Is Life Life & Environment Life & Environment - บันทึกเหตุการณ์สำคัญทางสิ่งแวดล้อม ในยุคแอนโทรโปซีน (Anthropocene)

วันที่ 20 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันผึ้งโลก (World Bee Day)เหตุที่เลือกเอาวันดังกล่าวเป็นจุดหมายอนุรักษ์นักผสมเกสร เป็นเพรา...
20/05/2025

วันที่ 20 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันผึ้งโลก (World Bee Day)
เหตุที่เลือกเอาวันดังกล่าวเป็นจุดหมายอนุรักษ์นักผสมเกสร เป็นเพราะต้องการให้เกียรติแก่ ดร.อันตัน ฮัลซา (Anton Janša) ชายชาวสโลวีเนีย
บุคคลผู้ถูกขนานนามว่าเป็นผู้บุกเบิกการเลี้ยงผึ้งสมัยใหม่ให้เป็นที่แพร่หลาย โดยการปฏิวัติแนวทางการเลี้ยงผึ้งแบบที่ต้องฆ่า
และมีแนวทางเสริมสร้างความแข็งแกร่งและสุขภาวะที่ดีให้กับผึ้งเลี้ยงเพื่อให้ได้ผลผลิตน้ำผึ้งที่มีคุณภาพ
อันตัน ฮัลซา เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1734 ในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Breznica ตั้งอยู่ในดินแดน Carniola ของจักรวรรดิ Habsburg (ปัจจุบันคือประเทศสโลวีเนีย)
ครอบครัวของเขาเป็นเกษตรกรธรรมดา แต่มีบางอย่างพิเศษแฝงอยู่ในชีวิตประจำวัน สิ่งนั้นคือ ‘ผึ้ง’ ที่ครอบครัวได้เลี้ยงไว้
ในยุคนั้น การเลี้ยงผึ้งถือเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้สำคัญของชาวบ้าน เพราะน้ำผึ้งเป็นวัตถุดิบที่มีค่าทั้งในด้านอาหาร ยา และใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาศาสนา
ในบ้านของฮัลซา เต็มไปด้วยกล่องรังผึ้งไม้ตั้งเรียงราย เขาเติบโตมาพร้อมกับเสียงหึ่งๆ ของผึ้ง การช่วยครอบครัวเก็บน้ำผึ้งเป็นหนึ่งในงานที่เขาทำมาแต่เด็ก และนั่นทำให้ฮัลซาหลงใหลรูปแบบชีวิตของมันไปโดยไม่รู้ตัว
สำหรับฮัลซาผึ้งไม่ได้เป็นเพียงแค่แมลง แต่คือสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีแบบแผน วินัย และความฉลาดในแบบของมันเอง
แม้ฮัลซาจะเลือกเดินทางไปยังเวียนนาเพื่อศึกษาศิลปะในฐานะนักวาดภาพ และมีอนาคตไกลในวงการศิลป์ แต่หัวใจของเขากลับยังคงผูกพันกับชีวิตในรังผึ้งมิมีเสื่อมคลาย
เมื่อใดที่ว่างจากการวาดภาพ เขามักใช้เวลาสังเกตพฤติกรรมของผึ้งอย่างเงียบๆ และเริ่มจดบันทึกข้อมูลลงในสมุดร่าง
ประกอบกับยุคนั้นเป็นช่วงปลายของ ยุคแห่งการรู้แจ้ง (Age of Enlightenment) ในยุโรป มีการส่งเสริมให้ใช้เหตุผล วิทยาศาสตร์ และการทดลอง แทนความเชื่อแบบเดิม
ฮัลซาเองก็ได้รับแรงบันดาลใจจากบรรยากาศเช่นนี้ จึงเริ่มศึกษาและวางระบบความรู้ด้านผึ้งอย่างจริงจัง
ในขณะที่คนทั่วไปยังเข้าใจผิดว่าผึ้งมี ‘ราชาผึ้ง’ คอยควบคุมรัง ฮัลซากลับค้นพบความจริงด้วยตาของตนว่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรผึ้งคือ ‘ราชินี’ เพียงหนึ่งเดียว
เขาสังเกตเห็นรูปแบบการทำงานของผึ้งงาน ระบบการผลิตน้ำผึ้ง การดูแลลูกผึ้ง และแม้กระทั่งพฤติกรรมของผึ้งเพศผู้ที่ปรากฏเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น
จังหวะของโชคชะตาเดินทางมาบรรจบกับความมุ่งมั่นของเขา เมื่อจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา Maria Theresa ทรงมีนโยบายส่งเสริมการเกษตรในอาณาจักร
เพื่อยกระดับความรู้ด้านเกษตรกรรมและอาชีพพื้นบ้าน โดยเฉพาะในกลุ่มชาวบ้านและเกษตรกร
ขณะเดียวกันก็ได้ก่อตั้งโรงเรียนการเลี้ยงผึ้งหลวงขึ้นในกรุงเวียนนา ฮัลซาจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นครูสอนเลี้ยงผึ้งคนแรกของสถาบัน
และเป็นเวลาเดียวกับที่ฮัลซาเริ่มมีฐานะเป็น ‘ผู้ที่รู้จริงเรื่องผึ้ง’ จากประสบการณ์และการศึกษาด้วยตนเอง
นอกจากองค์ความรู้แล้ว ฮัลซายังเป็นที่ยอมรับว่ามีความสามารถในการสื่อสารและสอน สามารถอธิบายได้อย่างเป็นระบบ
รวมถึงมีทักษะการเขียนตำรา และความสามารถในการถ่ายทอดองค์ความรู้เป็นลายลักษณ์อักษร
ในตำแหน่งนั้น เขาไม่เพียงแค่ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังบุกเบิกวิธีการใหม่ๆ ที่เปลี่ยนโลกของการเลี้ยงผึ้งไปตลอดกาล
เขาออกแบบรังผึ้งแบบใหม่ที่เปิดจากด้านบนเพื่อให้เข้าถึงง่าย ใช้ควันเพื่อทำให้ผึ้งสงบในระหว่างตรวจรัง
และสำคัญที่สุด เขาเขียนตำราการเลี้ยงผึ้งอย่างเป็นระบบ ซึ่งต่อมากลายเป็นแนวทางมาตรฐานทั่วทวีปยุโรป
แม้เขาจะจากโลกนี้ไปตั้งแต่อายุเพียง 39 ปี ในปี ค.ศ. 1773 แต่ผลงานและความหลงใหลในผึ้งของเขายังคงอยู่
ฮัลซาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความรู้ไม่ได้เกิดจากแค่ตำราเรียน แต่สามารถงอกงามจากดินและเสียงหึ่งของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ได้เช่นกัน
และในปี 2017 องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 20 พฤษภาคม (วันเกิดของฮัลซา) เป็น “วันผึ้งโลก” (World Bee Day)
เพื่อยกย่องคุณูปการของชายผู้หนึ่ง ซึ่งใช้ชีวิตเพื่อให้โลกเข้าใจผึ้งมากขึ้น
อันตัน ฮัลซา จึงไม่ใช่แค่ชาวบ้านผู้รักธรรมชาติ แต่คือผู้เปลี่ยน ‘ผึ้ง’ จากสัตว์พื้นบ้านให้กลายเป็นศาสตร์ที่มีคุณค่าต่อมนุษยชาติทั้งในด้านนิเวศและอาหาร
ด้วยหัวใจที่อ่อนโยน และดวงตาที่มองเห็นสิ่งพิเศษในสิ่งที่คนอื่นมองข้าม

