01/09/2025
[หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว: ประวัติศาสตร์ที่ถูกหลงลืมและกรอบเพศในวรรณกรรมสัจนิยมมหัศจรรย์]
แม้แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 นี้ ก็คงยังปฏิเสธไม่ได้ว่าประวัติศาสตร์ยังคงเป็นข้อเขียนของผู้ชนะ สำหรับข้าพเจ้า เหตุการณ์มากมายที่ดูแล้วจะรังแต่ปะทุความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสองปีที่ผ่านมา (ปี ค.ศ. 2024 - 2025) ทั้งในประเทศก็ดี ระหว่างประเทศก็ดี ต่างประเทศก็ดี ยิ่งทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่า นอกจากจะเป็นเรื่องราวของผู้ชนะแล้ว ประวัติศาสตร์ยังเป็นเรื่องราวที่ถูกเขียนซ้ำและถูกหลงลืมโดยแท้
ข้อคิดเห็นนี้ได้สะท้อนชัดอยู่ในวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์และการเมืองอย่าง “หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” อย่างที่ชวนให้คิดว่าโลกสัจนิยมมหัศจรรย์จากเมื่อเกือบหกสิบปีที่แล้ว กลับดูคล้ายคลึงกับโลกปัจจุบันที่เรารู้จักกันอย่างน่าเศร้า
อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์และเรื่องราวของตระกูล “บวนเดีย” ในเมืองอย่าง “มาก็อนโด” ซึ่งเป็นตัวละครและสถานที่ตั้งหลักของนวนิยายเรื่องนี้ อาจยังไม่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางมากนักในมุมมองของแนวคิดสตรีนิยม (Feminism) ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ควรหยิบยกมาพูดถึง
อันที่จริง ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์นวนิยาย หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ว่าเป็นวรรณกรรมเสนอบทบาทของชายและหญิงผ่านกรอบการแบ่งเพศแบบทวิลักษณ์ (Gender Binary) ดังที่ Pamela L. Moore (1994, หน้า 90) ได้วิเคราะห์ไว้ในบทความ “TESTING THE TERMS: “WOMAN” IN “THE HOUSE OF SPIRITS” AND “ONE HUNDRED YEARS OF SOLITUDE.” ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1994 ว่าผู้หญิงในนวนิยายเรื่องนี้ถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวและโลกของเรื่องราวปรัมปรา ส่วนผู้ชายกลับใช้ชีวิตในโลกสาธารณะที่ถูกจำกัดอยู่ในความเป็นชาย และบทบาททางประวัติศาสตร์
นอกจากนั้น ยังเห็นได้อีกด้วยว่า ถึงแม้ หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว จะมีตัวละครมากมาย (อีกทั้งยังมีชื่อซ้ำ ๆ กันจนน่าสับสนในบางครั้ง อย่างน้อยก็สำหรับนักอ่านบางท่าน) นวนิยายเรื่องนี้กลับมีเพียงตัวละครเพศ ‘ชาย’ และ ‘หญิง’ เท่านั้น
สิ่งเหล่านี้จึงชวนให้ข้าพเจ้าตั้งคำถามถึงบทบาทที่กรอบเพศและระบอบปิตาธิปไตยมีต่อการเขียนและสะท้อนเรื่องราวของประวัติศาสตร์ในวรรณกรรม และช่วยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะอ่านนวนิยายผ่านแนวคิดสตรีนิยม
หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว เป็นนวนิยายจากปลายปากกาของนักเขียนชาวโคลอมเบีย กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1967 และได้มีการแปลเป็นไทยจากภาษาสเปนโดย ชนฤดี ปลื้มปวารณ์ จากสำนักพิมพ์ บทจร เป็นผู้จัดทำ อีกทั้งยังมีซีรีส์ชื่อเดียวกันออกมาหนึ่งซีซันในปี ค.ศ. 2024
วรรณกรรมสัจนิยมมหัศจรรย์ในโลกภาษาสเปนเรื่องนี้ ถ่ายทอดเรื่องราวเจ็ดรุ่นของครอบครัวบวนเดีย และเมืองมาก็อนโดที่โฆเซ อาร์กาดิโอ บวนเดียได้พาอูร์ซูลา อิกวารันผู้เป็นภรรยา และพวกพ้องของตนไปบุกเบิกและก่อร่างสร้างตนเสียใหม่ เรื่องราวนับหนึ่งร้อยปีได้พาเมืองมาก็อนโดผันผ่านโศกนาฎกรรมและเรื่องเหลือเชื่อต่าง ๆ นานา ตั้งแต่ “โรคนอนไม่หลับ” ซึ่งทำให้ผู้คนหลงลืมชื่อของสิ่งของต่าง ๆ ไปจนถึงว่าใครเป็นใคร สงครามกลางเมืองหรือการจลาจลที่พันเอกเอาเรเลียโน บวนเดียได้ก่อขึ้นและพ่ายแพ้ไปเสียทุกครั้ง ไปจนถึง “นิคมกล้วย” และการสังหารหมู่ ณ สถานีรถไฟ ซึ่งแม้จะมีผู้รอดชีวิตอย่าง โฆเซ อาร์กาดิโอ เซกุนโดมาบอกเล่าเรื่องราว กลับแทบไม่มีใครเชื่อว่าเกิดขึ้นจริง
เมื่อผู้อ่านพลิกอ่านไปจนหน้าสุดท้าย พวกเขาอาจรู้สึกได้ว่า นี่คือเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่ถูกหลงลืม และเมืองที่เริ่มจากศูนย์ และกลับไปสู่ความเป็น ‘สูญ’ โดยแท้ แม้แต่ผู้สืบเนื้อเชื้อไขของตระกูลบวนเดียที่พอจะหลงเหลือในท้ายเรื่อง ต่างก็ไม่รู้แม้กระทั่ง “เรื่องเทือกเถาเหล่ากอครอบครัวตนเอง” เสียแล้ว (2564, หน้า 467)
แม้จะเป็นเรื่องราวเหลือเชื่อที่สะท้อนความเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกปิดบัง เขียนซ้ำ และหลงลืมสักเพียงใด กลับน่าเสียดายที่กรอบการแบ่งเพศแบบทวิลักษณ์ยังมีบทบาทเสียมากในเรื่อง
ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ผู้หญิงกลับเป็นเพียงผู้เฝ้าเรือนในเมืองมาก็อนโด เมื่อสังเกตแม้เพียงเล็กน้อย ผู้อ่านคงรู้สึกได้ว่าผู้หญิงตระกูลบวนเดียอย่างอูร์ซูลา อิกวารันอาจมีบทบาทสำคัญก็จริง (เช่น เมื่ออูร์ซูลาโน้มน้าวใจให้สามีปักหลักอยู่ในมาก็อนโด ไม่ไปร่อนเร่หาที่อยู่อื่นเสียใหม่ในช่วงต้นของนวนิยาย หรือตอนที่หล่อนไล่หวดอาร์กาดิโอ ผู้เป็นทั้งหลานที่ตนไม่ยอมรับ และหัวหน้าฝ่ายทหารและพลเรือนของเมืองมาก็อนโด ไม่ให้สั่งประหารดอนอโปร์ลินา มอสโกเต ผู้เคยเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองของเมือง) แต่อูร์ซูลาก็เป็นแม่ที่ได้เพียงไปเยี่ยมลูกชายที่รักยิ่งอย่างพันเอกเอาเรเลียโน บวนเดียในคุกก่อนวันประหาร ก่อนจะถูกลูกกำชับไม่ให้ร่ำลา และ “ให้ทำเหมือนกับว่าผมโดนพวกนั้นยิงทิ้งไปนานแล้ว” (2564, หน้า 151) ทั้งเป็นผู้ที่ได้แต่รอให้ลูกกลับบ้านมาจากการรอนแรมและการก่อสงครามครั้งแล้วครั้งเล่า
