วงเล่าการตลาด

วงเล่าการตลาด "เม้าท์มอยการตลาดที่ย๊าก ยาก...ให้ดูง่าย"

เม้าท์เรื่อง Gen Z กันมาก็เยอะแล้วใช่มะ? นักการตลาดทุกคนคือจ้องตากันเป็นมัน หวังพิชิตใจ "Early Force"  กลุ่มนี้ให้ได้ แต...
06/11/2025

เม้าท์เรื่อง Gen Z กันมาก็เยอะแล้วใช่มะ? นักการตลาดทุกคนคือจ้องตากันเป็นมัน หวังพิชิตใจ "Early Force" กลุ่มนี้ให้ได้ แต่เดี๋ยวก่อน รู้มั้ยว่ามีอีกกลุ่มที่ "กระเป๋าหนัก" กว่ามากกก และกำลังจะเป็นขุมพลังหลักของเศรษฐกิจไทย! MI GROUP จัดงาน “เปิดเลนส์ สองเจน สองขุมพลัง” มา แนะนำข้อมูลได้อย่างน่าสนใจทีเดียว
เริ่มที่น้องเล็ก Gen Z (13-28 ปี) ก่อน กลุ่มนี้เขายกให้เป็น 'Trend Setter' ผู้กำหนดเทรนด์ มูลค่าเศรษฐกิจก็ไม่เบา 2.6 ล้านล้านบาท/ปี! แต่ที่พีคคือ MI เขาบอกว่า "Gen Z ไม่ได้มีแค่แบบเดียว!" เขาแบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อยตามช่วงชีวิต
"Explorers" (วัยเรียน 13-19 ปี): กลุ่มนี้ขอแค่ "เป็นส่วนหนึ่ง" อยากให้เพื่อนยอมรับ อะไรฮิต พี่ตามหมด!
"Navigators" (วัยมหาลัย 20-25 ปี): เริ่มอยาก "สร้างตัวตน" ขออิสระ เริ่มหาทางที่ "ใช่"
"Anchors" (วัยทำงาน 26-28 ปี): ต้องการ "ความมั่นคง" ไม่ตามเทรนด์สั้น ๆ แล้ว
แถมการใช้เงินของเจนนี้คือ "การสะท้อนตัวตน" ไม่ได้ซื้อของ แต่ซื้อ "ภาพลักษณ์" (สายบิวตี้, แต่งบ้าน, คอนเสิร์ต/บันเทิง นี่ชัดเลย) ลึก ๆ แล้วพวกเขา "แคร์" นะ แต่แคร์แบบเงียบ ๆ ทั้งแคร์สุขภาพจิต, แคร์ภาพลักษณ์, และแคร์พื้นที่ส่วนตัว
มาถึง "พี่ใหญ่" ที่เรียกกลุ่มนี้ว่า "Gen Horizon" (45-59 ปี) หรือ Gen X ตอนปลายนั่นแหละ นี่คือ 'Main Spender' ผู้มีกำลังซื้อตัวจริง!
ทำไมต้องโฟกัส? ก็เพราะเขามี 16 ล้านคน (เยอะสุดในประเทศ!) และมีพลังซื้อสูงถึง 5 ล้านล้านบาทต่อปี! (เยอะกว่า Gen Z เกือบเท่าตัว!) พวกเขายังเป็น "Sandwich Generation" ที่ต้องตัดสินใจซื้อของ "ให้ทั้งพ่อแม่" และ "ให้ทั้งลูก" แถมยังออนไลน์เก่ง วันละ 6 ชั่วโมง
แต่ MI เขาชี้ "ช่องว่าง" 3 เรื่องใหญ่ ๆ ที่แบรนด์ต้องรีบเข้าไปช่วย
💸 การเงิน: 62% ยังไม่มั่นใจว่าจะมีเงินออมพอใช้หลังเกษียณ
💪สุขภาพ: 65% รู้ว่าต้องดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (แต่มีแค่ 35% ที่ตรวจสุขภาพประจำปี!)
🧘 คุณค่าตัวเอง: 63% กลัวว่าชีวิตหลังเกษียณจะไร้เป้าหมาย หรือกลัวไม่มีความสำคัญอีกต่อไป
แล้วแบรนด์ต้องทำไงล่ะ?
Gen Z: ต้องใช้ "Empathy + Relevance" สื่อสารแบบเข้าอกเข้าใจ บริบทต้องใช่ และเข้าถึงอารมณ์จริง
Gen Horizon: นี่คือคีย์! อย่ามองว่าเขา "แก่" หรือ "กำลังเกษียณ" แต่ให้มองว่าเขา "กำลังสร้างพลังเพื่อเริ่มต้นใหม่" เขาไม่ได้ใช้ชีวิตแบบ 3 สเตจ (เรียน-ทำงาน-เกษียณ) อีกแล้ว แต่เป็น "ชีวิตแบบหลายช่วง" (Multi-stage life) ที่อาจจะ "พัก" (Break) หรือ "เรียนรู้ใหม่" (Re-train) แบรนด์ต้องสื่อสารด้วย "Meaning + Empowerment" เข้าไปช่วยเขา "สร้างคุณค่า" และ "สร้างชีวิตบทต่อไปอย่างมั่นใจ"
การวิเคราะห์ของ MI GROUP ครั้งนี้ชี้ให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากว่าตลาดผู้บริโภคไทยกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยสองขุมพลังที่แตกต่างกัน Gen Z (Early Force) คือพลังที่กำหนด "เทรนด์" และ "กระแสสังคม" สร้างการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ในขณะที่ Gen Horizon (Future Force) คือพลังที่ขับเคลื่อน "เศรษฐกิจหลัก" ในปัจจุบันด้วยกำลังซื้อมหาศาล และกำลังมองหาความหมายของชีวิต ความท้าทายของนักการตลาดจึงไม่ใช่แค่การเลือก "โฟกัส" (Focus) ที่เจนใดเจนหนึ่ง แต่คือการหาจุด "สมดุล" (Balance) ว่าจะเชื่อมโยงพลังของสองเจนนี้เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้แบรนด์ได้อย่างไร
#การตลาดย่อยง่าย #วงเล่าการตลาด

รู้จักกลยุทธ์ที่เรียกว่า ‘Demarketing’ (การตลาดแบบลดอุปสงค์) กันไหม นี่คือการ 'ไล่ลูกค้า' แบบมีศิลปะ ที่อาจจะทำกำไรได้มา...
05/11/2025

