Asean News Today & E-Mag

Asean News Today & E-Mag ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก Asean News Today & E-Mag, บริษัทด้านสื่อ/ข่าวสาร, Bangkok.

กรมการปกครอง เตรียมมอบ “แหนบทองคำ”เชิดชูเกียรติคนทำดี เนื่องในวันกำนันผู้ใหญ่บ้านกระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง เตรียมจั...
05/08/2025

กรมการปกครอง เตรียมมอบ “แหนบทองคำ”
เชิดชูเกียรติคนทำดี เนื่องในวันกำนันผู้ใหญ่บ้าน

กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง เตรียมจัดงานเพื่อเชิดชูเกียรติกำนัน ผู้ใหญ่บ้านยอดเยี่ยม เนื่องในโอกาสครบรอบ “133 ปี วันกำนันผู้ใหญ่บ้าน” ในวันที่ 10 สิงหาคม 2568 ที่ได้ปฏิบัติภารกิจหน้าที่ด้วยความตั้งใจ.เสียสละ.ทุ่มเทความรู้ความสามารถในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่พี่น้องประชาชนในท้องที่อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนโดยทั่วไป โดยภายในงานจะมีพิธีมอบรางวัลให้แก่ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้านยอดเยี่ยม ประจำปี 2568” ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ โดยพิจารณาจากคุณงามความดี การอุทิศตนเพื่อพัฒนาตำบลและหมู่บ้าน และการเป็นผู้นำที่ประชาชนให้ความไว้วางใจ ภายใต้วิสัยทัศน์ของกรมการปกครอง “พื้นที่เข้มแข็ง ประชาชนผาสุก ในสังคมที่มั่นคงปลอดภัย อย่างยั่งยืน”

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเป็นผู้มอบรางวัลให้แก่กำนันผู้ใหญ่บ้านยอดเยี่ยม ประจำปี 2568 ผู้ทำหน้าที่เชื่อมโยงนโยบายของภาครัฐสู่ประชาชน ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยความมั่นคงภายในพื้นที่ โดยทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ ในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” เพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชน สำหรับวันกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้ถูกกำหนดขึ้นเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2435 ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทดลองจัดระเบียบการปกครองระดับตำบล และหมู่บ้าน ขึ้นเป็นครั้งแรกที่ ณ บ้านเกาะ อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2435 กระทรวงมหาดไทย จึงได้ประกาศให้วันที่ 10 สิงหาคมของทุกปี เป็น “วันกำนันผู้ใหญ่บ้าน” เพราะการทำหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ถือเป็นกลไกสำคัญในระบบการปกครองท้องที่ที่เชื่อมโยง และขับเคลื่อนนโยบายของทางราชการ อีกทั้งยังเป็นตัวแทน ซึ่งเป็นผู้นำของพี่น้องประชาชนในตำบล และหมู่บ้าน คอยรับฟังทุกข์สุข ไกล่เกลี่ย แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้วยปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” เพื่อประชาชนเป็นสำคัญ”

กิจกรรมที่จัดขึ้นในวันกำนันผู้ใหญ่บ้าน ประจำปี 2568 นอกจากพิธีมอบรางวัลให้แก่กำนันผู้ใหญ่บ้านยอดเยี่ยม ประจำปี 2568 ยังมีการประชุมเพื่อติดตามผลการดำเนินงาน และรับฟังข้อเสนอแนะจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ และมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ ให้สามารถนำไปพัฒนาการปฏิบัติงานตามบทบาทอำนาจหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ และเสริมสร้างทัศนคติที่ดีในการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ขอยกย่องและเชิดชูเกียรติ “นักปกครองท้องที่” ที่มุ่งมั่น เสียสละและยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ โดยจัดพิธีมอบรางวัลในวัน ศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2568 ณ วิทยาลัยการปกครอง อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี โดยมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านยอดเยี่ยม จำนวน 264 ราย เข้ารับรางวัลเชิดชูเกียรติคนทำดี ผู้มีผลงานดีเด่น เป็นแบบอย่างแก่ผู้นำท้องที่ทั่วประเทศ

สามารถร่วมติดตามรายละเอียด ตลอดจนผลงานของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านยอดเยี่ยม ประจำปี 2568 ได้ทางเว็บไซต์ www.กำนันผู้ใหญ่บ้http://xn--q3c3c.com/ (กำนันผู้ใหญ่บ้านดอทคอม)

#กรมการปกครอง #วันกำนันผู้ใหญ่บ้าน

สกมช. จัดฝึกอบรมและรับฟังความคิดเห็นเพื่อปรับปรุง พ.ร.บ. ไซเบอร์ฯ ครั้งที่ 4 ที่สุราษฎร์ธานีสุราษฎร์ธานี – สำนักงานคณะกร...
29/07/2025