เกย์ลอร์ด เนลสัน บุรุษผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันให้เกิด ‘วันคุ้มครองโลก’22 เมษายน วันคุ้มครองโลก Earth Dayวันคุ้มครองโล...
22/04/2025

เกย์ลอร์ด เนลสัน
บุรุษผู้อยู่เบื้องหลัง
การผลักดันให้เกิด
‘วันคุ้มครองโลก’
22 เมษายน วันคุ้มครองโลก Earth Day
วันคุ้มครองโลกครั้งแรกถูกจัดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ในปี 1970 อันเป็นเวลาที่ประเทศนี้ประสบกับปัญหามลภาวะอย่างรุนแรง
แต่ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปจากการเคลื่อนไหวของบุคคลที่ชื่อ เกย์ลอร์ด เนลสัน (Ga***rd Nelson) นักการเมืองที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับประเด็นสิ่งแวดล้อม และผลักดันให้ผู้คนตระหนักว่าสิ่งแวดล้อมสำคัญกับเราอย่างไร
“อากาศ น้ำ ดิน ป่าไม้ มหาสมุทร แม่น้ำ ทะเลสาบ ทิวทัศน์สวยงาม ที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า แร่ธาตุ เป็นความมั่งคั่งของประเทศ”
เกย์ลอร์ด เนลสัน เกิดที่เคลียร์เลค เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของรัฐวิสคอนซินในปี 1916 ท่ามกลางป่าไม้ที่ยังอุดมสมบูรณ์ ก่อนที่มันจะค่อยๆ หดหายจากบริษัททำไม้ท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นบทเรียนแรกให้เนลสันได้เห็นการทำลายธรรมชาติด้วยน้ำมือของมนุษย์
ในวัยเยาว์ชีวิตของเนลสันผูกพันกับกิจกรรมทางการเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากแอนตัน เนลสัน บิดาของเขาเป็นผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันตัวยง อีกทั้งปู่ปวดยังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมผลักดันพรรคการเมืองนี้ในวิสคอนซิน
เนลสันสำเร็จการศึกษาระดับรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐซานโฮเซในแคลิฟอร์เนีย จากนั้นกลับมาเรียนทางกฎหมายที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซินบ้านเกิด
เช่นเดียวกับชายหนุ่มหลายคนในเวลานั้น เนลสันเข้าร่วมกับกองทัพสหรัฐฯ ออกไปรบในสงครามโลกครั้งที่สอง
เมื่อผ่านสงครามเขากลับทำงานด้านกฎหมายในเมืองเมดิสัน วิสคอนซิน และเริ่มอาชีพทางการเมืองโดยการเข้าเป็นวุฒิสภารัฐวิสคอนซินในปี 1948
จนในปี 1958 เนลสันก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ว่าการรัฐ พร้อมๆ กับการยกเครื่องการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของรัฐใหม่ การทำงานของเนลสันทำให้เขามีชื่อเสียงระดับชาติในฐานะ ‘ผู้ว่าการนักอนุรักษ์’
เนลสัน เป็นผู้จัดตั้ง Youth Conservation Corps เพื่อสร้างงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับคนหนุ่มสาวที่ว่างงานกว่า 1,000 คน และพยายามจัดสรรเงิน 50 ล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการ Outdoor Recreation Action เพื่อจัดหาที่ดินและพื้นที่รกร้างว่างเปล่าทำสร้างสวนสาธารณะ
ความนิยมที่เกิดจากงานสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้เนลสันเข้าสู่วุฒิสภาสหรัฐอเมริกาในปี 1962
แม้ตำแหน่งจะเปลี่ยนไป แต่ เกย์ลอร์ด เนลสัน ยังคงผลักดันประเด็นทางสิ่งแวดล้อมไม่ต่างไปจากเดิม
เนลสันสามารถเกลี้ยกล่อมให้ประธานาธิบดีเคนเนดีออกมาสนับสนุนประเด็นทางสิ่งแวดล้อมได้สำเร็จ นำไปสู่กิจกรรมเดินสาย ‘ทัวร์อนุรักษ์’ ใน 11 รัฐ
แต่เมื่อมีคนเห็นด้วยก็ย่อมมีคนเห็นต่าง บางครั้งเขาต้องพบกับความไม่แยแสของเพื่อนร่วมงาน เพราะมุมมองนักการเมืองในเวลานั้นไม่คิดว่านี่เป็นสิ่งน่าสนใจ หรือเรียกคะแนนจากประชาชนได้สักเท่าไหร่
ผลลัพธ์ในทัวร์ครั้งนั้น ค่อนข้างหน้าผิดหวัง ประธานาธิบดีไม่ ‘อิน’ กับประเด็นนี้สักเท่าไหร่
ขณะที่ฝากสื่อก็แทบไม่ถามถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมเลย คำพูดของเคนเนดีที่ถูกนำไปตีพิมพ์มีแต่สนธิสัญญาห้ามทดสอบนิวเคลียร์กับสหภาพโซเวียตเพียงเท่านั้น
จนในที่สุดเนลสันมาได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘teach-in’ เกี่ยวกับการต่อต้านสงครามเวียดนาม
ก่อนหน้านั้นในการประท้วงสงครามเวียดนาม ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน คณาจารย์และนักศึกษาได้ออกมาทำกิจกรรม ‘teach-in’ โดยมีทั้งการบรรยายสาธารณะ การอ่านแถลงการณ์จากมุมมองที่หลากหลาย ตลอดจนการถาม-ตอบเกี่ยวกับปัญหาสงครามเวียดนาม
เนลสันประกาศแผน ‘teach-in’ ในแบบของตัวเองในเดือนกันยายน 1969 เพื่อให้สื่อมวลชนได้เริ่มแจ้งต่อสาธารณชนทราบ ด้วยแนวคิดสุดอหังการ์ว่างานนี้จะจัดขึ้นทั่วประเทศ ให้ผู้คนระดับรากหญ้ามารวมตัวกันจัดกิจกรรม และพยายามย้ำให้สื่ออย่าลืมลงคำว่า ‘Earth Day’
ในช่วงเตรียมการ เนลสันมักพาตัวเองออกไปตามสถานที่ชุมนุมต่างๆ หาโอกาสกล่าวปราศรัยหาแนวร่วมรวมพลคนจัดงานวันคุ้มครองโลก
ด้วยความเป็นนักสิ่งแวดล้อมเต็มตัว เนลสันเชื่อว่าวิกฤตสิ่งแวดล้อมคือสงครามที่น่ากลัวที่สุดที่มนุษยชาติเคยเผชิญมาทั้งหมด
“การต่อสู้เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่เหมาะสมระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จะต้องอาศัยความมุ่งมั่นทางการเมือง ศีลธรรม จริยธรรม และการเงินที่ยาวนาน ยั่งยืน เกินกว่าที่เคยทำมาก่อน”
คำพูดและวลีต่างๆ ที่เนลสันใช้ทำให้มีคนคล้อยเรื่องสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น เสียงตอบรับการจัดงานวันคุ้มครองโลกก็ค่อยๆ เป็นบวกตามมาเรื่อยๆ