รู้จักกลยุทธ์ที่เรียกว่า ‘Demarketing’ (การตลาดแบบลดอุปสงค์) กันไหม นี่คือการ 'ไล่ลูกค้า' แบบมีศิลปะ ที่อาจจะทำกำไรได้มากกว่าการ 'เรียกลูกค้า' ซะอีก!
Demarketing คือการที่แบรนด์พยายาม 'ลด' การบริโภคสินค้าหรือบริการของตัวเองลง ตรงข้ามกับการตลาดปกติที่เราคุ้นเคยถามว่าทำไปเพื่อ? ก็เช่น ของมีไม่พอขาย หรืออยากอัปราคา! เพื่อช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายเรื่องกำไรหรือการขยายตัว ถ้าใครอยากทำงานสายมาร์เก็ตติ้ง บอกเลยว่ารู้เรื่องนี้ไว้ไม่เสียหาย
- General Demarketing (ไล่แบบถ้วนหน้า) อันนี้คืออยากให้ 'ทุกคน' ใช้น้อยลง มักใช้ตอนทรัพยากรขาดแคลน หรือเพื่อจำกัดการเข้าถึงสินค้าตัวเก่าๆ ที่ไม่ค่อยเวิร์กแล้ว เช่น บริษัทโน้ตบุ๊ก อาจจะใช้วิธีนี้เพื่อลดการซื้อโน้ตบุ๊กรุ่นเก่า ดันให้ลูกค้าไปซื้อรุ่นใหม่แทน หรือแคมเปญ "Go Paperless" ของพวกบิลค่าไฟ ค่าน้ำนั่นก็ใช่เหมือนกัน
- Selective Demarketing (เลือกไล่เป็นบางกลุ่ม) เป้าหมายคือเพื่อเก็บสินค้าไว้ให้ 'ลูกค้าระดับท็อป' หรือ 'เมมเบอร์' เท่านั้น ทำให้ลูกค้ารู้สึก Exclusive สุด ๆ อารมณ์แบบ "ของชิ้นนี้สำหรับลูกค้าคนสำคัญเท่านั้นค่ะ" ส่วนคนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในโปรไฟล์ลูกค้าในอุดมคติ...ก็อดไป
Ostensible Demarketing (แกล้งทำเป็นของหมด!) อันนี้คือพีคสุด! และเป็นตัวปั่นราคาชั้นดี! แบรนด์จะแกล้งสร้างสถานการณ์ให้ของมัน 'ขาดตลาด' หรือ 'หายาก' ยิ่งหายาก คนก็ยิ่งอยากได้! พวกแบรนด์รถหรู หรือนาฬิกาแพง ๆ ที่ผลิตมาแค่ "Limited Edition 100 คันทั่วโลก" นั่นแหละตัวดีเลย แม้จะขายได้น้อยชิ้นลง แต่กำไรต่อชิ้นคือสูงปรี๊ดดด!
นอกจากนี้ เคสที่เห็นชัด ๆ อีกอันคือ 'โรงพยาบาล' ช่วงที่คนไข้ล้น ๆ เขาอาจจะเพิ่มค่าธรรมเนียม (Co-pay) หรือต้องมีใบส่งตัวจากหมอทั่วไปก่อน ถึงจะไปเจอหมอเฉพาะทางได้ นี่คือการ Demarket เพื่อลดความแออัด ให้ทรัพยากร (หมอ) พอสำหรับเคสที่จำเป็นจริงๆ หรือแม้แต่การสมัครสมาชิก พวกแพ็กเกจรายปี แบรนด์อาจจะทำให้การ 'ซื้อครั้งเดียว' ดูไม่คุ้มค่าเพื่อไล่เราไปสมัครแบบ 'รายปี' ที่กำไรดีกว่า
Demarketing ไม่ใช่แค่การ 'ไม่อยากขาย' แต่มันคือการ 'เลือกที่จะขาย' อย่างมีกลยุทธ์ ในยุคที่ทรัพยากรมีจำกัดหรือแข่งขันสูงจนต้องหามุมใหม่ ๆ การรู้จัก 'ปฏิเสธ' ลูกค้าบางกลุ่ม หรือ 'ชะลอ' ความต้องการซื้อ กลายเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างความรู้สึก 'Exclusive' ให้กับแบรนด์ได้อย่างมหาศาล เปลี่ยนเกมจากการ 'วิ่งไล่' มาเป็น 'คัดกรอง' เพื่อให้ได้ผลกำไรที่ยั่งยืนกว่าหรือเพื่อบริหารทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
#วงเล่าการตลาด #การตลาดย่อยง่าย

เปิดอาณาจักร ‘ธุรกิจดารา’ 💸 ไม่ได้มีแค่แต้มต่อ แต่ต้อง ‘เก่ง’ ด้วย!เคยคิดป่ะว่าดาราทำธุรกิจอะไรก็ง่าย? มีชื่อเสียงอยู่แล...
04/11/2025

เปิดอาณาจักร ‘ธุรกิจดารา’ 💸 ไม่ได้มีแค่แต้มต่อ แต่ต้อง ‘เก่ง’ ด้วย!
เคยคิดป่ะว่าดาราทำธุรกิจอะไรก็ง่าย? มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ทำอะไรก็ปัง! 🌟 แต่อยากจะบอกว่า "โนววว" จ้ะ! การมีชื่อเสียงมันคือ 'แต้มต่อ' แต่หลังจากนั้นคือการวัดกึ๋นล้วนๆ ถ้ากลยุทธ์ไม่ปังก็เจ๊งได้เหมือนกัน วงเล่าฯ เลยขอพาไปส่อง "ตัวตึง" วงการบันเทิงที่ผันตัวมาเป็น CEO กัน
ถ้าพูดถึงดาราทำธุรกิจแล้วปัง "พีช พชร" ต้องติดท็อปลิสต์! จากการจุดกระแส Potato Corner จนฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง ล่าสุดมาจับ Khao-Sō-i ร้านข้าวซอยฟิวชั่นที่ดังไกลถึงอังกฤษ! แถมยังมีร้านกาแฟสเปเชียลตี้ UNO Coffee ซึ่งพีชเก่งเรื่องการ "จับเทรนด์" และ "สเกลธุรกิจ" (Scale) ปี 67 บริษัทเขาทำรายได้ไป 790 ล้านบาท กำไรโต 65% นี่ไม่ใช่แค่ดาราเล่นขายของ แต่คือนักธุรกิจตัวจริงเสียงจริง!
พีพี กฤษฏ์ ปั้นแบรนด์ COLORS CULTURE ที่ไม่ใช่แค่ขาย Merch ศิลปิน แต่เป็นแบรนด์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ที่คนยอมรับในดีไซน์ แถมยังมีธุรกิจที่ทำร่วมกันอย่าง Caremate (ลิปมัน) และ Souri (ร้านขนม) ที่ฮิตติดลมบนไปแล้ว ด้าน บิวกิ้น นอกจากเปิดค่ายเพลง Billkin Entertainment ยังแตกไลน์ไปธุรกิจ Wellness (แบรนด์ Wital), เสื้อผ้ารีไซเคิล (Reroute) แถมยังเป็นผู้ถือหุ้นไอศกรีมโยเกิร์ต Yolé อีก!
พูดถึง "แม่ชม" คือต้องยกให้เขาเรื่องความขยันและการเป็นนักธุรกิจหญิงเต็มตัว แม่ทำทุกอย่าง! ย้ำว่าทุกอย่าง! ไม่ว่าจะเป็น แพลตฟอร์มชอปปิ้งแฟชั่น Haus of Abbi, บริษัทสื่อโฆษณาของตัวเอง Chom's, บริษัทดูแลอินฟลูฯ KOL Management, แบรนด์เครื่องสำอาง Suckers For Beauty ซึ่งแม่ชมคือตัวอย่างของการ "Diversify" หรือการกระจายความเสี่ยงที่แท้จริง ไม่ได้ยึดติดแค่กับวงการบันเทิงหรือแฟชั่น แต่ขยายพอร์ตไปในธุรกิจที่หลากหลายมากๆ
นอกจากธุรกิจครอบครัว (KWONG KEE Roast) หลิงหลิง ศิริลักษณ์ ก็เปิดแบรนด์แฟชั่น Always Wonder ที่เน้นสไตล์วินเทจหวานๆ จับกลุ่มวัยรุ่นวัยทำงาน ปังด้วยกลยุทธ์ TikTok & IG ทำรายได้ปีแรกไป 43.62 ล้านบาท! (กำไร 3.73 ล้าน) ล่าสุดกับแบรนด์ขนมอบ Egg Rolls
ด้าน ออม กรณ์นภัส น้องเล็กแต่ความสามารถไม่เล็ก! ลุยเองกับแบรนด์เสื้อผ้า Keep Silent ที่ขายหมดเกลี้ยงในคอลฯ แรก และล่าสุดนั่งเก้าอี้ CEO แบรนด์ชาผลไม้ Chagô - ชาโก้

