและออกจากความเสี่ยงสูง ได้มากกว่า 20 อำเภอ และพบว่ายิ่งมีความร่วมมืออย่างบูรณาการ ยิ่งลดความเสี่ยงลงได้เร็วขึ้น
ด้าน ‘นายขจร ศรีชวโนทัย‘ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง กล่าวว่า สถิติที่ผ่านมาสังเกตได้ว่าอุบัติเหตุทางถนน จำนวนมากเกิดขึ้นในเขตชุมชน ถ้าเราลดการเสียชีวิตของพี่น้องประชาชนในเขตชุมชนได้ จำนวนอุบัติเหตุของไทยจะหายไปครึ่งหนึ่ง แต่การดำเนินงานไม่ใช่ทำแค่ 7 วันอันตราย จะต้องดูแลความปลอดภัยตลอดทั้งปี เพื่อให้ประชาชนอยู่บนถนนด้วยความปลอดภัย ทั้งผู้ขับขี่ และเดินเท้า
“เป้าหมายลดผู้เสียชีวิตให้เหลือ 12 ต่อแสนประชากร ต้องเน้นย้ำการดำเนินงานทั้ง Hard Power คือหน่วยงานราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ Soft Power คือภาคีเครือข่าย ซึ่งต้องขอบคุณ สอจร. และ สสส. ที่มีหน่วยงานและกองทุนเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งหลังจากได้พูดคุยแผนงานร่วมกัน ได้ตั้งเป้ากําหนดโฟกัสไปที่ชุมชน โดยเฉพาะเขตอําเภอเมือง กับเขตที่เจริญเติบโตเทียบเท่า บูรณาการทุกภาคส่วนร่วมกัน” รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ำ
สำหรับแนวทางการทำงานร่วมกันในระดับจังหวัดและอำเภอ เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยทางถนนนั้น
‘ศ.ดร.เกษม ชูจารุกุล‘ ผู้จัดการศูนย์ความเป็นเลิศ ThaiRAP และรองคณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด จะต้องทราบว่าจุดเสี่ยงจุดอันตรายอยู่ที่ไหน ถนนที่เป็นถนน 1 ดาว 2 ดาว มีความเสี่ยงสูงอยู่ตรงไหนบ้าง แล้ววิเคราะห์ออกมาทั้งโครงข่าย เพื่อบอกว่าในมิติของคนเดินเท้า คนปั่นจักรยาน และคนขับขี่รถ ตำแหน่งไหนบ้างที่ยังมีความเสี่ยงสูง
“เมื่อเราทราบแล้วว่าคนป่วยเป็นโรคอะไร หน้าที่ของหมอคือจ่ายอย่างให้มันถูกต้อง เรามีวัคซีนมีคำตอบอยู่แล้ว แค่ฉีดวัคซีนลงไปไปให้ถูกตำแหน่งถูกจุดตรงนั้น เราก็สามารถที่จะแก้ขันปัญหาได้”
ตัวอย่างหนึ่งของท้องถิ่น เมื่อสองปีที่แล้วนายกเทศมนตรีเมืองน่าน ตั้งใจทำถนนเส้นหนึ่งเป็นตัวอย่าง เป้าหมายคือเป็นถนน 3 ดาว การแก้ไขตรงนี้เป็นการบูรณาการรวมกัน ทั้งคน รถ ถนน และการใช้ความเร็ว มีการติดป้ายแจ้งเตือน และการบังคับใช้กฎหมายที่ชัดเจน ว่าถนนเส้นนี้ใช้ความเร็วได้เท่าไหร่ เมื่อความเร็วดี ถนนดี คนเคารพกฎถูกต้อง ถนนนี้จึงเป็นถนนที่ปลอดภัยจริงๆ ซึ่งปัจจุบันก็ถือเป็นถนนเส้นแรกๆ ของประเทศไทย ที่เป็นถนน 3 ดาว
สำหรับบันได 5 ขั้น ในการยกระดับบถนนไทยให้ปลอดภัยนั้น ต้องดูว่าปัจจุบันถนนในแต่ละพื้นที่ของตน อยู่ในระดับความปลอดภัยขั้นไหน
เริ่มแรกขั้นที่ 1 คือใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน ขั้นที่ 2 ตามด้วยเริ่มสร้างแผนปรับปรุง ขั้นที่ 3 คือนำแผนไปปฏิบัติจริง โดยกำหนดเป็นนโยบาย เช่น ถนนที่ผ่านโรงเรียนทุกแห่งจะต้องเป็นถนน 3 ดาว เพื่อให้เด็กนักเรียนเดินทางได้อย่างปลอดภัย รวมถึงจำกัดความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม. บริเวณหน้าโรงเรียน หน้าโรงพยาบาล หน้าชุมชน