ทีมงานที่เข้าร่วมกับเนลสันต้องช่วยกันตอบจดหมายและประสานงานกันหามรุ่งหามค่ำทุกวัน
อย่างไรก็ตาม เวลานั้นเรื่องสงครามกับสิ่งแวดล้อมยังเป็นประเด็นที่ถูกมองแยกส่วนกันอยู่ และกลุ่มต่อต้านสงครามก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเอาเรื่องสงครามมาอุปมาถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมสักเท่าไหร่
บางคนมองว่าเป็นฝ่ายสนับสนุนสงคราม และการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่ทำให้เกิดความไขว้เขวต่อประเด็นสงครามในเวียดนาม
อีกทั้ง ขบวนการทางสิ่งแวดล้อมที่เริ่มก่อตัวขึ้นก็เป็นคนกลุ่มเดียวกับที่ออกมาต่อต้านสงคราม คนอีกกกลุ่มจึงคิดว่านี่เป็นการลดทอนขุมกำลัง
แต่ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร ตัวของเกย์ลอร์ด เนลสันคือหนึ่งในผู้ที่ออกมาต่อต้านสงครามเวียดนามอย่างชัดเจน เพราะเขามองทะลุแล้วว่าสงครามคือวายร้ายที่ทำลายสิ่งแวดล้อมให้ย่อยยับได้อย่างรวดเร็ว
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แนวคิดวันคุ้มครองโลกได้รับความสนใจ เกิดขึ้นเพราะการนำเสนอเนื้อหานี้ของสื่อหนังสือพิมพ์ที่เริ่มต้นจากเพียงหัวสองหัว ก่อนกระจายไปทั่วประเทศ
และนำมาสู่การจัดกิจกรรมวันคุ้มครองโลกขึ้นพร้อมกันในทุกหัวระแหง
ซึ่งสารตั้งต้นมาจากเนลสันได้ไอเดียว่า หากวิทยาลัยหลายร้อยแห่งทั่วประเทศจัดการเรียนการสอนด้านสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน พูดคุย ออกมาทำกิจกรรมพร้อมๆ กัน มันคงกลายเป็นวาระชาติที่รัฐสภาต้องหันมาสนใจบ้างล่ะ
แนวคิดนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในสุนทรพจน์สำคัญของเนลสัน และถูกตีพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์ จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้การรวมตัวเพื่อคุ้มครองโลกมีความเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ผลของการทำงานอย่างมุมานะทำให้วันที่ 22 เมษายน 1970 อเมริกันชนกว่า 20 ล้านคน (ในขณะนั้นคิดเป็นร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมดในสหรัฐฯ) ในเมืองต่างๆ พากันออกมาเคลื่อนไหวและส่งเสียงเพื่อสิ่งแวดล้อม
ในเวลานั้นการรณรงค์ทางสิ่งแวดล้อมในสหรัฐแม้จะไม่มีความชัดเจนมากนัก แต่ก็พอมีกลุ่มต่างๆ ที่ขับเคลื่อนในสิ่งที่ตนสนใจทำงานกระจายกันออกไป
กระทั่งมีแนวคิดวันคุ้มครองโลกเกิดขึ้น กลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มที่ต่อสู้เพื่อต่อต้านการรั่วไหลของน้ำมัน โรงงานและโรงไฟฟ้าที่ก่อมลพิษ น้ำเสีย แหล่งทิ้งสารพิษ ยาฆ่าแมลง ทางด่วน การสูญเสียพื้นที่ธรรมชาติ และการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่า ต่างรวมตัวกันในวันคุ้มครองโลกโดยยึดมั่นในค่านิยมร่วมกัน
Earth Day เปรียบได้กับรุ่งอรุณแห่ง ‘ทศวรรษสิ่งแวดล้อม’ นำไปสู่การปฏิรูปกฎหมายที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หลังจากประสบปัญหาในการผ่านกฎหมายตลอดช่วงทศวรรษที่ 1960
เนลสันได้มีส่วนเกี่ยวร่วมกับการออกกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติน้ำสะอาด พระราชบัญญัติแม่น้ำป่าและทิวทัศน์แห่งชาติ พระราชบัญญัติสารกำจัดศัตรูพืช ตลอดพระราชบัญญัติอากาศบริสุทธิ์
โดยในเดือนกรกฎาคมปีแรกของการจัดงานวันคุ้มครองโลก ได้มีการตั้งสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมขึ้นโดยคำสั่งพิเศษ เพื่อควบคุมและบังคับใช้กฎหมายมลพิษระดับชาติ
รวมถึงยังได้ร่างมติเพื่อกำหนดให้สัปดาห์ที่สามของเดือนเมษายนของทุกปีเป็นสัปดาห์โลก (Earth Week) ซึ่งสมาชิกวุฒิสภาครึ่งหนึ่งได้เข้าแถวเพื่อลงนามในฐานะผู้ให้การสนับสนุน
วันคุ้มครองโลกได้นำมาซึ่งการดำเนินงานเพื่อสร้างวาระทางการเมืองด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ และดำเนินสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ในปี 1980 เนลสันพ่ายแพ้ในการแข่งขันชิงตำแหน่งวุฒิสภา ความปราชัยครั้งนั้นเป็นเหมือนการบอกลาบทบาททางการเมือง แต่ถึงอย่างนั้นเนลสันก็ยังไม่คิดเกษียณตัวเองจากการเป็นนักอนุรักษ์
เขายังทำงานอีกหลายอย่าง ทั้งได้รับการทาบทามเป็นที่ปรึกษาทางสิ่งแวดล้อมในหลายโครงการ
ในปี 1995 เขาได้รับเหรียญ Congressional Medal of Freedom จากประธานาธิบดีบิล คลินตันสำหรับการทำงานเพื่อสิ่งแวดล้อมมาหลายทศวรรษ
ก่อนจะเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลวในอีก 10 ปีต่อมา วันที่ 3 กรกฎาคม 2005
วันหนึ่ง ในวัยเกษียณ เนลสันถูกถามว่าทำไมคุณยังไม่หยุดทำงาน
เขาตอบเพียงสั้นๆ ว่า “งานของเรายังทำไม่เสร็จ”
และหวังว่าในวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ จะมีคนสานต่อปณิธานนั้น เพราะยังมีเรื่องที่ต้องทำเพื่อสิ่งแวดล้อมอีกมาก
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผู้นำสหรัฐฯ หันหลังให้กับธรรมชาติไปเสียแล้ว
อ้างอิง
National Park Service, Ga***rd Nelson
Nelson EarthDay Tracing Earth Day’s Origins
World Biography Ga***rd A. Nelson Biography
Michigan in the World In Focus: Ga***rd Nelson
เผยแพร่ครั้งแรก 22 เมษายน 2022 แก้ไขเรียบเรียงเพิ่มเติม เมษายน 2025

งานวันคุ้มครองโลกครั้งแรกถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1970 ตามบันทึกระบุว่า มีชาวอเมริกัน 20 ล้านคนออกมาร่วมงานใ...
22/04/2025

งานวันคุ้มครองโลกครั้งแรกถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1970
ตามบันทึกระบุว่า มีชาวอเมริกัน 20 ล้านคนออกมาร่วมงานในหลายเมืองทั่วประเทศ (คิดเป็นร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมดในสหรัฐฯ)
ในภาพ จอร์จ สโตกส์ (George Stokes) นักบอลลูนอากาศร้อนชื่อดัง ได้นำบอลลูนมาลงจอดที่ วิทยาลัยชุมชน Cerritos ทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย
ภาพถ่ายโดย จูเลียน วาสเซอร์ (Julian Wasser)
ในปีนี้ ครบรอบ 55 ปี

หน่วยฟื้นฟูป่าตัวจริง การขุดโพรงของตัวลิ่น ช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศของป่าที่ถูกไฟเผาได้คุณค่าที่แท้จริงของ ‘ตัวลิ่น’ หรือ ‘นิ...
19/04/2025

หน่วยฟื้นฟูป่าตัวจริง
การขุดโพรงของตัวลิ่น
ช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศของป่าที่ถูกไฟเผาได้
คุณค่าที่แท้จริงของ ‘ตัวลิ่น’ หรือ ‘นิ่ม’ ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหรือเกล็ด และไม่ได้อยู่ที่ราคาในตลาดค้าของผิดกฎหมาย
แต่มันขึ้นอยู่กับหน้าที่ในระบบนิเวศที่ตัวพวกเขาได้ลงมือทำ
งานวิจัยชิ้นใหม่ เพิ่งเผยแพร่เมื่อต้นปี 2568 เปิดเผยว่า ‘ตัวลิ่น’ เป็นสัตว์ที่มีบทบาทต่อการฟื้นตัวของป่าที่เพิ่งผ่านวันวอดวายด้วยฤทธิ์เพลิงอย่างมีนัยสำคัญ
ด้วยวิธีการง่ายๆ ผ่านการใช้ชีวิตอย่างปกติและมีอิสระ ก้มหน้าก้มตาขุดโพรงด้วยเล็บที่วิวัฒนาการออกแบบมาอย่างดี ทั้งเพื่อหาอาหาร และเพื่อหลบภัย
ในความรู้เก่าเรามองว่านั่นมีส่วนช่วยในการพรวนดินให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ และควบคุมจำนวนมดปลวก
แต่เมื่อใส่บริบทสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเพลิงเผาผลาญรุนแรงทุกปีแล้ว จึงได้พบต่อว่าบริการทางนิเวศของตัวลิ่นยังช่วยซ่อมแซมป่าหลังไฟไหม้ได้อีกอย่างด้วย
ข้อมูลจากการศึกษาระบุว่า เมื่อตัวลิ่นขุดโพรง สัตว์ป่าชนิดอื่นๆ จะได้รับประโยชน์ ทั้งเป็นแหล่งหลบภัย หลบความร้อน บ้างก็เข้ายึดเป็นที่พักอาศัยและสืบพันธุ์ต่อไป
ในงานวิจัยพบสัตว์เข้ามาใช้ประโยชน์ทั้งหมด 35 ชนิด เป็นนก 24 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 10 ชนิด และสัตว์เลื้อยคลาน 1 ชนิด
หรือหากนับเป็นตัว เมื่อรวมเวลา 2 ปี ที่ตั้งกล้องบันทึกภาพไว้หน้าโพรงตัวลิ่นทั้งหมด 54 แห่ง พบสัตว์เข้ามาใช้ประโยชน์โพรงทั้งสิ้น 1,041 ตัว
ในด้านของพืชพรรณป่า ก็ฟื้นตัวได้เป็นอย่างดีเช่นกัน โดยพบพืช 58 ชนิด เจริญเติบโตได้ดีจากพฤติกรรมของตัวลิ่น ต่างจากการเก็บข้อมูลในพื้นที่ที่ไม่มีโพรง ที่พบชนิดของพืชน้อยกว่าและปริมาณความงอกเงยก็น้อยกว่าด้วย
เพราะเมื่อเกิดไฟป่า ดินจะสูญเสียธาตุอาหารและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชไป
ทีมผู้ศึกษาวิจัย บรรยายสรุปว่า ความหลากหลายทางชีวภาพที่เพิ่มขึ้นในบริเวณโพรงเกิดจากจุลินทรีย์ที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งเกิดจากการขุดโพรง
เมื่อตัวลิ่นขุดดินชั้นบน ที่ไหม้เกรียม แข็งกระด้าง และไร้สารอาหารออก พืชจะเข้าถึงสารอาหารได้ง่ายขึ้น
ขณะเดียวกันดินที่เป็นเนินจะมีความชื้นมากกว่า และมีปริมาณทรายน้อยกว่า ซึ่งช่วยให้เมล็ดพืชงอกและเหง้าเจริญเติบโตใต้ดิน
รวมถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ เช่น พืชบางชนิดที่ไม่ค่อยชอบแสงจะเติบโตจากบริเวณด้านในของโพรง ส่วนพืชที่ชอบแดดจะเติบโตบนเนินดิน
ธรรมชาติสามารถจัดการตัวเองได้ ตราบใดที่เรายังหลีกทางให้
นอกจากผลลัพธ์เชิงปริมาณที่ปรากฏชัดแล้ว นักวิจัยเชื่อว่าสัตว์นักขุดโพรงชนิดอื่นๆ ก็คงส่งต่อนิเวศบริการในรูปแบบเดียวกันนี้
เช่นเดียวกับสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่เราได้เรียนรู้และรับทราบมาก่อนหน้าในเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่อง เช่น บีเวอร์สร้างเขื่อนกั้นลำน้ำทำให้ป่าชุ่มชื้นไม่แห้งแล้ง หรือการช่วยทำแนวกันไฟของช้างในประเทศกาบอง
และอื่นๆ อีกมากมาย
สัตว์เหล่านี้ คือพันธมิตรที่สำคัญในการดูแลและฟื้นฟูป่าให้กับเรา ในวันที่ฤดูไฟมีแต่จะแรงขึ้นทุกๆ ปี
หรือจะเรียกว่าเป็นหน่วยฟื้นฟูป่าตัวจริง ก็คงไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปสักนิด
หมายเหตุ
การศึกษานี้เกิดขึ้นในประเทศจีน และเป็นศึกษาพฤติกรรมของตัวลิ่นจีน ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่พบในป่าของประเทศไทย
ในไทยพบ 2 ชนิด อีกชนิดคือ ลิ่นซุนดา
ลิ่นจีน กระจายพันธุ์ทางภาคเหนือ ส่วนลิ่นชวา กระจายพันธุ์ทางภาคใต้ของไทย ไปถึงมาเลเซีย อินโดนีเซีย
สำหรับในประเทศไทย ตัวลิ่นทุกชนิดถูกจัดอยู่ในบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562
และถูกจัดอยู่ในบัญชีหมายเลข 1 (Appendix I) ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES)
ซึ่งห้ามมิให้มีการค้าและการเพาะพันธุ์เพื่อการค้า
ขณะที่สถานะของตัวนิ่ม (ทุกชนิดบนโลกมี 8 ชนิด) ถือเป็นสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์
ความเชื่อเรื่องสรรพคุณทางยาของเกล็ดบนตัวลิ่น ยังเป็นสิ่งที่ไม่ถูกลบล้างออกไปจากสังคมในหลายๆ ภูมิภาค นำไปสู่การล่าเพื่อการค้า
จากข้อมูลของกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา ระบุว่า ราคาเกล็ดลิ่นขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์และคุณภาพ อยู่ที่กิโลกรัมละ 10,000-40,000 บาท
แต่ราคานั้นคงเทียบไม่ได้กับนิเวศบริการของตัวลิ่นที่ยังมีชีวิต
อ้างอิง
Chinese pangolins facilitate ecological restoration in burned forest sites by burrowing