เห็นมั้ยว่าการเป็นดาราคือ "โอกาส" ที่ดีในการเริ่มต้น แต่สุดท้ายแล้ว "ความสำเร็จ" มันมาจาก การวางกลยุทธ์, ความเข้าใจตลาด, ความใส่ใจในตัวสินค้า และการบริหารจัดการ ที่หนักหน่วงไม่แพ้งานเบื้องหน้าเลย!

#วงเล่าการตลาด #การตลาดย่อยง่าย #ธุรกิจดารา

เรื่องนี้สะเทือนวงการเด็กโข่งและคนรักฮีโร่แปลงร่างสุด ๆ ! เมื่อสื่อญี่ปุ่น Kyodo ตีข่าวใหญ่ว่า Super Sentai Series หรือท...
03/11/2025

เรื่องนี้สะเทือนวงการเด็กโข่งและคนรักฮีโร่แปลงร่างสุด ๆ ! เมื่อสื่อญี่ปุ่น Kyodo ตีข่าวใหญ่ว่า Super Sentai Series หรือที่บ้านเราคุ้นเคยกันในนาม "ขบวนการ 5 สี" (ต้นฉบับของ Power Rangers) กำลังจะอวสาน ครับ! ปิดตำนาน 50 ปีที่อยู่คู่จอทีวีมาทุกยุคทุกสมัย!
ที่ช็อกกว่าคือ สถานี TV Asahi ดันมาประกาศยุติแบบฟ้าผ่าเอาในปีฉลองครบรอบ 50 ปีพอดีเป๊ะ! แล้วเหตุผลล่ะ? "ไม่มีคำอธิบาย" จ้า! ปล่อยให้แฟน ๆ งงเป็นไก่ตาแตก แต่แหม...ในวงการการตลาดแบบพวกเรา กลิ่นมันฟ้องชัด ๆ ! เรื่องนี้มันต้องเกี่ยวกับ "เงิน" แน่นอน!
ทฤษฎีที่มาแรงที่สุดก็คือ "ยอดขายของเล่น" หรือ Merchandising มันไม่ปังเหมือนเก่าจ้า! ทีมวงเล่าฯ ไปส่องตัวเลขจาก Bandai Namco (เจ้าของลิขสิทธิ์) มาแล้วถึงกับกุมขมับ...
- Super Sentai (5 สี): ทำยอดขายของเล่นได้แค่ 6.4 พันล้านเยน (ประมาณ 1.5 พันล้านบาท) อยู่รั้งท้าย IP ทั้งหมดของค่าย!
- เทียบกับเพื่อนร่วมวงการอย่าง Kamen Rider (ไอ้มดแดง): ทำไป 22.5 พันล้านเยน
- ไม่ต้องไปเทียบกับเบอร์ 1 อย่าง One Piece: ที่ฟาดเรียบ 94.2 พันล้านเยน!
เห็นตัวเลขแล้วเข้าใจเลยมั้ย? มันต่างกันลิบลับ! ขนาดการ์ตูนสาวน้อยเวทมนตร์อย่าง Pretty Cure ที่ว่าน้อยๆ (7.8 พันล้านเยน) ยังดูโอเคกว่า เพราะเขายังมี "หนังโรง" (Box Office) ที่ทำเงินได้ดีมาช่วยพยุง แต่ขบวนการ 5 สีของเราดูเหมือนจะไม่มี "ไม้ตาย" อื่นมาช่วยเลย
แน่นอนว่าพอข่าวออกไป แฟน ๆ ทั่วญี่ปุ่นก็คือทั้งเศร้าทั้งโกรธ "ทำไม TV Asahi ทำกับตำนาน 50 ปีแบบนี้!", "ฉันยังเดินร้องเพลงธีม Jet Man กลับบ้านอยู่เลย", "เสียดายสเปเชียลเอฟเฟกต์ที่อุตส่าห์พัฒนามา" คือดราม่ามาเต็ม! เพราะนี่คือความทรงจำของเด็กแทบทุกยุค!
หลายคนก็ยังแอบหวังนะว่า...เอ๊...ปกติ Sentai มันก็ "รีบูต" เปลี่ยนนักแสดงใหม่ทุกปีอยู่แล้วนี่? มันอาจจะแค่ย้ายค่าย ย้ายแพลตฟอร์มแบบ Ultraman หรือเปล่า? หรือนี่อาจจะเป็นแค่การ "พัก" ก่อนจะกลับมาใหม่? ก็...ต้องรอลุ้นกันไป
ในมุมมองของ #วงเล่าการตลาด เคสนี้คือบทเรียนสุดคลาสสิกที่สอนว่า "ตำนาน" (Legacy) และ "ความทรงจำ" (Nostalgia) อย่างเดียว มันไม่พอให้ธุรกิจอยู่รอด ในยุคที่การแข่งขันมันดุเดือดขนาดนี้ เมื่อโมเดลธุรกิจหลักคือการ "ขายของเล่น" (Merchandising) แต่ตัวสินค้ากลับไม่สามารถดึงดูดใจผู้บริโภค (เด็กยุคใหม่) ให้ควักเงินได้เท่าคู่แข่งเบอร์ใหญ่อย่าง Kamen Rider หรือ One Piece
สุดท้าย...แม้จะยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ต้องยอมรับความจริงที่เจ็บปวด เมื่อรายได้มันไม่สามารถแบกรับ "ต้นทุนการผลิต" ที่สูงขึ้นทุกวันได้ การเปลี่ยนแปลง (หรือการยุติ) จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ
#วงเล่าการตลาด #การตลาดย่อยง่าย