สกมช. จัดฝึกอบรมและรับฟังความคิดเห็นเพื่อปรับปรุง พ.ร.บ. ไซเบอร์ฯ ครั้งที่ 4 ที่สุราษฎร์ธานี
สุราษฎร์ธานี – สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) จัด "การฝึกอบรมพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ภายใต้โครงการการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายลำดับรอง ครั้งที่ ๔" ขึ้นในเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๘ ณ ห้องประชุมริมน้ำ โรงแรมวังใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีการถ่ายทอดผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วย การจัดงานมีขึ้นระหว่างเวลา ๐๘.๓๐ – ๑๖.๐๐ น.
นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรม พร้อมกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในยุคดิจิทัล เนื่องจากภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคส่วนต่าง ๆ ท่านผู้ว่าฯ สุราษฎร์ธานีเห็นว่าการที่ สกมช. ริเริ่มโครงการปรับปรุงกฎหมายฉบับนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้กฎหมายมีความทันสมัย สามารถรองรับและปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางไซเบอร์ของประเทศไทย รวมถึงสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อต่อการดำเนินงานของทุกภาคส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านคุณกิ่งนภา บางชวด ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ได้กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงานว่า การฝึกอบรมในวันนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายลำดับรอง รวมถึงเปิดเวทีให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่น ๆ นักวิชาการ ตลอดจนประชาชนทั่วไป ได้ร่วมแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ และให้ข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญยิ่งในการปรับปรุงกฎหมายให้มีความสมบูรณ์ เข้มแข็ง และทันต่อสถานการณ์ภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไป
ภายในงานมีการบรรยายและประชุมรับฟังความคิดเห็นตลอดทั้งวัน โดยช่วงเช้าประกอบด้วยการบรรยายเรื่อง "ความสำคัญของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์" โดย ศ.ดร.ภูมินทร์ บุตรอินทร์, รศ.ดร.ณัฐนนท์ ลีลาตระกูล และ รศ.ดร.สุนิสา ริมเจริญ ในช่วงบ่ายจะเป็นการประชุมรับฟังความคิดเห็นในการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายลำดับรอง โดย ศ.ดร.ภูมินทร์ บุตรอินทร์, รศ.ดร.ณัฐนนท์ ลีลาตระกูล และ รศ.ดร.สุนิสา ริมเจริญ

#สกมช

กลุ่มเซ็นทรัล ขอบคุณทุกแรงสนับสนุน ร่วมผลักดันความสำเร็จ งาน “จริงใจ มาหา...นคร” ครั้งที่ 12 ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากไทยกลุ...
15/07/2025

กลุ่มเซ็นทรัล ขอบคุณทุกแรงสนับสนุน ร่วมผลักดันความสำเร็จ งาน “จริงใจ มาหา...นคร” ครั้งที่ 12 ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากไทย

กลุ่มเซ็นทรัล นำโดย บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ร่วมกับโครงการ “เซ็นทรัล ทำ” โครงการด้านความยั่งยืนของกลุ่มเซ็นทรัล ขอขอบคุณทุกแรงสนับสนุนและความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่ร่วมส่งเสริมชุมชนและพี่น้องเกษตรกรไทยได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นคุณภาพกว่า 1,000 รายการ จาก 50 ชุมชนใน 47 จังหวัด สู่ใจกลางกรุงเทพฯ ในงาน “จริงใจ มาหา...นคร” ครั้งที่ 12 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9–13 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สะท้อนผ่านยอดขายรวมตลอด 5 วันกว่า 6.5 ล้านบาท สร้างรายได้คืนกลับสู่ชุมชนอย่างแท้จริง
“จริงใจ มาหา…นคร” ไม่เพียงเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรได้นำเสนอผลผลิตจากใจ และพบปะกับผู้บริโภคโดยตรงเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนศูนย์การเรียนรู้ที่พร้อมเปิดบ้านให้ผู้ที่สนใจและองค์กรต่างๆ ได้เข้ามาศึกษาดูงาน เพื่อนำโมเดลของการจัดงานไปขยายผลและสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อชุมชนเกษตรกรไทยในพื้นที่ของตนเองต่อไป โดยมีหน่วยงานทั้งจากภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาต่างแวะเวียนมาเยี่ยมชมมากมาย อาทิ YEC หอการค้าไทย, คณะกรรมการเศรษฐกิจพอเพียงและลดความเหลื่อมล้ำ หอการค้าไทย, คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและสิ่งแวดล้อม หอการค้าไทย, โรงเรียนอัสสัมชัญ, สมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์, กลุ่มยุวเกษตรกร โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครปฐม เป็นต้น

งานในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “จริงใจกลางกรุง From Roots to Radiance” ถ่ายทอดเสน่ห์แห่งความจริงใจของชุมชนผ่านพืชผักตามฤดูกาล อาหารพื้นบ้าน และภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมยกระดับการจัดงานสู่ Carbon Neutral Event อย่างแท้จริง ผ่านการใช้วัสดุรีไซเคิล การคัดแยกขยะ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากยอดขายนำไปจัดซื้อกล้าไม้ เพื่อฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวภายใต้โครงการ “Plant Together” ของ “เซ็นทรัล ทำ” นอกจากนี้ ภายหลังจบงาน วัสดุผ้าใบที่ใช้ในการตกแต่งภายในงานยังได้รับการนำกลับมาใช้ใหม่อย่างสร้างสรรค์ โดยนำไปผลิตเป็นกระเป๋าผ้า Good Goods ลายพิเศษ เพื่อนำรายได้จากการจำหน่ายไปใช้ในการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่อง

ด้านเสียงสะท้อนส่วนหนึ่งของชุมชนต้นแบบภายใต้โครงการ “เซ็นทรัล ทำ” นางมงคล ไขลามเมา ประธานวิสาหกิจชุมชนทอผ้าแปรรูปบ้านกุดจิก หมู่ 9 จ.สกลนคร กล่าวว่า “การได้ร่วมงาน ‘จริงใจ มาหา...นคร’ ในครั้งนี้ ช่วยให้เราได้พบกับลูกค้าใหม่ ๆ และมองเห็นแนวทางในการพัฒนาสินค้าและดีไซน์ให้ตอบโจทย์ตลาดได้ดียิ่งขึ้น ตั้งแต่ที่กลุ่มเข้าร่วมโครงการ ‘เซ็นทรัล ทำ’ เมื่อปี 2560 เราได้รับความรู้มากมาย โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยมุมมองใหม่ คิดนอกกรอบ สร้างความแตกต่าง ภายใต้แนวคิด ‘อย่าทำซ้ำคนที่เขาทำแล้ว คิดให้ต่าง’ ทำให้ผ้าทอมือย้อมสีธรรมชาติของเราซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม กลายเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากขึ้น จนสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างต่อเนื่อง”