คงไม่น่าแปลกใจที่กรอบการแบ่งเพศแบบทวิลักษณ์ยังกำหนดบทบาทให้ผู้ชายตระกูลบวนเดียด้วย ดังที่ Pamela L. Moore (1994, หน้า 91) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ชายตระกูลบวนเดียเป็นทหาร นักเดินทาง และผู้กระทำการล่วงประเวณี สองประเด็นแรกเห็นได้ชัดในบทบาทของพันเอกเอาเรเลียโน บวนเดีย ผู้หลงไปในการรอนแรมและการก่อสงครามกลางเมืองนับสามสิบสองครั้ง และในบทบาทของโฆเซ อาร์กาดิโอ ผู้เป็นพี่ชายของเขา โฆเซ อาร์กาดิโอ ได้ไปล่วงประเวณีกับปิลาร์ เตร์เนรา เพื่อนของแม่ จนมีลูกที่ตนได้ให้แม่กับพ่อเลี้ยง ก็คืออาร์กาดิโอนั่นเอง หรือแม้แต่ในท้ายเรื่อง ตัวละครอย่างเอาเรเลียโนคนสุดท้าย ยังมีความรอบรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกผ่านการอ่านบันทึกของเม็ลกีอาเดสผู้ล่วงลับ อีกทั้งยังเชื่อว่าสงครามทั้งสามสิบสองครั้งของพันเอกเอาเรเลียโน บวนเดีย กับการสังหารหมู่ ณ สถานีรถไฟได้เกิดขึ้นจริง แม้ว่าจะแทบไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนก็ตาม (Pamela L. Moore, 1994, หน้า 91) และสุดท้ายเขาก็ได้ล่วงรู้ด้วยว่าอมารันตา อูร์ซูลา ผู้ที่เขามีลูกด้วยนั้นเป็นพี่ของตน
อนึ่ง แม้ว่าการเล่าเรื่องที่ถูกจำกัดด้วยกรอบเพศเช่นนี้ อาจเป็นการสะท้อนโลกในความเป็นจริง ผู้อ่านอย่างข้าพเจ้าก็อาจตั้งข้อสงสัยได้ว่าวรรณกรรมสัจนิยมมหัศจรรย์ที่เปี่ยมด้วยเรื่องราวเหล่าเชื่ออย่าง หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว จำเป็นต้องมีข้อจำกัดเช่นนี้ด้วยหรือ
นอกจากนั้น ถึงแม้ว่าผู้หญิงตระกูลบวนเดียจะมีบทบาทสำคัญในเรื่อง ดังที่กล่าวไปข้างต้น อาทิ ในกรณีของอูร์ซูลา อิกวารัน ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่า พวกเธอเป็นเพียงผู้ที่รอให้เหล่าผู้ชายในตระกูลกลับบ้านมาจากการเดินทางเท่านั้น (Pamela L. Moore, 1994, หน้า 91)
ด้วยสาเหตุเหล่านี้ จึงอาจกล่าวได้ว่า แม้ หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว จะบอกเล่าเรื่องราวที่ลึกซึ้งและสะท้อนถึงสังคมที่เขียนทับหรือหลงลืมประวัติศาสตร์ของตนได้อย่างแยบยล น่าติดตาม และเหลือเชื่อเพียงใด นวนิยายเรื่องนี้ก็ยังติดอยู่ในกรอบเพศที่ทั้งกำหนดและกดทับตัวละคร ดังที่เห็นจากตัวละครทั้งชายและหญิง ที่ถูกนิยามด้วยกรอบการแบ่งเพศแบบทวิลักษณ์
สรุปได้ว่า ถึงแม้กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซจะได้เล่าประวัติศาสตร์เสียใหม่ ผ่านวรรณกรรมสัจนิยมมหัศจรรย์ โดยได้นำเสนอทั้งเรื่องราวของผู้ที่ถูกหลงลืม ทั้งชีวิตที่ถูกเข่นฆ่า ทั้งชีวิตที่หลงไปในสงคราม อำนาจ และการรอนแรมแทบไม่รู้จบ ผู้อ่านเองก็อาจจะต้องไม่ลืมที่จะอ่านเรื่องราวผ่านสายตาของแนวคิดสตรีนิยม เพื่อที่จะไม่ลืมชีวิตของตัวละครที่ถูกกดทับด้วยการเล่าผ่านกรอบเพศไปอีกที
เขียนโดย Write me
เอกสารอ้างอิง
- การ์เบรียล การ์เซีย มาร์เกซ. (2564). หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว. (ชนฤดี ปลื้มปวารณ์, ผู้แปล). บทจร.
- Moore, P. L. (1994). TESTING THE TERMS: “WOMAN” IN “THE HOUSE OF SPIRITS” AND “ONE HUNDRED YEARS OF SOLITUDE.” The Comparatist, 18, 90–100. http://www.jstor.org/stable/44366869
#หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว