Business+

Business+ Business Plus สร้างแรงบันดาลใจให้นักธุรกิจรุ่นใหม่
ติดต่อโฆษณา : [email protected]

นิตยสารธุรกิจในเครือบริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ที่นำเสนอบทความและคอลัมน์เจาะลึกข่าวสารด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการตลาด ครอบคลุมหลากอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ

รายงานความเคลื่อนไหวในแวดวงธุรกิจต่างๆ นำเสนอกลยุทธ์ แผนธุรกิจ พร้อมบทสัมภาษณ์ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ

ครบถ้วนด้วยกรณีศึกษา และข่าวสารจากมุมอื่นๆ ของโลกเพื่อนำมาประยุกต์ให้เข้ากับการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการชาวไทย
บนรูปแบบใหม่

โดยมีกลุ่มผู้อ่านหลัก คือ ผู้บริหารระดับสูง (CEO) และกลุ่มนักศึกษา

10 บริษัทไทยสวัสดิการโดนใจ ที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยที่สุดจากข้อมูลที่ Business+ เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้เกี่ยวกับ “5 บ...
25/07/2025

10 บริษัทไทยสวัสดิการโดนใจ ที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยที่สุด
จากข้อมูลที่ Business+ เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้เกี่ยวกับ “5 บริษัทต่างชาติที่คนรุ่นใหม่ในไทยอยากทำงานด้วยมากที่สุด”
ในครั้งนี้ เราจึงขยับมาสำรวจมุมมองภายในประเทศกันบ้าง กับ การจัดอันดับบริษัทสัญชาติไทย ที่กำลังเป็นที่นิยมในสายตาคนรุ่นใหม่
เพราะในปัจจุบันงานที่ดี...ไม่ได้หมายถึงแค่เงินเดือนสูง แต่คือการมี “ความหมาย” ความสุข และการได้มีชีวิตอยู่ในที่ทำงานอย่างแท้จริง
ในยุคที่คนรุ่นใหม่ไม่ได้เลือกงานจากแค่ค่าตอบแทนหรือชื่อเสียงขององค์กรอีกต่อไป แต่เลือกจาก "คุณภาพชีวิต" ที่องค์กรนั้นมอบให้ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต สุขภาวะที่ดีทั้งกายและใจ ความมั่นคงทางการเงิน ไปจนถึงวัฒนธรรมองค์กรที่เข้าใจและเคารพตัวตนของพนักงาน พวกเขามองหาองค์กรที่ไม่เพียงแค่ให้โตในหน้าที่การงาน แต่ต้องเติบโตในชีวิตไปพร้อมกัน
ล่าสุด Business+ ได้อ้างอิงข้อมูลจากการจัดอันดับ Top 50 Companies in Thailand 2025 โดย WorkVenture ซึ่งเผยให้เห็นว่า 10 บริษัทสัญชาติไทยที่คนรุ่นใหม่โหวตให้เป็นองค์กรในฝันนั้น ไม่ได้เพียงเสนอ “งานที่มั่นคง” แต่เสนอ “ชีวิตที่มีคุณค่า” อย่างแท้จริง ด้วยแนวคิดที่ยึดพนักงานเป็นศูนย์กลาง และออกแบบสิ่งแวดล้อมในการทำงานให้ตอบโจทย์ทั้งปัจจุบันและอนาคต
หากคุณสนใจจะเปรียบเทียบกับฝั่งบริษัทข้ามชาติBusiness+ เคยนำเสนอเนื้อหาและวิเคราะห์ไว้ในหัวข้อ “ทำไม 5 บริษัทต่างชาติที่คนรุ่นใหม่ในไทยอยากทำงานด้วยมากที่สุด” สามารถอ่านบทความและรับชมคลิปเพิ่มเติมได้ที่:
Website: https://www.thebusinessplus.com/welfare/
TikTok: https://vt.tiktok.com/ZSSJbBt14/
Facebook: https://www.facebook.com/share/p/1JEdAz76PP/
ดังนั้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 10 บริษัทไทยที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ปี 2025 พร้อมถอดรหัสคำว่า “องค์กรในฝัน” ว่าทำไมพวกเขาถึงถูกยกให้เป็นบริษัทที่ “น่าอยู่” ไม่ใช่แค่ “น่าทำงาน” และกลายเป็นเป้าหมายที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุดในยุคนี้
1.SCG