“ดิฉันขอขอบคุณโครงการ ‘เซ็นทรัล ทำ’ รวมถึงผู้บริหารและทีมงานทุกคน ที่เข้ามาส่งเสริมและสนับสนุนพวกเราอย่างจริงจัง เรามุ่งมั่นพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐาน และตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าให้ได้มากที่สุด จึงทำให้ชุมชนในวันนี้มีรายได้
มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความมั่นคงยิ่งขึ้น”
ด้าน นางมาลี พันธ์วงค์ ประธานวิสาหกิจชุมชนท่าช้างฟื้นฟูเศรษฐกิจ จ.พัทลุง กับผลิตภัณฑ์ ข้าวสังข์หยด ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI กล่าวว่า “โครงการเซ็นทรัล ทำ เข้ามาส่งเสริมข้าวสังข์หยดนำไปจำหน่ายในท็อปส์มากว่า 10 ปีแล้ว ทำให้เป็นที่ต้องการในตลาด พร้อมจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาดั้งเดิมจากปราชญ์ชาวบ้าน ทั้งในเรื่องเวิร์กช็อปทำข้าวยำจากข้าวสังข์หยด การทำขนมโบราณ “คนที” และการทำแป้งสาคูจากต้นสาคู

จากเดิมที่มีสมาชิกเพียง 20 คน วันนี้กลายเป็นการรวมพลังของชาวบ้านกว่า 50 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ไม่มีอาชีพ แต่กลับมีรายได้เสริม และลดความเครียดได้ด้วย โครงการเซ็นทรัล ทำ มาช่วยเปลี่ยนแปลงและสร้างแรงบันดาลให้กลุ่มคนเล็กๆ ผลักดันข้าวสังข์หยด ของดีพัทลุงไม่ให้เลือนหายไป โดยทีมเซ็นทรัล ทำ ลงพื้นที่มาพบปะและให้คำแนะนำ สอนวิธีคิดตั้งแต่ต้นทุน กำไร และการทำตลาด เพื่อให้ชุมชน ต่อยอดไปได้อีกขั้น ทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยในปีนี้เราได้นำข้าวยำจากข้าวสังข์หยดมาให้คนในเมืองลองชิมในงานจริงใจ มาหา...นคร ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก ถือเป็นความภาคภูมิใจของชุมชนทุกคน”

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงาน คือการรวบรวมสินค้าและหัตถกรรมจากชุมชนในโครงการ “เซ็นทรัล ทำ” ซึ่งได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมีสินค้ายอดนิยมหลากหลายรายการ อาทิ สมูทตี้ อะโวคาโด ใช้อะโวคาโดสายพันธุ์ฮาสส์ (Hass) ที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในโลก จาก วิสาหกิจชุมชนปลูกพืชเศรษฐกิจบ้านเทพพนา (สวนเทพพนา) จ.ชัยภูมิ, มันหวานญี่ปุ่น มันอบโรยน้ำตาล หม้อแกงมันม่วง ข้าวกะเพรามันม่วง จาก สหกรณ์การเกษตรยั่งยืนแม่ทา จำกัด จ.เชียงใหม่, ขนมเปี๊ยะฟักทอง เค้กฟักทอง ทำจากฟักทองพันธุ์ไข่เน่า จาก วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรอินทรีย์ตำบลบัวใหญ่ จ.น่าน, ทาร์ตไข่ ที่ทำจากไข่อินทรีย์ จาก สหกรณ์การเกษตรพืชผักอินทรีย์หนองสนิท จำกัด จ.สุรินทร์, น้ำเมล่อนปั่น ใช้เมล่อนญี่ปุ่นของสวน Smile Melon คัดเฉพาะพันธุ์หวานกรอบ เกรดส่งออก ปลูกตามมาตรฐาน GAP จาก วิสาหกิจชุมชนเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนา จ.อยุธยา, ข้าวยำปักษ์ใต้ ทำจากข้าวสังข์หยด จาก จ.พัทลุง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสินค้า GI, ชิฟฟ่อนน้ำตาลจาก ลูกอมน้ำตาลจาก ที่ใช้น้ำตาลจากต้นจากแท้ ๆ หอมเฉพาะตัว จากคุ้งบางกะเจ้า สมุทรปราการ และ ผักพื้นบ้าน สวนป่าประดู่ สุราษฏร์ธานี

สินค้าหัตถกรรมจากชุมชนก็ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน เช่น ผ้ามัดย้อม บ้านกุดจิก จ.สกลนคร ด้วยเทคนิคย้อมสีธรรมชาติมากถึง 12 สีหลัก, ผ้าทอไทลื้อ บ้านหล่ายทุ่ง จ.น่าน โดดเด่นด้วยผ้าทอลายน้ำไหลซึ่งเป็นลายโบราณ, ผ้าทอนาหมื่นศรี จ.ตรัง ผ้าทอที่สืบทอดภูมิปัญญามากว่า 200 ปี รวมทั้ง กระเป๋าเตยปาหนัน บ้านดุหุน ตรัง, ผ้าบาติกสีธรรมชาติ คีรีวง นครศรีธรรมราช, กระเป๋ากระจูด เนินธัมมัง นครศรีธรรมราช, ตระกร้าสานผักตบชวา คลองนกกระทุง จ.นครปฐม เป็นต้น

ภายในงานยังแบ่งเป็นโซนต่าง ๆ หลากหลาย เช่น ตลาดจริงใจ Farmer’s Market โดย ท็อปส์ ซึ่งรวบรวมผักผลไม้ปลอดภัย และสินค้า GI หายาก อาทิ ทุเรียนหมอนทองปราจีน จ.ปราจีนบุรี ขนมบ้าบิ่น แม่รำไพ จ.อุดรธานี หมูย่างตรังโกด้วง จ.ตรัง สินค้าจาก ไทวัสดุ เช่น พรมอเนกประสงค์ จากกลุ่มสิ่งประดิษฐ์จากเศษผ้า บ้านสบสาย อำเภอสูงเม่น จ.แพร่ สินค้าจาก โก โฮเซลล์ เช่น อาหารทะเลแดดเดียวแช่แข็ง จาก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ลำไยอบแห้ง จาก วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตภัณฑ์เกษตรบ้านล่ามช้าง จ.ลำพูน พร้อมบูธจากพันธมิตร อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.), การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) และ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด

ผู้มาร่วมงานยังได้พบกับกิจกรรมสุดสร้างสรรค์และสินค้าพิเศษมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เวิร์กช็อป ทำพวงกุญแจจากพลาสติกรีไซเคิล โดยวัดจากแดง นวดผ่อนคลายโดยผู้พิการทางสายตา การวาดภาพโดยศิลปินเด็กออทิสติก และพบกับ ผลิตภัณฑ์ชุมชนจากร้าน Good Goods , บรรจุภัณฑ์รักษ์โลกจาก Gracz, ผักปลอดภัยจาก CHITOSE พร้อมชมมินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน Spicydisc ทั้งนี้ผู้มาเที่ยวงานยังพบกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ เช่น แลกคะแนน AIS 1 คะแนน เป็นคูปองแทนเงินสด รวมถึงเมื่อช้อปครบตามเงื่อนไขยังสามารถนำมาแลกข้าวสายพันธุ์พื้นเมือง หรือแลกซื้อถุงผ้าลายพิเศษจาก good goods อีกด้วย

ความสำเร็จของงาน “จริงใจ มาหา...นคร” ครั้งที่ 12 ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของกลุ่มเซ็นทรัล ในการจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเกษตรกรและชุมชนท้องถิ่นทั่วไทย พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ทั้งนี้ทุกท่านยังสามารถร่วมสนับสนุนสินค้าชุมชนได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านร้านค้าในเครือกลุ่มเซ็นทรัล อาทิ ท็อปส์, Good Goods, จริงใจ ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต, ไทวัสดุ และโก โฮลเซลล์ ทั่วประเทศ แล้วมาพบกันอีกครั้งในงาน “จริงใจ มาหา...นคร” ครั้งที่ 13 ในปีหน้า

ส.อ.ท. เร่งรวบรวมข้อมูล 47 กลุ่มอุตฯ เตรียมยื่นคลังเจรจาลดภาษีศุลกากรตอบโต้เรียน บรรณาธิการข่าวและสื่อมวลชนทุกท่านส.อ.ท....
12/07/2025

ส.อ.ท. เร่งรวบรวมข้อมูล 47 กลุ่มอุตฯ เตรียมยื่นคลังเจรจาลดภาษีศุลกากรตอบโต้

เรียน บรรณาธิการข่าวและสื่อมวลชนทุกท่าน
ส.อ.ท. ขอนำส่งข่าวประชาสัมพันธ์

กรุงเทพฯ, 12 กรกฎาคม 2568 — สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยสถานการณ์การเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ล่าสุด หลังสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) สำหรับ 22 ประเทศ มีผลบังคับใช้ 1 สิงหาคมนี้ โดยไทยถูกเก็บภาษีสูงถึง 36% สูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม (20%) มาเลเซีย (25%) และอินโดนีเซีย (32%) พร้อมเดินหน้ารวบรวมข้อมูลจาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม เตรียมยื่นกระทรวงการคลัง เร่งเจรจาลดภาษีศุลกากรตอบโต้

ปัจจุบัน สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับเวียดนามและสหราชอาณาจักร (UK) แล้ว โดยได้ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามลงจาก 46% เหลือ 20% สำหรับสินค้าของเวียดนามเอง และ 40% กรณีมีการสวมสิทธิ์จากต่างประเทศ ภายใต้เงื่อนไขควบคุมสินค้าถ่ายโอนจากจีน และลดภาษีนำเข้ารถยนต์จาก UK เหลือ 10% สำหรับโควตา 100,000 คันต่อปี พร้อมเปิดตลาดสินค้าเกษตร เช่น เนื้อวัวและเอทานอล สร้างความกังวลว่าไทยอาจเสียเปรียบในการแข่งขัน หากไม่สามารถเจรจาลดอัตราภาษีได้เท่าคู่แข่ง

นอกจากนี้ จีน สหภาพยุโรป (EU) และอินเดีย ยังคงอยู่ระหว่างการเจรจา โดยเฉพาะจีนที่อยู่ระหว่าง “การพักชำระภาษีชั่วคราว” (tariff truce) ซึ่งจะหมดอายุ 12 สิงหาคมนี้ โดยล่าสุดสหรัฐฯ และจีน ได้มีการเจรจาข้อตกลงการค้าร่วมกันระหว่างผู้แทนการค้าระดับสูงของสหรัฐฯ และจีนที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งได้ข้อสรุปเรื่องการกำหนดอัตราภาษีสินค้านำเข้าว่า สหรัฐฯ ยังคงเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีน 55% จากเดิมที่ระดับ 145% ส่วนจีน เรียกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ 10% จากเดิมที่ระดับ 125% อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดี สี จิ้ง ผิง ยังไม่ได้ลงนามในข้อตกลงอย่างเป็นทางการ และยังไม่มีการออกมายืนยันจากทางรัฐบาลจีน

ข้อมูลล่าสุดไตรมาส 1 ปี 2568 เผยว่าการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนกว่า 58% ของ GDP โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมคิดเป็นสัดส่วนกว่า 47% ของ GDP หากไทยไม่สามารถเจรจาลดภาษีศุลกากรตอบโต้ให้ต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง อาจทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าไปสหรัฐฯ สูงขึ้น สูญเสียความสามารถในการแข่งขันและกระทบส่วนแบ่งตลาด รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ ประกาศเก็บ Reciprocal Tariff กับไทยในอัตรา 36% ซึ่งสูงกว่าภาษีที่ใช้กับเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยหากไม่มีมาตรการรองรับ คาดว่ามูลค่าความเสียหายต่อภาคการส่งออกอาจสูงถึง 800,000–900,000 ล้านบาท

ขณะที่ข้อมูลการส่งออกเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 31,044.58 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตต่อเนื่อง 18.35% YoY และสูงสุดในรอบ 38 เดือน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่าในครึ่งปีหลัง หากไทยยังเผชิญภาษีในอัตราสูง การส่งออกอาจหดตัวกว่า -10% YoY ทำให้ภาพรวมทั้งปี 2568 ขยายตัวใกล้ศูนย์

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้ประชุมหารือกับ 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 11 คลัสเตอร์ และกำลังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูล ซึ่งเวลานี้ผู้ส่งออกเองก็พยายามปรับตัวรองรับผลกระทบ เช่น บางกลุ่มอุตสาหกรรมได้มีการเจรจาระหว่างผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายทางฝั่งสหรัฐฯ ให้ช่วยรับภาษีไปคนละส่วน เพื่อจะได้ช่วยกันแบ่งเบาภาระ แต่มีบางกลุ่มอุตสาหกรรม ที่ทางผู้นำเข้าไม่รับเงื่อนไขนี้ พร้อมเสนอแนวทางให้ภาครัฐเร่งเจรจาลดอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้เหลือ 0% ในหลายพันรายการ เพื่อเดินหน้ามาตรการเยียวยาผู้ประกอบการไทย

ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ กลุ่มเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้า ซึ่งมีสัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูงกว่า 28–35% ของมูลค่าส่งออก รวมถึงยาง เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนรถยนต์ ของเล่น ผลิตภัณฑ์จากเหล็ก ผลิตภัณฑ์หนังและเซรามิก ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบระดับสูงถึงสูงมาก

“ส.อ.ท. กำลังรอผลการศึกษาจากกลุ่มอุตสาหกรรม โดยจะต้องนำมาวิเคราะห์และตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็กำลังรอข้อมูลเชิงเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มา 22 ประเทศ จากร้อยกว่าประเทศ เนื่องจากตัวเลขจากหลายๆ ประเทศ เช่น อินเดีย ก็ยังไม่ถูกประกาศอย่างชัดเจน จึงทำให้บางกลุ่มอุตสาหกรรมยังคงต้องรอข้อมูลในส่วนนี้ก่อน แต่กำลังทยอยทำและจะนำมาเปรียบเทียบดูว่าประเทศไทยจะเสียเปรียบมากน้อยแค่ไหน ก่อนยื่นให้กระทรวงการคลัง” นายเกรียงไกร กล่าวเสริม

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ภาษีและรักษาความสามารถในการแข่งขัน เบื้องต้น ส.อ.ท. เสนอแนะให้ภาครัฐเร่งดำเนินการตามมาตรการ ดังนี้
1. ออกมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการจากที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ
1.1 ออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) หรือมาตรการพักชะลอหนี้และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
1.2 ลดภาษีนิติบุคคลสำหรับเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ
1.3 อุดหนุนหรือลดค่าใช้จ่ายในการส่งออกและการประกอบธุรกิจ เช่น ค่าบริการหน้าท่า พิธีการศุลกากร ค่าออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการประกอบธุรกิจ และค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า เป็นต้น
1.4 ออกสิทธิประโยชน์ทางภาษี ให้นำค่าใช้จ่ายการจ้างสำนักงานกฎหมาย (Law Firm) ในสหรัฐฯ เพื่อศึกษาและเจรจากับภาครัฐสหรัฐฯ มาลดหย่อนได้ 3 เท่า

2. ส่งเสริมการเปิดตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ
2.1 เร่งการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) ฉบับใหม่ๆ เพื่อเปิดตลาดการค้า
2.2 ออกมาตรการส่งเสริมเพื่อหาตลาดใหม่ เช่น โครงการ SME Pro-active และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกและขยายตลาดต่างประเทศ (Trade Mission)
2.3 ส่งเสริมตลาดในประเทศ และการเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในสินค้าไทย (Made in Thailand - MiT) โดยมีแนวทาง ดังนี้
2.3.1 ทุกหน่วยงานต้องสนับสนุนการใช้สินค้าและบริการที่ได้รับการรับรอง MiT อย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มเม็ดเงินลงทุนและสร้างการจ้างงานในไทยให้มากขึ้น
2.3.2 หากภาคเอกชนเข้าร่วมและได้รับการรับรอง MiT จะสามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องไปหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่า
2.3.3 MiT ช่วยสนับสนุนผู้ส่งออกทางอ้อม เพราะเป็นการเพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบและแรงงานภายในประเทศ (Local Content) ช่วยสร้างแบรนด์สินค้าไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และยังสามารถนำแต้มสะสมหรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ได้รับจาก MiT ไปใช้ชดเชยหรือแลกรับเงินคืนในช่วงสิ้นปีได้

3. ออกมาตรการส่งเสริมการใช้ Local content ภายในประเทศ นอกจากมาตรการของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เช่น การลดภาษีนิติบุคคลสำหรับเอกชนที่ใช้ Local content มากกว่า 90% และมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity)

4. กำกับดูแลค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนและแข็งค่ากว่าประเทศในภูมิภาค

“ขณะนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส.อ.ท. จึงขอเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน หากเรามีความร่วมมือที่เข้มแข็ง วิกฤติครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จะนำไปสู่โอกาสในการพัฒนาและยกระดับประเทศให้ดียิ่งขึ้น” นายเกรียงไกร กล่าวทิ้งท้าย

#สอท #สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

จังหวัดอุดรธานี โดยผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ให้เกียรติเป็นประธาน เปิดงานสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการปรับปรุง พ.ร...
09/07/2025