เรื่องนี้กำลังเป็นดราม่าร้อนที่ญี่ปุ่นเลย! เห็นพาดหัวข่าวแวบแรกคือชาวงเล่าฯ แทบช็อก "ศาลโตเกียวตัดสิน 'การเรียกชื่อคนอื่...
31/10/2025

เรื่องนี้กำลังเป็นดราม่าร้อนที่ญี่ปุ่นเลย! เห็นพาดหัวข่าวแวบแรกคือชาวงเล่าฯ แทบช็อก "ศาลโตเกียวตัดสิน 'การเรียกชื่อคนอื่นว่า -จัง' ในที่ทำงาน ถือเป็นการคุกคามทางเพศ!"
คือต้องเท้าความกันแบบเร็ว ๆ ก่อนนะ ว่าที่ญี่ปุ่นเนี่ย เขามีคำต่อท้ายชื่อเยอะแยะ ‘-ซัง’ (san) ก็คือมาตรฐานสุภาพ เหมือน 'คุณ' บ้านเรา แต่ถ้าเป็น ‘-จัง’ (chan) มันจะฟีลแบบ...เอ็นดูววว อบอุ่นกว่า ปกติใช้เรียกเด็ก, เพื่อนผู้หญิงสนิทๆ กัน หรือผู้ชายเรียกเพื่อนผู้หญิงที่ซี้กันจริง ๆ (แบบไม่คิดไร)
สื่อหลายเจ้าก็ประโคมกันใหญ่เลยว่า "จบแล้ว! โลกนี้อยู่ยากขึ้น! -จัง = Sexual Harassment" พอข่าวออกมาแบบนี้ โลกโซเชียลก็แตกสิครับ...เถียงกันนัวว่าต่อไปนี้จะเรียกกันยังไงล่ะเนี่ย
แต่เดี๋ยวก๊อนนนน! ในฐานะชาววงเล่าฯ ที่ยึดมั่นในการเม้าท์มอยแบบมีไส้ใน เราต้องไม่เชื่อพาดหัวข่าวสั้น ๆ ที่ย่อยมาจนไม่เหลือเนื้อแท้! ทีมงานเราเลยไปขุดไส้ในคดีนี้มาให้แล้ว...จะบอกว่า "เรื่องจริงมันมีมากกว่านั้นเยอะ!"
เรื่องมันเริ่มจากพนักงานหญิงคนนึง (อายุ 40+) ฟ้องบริษัทขนส่งยักษ์ใหญ่ Sagawa Express กับเพื่อนร่วมงานชายที่แก่กว่า เธอบอกว่าตานี่แหย่เธอจนเป็นโรคซึมเศร้า จนต้องลาออกในที่สุด
คดีนี้สู้กันยาว สุดท้ายบริษัท (Sagawa) เห็นท่าไม่ดี ยอมจ่ายค่ายอมความไป 7 แสนเยน (เกือบ 1.7 แสนบาท) แต่...ผู้ชายไม่ยอมจบ! แกสู้คดีต่อในชั้นศาลว่าตัวเองไม่ผิด! แต่สุดท้าย...ก็แพ้ไปจ้า...ศาลสั่งให้จ่ายอีก 2.2 แสนเยน (ราว ๆ 5 หมื่นกว่าบาท)
ประเด็นที่สื่อเอาไปเล่นคือ "การเรียก -จัง" นี่แหละ ซึ่งผู้พิพากษาก็พูดจริงว่ามัน "ไม่จำเป็นในที่ทำงาน" และด้วยวัยกับเพศที่ต่างกัน แถมไม่ได้ซี้กันส่วนตัว มันก็อาจจะทำให้ผู้หญิงรู้สึกแย่ได้
แต่!!! พาดหัวข่าวพวกนั้นมัน "ลืม" บอกไปว่า...ไอ้ตานี่ไม่ได้แค่เรียกเธอว่า "-จัง" อย่างเดียวไง!! แต่แกมีพฤติกรรมพูดจาเต๊าะเธอเป็นประจำด้วย ทั้ง "คุณน่ารักจัง" ทั้ง "หุ่นดีนะเนี่ย"
อะ...เห็นภาพยัง?
มันก็เหมือนที่ทำงานในไทยนี่แหละ สมมติมีพี่ผู้ชายมาเรียกเราว่า "น้อง...จ๋า" ถ้าเรียกเฉย ๆ ก็อาจจะแค่รู้สึกแปลก ๆ (หรือเลี่ยน ๆ) แต่ถ้ามาเป็นคอมโบเซ็ต "น้อง...จ๋า วันนี้แต่งตัวน่ารักจัง" "น้อง...จ๋า หุ่นดีนะเรา" ...แบบนี้คือไม่ "จ๋า" แล้วมั้ย! มันคือการคุกคามชัด ๆ!
สรุปในมุมมองวงเล่าฯ นะ เคสนี้จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ 'สงครามภาษาศาสตร์' ว่าคำไหนใช้ได้หรือไม่ได้ แต่มันคือบทเรียนเรื่อง 'Context is KING' ที่นักการตลาดหรือคนทำงานต้องจำให้ขึ้นใจเลย ตัว ‘-จัง’ เองมันไม่ได้ผิด แต่มัน "เป็นพิษ" ทันที เมื่อมันถูกใช้ใน "บริบท" ที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อมันถูกพ่วงมากับ "พฤติกรรม" ที่ไม่ให้เกียรติคนอื่น
พาดหัวข่าวที่ตัดตอนมา (Soundbite) มันอาจจะเรียกแขกได้ดี แต่ถ้าเราไม่ดูบริบททั้งหมด เราก็จะพลาด 'ความจริง' ที่สำคัญที่สุดไป นี่คือบทเรียนว่าในที่ทำงาน (หรือในการสื่อสารแบรนด์ก็ตาม) การตัดสินใจ 'ข้ามเส้น' ความสุภาพขั้นพื้นฐานไปหาความสนิทสนม โดยที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจ...นั่นแหละคือ 'จุดเริ่มต้น' ของปัญหา ไม่ใช่แค่ที่ตัวคำพูดคำเดียว
#การตลาดย่อยง่าย #วงเล่าการตลาด