เอสซีจี ไม่ได้มีดีแค่คุณภาพสินค้าด้านวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ตราช้าง, กระเบื้อง COTTO, SCG Home และ SCG Packaging แต่ยังเป็นผู้นำในการดูแลพนักงานในทุกมิติ ตั้งแต่การกำหนดเวลาเข้างานที่ยืดหยุ่น ระบบการทำงานทั้ง On-site และ Work-from-home การลาที่หลากหลายตั้งแต่ลาคลอด ลากิจ ลาเพื่อดูแลครอบครัว ไปจนถึงลาเพื่อผ่าตัดแปลงเพศ นอกจากนี้ยังมีการดูแลสุขภาพจิตด้วยระบบ Doctor Anywhere และกิจกรรม Mental Wellness ที่ส่งเสริมความสมดุลในชีวิต พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างห้องให้นม ฟิตเนส สนามกีฬา รวมถึงการดูแลหลังเกษียณ SCG จึงกลายเป็นองค์กรที่เข้าใจคนทำงานทุกเจเนอเรชันอย่างแท้จริง
2.PTT
ปตท. ไม่ได้มีแค่พลังงานจากธุรกิจน้ำมัน PTT, ปั๊มปตท., Café Amazon, EV Station PluZ และ OR (PTTOR) แต่ยังเติมพลังให้พนักงานด้วยนโยบาย Work from Anywhere ชั่วโมงงานยืดหยุ่น และสวัสดิการแบบ Flexi Benefit ที่ให้พนักงานเลือกสิทธิประโยชน์ตามใจตัวเอง ตั้งแต่ค่าเรียนรู้ อาหารสุขภาพ ไปจนถึงค่ารักษาพยาบาล นอกจากนี้ยังดูแลครอบครัวพนักงานทั้งด้านสุขภาพ การศึกษา และมีทุนเรียนต่อ พร้อมศูนย์สุขภาพ ฟิตเนส และบริการจิตแพทย์ ที่พร้อมดูแลแบบ 360 องศา เรียกได้ว่าเป็นองค์กรที่ดูแลทั้งพนักงานและครอบครัวได้แบบไร้รอยต่อ
3.Bangchak
แม้อยู่ในอุตสาหกรรมที่แข็งแรงจากธุรกิจสถานีบริการน้ำมันบางจาก และพลังงานสะอาดอย่าง BCPG และ InnoPower แต่บางจากกลับมีภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนต่อพนักงานอย่างมาก ด้วยสวัสดิการที่ตอบโจทย์ครอบครัว เช่น ลาคลอดทั้งพ่อและแม่ ลาผ่าตัดทำหมัน เงินช่วยเหลือบุตร ค่ารักษาพยาบาลของบิดามารดา ไปจนถึงการจัดพื้นที่ Co-working space ที่มีเครื่องนวดให้พักผ่อนระหว่างวัน อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นเรื่องการเข้าออฟฟิศเพียง 4 วันต่อสัปดาห์ ช่วยให้พนักงานมีสมดุลชีวิตที่ดีกว่าเดิม
4.BJC
BJC ซึ่งอยู่เบื้องหลังแบรนด์ที่คนไทยคุ้นเคยอย่าง Big C, Tasto, Dentiste, Vixol และ BG Container Glass เข้าใจความสำคัญของชีวิตพนักงาน ทั้งเรื่องการทำงาน การเงิน และครอบครัว ด้วยสวัสดิการวันหยุดสูงสุด 25 วันต่อปี โบนัสประจำปี เบี้ยขยัน ทุนการศึกษาบุตร สิทธิรักษาพยาบาลบิดามารดา และนโยบาย Work from Anywhere ทุกวันศุกร์ ที่อำนวยความสะดวกให้กับพนักงานทุกระดับ นอกจากนี้ออฟฟิศใหม่ยังเดินทางสะดวก ใกล้ BTS พร้อมมี Shuttle Bus รับส่ง เรียกได้ว่าเป็นองค์กรที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นในทุกมิติ
5.SCBX Group
ในกลุ่มธนาคาร SCBX ซึ่งดูแลแบรนด์ SCB, Robinhood, CardX, InnovestX และ SCB TechX โดดเด่นด้วยการให้พนักงานเลือกได้ทั้งสถานที่ทำงาน เวลาทำงาน และสวัสดิการผ่าน Flexible Benefit ที่สามารถเลือกซื้อประกัน อุปกรณ์ออกกำลังกาย หรือสปาได้ตามใจ พร้อมกับวันหยุดวันเกิด และศูนย์ดูแลเด็กในที่ทำงาน รวมถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่พนักงานเป็นเจ้าของได้ทันทีตั้งแต่ผ่านโปร ทำให้ SCBX เป็นธนาคารที่ทันสมัยที่สุดในด้านการดูแลชีวิตคนทำงาน
6.ThaiBev