แมวป่าอิริโอโมเตะ จากสัตว์เฉพาะถิ่นที่ถูกเกลียด สู่การเป็นที่รักของคนท้องถิ่นครั้งหนึ่งคนบน ‘เกาะอิริโอโมเตะ’ ประเทศญี่ป...
08/04/2025

แมวป่าอิริโอโมเตะ
จากสัตว์เฉพาะถิ่นที่ถูกเกลียด
สู่การเป็นที่รักของคนท้องถิ่น
ครั้งหนึ่งคนบน ‘เกาะอิริโอโมเตะ’ ประเทศญี่ปุ่น เคยเกลียด ‘แมวป่า’ เอามากๆ
สาเหตุเป็นเพราะรัฐบาลในอดีตจริงจังกับการอนุรักษ์ ‘แมวอิริโอโมเตะ’ ที่พบได้เฉพาะบนเกาะนี้มากเกินไป
ความเดือดร้อนเลยมาตกกับคนท้องถิ่น ที่ขอพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานอะไรไม่ค่อยได้ มันกระทบกับบ้านของแมวไปเสียหมด
บวกรวมกับทัศนคติของคนสมัยก่อน ที่เห็นแมวเป็นเพียงสัตว์ในป่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของของคนบนเกาะเลยแม้แต่น้อย
เว้นเสียเรื่องเดียว ‘ตัวขวางความเจริญ’
จนก่อเกิดเป็นความชิงชังอยู่นานหลายปี แต่โชคดีที่เรื่องไม่บานปลายจนเกิดเป็นปัญหาอื่นๆ ตามมา
และสุดท้ายกลับมาลงเอยที่ ‘ความเข้าใจ’ และเกิดเป็น ‘มิตรภาพต่างสายพันธุ์’ ระหว่างคนกับสัตว์ป่า
เพราะแมวอยู่ได้ คนจึงอยู่ได้
ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับแมวป่าเป็นมาอย่างไร - เรื่องราวนี้เริ่มต้นในปี 1965 เมื่อ ยูกิโอะ โทกาวะ (Yukio Togawa) นักข่าวที่ผันตัวมาเป็นนักนิเวศวิทยา ออกค้นหาแมวป่าตามเสียงล่ำลือ
เขาได้ยินมาว่าป่าบนเกาะอิริโอโมเตะ ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น (อยู่ใกล้กับไต้หวัน) มีแมวป่าอาศัยอยู่ แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นแมวชนิดไหน
การเดินทางครั้งแรก โทกาวะ ได้กระโหลกศรีษะกลับมา 2 ชิ้น และการเดินทางรอบสองได้ซากแมวป่าที่เพิ่งป่วยตายกลับมา 1 ซาก
ที่ต่อมาได้รับการยืนยันว่าเป็นแมวชนิดใหม่ที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้มาก่อน และไม่เคยมีการพบเจอที่ไหนอีกเลย นอกจากเกาะอิริโอโมเตะเกาะเดียว
แมวอิริโอโมเตะมีขนาดเท่าๆ กับแมวบ้าน สรีระรูปร่างใกล้เคียงกัน จะต่างเพียงส่วนกระโหลกที่แมวอิริโอโมเตะมีขนาดหนากว่า
กับเรื่องสีขน ที่ส่วนใหญ่เป็นแมวสีเทาเข้มและสีน้ำตาลอ่อน และตัวโตเต็มวัยจะมีจุดสีขาวที่ด้านหลังของหูแต่ละข้างเหมือนกับเสือโคร่ง
ลักษณะนิสัยเด่นอย่างหนึ่ง คือ ไม่กลัวน้ำ เพราะกุ้ง หอย ปู ปลา คือหนึ่งในอาหารอันโอชะ นอกเหนือจากสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก รวมถึงค้างคาวผลไม้ นก หมูป่า สัตว์ฟันแทะ
ในช่วงที่มีการประกาศยืนยันว่าพบแมวชนิดใหม่ และพบได้แห่งเดียวในโลก ทำให้แมวอิริโอโมเตะเป็นที่จับตามองจากนักอนุรักษ์ทั้งในและนอกประเทศ
แม้กระทั่งเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ ยังสนพระทัย ถึงขั้นทรงเขียนจดหมายถึงเจ้าชายอากิฮิโตะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น วอนขอให้หาทางอนุรักษ์แมวป่าชนิดนี้เอาไว้ให้ได้
เหตุผลนั้นเป็นเพราะทางฝ่ายอนุรักษ์ มองว่าเกาะอิริโอโมเตะไม่ใช่เป็นเกาะใหญ่ ทำให้ถิ่นอาศัยของแมวมีจำกัดเอามากๆ
หากคำนวณจากขนาดพื้นที่แล้ว แมวชนิดนี้คงมีราวๆ 100-150 ตัว ซึ่งนับว่าน้อยมากๆ
อีกทั้งกังวลว่าหากเกาะอิริโอโมเตะถูกพัฒนาอย่างไร้ทิศทาง ถิ่นอาศัยของแมวป่าคงถูกทำลายไม่เหลือหลอ และสุดท้ายจะนำมาซึ่งการสูญพันธุ์ในที่สุด
เรื่องทำนองนี้ก็มีบทเรียนให้เห็นทั่วไป เมื่อไหร่ก็ตามที่บ้านของสัตว์ป่าถูกรุกรานด้วยการพัฒนาที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ความสูญเสียจะกลายเป็นชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในตอนนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นค่อนข้างเห็นดีเห็นงามกับการอนุรักษ์ ยกเลิกแผนพัฒนาต่างๆ เช่น ยุติการตัดถนนหลายสาย จนคนบนเกาะพากันหัวเสียเป็นยกใหญ่
เกิดเป็นเสียงบ่นระงมอย่างทดท้อว่าถูกบังคับให้ใช้ชีวิตเหมือนอย่างยุคดึกดำบรรพ์
เพราะเดิมทีเกาะอิริโอโมเตะก็เป็นดินแดนไกลปืนเที่ยงอยู่แล้ว มีไฟฟ้าใช้ช้ากว่าพื้นที่อื่นๆ ในญี่ปุ่นค่อนข้างมาก ครั้นพอความเจริญจะเข้ามาก็ดันมีแมวมากระโดดขวางหน้า
มิหนำซ้ำ รัฐบาลยังมีแผนย้ายคนออกจากเกาะ ตั้งเป้าประกาศให้เกาะอิริโอโมเตะเป็นเขตอนุรักษ์สัตว์ป่าที่มีแค่ป่ากับสัตว์สองอย่างเท่านั้น
พอเจอกรณีนี้เข้า คนบนเกาะจึงออกมาประท้วง ส่งคำถามถึงรัฐบาลว่าจะเลือกแมวหรือเลือกคน
อย่างไรก็ตาม หากว่ากันตามวิถีความเป็นอยู่ของคนกับแมว ในอดีตต่างก็อยู่บนที่ดินเดียวกันมานมนาน ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันมาก่อน
จนถึงที่สุด แง่มุมที่ถูกมองข้ามได้ถูกนำมาปัดฝุ่นศึกษา มีกระทรวงสิ่งแวดล้อม นักอนุรักษ์เข้ามาทำงานร่วมกับคนบนเกาะ ช่วยกันสร้างจุดร่วมให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน
พื้นที่ตรงนี้ขอไว้เป็นอุทยานแห่งชาติให้แมวนะ ส่วนด้านนี้ไว้พัฒนาสาธารณูปโภคแก่ผู้อยู่อาศัย
เมื่อเวลาผ่านไป ชาวบ้านเริ่มมองแมวป่าด้วยความภาคภูมิใจ และเกิดเป็นความถ้อยทีถ้อยอาศัย
เรื่องราวของแมวป่าที่หาไม่ได้จากที่ใดในโลก ทำให้เกาะอิริโอโมเตะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อสำหรับคนรักธรรมชาติและอยากเห็นแมวป่าตัวนี้สักครั้งในชีวิต
ชุมชนก็รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวไปเต็มๆ กระทั่งวันหนึ่งคนบนเกาะพากันลงขันสร้างอนุสาวรีย์แมวไว้เป็นจุดเช็คอินโดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณจากรัฐเลยสักบาท
พร้อมๆ ความรัก ความเข้าใจ ความหวงแหนต่อทรัพยากรสัตว์ป่าก็ค่อยๆ เพิ่มพูนตามมา ถึงขั้นที่บางคนแสดงความเศร้าใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อพบซากแมวตายเพราะถูกรถชน อันเป็นผลจากการเติบโตของเมืองเพราะภาคการท่องเที่ยว
ในช่วงแรก การท่องเที่ยวบนเกาะอิริโอโมเตะไม่ได้ฟู่ฟ่าอะไรนัก จำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อปีราวสองหมื่นคน
แต่พอเริ่มมีสถานีโทรทัศน์มาถ่ายทำรายการพิเศษเรื่องแมวป่า ชื่อเสียงก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นพร้อมกับจำนวนนักท่องเที่ยว รถราที่เยอะขึ้น
รวมถึงพบซากแมวบนถนนมากขึ้น
คนบนเกาะเองค่อนข้างเป็นกังวลว่า ถ้าเหตุการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ‘จุดขาย’ ของเกาะก็คงสิ้นสุดในสักวันหนึ่ง
ความรักที่มีต่อแมวป่ายังถูกแสดงออกชัด ตอนที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะเสนอให้เกาะอิริโอโมเตะเป็นมรดกโลก เพื่อเพิ่มความภาคภูมิใจให้กับคนในประเทศ พร้อมยกระดับการท่องเที่ยวไปใยตัว
แต่คนบนเกาะอิริโอโมเตะมองว่า การเป็นมรดกโลกจะทำให้มีนักท่องเที่ยวมากเกินจะรับไหว และอาจทำให้แมวป่าอิริโอโมเตะถูกรบกวนหนักกว่าเก่า
เรื่องนี้มีบทเรียนจากเกาะยาคุชิมะที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะอิริโอโมเตะ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1993 จนจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทวีคูณ
และเพราะขาดระบบการจัดการที่ดี ภายหลังจึงพบว่า เต่าทะเลที่ใช้ชายหาดของเกาะยาคุชิมะเป็นแหล่งทำรังวางไข่ลดจำนวนลงไปครึ่งหนึ่ง
ครั้นพอจะกลับตัว องค์กรปกครองท้องถิ่นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะอำนาจต่อรองตกไปอยู่ใมมือภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไปเสียหมด
ซึ่งคนบนเกาะอิริโอโมเตะ ก็กำลังเจอปัญหาคล้ายๆ กัน จากการควบคุมนักท่องเที่ยวและไกด์บางส่วนไม่ได้
บริษัททัวร์บางแห่งโชว์จุดขายว่ามาเกาะอิริโอโมเตะจะพบแมวป่าแน่ๆ โดยใช้วิธีวางอาหารล่อบ้าง หรือพาบุกเข้าถิ่นแมวอย่างไม่เกรงใจวิถีชีวิตของสัตว์
ปัจจุบัน เกาะอิริโอโมเตะมีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 315,000 คน แม้จะเกิดผลดีทางเศรษฐกิจ แต่สิ่งแวดล้อมก็ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน
ความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัยเริ่มปรากฏให้เห็น ขณะที่นักท่องเที่ยวที่เริ่มมากไปทำให้แมวไม่สามารถใช้พื้นที่ในอาณาเขตของเองได้อย่างเป็นสุข
ครั้งหนึ่งเคยมีคลิปจากไกด์ที่พยายามส่องไฟฉายให้ลูกทัวร์ดูแมว แต่ภาพที่บันทึกได้เป็นแม่แมวเผ่นหนีนักท่องเที่ยวและทิ้งลูกน้อยสองตัวไว้ข้างหลัง
รวมถึงถนนหนทางที่มีมากขึ้น ก็ต้องแลกกับชีวิตแมวป่าไม่ต่ำกว่าปีละ 10 ตัว จากอุบัติเหตุทางรถยนต์
ในช่วงที่โควิด-19 ระบาด สถิติการตายของแมวป่าบนเกาะลดลงเท่ากับศูนย์ แต่เมื่อโลกกับสู่ภาวะปกติ ความตายก็กลับมาเพรียกหาอีกครั้ง
ทุกวันนี้คนท้องถิ่นบนเกาะอิริโอโมเตะกลายเป็นแนวหน้าสำคัญของการปกป้องแมวป่าที่หาจากกที่ไหนบนโลกไม่ได้อีกแล้ว
พวกเขามีทีมลาดตระเวนในตอนกลางคืน คอยสอดส่งถนนหนทาง จุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อย ทำแม้กระทั่งเก็บกวาดซากสัตว์ชนิดต่างๆ ที่ตายบนท้องถนน (เพราะซากสัตว์สามารถล่อให้แมวให้ออกจากป่าได้)
ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ คนบนเกาะอิริโอโมเตะได้ร่วมกันเขียนกฎการอนุรักษ์และการท่องเที่ยวขึ้นใหม่ โดยอยากให้มีหน่วยงานรัฐรับรองและให้เกิดการบังคับใช้จริง เพื่อลดการคุกคามแมวจากภาคการท่องเที่ยวลง
แต่เรื่องนี้ไม่ง่าย เพราะต้องฟังความหลายฝ่าย และเริ่มมีประเด็นอำนาจทางการเมืองของภารรัฐเข้ามาเกี่ยว
ถึงตอนนี้ยังไม่ปรากฏรายงานว่าความพยายามนั้นสำเร็จหรือไม่
แมวป่าอิริโอโมเตะ จากสัตว์เฉพาะถิ่นที่ถูกเกลียด สู่การเป็นที่รักของคนท้องถิ่น เป็นอีกบทที่แสดงให้เห็นถึงการดึงภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับงานอนุรักษ์ คือ คำตอบสำคัญของการปกป้องสิ่งแวดล้อม
เพราะทุกสรรพชีวิตบนโลกนี้จำเป็นต้องเกื้อกูลกัน
อ้างอิง
Hakai Magazine, The Risky Fame of a Rare Island Wildcat