จากนั้นไปสู่ขั้นตอนที่ 4 คือการประเมินผลมีการรายงานผลให้ภาคประชาชนรับรู้ และสุดท้ายขั้นตอนที่ 5 คือมีนวัตกรรมและสามารถเป็นตัวอย่าง มีการถอดบทเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เอาไปถ่ายทอดสู่พื้นที่อื่นต่อไป เพื่อความยั่งยืน
“การจะเป็น Safe System ได้นั้น ไม่ใช่เฉพาะถนน แต่คน รถ แล้วก็เรื่องของการใช้ความเร็ว ล้วนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ฉะนั้นถ้าเราสามารถทำตรงนี้ได้เนี่ยเชื่อมั่นว่าทุกอำเภอ ทุกตำบลในประเทศไทยสามารถที่จะทำให้มีความปลอดภัยได้ครับ”
สุดท้ายอยากจะบอกว่าถนนที่ปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องมีงบประมาณที่ดีที่สุด ถ้าเราสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด ตรงประเด็น มีมาตรการที่มีความคุ้มค่า และมีการปรับเปลี่ยนความคิด โดยใช้ข้อมูลขับเคลื่อนในเชิงพื้นที่ พร้อมตั้งเป้าหมายชัดเจน รวมถึงมีการริเร่ิมถึงความตั้งใจร่วมกัน สุดท้ายสิ่งที่พวกเราฝันก็จะเป็นจริงได้
ด้าน ’พล.ต.ต.วีรพัฒน์ ศิวะแพทย์’ รอง ผบช.สยศ.ตร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ครั้งหนึ่งเคยคุยกับผู้ที่รับผิดชอบเรื่องถนนว่า ตรงโค้งจะปรับปรุงอย่างไรเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ได้รับคำตอบว่าถ้าผู้ขับขี่ขับตามป้ายแจ้งเตือน ใช้ความเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม รับรองได้เลยว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุ แต่ข้อเท็จจริงคนขับรถเร็วกว่านั้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุจึงเกิดความเสียหายและรุนแรงถึงชีวิต เถียงไม่ได้เลยว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นมาจากพฤติกรรมของคน
ที่ผ่านมาในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ล่าสุดใช้ยาแรงจับปรับผู้ขี่ไม่ใส่หมวกกันน็อก 2,000 บาท โดยให้แต่ละพื้นที่เลือกบังคับใช้ ในถนนที่มีความเสี่ยงมากที่สุด เจอทัวร์ลงหนักมาก แต่ในมุมของตำรวจถือประชาชนรับรู้แล้ว และยืนยันว่าจะดำเนินการต่อไป เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และถ้าทุกคนใส่หมวกกันน็อกกันหมด ตำรวจก็ออกใบสั่งน้อยลงและได้ส่วนแบ่งค่าปรับลดลงไปด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่คนอยากให้เป็นเช่นไม่ใช่หรือ
ขณะเดียวกันนอกจากยาแรงแล้ว ก็ยังมีเรื่องเบา ๆ คือ แจ้งเตือน โดยการประกาศเตือนไม่เน้นใบสั่ง แต่เน้นประจาน มีการนำร่องในบางพื้นที่ โดยใช้ AI เข้ามาช่วย ผ่านระบบกล้องตรวจจับ หากพบรถจักรยานยนต์จอดทับเส้น จะมีเสียงประกาศดังต่อเนื่องจนกว่าจะปฏิบัติถูก ทำให้เกิดภาพว่าประชาชนให้ความร่วมมือ และเริ่มปฏิบัติกฎหมายจราจรเพิ่มมากขึ้น
#กลยุทธ์ลดอุบัติเหตุอำเภอเสี่ยงสูง #อุบัติเหตุทางถนน #ถนนปลอดภัย #สสส #สอจร

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Red Lineผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง The Red Line:

แชร์

TRL TEAM

ร่วมเปลี่ยน “เส้นทางสีแดง” สู่ถนนที่ปลอดภัย เพียงเคารพกฎจราจร และมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทาง เพราะอุบัติเหตุ ไม่ใช่เรื่อง "บังเอิญ" แต่เป็นสิ่งที่เรา "ป้องกัน" ได้