ไทยเบฟ ผู้ผลิตเบียร์ช้าง, Oishi, F&N, น้ำดื่ม Crystal และ Sermsuk (Est) แสดงออกถึงความใส่ใจพนักงานผ่านสวัสดิการที่ครอบคลุม เช่น ลาคลอด 100 วันสำหรับผู้หญิง และลาพ่อ 6 วันสำหรับผู้ชาย ห้องให้นม สนามเด็กเล่นในโรงงาน การรักษาพยาบาล Telemedicine ประกันสุขภาพ และบริการคลินิกในที่ทำงาน พร้อมมอบทุนการศึกษาลูกพนักงานปีละกว่าพันทุน และปรับพื้นที่ทำงานให้คนพิการสามารถร่วมงานได้ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะเป็นบ้านหลังที่สองของใครหลายคน
7.KasikornBank
กสิกรไทย หรือ KBank ที่หลายคนรู้จักในฐานะเจ้าของแอป K PLUS, K Cyber และกลุ่มเทคโนโลยีอย่าง KBTG ให้พนักงานบริหารเวลาทำงานเองผ่านระบบ Hybrid และ Work from Anywhere พร้อมเงินช่วยเหลือพิเศษ ค่าครองชีพ 10,000 บาท และสิทธิ์กู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อซื้อบ้าน รวมถึงเงินช่วยเหลือค่าเล่าเรียนบุตร และการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตผ่านแอป HR Chat อีกทั้งยังมีระบบการฝึกอบรมออนไลน์ และโอกาสเติบโตในสายงานที่ชัดเจน ถือเป็นธนาคารที่ทั้งทันสมัยและเห็นค่าพนักงานอย่างแท้จริง
8.KhotKool
KhotKool บริษัทคอนเทนต์สุดฮิตที่ผลิตรายการไวรัลมากมาย เช่น “จีบหนูหน่อย” และ “โต้วาเทย” โดนใจพนักงานด้วยบรรยากาศการทำงานที่อบอุ่น มีข้าวกลางวันฟรี ขนมฟรี ห้องงีบ ห้องเกม โต๊ะพูล และยังมีงบสนับสนุนอุปกรณ์สำหรับทำงาน รวมถึงเปิดโอกาสให้พนักงานสร้างรายการของตัวเอง เรียกได้ว่า “ทำงานแบบมีชีวิต” อย่างแท้จริงในโลกของครีเอเตอร์
9.LINE MAN Wongnai
LINE MAN Wongnai ผู้อยู่เบื้องหลังแอปส่งอาหารและรีวิวร้านอาหารชื่อดัง เช่น LINE MAN, Wongnai, Mart & Rider เข้าใจชีวิตคนทำงานโดยให้ MacBook ทุกคน วงเงิน 30,000 บาทต่อปีให้เบิกตามไลฟ์สไตล์ มี Nap Room ให้งีบ อาหารฟรี ระบบให้คำปรึกษาสุขภาพจิตโดยนักจิตวิทยา พร้อมสนับสนุนค่าไฟช่วง WFH และเน้นผลลัพธ์มากกว่าการควบคุมเวลาแบบองค์กรยุคเก่า ถือเป็นบริษัทที่ยกระดับความสุขของคนทำงานไปอีกขั้น
10.AIS
AIS ผู้นำด้านเทคโนโลยีและโทรคมนาคมของไทย เจ้าของบริการที่คนไทยคุ้นเคยอย่าง AIS 5G, AIS Fibre, myAIS และ Serenade เป็นบริษัทที่มีกำไรสูงกว่า 35,000 ล้านบาท และโดดเด่นด้านการดูแลพนักงานแบบองค์รวมผ่านโครงการ Health & Wellness ที่ครอบคลุมสุขภาพกาย จิตใจ และการเงิน พร้อมสวัสดิการครบถ้วน เช่น ประกันชีวิตตั้งแต่วันแรก เงินช่วยเหลือหลากหลายกรณี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สหกรณ์ออมทรัพย์ และสิทธิ์ซื้อโทรศัพท์-แพ็กเกจในราคาพนักงาน ทำให้เป็นองค์กรที่สร้างทั้งความมั่นคงและความสุขในระยะยาว จนได้รับความนิยมสูงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาองค์กรที่ใส่ใจคุณภาพชีวิตอย่างแท้จริง
จาก 10 องค์กรที่กล่าวมา สิ่งหนึ่งที่ทุกแห่งมีเหมือนกันคือความเข้าใจใน “คน” มากกว่าแค่ “พนักงาน” องค์กรเหล่านี้รู้ดีว่า “คุณค่าของคน” ไม่ได้วัดแค่ผลงาน แต่ต้องดูแลให้พวกเขามีชีวิตที่ดี ทั้งในและนอกที่ทำงาน เพราะเมื่อพนักงานมีความสุข พวกเขาจะมอบผลงานที่ดีที่สุดให้กลับสู่องค์กรเช่นกัน และในอนาคตอันใกล้ องค์กรที่ยังยึดติดกับระบบแบบเดิมโดยไม่ปรับตัวอาจกลายเป็นผู้แพ้ในสงครามดึงดูด Talent ยุคใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตไม่แพ้คุณภาพของงาน ดังนั้น อนาคตของการบริหารคน อาจไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งสูงสุด แต่อยู่ที่ว่า “คุณสร้างพื้นที่ให้พวกเขาเติบโตได้แค่ไหน”