โลกมันร้อนมากขนาดจระเข้ที่ว่าแกร่งยังเริ่มทนไม่ไหวจระเข้ เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้มานานกว่า 200...
31/03/2025

โลกมันร้อนมาก
ขนาดจระเข้ที่ว่าแกร่ง
ยังเริ่มทนไม่ไหว
จระเข้ เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้มานานกว่า 200 ล้านปี
อยู่ยงคงกระพันโดยแทบไม่ต้องวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือลักษณะนิสัยใดๆ มากนัก
ในเชิงทฤษฎีมีคำบรรยายวิวัฒนาการที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงว่า เป็นการเว้นวรรคทางดุลยภาพ (punctuated equilibrium)
หรืออธิบายง่ายๆ ว่า เป็นพวกที่มีวิวัฒนาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรมาก ก็มีชีวิตรอดสบายๆ - ราวกับร่างกายได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดีตั้งแต่ 200 ล้านปีก่อนแล้ว
ตัวอย่างเช่น จระเข้สามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องกินอาหารเป็นเวลานาน เพราะมีระบบเมตาบอลิซึมสกัดสารอาหารมาเก็บเป็นพลังงานไว้เต็มบริบูรณ์
ความเป็นสัตว์เลือดเย็น ก็ไม่มีความจำเป็นต้องกินอะไรบ่อยๆ เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกาย
นอกจากนั้น ยังมีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่แข็งแกร่ง แม้ร่างกายจะได้รับแผล (ต่อสู้แย่งอาณาเขต) แต่แผลจระเข้มักสมานเร็ว โดยไม่มีอาการติดเชื้อแต่อย่างใด
โดยเซลล์เม็ดเลือดขาวของจระเข้จะสร้างสารโปรตีนที่มีคุณสมบัติหยุดยั้งการเติบโตของเชื้อโรคและต่อต้านเชื้อราต่างๆ
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าจระเข้จะไม่เคยวิวัฒนาการเป็นอย่างอื่นเลย
ในประวัติศาสตร์สัตว์โลกอันเนิ่นนาน มีจระเข้หลายชนิดได้วิวัฒนาการเปลี่ยนรูปร่างและสรีระต่างไปจากเดิม
แต่สุดท้าย พวกที่เปลี่ยนกลับอยู่กันไม่รอด สูญพันธุ์ไปแทบทั้งหมด คงเหลือเพียงจระเข้ที่หน้าตาดึกดำบรรพ์อย่างที่รู้จักในปัจจุบัน
หรือในอีกกรณี พบว่าจระเข้มีวิวัฒนาการที่รวดเร็วขึ้นในบางครั้ง หากสภาพแวดล้อมบางอย่างเปลี่ยนไป
ตัวอย่างเช่น เมื่อโลกมีสภาพอากาศร้อนขึ้น จระเข้จะวิวัฒนาการให้ร่างกายมีขนาดใหญ่ขึ้น
และไม่แน่… เราอาจได้เห็นวิวัฒนาการด้านนี้อีกครั้งในยุคปัจจุบัน
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย ได้เปิดเผยผลการศึกษาใหม่ อธิบายว่า จระเข้น้ำเค็มในประเทศกำลังมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น
ผลการศึกษารายงานว่า นับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา จระเข้ต้องเผชิญพบกับอุณหภูมิสภาพแวดล้อมที่สูงขึ้น 0.5 องศาเซลเซียส
ทำให้อุณหภูมิร่างกายของจระเข้โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.11 องศาเซลเซียส
ตามปกติร่างกายของจระเข้จะทนอุณหภูมิได้ถึง 32 - 33 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นขีดจำกัดของร่างกาย
แต่ในออสเตรเลีย พบว่ามีจระเข้อย่างน้อย 45 ตัว (จาก 203 ตัว ที่ติดตามด้วยระบบเซ็นเซอร์) มีอุณหภูมิร่างกายเกิน 34 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่าขีดจำกัดที่สัตว์รับได้
ผลที่ตามมา คือ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป นักวิจัยอธิบายว่า เราจะเห็นจระเข้ใช้เวลาไปกับการระบายความร้อนออกจากร่างกายนานมากขึ้น หรือนอนอ้าปากนานขึ้น
และเมื่อต้องเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่เคยเสียนานๆ ย่อมกระทบต่อพฤติกรรมอื่นๆ เช่น การล่า การเอาตัวรอด การสืบพันธุ์ ที่อาจลดลง
นักวิจัยยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า จระเข้ที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ อาจดำน้ำได้ไม่นานเท่าเดิมจนกระทบต่อความสามารถในการซุ่มโจมตีเหยื่อ
โดยสรุปเบื้องต้น ณ วันนี้เราค่อนข้างรู้แน่ชัดแล้วว่า ประชากรจระเข้ในบางประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาอุณหภูมิแวดล้อมที่เพิ่มสูงขึ้น
ส่วนผลกระทบจะเป็นอย่างที่ตั้งข้อสังเกตหรือไม่ เรื่องนี้นักวิจัยกำลังเตรียมหาคำตอบในการศึกษารอบต่อไป
หรือไม่แน่… เราอาจได้เห็นวิวัฒนาการของจระเข้เปลี่ยนแปลงไปในยุคนี้ก็เป็นได้
อ้างอิง
The Conversation : Crocodiles today look the same as they did 200 million years ago
University of BRISTOL : Research explains why crocodiles have changes so little since the age of the dinosaurs
VOA : Researchers may someday copy proteins found in alligator blood to produce infection-fighting drugs for people
Xinhua : Warming climate impacts behavior of Australia’s crocodiles

วันที่ 13 มีนาคม ของทุกปีเป็น วันช้างไทยช้างไทย หรือช้างเอเชีย เป็นสัตว์ที่มีสถานะใกล้สูญพันธุ์ (Endangered) มีถิ่นอาศัย...
13/03/2025