จังหวัดอุดรธานี โดยผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ให้เกียรติเป็นประธาน เปิดงานสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการปรับปรุง พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 และกฎหมายลำดับรอง ครั้งที่ 3 มุ่งเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในยุคดิจิทัล

อุดรธานี – เมื่อเร็วๆ นี้ นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด "การสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการปรับปรุงพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายลำดับรอง ครั้งที่ 3" ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.)
การสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่น ๆ นักวิชาการ และประชาชนทั่วไป เพื่อนำไปประกอบการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายลำดับรอง ให้มีความสมบูรณ์ ทันสมัย และสามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้อย่างแท้จริง

ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีได้กล่าวถึงความสำคัญของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน โดยเน้นย้ำว่าภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคส่วนต่าง ๆ. การที่ สกมช. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการปรับปรุงกฎหมายนี้ เพื่อให้สามารถรองรับการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางไซเบอร์ของประเทศไทย รวมถึงสนับสนุนการปฏิบัติใช้กฎหมายที่เอื้อต่อการดำเนินงานของทุกภาคส่วน จึงถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

ท่านผู้ว่าฯ ได้เชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่านได้ร่วมกันระดมสมอง แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และให้ข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนากฎหมายฉบับนี้ให้มีความเข้มแข็งและทันต่อสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว.
การสัมมนาในวันนี้จะจัดขึ้นระหว่างเวลา 08.30 - 16.00 น. โดยมีกำหนดการที่ครอบคลุมการบรรยายในหัวข้อต่างๆ เช่น พระราชบัญญัติความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ กรณีศึกษากฎหมายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในต่างประเทศ และกฎหมายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทยและเปรียบเทียบกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงช่วงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเด็นที่นำไปสู่การปรับปรุงพระราชบัญญัติฯ

#ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ #สกมช

“ดีพร้อม” ดันซอฟต์พาวเวอร์แฟชั่นไทย คัด 3 แบรนด์ชนะเลิศ ชูศักยภาพนักออกแบบไทย โชว์ผลงานสู่ระดับสากล ตามนโยบาย รมว.เอกนัฏ...
03/07/2025

“ดีพร้อม” ดันซอฟต์พาวเวอร์แฟชั่นไทย คัด 3 แบรนด์ชนะเลิศ ชูศักยภาพนักออกแบบไทย โชว์ผลงานสู่ระดับสากล ตามนโยบาย รมว.เอกนัฏ

นางดวงดาว ขาวเจริญ รองอธิบดี ได้รับมอบหมายจาก นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีปิดกิจกรรมพัฒนานักออกแบบดีพร้อมในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (DIPROM Thai Designer Lab) โดยมี นางสาวนันท์ บุญยฉัตร ผู้อำนวยการกองพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ (DIPROM) ผู้ประกอบการ และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ ลาน Co-Event Space Zone A ชั้น G ศูนย์การค้ายูเนี่ยน มอลล์ ลาดพร้าว

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ดำเนินการตามนโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ของนางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ในการสนับสนุนพลังสร้างสรรค์ หรือ Soft Power ของประเทศไทย ผ่านการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมไทยด้วย 6 กลไกที่สำคัญ คือ 1) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytic) 2) การเทคโนโลยี ดิจิทัล นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ (Technology /Digital /Innovation /Creative) 3) การสนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน (Funding) 4) การเชื่อมสิทธิประโยชน์ (Privilege) 5) การเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตร (Networking) และ 6) การผลักดันธุรกิจสู่สากล (Connect to the world) เพื่อให้วิสาหกิจไทยในระบบการพัฒนาสามารถ “สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างเครือข่าย” เพิ่มศักยภาพวิสาหกิจไทยให้สามารถยกระดับธุรกิจให้เติบโต และแข่งขันได้อย่างมั่นคง

ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ดีพร้อม โดยกองพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (กส.กสอ.) ได้จัดกิจกรรมพัฒนานักออกแบบดีพร้อมในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ หรือ DIPROM Thai Designer Lab มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของนักออกแบบให้มีการต่อยอดองค์ความรู้ สามารถนำเครื่องมือเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ ทั้งในด้านการออกแบบ กระบวนการผลิต การตลาด สามารถสร้างความโดดเด่นเป็นอัตลักษณ์ให้กับแบรนด์ของตนเอง และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน พร้อมก้าวสู่การเป็นแบรนด์ที่รู้จักในระดับสากล สอดคล้องตามนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรม” ด้วยการเสริมแกร่งห่วงโซ่อุปทาน สร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ พัฒนาทักษะบุคลากร รวมถึงการสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SMEs ไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันผู้ประกอบการไทยสู่สากล ของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีผู้ประกอบการได้รับคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 28 ราย ยกระดับผ่านหลักสูตรสำหรับพัฒนานักออกแบบ ประกอบด้วย 1) การฝึกอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการทำธุรกิจแฟชั่น การสร้างแบรนด์ การออกแบบ การสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์สินค้า และการตลาดที่สามารถตอบสนองตามความต้องการของผู้บริโภค 2) การศึกษาดูงาน ณ LV The Place Bangkok และ OHM Thailand เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการออกแบบ 3) การจัดกิจกรรมค่ายปฏิบัติการออกแบบ (Design Lab) โดยมีนักออกแบบมืออาชีพในการให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึก บ่มเพาะไอเดียสร้างสรรค์ เสริมเทคนิค และแนวคิดด้านการออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการสู่ระดับสากล 4) การให้คำปรึกษาแนะนำด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ตรงกับความต้องการของตลาด แต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ และ 5) การจัดประกวดผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ในหัวข้อ Soft Power โดยมีผลงานผ่านการคัดเลือกได้รับรางวัลชนะเลิศ จำนวน 3 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์ Feel Youth แบรนด์ PAKAPAN.s และแบรนด์ LUUMI ซึ่งทั้ง 3 แบรนด์ จะได้รับโอกาสในการนำสินค้าไปจัดแสดงที่งาน Lifestyle Week Tokyo Big Sight ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 - 4 กรกฎาคม 2568 ณ ประเทศญี่ปุ่น อีกด้วย

#กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

“เอกนัฏ” บินตรงลงพื้นที่เมืองสองแคว โชว์ผลสำเร็จการยกระดับฐานรากพร้อมเดินเครื่องเพิ่มทักษะอาชีพ ดึงวัตถุดิบพื้นถิ่นต่อยอ...
29/06/2025

“เอกนัฏ” บินตรงลงพื้นที่เมืองสองแคว โชว์ผลสำเร็จการยกระดับฐานราก
พร้อมเดินเครื่องเพิ่มทักษะอาชีพ ดึงวัตถุดิบพื้นถิ่นต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ชุมชน

จ.พิษณุโลก - นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.พิษณุโลก เยี่ยมชมผลสำเร็จการส่งเสริม พัฒนา และยกระดับเศรษฐกิจฐานราก พร้อมเดินเครื่องเพิ่มทักษะ 2 ชุมชนในพื้นที่อำเภอวัดโบสถ์และอำเภอวังทอง ดึงอัตลักษณ์และวัตถุดิบพื้นถิ่นต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ของดีเมืองสองแคว หวังสร้างรายได้ สร้างอาชีพ และกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อยกระดับศักยภาพและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนทั่วประเทศผ่านการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก โดยกระทรวงอุตสาหกรรมขานรับนโยบาย พร้อมเร่งเดินหน้ายกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมไทยในทุกระดับ ผ่านการผลักดัน “ซอฟต์พาวเวอร์อาหาร” ซึ่ง เป็น 1 ใน 5 อุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในพื้นที่ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนา และยกระดับเศรษฐกิจชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความยั่งยืนให้เศรษฐกิจฐานราก ทั้งนี้ จังหวัดพิษณุโลกถือเป็นอีกหนึ่งเมืองรองที่มีศักยภาพสูงของประเทศ มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น แหล่งท่องเที่ยว และธรรมชาติอันงดงาม ถูกหล่อหลอมให้เป็นรากฐานอันแข็งแกร่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่สะท้อนเอกลักษณ์ของท้องถิ่นได้อย่างมีเสน่ห์และสามารถต่อยอดเป็นพลังสร้างสรรค์ ในระดับสากล
ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน
ต้องสร้างพลังแห่งสมดุลครอบคลุมทั้ง 4 มิติ สำคัญ ทั้งความสามารถในการแข่งขัน การได้รับการยอมรับจากชุมชนและสังคม การตอบโจทย์กติกาสากลด้านสิ่งแวดล้อม และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ซึ่ง กระทรวงอุตสาหกรรม
ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) เร่งเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าอัตลักษณ์พื้นถิ่น (Crop) อาหารพื้นถิ่น (Food) หัตถกรรมพื้นบ้าน (Craft) สมุนไพรประจำถิ่น (Herb) และวัสดุพื้นถิ่น (Material) ด้วยการประยุกต์ใช้ทุนทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา นวัตกรรม และเทคโนโลยีสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดและพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ รวมถึงสร้างภาพลักษณ์และการรับรู้ผ่านการสร้างแบรนด์ และนำเสนอเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับแหล่งผลิต ตลอดจนขยายโอกาสทางธุรกิจด้วยการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงอาหาร การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งจะทำให้ชุมชนเกิดการสร้างรายได้และสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง อีกทั้ง ยังเป็นการกระจายรายได้ไปยังเกษตรกรและผู้ผลิตรายย่อย ซึ่งจะเป็นกลไกเสริมสร้างการจ้างงานอย่างเป็นรูปธรรมและทั่วถึง อันจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภูมิภาค (Local Economy) ได้อย่างยั่งยืน
นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ดีพร้อม ได้มุ่งเน้นในการส่งเสริม พัฒนา และสนับสนุนการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนอย่างครบวงจรเพื่อสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับวิสาหกิจชุมชนแต่ละพื้นที่ ภายใต้นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ผ่านกลยุทธ์ 4 ให้ ได้แก่ 1. ให้ทักษะใหม่ 2. ให้เครื่องมือทันสมัย 3. ให้โอกาสโตไกล และ 4. ให้ธุรกิจที่ดีคู่ชุมชน ด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร
โดย ดีพร้อมได้เข้าไปส่งเสริมการนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการแปรรูปสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ด้วยการดึงอัตลักษณ์และทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในพื้นที่มาต่อยอด ให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ รวมถึงผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนได้มาตรฐานที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับจังหวัดพิษณุโลกมีศักยภาพที่น่าสนใจหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการเกษตรและทรัพยากรน้ำ รวมถึงโอกาสในการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ ซึ่ง ดีพร้อม ได้มองเห็นโอกาส
ในการที่ยกระดับเศรษฐกิจชุมชนให้เกิดความเข้มแข็งด้วยการนำทรัพยากรและวัตถุดิบพื้นถิ่นผนวกกับอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา และทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สามารถสร้างรายได้และสร้างอาชีพเสริมไปสู่อาชีพหลักให้ชุมชนได้อย่างยั่งยืน ผ่าน “โครงการเสริมทักษะอาชีพ สู่ Soft Power ชุมชน ให้ดีพร้อม” ในพื้นที่ 2 ชุมชน ได้แก่
1. ชุมชนอำเภอวัดโบสถ์ เป็นการอบรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตร “การย้อมสีธรรมชาติจากต้นตาล พื้นฐานภูมิปัญญาพื้นถิ่น เช็คอินวิถีชุมชน” โดยมุ่งเน้นการให้ทักษะเชิงปฏิบัติในการสร้างสรรค์การย้อมสีจากวัตถุดิบพื้นถิ่นอย่างต้นตาลผสานภูมิปัญญาพื้นถิ่นให้มีความร่วมสมัย เพิ่มคุณค่า และสามารถใช้เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจของชุมชนด้วยแนวคิดซอฟต์พาวเวอร์ที่จะสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นของจังหวัดพิษณุโลกอย่างชัดเจน อันเป็นจะเป็นการปลุกศักยภาพทางเศรษฐกิจที่แฝงอยู่ในวัฒนธรรมพื้นถิ่นของชุมชนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
2. ชุมชนอำเภอวังทอง เป็นการอบรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตร “อาหารพื้นบ้าน ทำง่าย ขายคล่อง Soft Power ไทย” ด้วยการให้ทักษะและองค์ความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นในการยกระดับอาหารไทยผ่านการส่งเสริมการใช้อัตลักษณ์ ภูมิปัญญา และวัตถุดิบท้องถิ่นมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน อาทิ ไข่เค็ม ปลาส้ม และน้ำพริกสมุนไพร ทำให้เกิดการพัฒนาและต่อยอดเป็นอาชีพและสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน
“ดีพร้อมมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ โดยการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ - เอกชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง เกิดการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สามารถพึ่งพาตนเองได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงกระตุ้นให้เกิดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจชุมชนและเกิดกระจายรายได้อย่างทั่วถึงอันจะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางไปสู่รายได้สูงในอนาคต” นางสาวณัฏฐิญา กล่าวทิ้งท้าย