ที่มา: WorkVenture,SET,DBD,เว็บไซต์บริษัท,TikTok

ผู้เขียนและเรียบเรียง : สถาปัตย์ มะดวง


#ธุรกิจ
#สวัสดิการ

23/07/2025

ธุรกิจ ‘ฟาสต์ฟิต’ ดุเดือด แข่งกันที่โปรโมชั่น-รายการตรวจฟรี แบรนด์ใหญ่ในไทยใครยังรอด ใครจะร่วง
อ่านในรูปแบบบทความได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/fastfit/

#ธุรกิจ
#ธุรกิจฟาสต์ฟิต

5 แบรนด์ที่เจ้าของเป็นดารา และรายได้เติบโตเป็นเท่าตัวธุรกิจดารา ไม่ใช่แค่ เทรนด์ แต่คือ การลงทุนจริงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่า...
23/07/2025

5 แบรนด์ที่เจ้าของเป็นดารา และรายได้เติบโตเป็นเท่าตัว
ธุรกิจดารา ไม่ใช่แค่ เทรนด์ แต่คือ การลงทุนจริง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นดาราไทยจำนวนมากก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ จากคนเบื้องหน้า สู่การเป็นผู้ประกอบการที่ลงมือทำธุรกิจของตัวเองอย่างจริงจังและจากแค่การ เริ่มต้น หลายแบรนด์กลับสามารถ เติบโตแบบก้าวกระโดด บางแบรนด์เริ่มจากหลักแสน ตอนนี้รายได้ทะลุหลักสิบล้านบางแบรนด์เปิดมาไม่ถึงปี แต่สามารถยืนหนึ่งในหมวดหมู่สินค้าของตัวเองได้แล้ว ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจเหล่านี้เติบโต ไม่ได้มีแค่ ชื่อเสียง แต่คือการวางกลยุทธ์ การเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และความใส่ใจในการบริหารแบบจริงจัง
วันนี้ ทาง Business plus ขอพาไปดู 5 แบรนด์ของดาราไทย ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า การเป็นคนดังไม่ได้การันตีความสำเร็จ แต่การลงมือ ทำจริง คิดจริง และวางแผนแบบมืออาชีพต่างหากที่ทำให้รายได้เติบโตเป็นเท่าตัวในเวลาไม่กี่ปี
ซึ่งแบรนด์แรก THE RITZ CLINIC ของคุณหมอริท เรืองฤทธิ์ เจ้าของแบรนด์คลินิกความงามที่วางตำแหน่งชัดเจนว่า โปร่งใส และมืออาชีพ ตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัวในปี 2562 จุดเด่นของ The Ritz คือการเลือกใช้เทคโนโลยีระดับสูง เช่น Ulthera SPT และ Picosecond Laser พร้อมให้แพทย์เป็นผู้ประเมินเอง ไม่เน้นโฆษณาเกินจริง และใช้รีวิวจากลูกค้าจริงมาเป็นพลังในการขยายแบรนด์ ถือว่าเป็น แบรนด์คลินิกที่รายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด
รายได้ใน ปี 2565: 73.52 ล้านบาท