เห็นโฆษณาตัวใหม่ของ Mazda ที่ญี่ปุ่นยัง? บอกเลยว่าน่ารักแบบตะโกน! รอบนี้เขาไม่ได้มาขายแค่ความแรงหรือความเท่ แต่เขาไปจับม...
30/10/2025

เห็นโฆษณาตัวใหม่ของ Mazda ที่ญี่ปุ่นยัง? บอกเลยว่าน่ารักแบบตะโกน! รอบนี้เขาไม่ได้มาขายแค่ความแรงหรือความเท่ แต่เขาไปจับมือกับ 'เครยอน ชินจัง' การ์ตูนครอบครัวสุดป่วนที่เรารู้จักกันดี! คำถามคือ รถ SUV เท่ ๆ กับเด็ก 5 ขวบจอมทะลึ่งเนี่ย มันมาเจอกันได้ยังไง? เดี๋ยววงเล่าฯ จะย่อยให้ฟัง!
ปกติเวลาเรานึกถึง Mazda SUV เราจะนึกถึงดีไซน์สวยๆ Kodo Design อะไรแบบนั้นใช่มั้ย? แต่แคมเปญนี้ เขามาแหวกเลย! เพราะเลือกครอบครัว 'โนฮาร่า' ครบทีม ตั้งแต่พ่อฮิโรชิ, แม่มิซาเอะ, ชินจัง, ฮิมาวาริ, แม้แต่เจ้าชิโร่! มาเป็นพรีเซนเตอร์ โดยนำภาพจำของชินจังคือ "ครอบครัว" มาเล่าใหม่
สิ่งที่ปังที่สุดคือสโลแกนแคมเปญ "技術って、愛だ" (กิจุทสึ ตเตะ, ไอ ดะ) ที่แปลว่า "เทคโนโลยีคือความรัก" อหหห...คมมาก! Mazda กำลังบอกเราว่า เทคโนโลยีทั้งหมดที่พวกเขายัดใส่มาใน SUV เนี่ย ไม่ได้ทำมาเพื่อโชว์เหนือ แต่ทำมา "เพื่อความรัก" ที่มีต่อครอบครัว
เขาย่อย 'ความรัก' ออกมาเป็นซีน ๆ ให้เราเก็ตง่ายมาก
• ความรัก = ความสบาย: มีซีนพ่อฮิโรชิขับรถ แล้วบอกว่าเทคโนโลยีของ Mazda ทำให้ครอบครัว 'เมารถน้อยลง' นี่คือความรักที่พ่ออยากให้ทุกคนแฮปปี้ระหว่างทาง
• ความรัก = ความอุ่นใจ: ซีนชินจังกับฮิมาวารินั่งคาร์ซีทหลับปุ๋ย คือการบอกว่าห้องโดยสารมันสบายและ 'นิ่ง' พอที่เด็ก ๆ จะนอนหลับได้สนิทใจ
• ความรัก = ความปลอดภัย: ซีนแม่มิซาเอะที่นั่งยิ้มแฉ่ง ก็สื่อว่าเธอมั่นใจในความปลอดภัยของรถ ขับเองก็ง่าย แฟนขับก็สบายใจ
• ความรัก = ความสวยงาม: แม้แต่ซีนพ่อฮิโรชิลงจากรถ CX-60 ก็ยังสื่อว่า "ความสวยงาม" ของรถ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวภูมิใจ
Mazda แทบไม่ได้พูดถึงแรงม้าหรือเครื่องยนต์เลย แต่เขาเล่าว่า "เทคโนโลยี" ของเขาช่วยให้ครอบครัว 'สร้างรอยยิ้ม' และ 'วิ่งไปในทุก ๆ วันของครอบครัว' ได้ยังไงบ้าง นี่คือการเปลี่ยนจุดขายจาก 'ฟีเจอร์' (มีอะไร) ไปเป็น 'คุณค่า' (ทำอะไรให้ชีวิตดีขึ้น) แบบเต็ม ๆ
ในมุมมองวงเล่าฯ นี่คือ Case Study การทำ Emotional Branding เพราะ Mazda ไม่ได้แค่เอาการ์ตูนดังมาแปะ ๆ ให้เป็นกระแส แต่เขาเลือก 'ชินจัง' เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ "รถสำหรับครอบครัว" ที่จับต้องได้จริง การใช้สโลแกน "เทคโนโลยีคือความรัก" คือการ 'Humanize' นวัตกรรมที่ดูซับซ้อน ให้กลายเป็นสิ่งที่อบอุ่นและเข้าใจง่าย มันคือการสื่อสารที่ทรงพลังว่า "เราไม่ได้ขายรถ แต่เราขายพื้นที่ปลอดภัยและสบายที่สุดสำหรับคนที่คุณรัก" ซึ่งนี่คือสิ่งที่โดนใจกลุ่มเป้าหมายอย่าง 'พ่อแม่ยุคใหม่' มากกว่าการโฆษณาด้วยตัวเลขหรือสเปกเทคนิคแบบเดิม ๆ
#วงเล่าการตลาด #การตลาดย่อยง่าย

[กรณีศึกษา] เรื่องใหญ่สะเทือนโพรงจมูกคนไทยกำลังมาแรงแซงทุกดราม่า...เมื่อ 'อ.ย.' (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ออกมาประก...
29/10/2025