สธ. มอบรางวัล Healthy Worker Stronger Nation Thailand Awards 2025 หนุนวัยทำงาน สุขภาพดี เคลื่อนเศรษฐกิจไทยยั่งยืน       ...
23/05/2025

สธ. มอบรางวัล Healthy Worker Stronger Nation Thailand Awards 2025 หนุนวัยทำงาน สุขภาพดี เคลื่อนเศรษฐกิจไทยยั่งยืน


เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 นายกิตติกร โล่ห์สุนทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน Healthy Worker Stronger Nation Thailand Awards 2025 พร้อมมอบรางวัลให้องค์กรสุขภาวะต้นแบบ NODE จำนวนทั้งสิ้น 33 แห่ง พร้อมด้วย นายแพทย์ปกรณ์ ตุงคะเสรีรักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย โดยมี ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศประจำภูมิภาคเอเซียและแปซิก (ILO) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สถานประกอบกิจการต้นแบบ และภาคีเครือข่าย ร่วมงาน ณ ห้องวายุภักดิ์ 2 ชั้น 4โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร

นายกิตติกร โล่ห์สุนทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรโดยเฉพาะอัตราการเกิดที่ลดลงส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานและภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มวัยทำงานให้มีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงาน ซึ่งเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศ การส่งเสริมสุขภาพวัยทำงาน
ในสถานประกอบกิจการจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงาน ลดความเสี่ยงต่อ
โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และส่งผลต่อการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

นายแพทย์ปกรณ์ ตุงคะเสรีรักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยเป็นหน่วยงานหลักด้านการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนทุกกลุ่มวัย ได้เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมสุขภาพวัยทำงาน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ แต่อปี กรมอนามัยจึงได้ดำเนินการจัดโครงการ Healthy Worker Stronger Nation Thailand Awards 2025 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมสุขภาพวัยทำงาน
ในสถานประกอบกิจการ ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการขยายผลแนวทางการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและสร้างแรงบันดาลใจให้สถานประกอบกิจการอื่น ๆ นำแนวทางที่ประสบความสำเร็จไปประยุกต์ใช้ พร้อมทั้งเชิดชูเกียรติและสร้างขวัญกำลังใจให้กับสถานประกอบกิจการที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริมสุขภาพวัยทำงาน รวมถึงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แนวปฏิบัติที่ดี และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการขับเคลื่อนงานส่งเสริมสุขภาพวัยทำงานให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

นายแพทย์ปกรณ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกิจกรรมในวันนี้ ประกอบด้วย ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง แนวทาง
การส่งเสริมสุขภาพสำหรับแรงงาน พิธีมอบรางวัลต้นแบบสถานประกอบกิจการส่งเสริมสุขภาพและองค์กรสุขภาวะ ประจำปี 2568 ระดับดีเด่น และพิธีมอบรางวัลศูนย์อนามัยผลการดำเนินงานดีเด่น ได้แก่ สถานประกอบกิจการดีเด่นที่ได้รับการคัดเลือก (โล่เกียรติคุณ) จำนวน 68 แห่ง และศูนย์อนามัยที่มีผลการดำเนินงานดีเด่น (โล่เกียรติคุณ) จำนวน 3 แห่ง นอกจากนี้ ยังมีพิธีมอบรางวัล Healthy Worker Stronger Nation Thailand Awards 2025 ประกอบด้วยองค์กรสุขภาวะต้นแบบ NODE จำนวน 33 แห่ง โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้ ระดับ Diamond จำนวน 15 แห่งระดับ Platinum จำนวน 3 แห่ง และระดับ Gold จำนวน 15 แห่ง

“ทั้งนี้ สถานประกอบกิจการที่สนใจนำแนวทาง "10 Packages Plus" ไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพนักงาน สามารถติดต่อ กลุ่มอนามัยวัยทำงาน สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย โทร. 0 2590 4521, 4566, 4522 หรือ ศูนย์อนามัยที่ 1-12 และสถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง เพื่อขอรับคำแนะนำและสนับสนุนในการดำเนินโครงการต่อไป” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว

#กรมอนามัย

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Asean News Today & E-Magผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์