ปี 2566: 228.89 ล้านบาท

ปี 2567: 266.92 ล้านบาท

กำไรปีล่าสุด: 23.5 ล้านบาท
ลูกค้าหลักคือกลุ่มที่ใส่ใจรูปลักษณ์ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยทำงานที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจนและปลอดภัยและอีกหนึ่งโปรแกรมที่ได้รับความนิยมในตอนนี้คือโปรแกรม ยกกระชับผิวหน้าและลำคอด้วยเทคโนโลยี Ultraformer MPT Revive ล่าสุดได้แตกแบรนด์น้องใหม่ออกมา ถือว่าป็นคลินิกความงามชื่อว่า SPACE V CLINIC เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อไม่สูงเท่าแบรนด์ THE RITZ แต่เป็นการแตกแบรนด์ลูกหลังจากที่แบรนด์แม่ที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดี
แบรนด์ต่อมา Holiday Pastry ของคุณ อิน สาริน รณเกียรติ และคุณ ไท้ วสุวัส คูหาเปรมกิจ เปิดตัวปี 2564 ด้วยคอนเซ็ปต์คาเฟ่ขนมสไตล์ฝรั่งเศสรสพรีเมียม ที่เข้าถึงง่าย
ช่วงแรกอาศัยฐานแฟนคลับของอิน สารินในการโปรโหตแต่หลังจากนั้นแบรนด์เลือกใช้ คุณภาพของขนม เป็นจุดแข็ง เพื่อดึงให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ เมนูซิกเนเจอร์ของ Holiday Pastry และจุดขายหลักคือ The Best Cheese Tart เมนูขายดีที่ครองใจลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ และชีสเค้กหน้าไหม้ รสชาติเข้มข้น นุ่มละลายในปาก และยังมีเมนูพิเศษตามฤดูกาลและคอลแลบฯ สุดพิเศษกับแบรนด์ระดับโลกถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องรสชาติและภาพลักษณ์ที่แชร์ต่อได้บนโซเชียล ทำให้รายได้ของ Holiday Pastry มีการเติบโตอย่างต่อเนือง
ปี 2565: 18.22 ล้านบาท