[กรณีศึกษา] เรื่องใหญ่สะเทือนโพรงจมูกคนไทยกำลังมาแรงแซงทุกดราม่า...เมื่อ 'อ.ย.' (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ออกมาประกาศเปรี้ยง! ว่าตรวจเจอ 'เชื้อจุลินทรีย์' ที่ปนเปื้อนเกินมาตรฐาน! ทั้งเชื้อรา ยีสต์ และที่พีคคือมี Clostridium ด้วย... งานนี้บอกเลยว่าช็อก! เพราะมันคือไอเท็มติดตัวที่คนไทย
คือเรื่องมันพีคตรงที่...แบรนด์ 'หงส์ไทย' เขากำลังเป็น 'ดาวรุ่งพุ่งแรง' ของวงการสมุนไพรเลยนะ ทีมวงเล่าฯ แอบไปส่องงบการเงินของ 'บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด' จากที่เคยขาดทุนหลักล้าน (ปี 2563-2564) พอปี 2565 ปุ๊บ...พลิกมามีกำไร!
ปี 2563 ทำได้ 17.8 ล้าน...ตัดภาพมาปี 2567 (ล่าสุด) พุ่งไป 366.1 ล้านบาท!! โตขึ้น 20 เท่าในไม่กี่ปี! โอ้โห...นี่มัน 'Growth Hacking' ของจริง! ขายดีจนผลิตแทบไม่ทัน!
แต่ก็นั่นแหละ...บทเรียนคลาสสิกของธุรกิจที่ 'โตเร็วเกินไป' (Hyper-Growth) ก็คือ...ระบบหลังบ้าน โดยเฉพาะ 'การควบคุมคุณภาพ' (QC) มันอาจจะวิ่งตามไม่ทันออเดอร์ อ.ย. เขาเลยไปสุ่มเก็บตัวอย่างจาก 'สถานที่ผลิต' โดยตรง และก็เจอแจ็คพอตในล็อตการผลิต 000332 (ที่ผลิต 09/12/2024 หมดอายุ 08/12/2027) ว่ามัน 'ผิดมาตรฐาน'.!
สิ่งที่นักการตลาดต้องจับตาดู ไม่ใช่แค่ว่า 'พลาดได้ไง' แต่คือ 'แก้เกมยังไง'? และหงส์ไทยก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง...เขาเล่นตามตำรา 'Crisis Management 101' แบบเป๊ะๆ!
1. ไม่หนี ไม่เงียบ (Acknowledge): แบรนด์รีบออกแถลงการณ์ทันที ยอมรับแบบแมนๆ ว่า 'ทราบเรื่องแล้ว' และ 'พบปัญหาจริง'...นี่คือสเต็ปแรกที่ถูกต้องที่สุด!
2. ขอโทษจากใจ (Apologize): 'เราขออภัยในความกังวลใจ' คำนี้ต้องมาก่อนเสมอ เพื่อลดแรงปะทะทางอารมณ์ของลูกค้า
3. แก้ปัญหาเร่งด่วน (Act): เขาประกาศ 'เรียกคืนสินค้า' ล็อตเจ้าปัญหา (000332) ออกจากตลาดทั้งหมด...นี่คือการหยุดเลือด
4. รับผิดชอบแบบสุดตัว (Compensation): อันนี้คือหมัดเด็ดซื้อใจ! 'ลูกค้าที่ซื้อไปแล้ว ยินดีคืนเงินเต็มจำนวน' แถมยังบอกอีกว่า 'พร้อมชดใช้ค่าสินไหม' หากเกิดปัญหา...คือยอมเจ็บ แต่ไม่ยอมเสีย 'ความเชื่อมั่น'
5. ป้องกันการเกิดซ้ำ (Prevention): เขาไม่ได้แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่บอกเลยว่า 'ได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตแล้ว' โดยเพิ่มขั้นตอน 'ฆ่าเชื้อด้วยรังสี Ultraviolet'...นี่คือการให้ 'คำมั่นสัญญา' ว่าจะไม่พลาดเรื่องเดิมอีก
ในมุมมองของวงเล่าการตลาด เคสนี้ชี้ให้เห็นสัจธรรมของการทำธุรกิจที่ว่า 'ยิ่งโตเร็ว ยิ่งเสี่ยงสูง' การสเกลอัพการผลิต (Scale Up Production) อย่างก้าวกระโดด มักจะมาพร้อมกับความท้าทายด้านมาตรฐานที่เข้มงวดขึ้นเสมอ วิกฤตครั้งนี้จึงเปรียบเหมือน 'สัญญาณเตือนภัย' ที่ดังลั่นว่า QC คือหัวใจที่ห้ามประนีประนอมเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม การที่หงส์ไทยเลือกใช้กลยุทธ์ 'ความจริงใจนำหน้า' (Radical Transparency) และ 'ความรับผิดชอบเต็มพิกัด' (Full Accountability) ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องในการบริหารวิกฤต แม้จะต้องแลกมาด้วยต้นทุนมหาศาล (การเรียกคืนสินค้าและคืนเงิน) แต่มันคือการลงทุนที่จำเป็นเพื่อ 'ซื้อ' สิ่งที่เงินหาซื้อไม่ได้ นั่นคือ 'ความไว้วางใจ' (Brand Trust) ของลูกค้ากลับคืนมา...ซึ่งในระยะยาวแล้ว 'ความเชื่อใจ' นี่แหละ คือ 'สินทรัพย์' ที่แพงที่สุดของแบรนด์
#วงเล่าการตลาด #การตลาดย่อยง่าย

เคสศึกษาน่าสนใจในแวดวงธุรกิจไทย 🍘เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประกาศม...
28/10/2025

เคสศึกษาน่าสนใจในแวดวงธุรกิจไทย 🍘
เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประกาศมาตรการลงโทษทางแพ่งกับบุคคล 5 ราย ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้น เถ้าแก่น้อย (TKN) โดยใช้ข้อมูลภายในก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการต่อสาธารณะ
จากการตรวจสอบของ ก.ล.ต. พบว่า ในช่วงเดือนสิงหาคม – พฤศจิกายน 2565 มีการเข้าซื้อหุ้น TKN ล่วงหน้า ก่อนที่ข้อมูลผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 ซึ่งมีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 179.97 ล้านบาท และมีการจ่าย เงินปันผลพิเศษ 0.08 บาทต่อหุ้น จะถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการ

การกระทำลักษณะนี้เข้าข่าย Insider Trading (การซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน) ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ลงทุนรายอื่น
คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) จึงมีมติให้บุคคลที่เกี่ยวข้องชำระ ค่าปรับและคืนผลประโยชน์รวม 16,392,684 บาท พร้อม ห้ามดำรงตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นระยะเวลาตั้งแต่ 9 เดือน ถึง 20 เดือน ตามแต่ละกรณี
กรณีนี้เป็น ตัวอย่างสำคัญในเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance) และ ความโปร่งใส (Transparency) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าในยุคปัจจุบัน ผู้บริโภคและนักลงทุนให้ความสำคัญกับ “จริยธรรมทางธุรกิจ” ไม่แพ้ “คุณภาพของสินค้า”

#วงเล่าการตลาด #เรียนรู้จากเคสจริง #การตลาดย่อยง่าย

วันนี้เรามาชวนเม้าท์มอยวงการตลาดแดนมังกรกันหน่อย... แต่งานนี้ไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยีล้ำ ๆ นะ แต่เป็นเรื่อง 'เหล้า' จ้า!เรื...
27/10/2025

วันนี้เรามาชวนเม้าท์มอยวงการตลาดแดนมังกรกันหน่อย... แต่งานนี้ไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยีล้ำ ๆ นะ แต่เป็นเรื่อง 'เหล้า' จ้า!
เรื่องของเรื่องคือ 'ไป๋จิ่ว' (Baijiu) หรือที่บ้านเราเรียกติดปากว่า 'เหล้าขาวจีน' เนี่ย... ปกติมันคือสุดยอดเหล้าสำหรับ 'ดีลธุรกิจ' และ 'งานเลี้ยงทางการ' ของพรรคและข้าราชการจีนเลยนะ... ดีกรีแต่ละขวดคือแรงแบบ...ไฟลุก! (ปกติ 50% ABV อะคิดดู!) แต่! อยู่ ๆ ตลาดที่เคยรุ่งเรืองก็โดนเบรกหัวทิ่ม!
สาเหตุก็เพราะท่านผู้นำ 'สี จิ้นผิง' เขาเอาจริงเรื่อง 'รัดเข็มขัด' และ 'ปราบคอร์รัปชัน' ออกกฎเหล็กคุมเข้ม ห้ามข้าราชการและสมาชิกพรรคจัดเลี้ยงหรูหรา ฟุ่มเฟือย... และแน่นอน 'เหล้าแพง ๆ' คือเป้าหมายหลักที่โดนเพ่งเล็ง!
สถานการณ์มันตึงเครียดเบอร์ที่ว่า... มีนักธุรกิจญี่ปุ่นเขาเม้าท์ว่า ไปงานเลี้ยงกับข้าราชการจีน... ปรากฏว่าเจ้าภาพต้องแอบเอา 'ไป๋จิ่ว' ไปเทใส่ในขวดน้ำแร่ยี่ห้อดัง (นงฟูสปริง!) แล้วแอบรินให้กันดื่ม! อารมณ์แบบ... กลัวโดนสอย!
อีกเคสคือ งานเลี้ยงใหญ่ระดับเทศบาลไม่มีแอลกอฮอล์เสิร์ฟเลยจ้า! แม้แต่เบียร์หรือไวน์ก็ไม่มี! ที่พีคกว่าคือ... ตอนท่านผู้นำเทศบาลเดินมาทักทาย... นักธุรกิจจะยก 'แก้วน้ำผลไม้' ขึ้นมาถ่ายรูปด้วย... ยังโดนคนสนิทกระซิบห้ามเลยว่า "อย่าถ่ายรูปตอนถือแก้ว!"... คือกลัวคนเอาภาพไปปั่นว่าแอบดื่มเหล้า!... โอ๊ยยย เครียดเกิ๊น!
พอ 'ลูกค้ากลุ่มหลัก' (สายข้าราชการ) หายวับไปกับตา... ยอดขายก็ดิ่งสิครับ รออะไร!
นี่แหละคือจุดที่นักการตลาดต้องทำงาน! เมื่อ 'พฤติกรรมผู้บริโภค' (ที่ถูกบังคับ) เปลี่ยน... 'ผลิตภัณฑ์' (Product) ก็ต้องเปลี่ยนตาม! บรรดาแบรนด์ยักษ์ใหญ่เลยต้องพลิกตำรา... หันมาทำ 'ไป๋จิ่วดีกรีต่ำ' (Lower-alcohol) เอาใจตลาดใหม่แทน!
อย่างเบอร์ 2 ของตลาด Wuliangye Yibin ก็ออกตัวแรง... เปิดตัวแบรนด์ใหม่ชื่อหวานเจี๊ยบ... "Love at First Sight" (รักแรกพบ... หวานมดขึ้น!) ลดดีกรีจาก 52% เหลือแค่ 29%! ไม่บาดคอ! แถมดีไซน์ขวดและกล่องสีฟ้านวล ๆ... อารมณ์แบบกล่องจิวเวลรี Tiffany! ชัดเลย... ไม่ได้ขายข้าราชการแล้วจ้า... นี่มันขายคนรุ่นใหม่ ขายผู้หญิง! หรือแบรนด์เก่าแก่อย่าง Luzhou Laojiao ก็ประกาศเลยว่าจะทำรุ่น 28% ABV เหมือนกัน... แถมจะเอาไปใส่ในแบรนด์เรือธง (Flagship) เลยด้วย! (ใจถึงสุดๆ!)
ตอนนี้ทุกสายตาก็จับจ้องไปที่ 'พี่ใหญ่' เบอร์ 1 อย่าง Kweichow Moutai (กุ้ยโจว เหมาไถ) ที่ก่อนหน้านี้พยายามจะ 'เล่นท่า' เอาใจวัยรุ่นด้วยการทำ 'ไอติมรสเหมาไถ' หรือ 'กาแฟลาเต้เหมาไถ' มาแล้ว... แต่ยังไม่เคยแตะ 'โปรดักต์หลัก' (เหล้า) โดยตรง... แต่ตอนนี้ราคาหุ้นเรือธง (Flying Fairy) ก็ร่วงกราว... ไม่รู้ว่าจะทนแรงกดดันไหว แล้วโดดลงมาเล่นตลาด 'เหล้าซอฟต์ ๆ' นี้ด้วยรึเปล่า...
ในมุมมองของวงเล่าฯ นะ... เคสนี้คือตัวอย่างของ "Product Adaptation" (การปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์) เพื่อความอยู่รอดเลย... เมื่อ 'ปัจจัยภายนอก' (External Factors) อย่างกฎระเบียบของรัฐบาล (Regulatory Change) มันแรงจนต้านไม่ไหว... การดันทุรังขายของเดิมก็เท่ากับรอวันเจ๊ง... กลยุทธ์ของแบรนด์เหล่านี้คือการ "Pivot" อย่างชัดเจน... ไม่ใช่แค่ลดดีกรีแอลกอฮอล์... แต่มันคือการ 'เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย' (Target Audience) จากเดิมที่เน้นงานเลี้ยงทางการ (Formal) หรูหรา... ไปสู่การดื่มแบบ 'ไม่เป็นทางการ' (Casual) ของคนรุ่นใหม่ที่เน้นรสชาติ 'ดื่มง่าย' และ 'ภาพลักษณ์' (Branding) ที่ดูทันสมัย... นี่คือบทเรียนว่า... ไม่ว่าธุรกิจจะ 'ดั้งเดิม' (Traditional) แค่ไหน... สุดท้ายก็ต้องปรับตัวตาม 'วัฒนธรรมการบริโภค' (Drinking Culture) ที่เปลี่ยนไป... โดยมี 'การเมือง' เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา!
แล้วเพื่อน ๆ ล่ะ คิดว่าการ 'ลดดีกรี' ครั้งนี้ จะช่วยให้แบรนด์เหล้าขาวยักษ์ใหญ่กลับมาผงาดได้มั้ย? มาเม้าท์กัน!
#วงเล่าการตลาด #การตลาดย่อยง่าย

เพจดังแนะนำ 25 โทนสีไทยสุภาพที่ใช้ในการใส่ไว้ทุกข์ได้ตามความเหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆในช่วงของการไว้ทุกข์ตามประกาศของรัฐบา...
27/10/2025

เพจดังแนะนำ 25 โทนสีไทยสุภาพที่ใช้ในการใส่ไว้ทุกข์ได้ตามความเหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ
ในช่วงของการไว้ทุกข์ตามประกาศของรัฐบาลที่อนุญาตให้ประชาชนเลือกใช้โทนสีให้เหมาะสมตามลักษณะการทำงานและนี่คือ 25 โทนสีที่นำไปใช้งานได้
- ดำเขม่า
- เทา
- ผ่านคราม
- ขาบดำ
- นิลกาฬ
- หมึกจีน
- เขม่ายาง
- ปีกกา
- ดำหมึก
- เขียวนิล
- ลูกห่าน
- น้ำตาลไหม้
- สัมฤทธิ์เดช
- เหล็กไหล
- มอหมึก
- สวาด
- น้ำรัก
- สัมฤทธิ์
- กากี
- เทาเขียว
- ดอกเลา
- บัวโรย
- ควันเพลิง
- หมอก
- ขาวขาบ

เครดิต : ชีวอโรคยา
https://www.facebook.com/135957369811772/photos/a.397486816992158.91519.135957369811772/1217717968302368/?type=3&theater

สำนักพระราชวัง เผยแพร่ประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคตตามที่คณะแพทย์ผู้ถวา...
25/10/2025

สำนักพระราชวัง เผยแพร่ประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต

ตามที่คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี้พันปีหลวง ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๒ เพื่อติดตามพระอาการทางระบบต่าง ๆ ความทราบทั่วกันแล้วนั้น ในช่วงที่ประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรหลายครั้ง และคณะแพทย์ตรวจพบความผิดปรกติทางระบบต่าง ๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่วันที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรจากภาวะติดเชื้อในกระแสพระโลหิต แม้ว่าคณะแพทย์จะถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่พระอาการทรุดหนักลงตามลำดับ ถึงวันศุกร์ ที่ ๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เวลา ๒๑ นาฬิกา ๒๑ นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ ๙๓

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สำนักพระราชวัง จัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ในราชสำนักไว้ทุกข์ถวาย มีกำหนด ๑ ปี ตั้งแต่วันสวรรคตเป็นต้นไป

สำนักพระราชวัง
๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๘

🔥 ใครเจอโปรใหม่ BYD ถึงกับต้องขยี้ตารัว ๆ นี่มันราคาจริงดิ? เรียกว่าเป็นการทุบตลาดส่งท้ายปีที่แท้ทรู! ใครที่กำลังเล็ง ๆ ...
24/10/2025

🔥 ใครเจอโปรใหม่ BYD ถึงกับต้องขยี้ตารัว ๆ นี่มันราคาจริงดิ? เรียกว่าเป็นการทุบตลาดส่งท้ายปีที่แท้ทรู! ใครที่กำลังเล็ง ๆ รถ EV อยู่ โปรดหยุดดูโพสต์นี้ด่วน ๆ เพราะนี่อาจเป็นราคาที่ถูกที่สุดที่คุณจะได้เห็นไปอีกนาน!
เรื่องของเรื่องคือ BYD เขาจัดแคมเปญใหญ่เบิ้มชื่อ "EV 3.0 BEST DEAL GUARANTEE" ตั้งแต่วันนี้ (24 ต.ค.) ถึง 10 ธ.ค. 68 นี้เท่านั้น! ไฮไลต์มันอยู่ที่คำว่า "GUARANTEE" นี่แหละแกร! คือเขากล้าพูดเลยว่านี่คือ "ข้อเสนอที่ดีที่สุด" และถ้าเราไปเจอที่ไหนให้ดีลดีกว่านี้ (ในช่วงเวลาเดียวกัน) เขา "พร้อมชดเชยส่วนต่างให้"!! โอ้โหหห แรงมากแม่!
แล้วราคาที่ว่า "ดีที่สุด" มันขนาดไหน? มาดูตัวอย่างให้ช็อกเล่นๆ
🐬 New BYD DOLPHIN (Standard Range): จากปกติ 569,900 บาท กดราคาลงเหลือ 449,900 บาท!! หายไปแสนสอง! (นี่ถ้าเทียบกับราคาเปิดตัวปีที่แล้ว 699,999 คือช็อกกว่าเดิม)

🐲 New BYD ATTO 3 (Extended Range): รุ่นฮิตตลอดกาล จากปกติ 899,900 บาท ทุบเหลือ 699,900 บาท!! ลดไป 2 แสนเต็มๆ! (คนซื้อก่อนคือเจ็บจี๊ด โดยเฉพาะคนที่ซื้อตอนเปิดตัวราคาเกินล้าน)
นี่ไม่ใช่แค่การลดราคาธรรมดา แต่มันคือการเดินเกมการตลาดที่ "เฉียบ" และ "โหด" มาก!
ปิดเกมสงครามราคา (Price War Endgame): BYD ใช้กลยุทธ์ "การันตีราคา" (Price Guarantee) เพื่อหยุดความลังเลของลูกค้าที่กลัว "ซื้อก่อนเจ็บก่อน" พอลูกค้ามั่นใจว่านี่คือราคาต่ำสุดแล้ว เขาก็พร้อมปิดการขายทันที
สร้างกำแพงถล่มคู่แข่ง (Barrier to Entry): การกดราคาลงมาต่ำขนาดนี้ (Dolphin เริ่ม 4 แสนกลาง!) คือการฆ่าคู่แข่งในตลาด B-Segment และ Eco Car ทั้งหมด ไม่ใช่แค่ EV ด้วยกัน แต่ลามไปถึงรถสันดาปด้วย!
ล้างสต็อกแบบมีชั้นเชิง (Smart Clearance): ชัดเจนว่านี่คือการเร่งระบายรถในโควตา EV 3.0 ให้หมดก่อนมาตรการจะจบ แต่แทนที่จะแค่ "ลดราคา" เขาใช้คำว่า "Best Deal Guarantee" เพื่อสร้าง Value และความมั่นใจให้แบรนด์ไปด้วย
ซ่อมแซมความรู้สึก (Repairing Brand Trust): จากภาพไทม์ไลน์ ATTO 3 จะเห็นว่าราคามันสวิงมาก การออกการันตีครั้งนี้เหมือนเป็นการบอกลูกค้าว่า "ครั้งนี้จบจริง ไม่ลดไปกว่านี้แล้ว เชื่อใจได้"
นี่คือการเคลื่อนไหวของ 'เจ้าตลาด' ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การเคลียร์สต็อก แต่คือการ 'ประกาศชัยชนะ' ในสงคราม EV 3.0 อย่างเป็นทางการ โดยใช้ "ราคา" เป็นอาวุธที่รุนแรงที่สุด และใช้ "การการันตี" เป็นโล่ป้องกันความลังเลของลูกค้า เกมนี้ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ คือคนที่ได้ประโยชน์เต็ม ๆ แต่คู่แข่งแบรนด์อื่น...บอกได้คำเดียวว่า "หนาว"
#วงเล่าการตลาด #การตลาดย่อยง่าย

ที่อยู่

Wonglaokarntaladteam
Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66867770684

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ วงเล่าการตลาดผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์