วันที่ 13 มีนาคม ของทุกปีเป็น วันช้างไทย
ช้างไทย หรือช้างเอเชีย เป็นสัตว์ที่มีสถานะใกล้สูญพันธุ์ (Endangered) มีถิ่นอาศัยอยู่ใน 13 ประเทศทั่วโลก
ในประเทศไทยมีช้างเลี้ยงอยู่ประมาณ 3,800 เชือก (ข้อมูลปี 2566)
ส่วนช้างป่า มีอยู่ 4,013 – 4,422 ตัว อาศัยอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ 46 แห่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 36 แห่ง และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า 9 แห่ง
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาเราคงได้ยินข่าวช้างป่าออกมาหากินอยู่นอกพื้นที่อนุรักษ์บ่อยๆ ครั้ง
และหลายๆ ครั้งได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างคนกับช้าง
ตามรายงานของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ระบุว่า ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าเกิดขึ้นในพื้นที่อนุรักษ์ถึง 71 แห่ง
ครอบคลุม 42 จังหวัด 128 อำเภอ 151 ตำบล ทั่วประเทศ
สถิติในปีงบประมาณ 2567 พบการรายงานช้างป่าออกนอกพื้นที่ถึง 11,468 ครั้ง
มีผู้บาดเจ็บ 34 ราย
ผู้เสียชีวิต 39 ราย
และสร้างความเสียหายต่อพืชผลและทรัพย์สินรวมกว่า 4,000 ครั้ง
สาเหตุหลักของปัญหา มาจากการที่พื้นที่ป่าอนุรักษ์หลายแห่งถูกแบ่งแยกเป็นหย่อมป่า (Habitat Fragmentation) ทำให้ถิ่นที่อยู่อาศัยของช้างลดลง
รวมถึงยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น รูปแบบการเคลื่อนย้ายตามธรรมชาติของช้าง
รศ.ดร.รัตนวัฒน์ ไชยรัตน์ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เคยวิเคราะห์ปัญหานี้ไว้ว่า ในอดีตที่ผ่านมาการประเมินจำนวนช้างป่าต่ำกว่าความเป็นจริง จึงกลายเป็นความชะล่าใจจนเกิดปัญหา
เมื่อประชากรช้างป่าเพิ่มขึ้น จึงมีแนวโน้มที่ช้างป่าจะขยายถิ่นที่อยู่อาศัยจากบริเวณที่มีอาหารและน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ไปยังพื้นที่ข้างเคียง เช่น ทางฝั่งตะวันตกของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ หรือในพื้นที่กลุ่มป่าตะวันออก
อีกปัจจัยมาจากอุปนิสัยการหากินของช้าง เมื่อช้างออกจากป่าไปพบถิ่นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม เช่น เขตสัมปทานไม้เก่าที่ฟื้นตัวขึ้นมาเป็นป่ารุ่น 2 มีลักษณะโปร่งโล่งเป็นหย่อมป่า ซึ่งเป็นลักษณะที่ช้างป่าชอบ
บวกกับพื้นที่รอบๆ มีการปลูกยางพารา ปลูกยูคาลิปตัส เหมาะเป็นที่หลบภัย ขณะที่ถัดออกไปมีการทำแปลงอ้อย สัปปะรด มันสัมปะหลัง และการส่งสริมการขุดแหล่งน้ำรอบๆ พื้นที่เกษตรกรรม จึงกลายเป็นทั้งแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับช้างป่าไปโดยปริยาย
เช่นเดียวกับความเห็นของ รองลาภ สุขมาสรวง คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิเคราะห์ว่า ปัจจัยจาก ‘ช้างป่า’ ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของจำนวนประชากรช้างป่าในพื้นที่อนุรักษ์แต่ละแห่ง
ขณะที่ปัจจัยอีกอย่างจาก ‘มนุษย์’ เป็นเรื่องจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น การใช้พื้นที่เพื่อเพาะปลูกพืชเกษตรต่างๆ ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการกำหนดนโยบายพืชเกษตรต่างๆ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เร่งให้เกิดตัวแปรความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น อาทิ เรื่องค่าชดเชยเยียวยา เพราะถ้าเราไม่จัดการเรื่องค่าชดเชยเยียวยาความเสียหาย ก็อาจเร่งให้ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น
โดย รองลาภ ได้เสนอแนวคิดลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า ควรทำบนฐานที่เรียกว่า HEC Perception คือการยอมรับและการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับช้างป่า
ซึ่งมีส่วนประกอบทั้งหมด 4 ด้านด้วยกัน ได้แก่
(1) การจัดการถิ่นอาศัยของช้าง (Managing land use) เช่น การปรับปรุงถิ่นที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับช้าง การประกาศพื้นที่อนุรักษ์ให้เหมาะสมกับและรองรับช้างป่าได้จริง
(2) กลยุทธ์การป้องกัน (Conducting HEC prevention strategies) เช่น การขุดคูกันช้าง
(3) การบรรเทาความขัดแย้ง (Establishing HEC mitigation schemes) เช่น การจ่ายค่าชดเชย หรือการประกันภัย
และ (4) วิธีการจัดการ (Improving HEC management) อันนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เช่น มีการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งฐานของเรื่องนี้คือการกระจายอำนาจ เพื่อทำให้เกิดความคล่องตัวในการแก้ปัญหา
นอกจากนี้ รศ.ดร.รัตนวัฒน์ ยังเคยเสนอไว้ว่า ควรคาดการณ์ถึงอนาคตเอาไว้ด้วย
เช่น อาจมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินตามโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) หรือสถานการณ์โลกร้อนที่ทำให้การปลูกพืชเกษตรหลายชนิดทำไม่ได้ และต้องเปลี่ยนพืชเกษตรใหม่
“ที่ผ่านมาสถานการณ์สัตว์ป่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การที่หน่วยงานหนึ่งต้องมาดูแลทั้งหมดอาจจะมองไม่เห็นภาพรวมทั้งหมด การกระจายอำนาจการจัดการไปยังท้องถิ่นเป็นหนึ่งในแนวทางที่ควรเกิดขึ้น”
“และต้องเติมเรื่องความรู้ทางวิชาการควบคู่กันไป เพราะถ้ามีการจัดการผิดวิธี ความรุนแรงจากสัตว์ป่าที่เปลี่ยนพฤติกรรม ก็อาจส่งผลกระทบที่รุนแรงและคาดไม่ถึง”
“และสิ่งสำคัญคือต้องมีการจัดการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีงานวิจัยชี้ว่า หากได้ผลกระทบซ้ำๆ นานๆ วิธีการแก้ไขปัญหามักจะมีแนวโน้มไปสู่การใช้วิธีที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น” รศ.ดร.รัตนวัฒน์ กล่าว
ทางด้านนโยบายของรัฐ ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2568 ในการประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และจัดการช้างครั้งที่ 1/2568 มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และจัดการทั้งช้างเลี้ยงและช้างป่า
รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณโครงการแก้ไขปัญหาช้างป่าและลิงรบกวนประชาชน และการกำหนด (ร่าง) แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาช้างป่าแห่งชาติ พ.ศ. 2568 – 2572
โดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และจัดการช้าง ได้มีข้อสั่งการที่สำคัญ 6 ประการ ได้แก่
1. สร้างระบบเครือข่ายเชื่อมโยงการดำเนินงานระหว่างหน่วยงาน
2. เพิ่มประสิทธิภาพชุดป้องกันและเฝ้าระวังช้างป่า
3. พัฒนาระบบการแจ้งเตือนล่วงหน้าและการรับแจ้งเหตุ
4. สร้างความตระหนักรู้ให้กับชุมชน
5. ยกระดับมาตรฐานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
6. ศึกษาวิจัยการใช้เทคโนโลยีช่วยลดผลกระทบจากปัญหาช้างป่า
นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่ 3 ส่วน ได้แก่ พื้นที่ป่าอนุรักษ์ พื้นที่แนวกันชน และพื้นที่ชุมชน เพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนกับช้าง
อ้างอิง
Green News “ช้างบ้านจะสิ้นเพราะทุนต่างชาติ ช้างป่าขาดอาหาร-ที่อยู่” วิกฤตช้างไทย 66
เวทีเสวนาหัวข้อ วิถีชีวิตที่ยั่งยืนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลก: การเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ เพื่อการจัดการคนกับช้างป่า
“วันช้างไทย” การอนุรักษ์เข้าใจและการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับช้างป่าอย่างยั่งยืน

ที่อยู่

Bangkok
10900

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Is Lifeผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Is Life:

แชร์