ปี 2566: 32.16 ล้านบาท

ปี 2567: 58.75 ล้านบาท

และกำไรในปีล่าสุดอยู่ที่ 690,000 บาท
มาดูแบรนด์ที่ 3 กัน แบรนด์ SOURI ของคุณ วิน เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร อีกหนึ่งธุรกิจของ วินเมธวินนักแสดงหนุ่มมากความสามารถ SOURI เปิดตัวในปี 2567 และกลายเป็นกระแสที่น่าจับตามองทันที
SOURI แบรนด์ขนมมาการองที่มีไส้แน่นและรสชาติที่หลากหลาย มาการองดีไซน์สวย แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร เน้นไส้หนาเต็มคำ รสชาติเข้มข้นถึงใจ จุดขายคือการออกแบบรสชาติที่สร้างสรรค์ และการตกแต่งที่ทำให้สินค้ากลายเป็นของขวัญในโอกาสพิเศษ ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง พร้อมใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต
โดยเมนูซิกเนเจอร์ของ SOURI คือรส Birthday Cake Macaron และ Hokkaido Milk Macaron ที่มีไส้หนาและรสชาติเข้มข้น
SOURI ทำรายได้ในปีแรกถึง 46.11 ล้านบาท กำไร 5.74 ล้านบาท
แบรนด์ยังใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงอีเวนต์ เช่นคอลแลบพิเศษช่วงเทศกาล หรือจับมือกับแบรนด์อื่นเพื่อขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มแฟนคลับวิน และสายอาร์ตที่ให้ความสำคัญกับความสวยงามของสินค้า
ต่อมาแบรนด์ที่ 4 ของคุณ หลิงหลิง ศิริลักษณ์ Always Wonder แบรนด์แฟชั่นน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2567 แต่วางโพสิชันชัดเจนว่า จะไม่เป็นแค่แบรนด์น่ารัก แต่จะเป็นแบรนด์ที่มีสไตล์เฉพาะตัว Always Wonder เน้นเสื้อผ้าหวานวินเทจ ที่ใส่แล้วมีเอกลักษณ์เน้กลุ่มเป้าหมายคือผู้หญิงวัยรุ่น
วัยทำงาน ที่มองหาแฟชั่นที่ไม่ซ้ำใคร ใส่แล้วรู้สึกเป็นตัวเอง สินค้าที่รับความนิยมของแบรนด์คือ เสื้อยืด โดยเฉพาะเสื้อยืดคอลเลคชั่น A Digital Heartbeat ซึ่งมีทั้งทรง Baby Tee และ Oversize Tee และแบรนด์ Always Wonder ยังมีกลยุทธ์การออกคอลเลกชันตามเทศกาล และสร้างการรับรู้ผ่าน TikTok & Instagram อย่างต่อเนื่อง หลังจากเปิดตัวแบรนด์ Always Wonder ก็ทำรายได้ในปีแรกไปถึง 43.62 ล้านบาท และกำไร 3.73 ล้านบาท
และแบรนด์สุดท้าย แบรนด์ Reroute ของคุณ บิ้วกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล อีกหนึ่งธุรกิจของบิวกิ้น ที่ใช้แพสชันด้านแฟชั่นมาสร้างเป็นแบรนด์เสื้อผ้าสไตล์มินิมอลและรักโลกเน้นแฟชั่นยั่งยืนด้วยการใช้วัสดุรีไซเคิลและลดการสร้างขยะ โดดเด่นด้วยดีไซน์เรียบ เท่ และมีคาแรกเตอร์เฉพาะตัว พร้อมกลยุทธ์ พรีออเดอร์ ที่ช่วยควบคุมต้นทุน และลดสต็อกค้างในระบบ สินค้าที่ได้รับความนิยมของแบรนด์ Reroute เสื้อผ้าและกระเป๋าแฟชั่นที่ผลิตจาก วัสดุรีไซเคิล และกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
รายได้โตแบบก้าวกระโดด ถึงแม้ในปี 2566 รายได้ลดลงจาก 3.88 ล้านบาท ลดลงมาที่ 2.65 ล้านบาทแต่ในปี 2567 รายได้กลับโตขึ้นเท่าตัวอยู่ที่ 5.58 ล้านบาท กำไรในปีล่าสุด 350,00 บาท
แบรนด์ Reroute มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจนโดยเน้นกลยุทธ์ดึงดูดกลุ่ม คนรุ่นใหม่ และคนทำงานสายแฟชั่น ที่ต้องการเสื้อผ้าเรียบแต่ดูดี
จากข้อมูลทั้งหมดเราจะเห็นได้ชัดว่านอกจากความสำเร็จที่เห็นได้ชัดจาก 5 แบรนด์นี้ ยังมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้ดาราหลายคนเลือกก้าวเข้าสู่ธุรกิจของตัวเอง เพราะในวงการบันเทิง อาชีพมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งเรื่องงานที่มาไม่ต่อเนื่อง หรือการเปลี่ยนแปลงรสนิยมผู้ชม ดาราหลายๆท่าน จึงต้องมองหาธุรกิจที่สามารถต่อยอดได้ในระยะยาว ไม่ว่าจะทำด้วยตัวเอง หรือจ้างทีมงานมืออาชีพมาช่วยบริหาร เพื่อสร้างรายได้เสริมที่มั่นคงและยั่งยืน เพราะนี่คือการลงทุนจริงจัง ที่ไม่ใช่แค่ทำตามเทรนด์ แต่คือการสร้าง อาชีพใหม่ ที่สามารถยืนหยัดได้แม้ในวันที่งานในวงการบันเทิงอาจไม่แน่นอน
ดังนั้น การมีแบรนด์ของตัวเองจึงไม่ใช่แค่การใช้ชื่อเสียงเรียกความสนใจ แต่คือการวางแผนและบริหารธุรกิจอย่างมืออาชีพเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแรงสำหรับอนาคต
ที่มา : Dbd, the ritz clinic, holiday pasty, souri, always wonder, reroute


#ธุรกิจ
#ธุรกิจดารา

เปิดโลกสตาร์ทอัพเกาหลีใต้: เจาะจุดแข็ง เทรนด์มาแรง และโอกาสลงทุนผ่าน 10 บริษัทดาวรุ่งเมื่อพูดถึงเกาหลีใต้ หลายคนอาจนึกถึ...
23/07/2025

เปิดโลกสตาร์ทอัพเกาหลีใต้: เจาะจุดแข็ง เทรนด์มาแรง และโอกาสลงทุนผ่าน 10 บริษัทดาวรุ่ง
เมื่อพูดถึงเกาหลีใต้ หลายคนอาจนึกถึง K-pop, ซีรีส์ และเครื่องสำอาง แต่สิ่งที่กำลัง “เติบโตเงียบ ๆ” และ “เปล่งประกายระดับโลก” คือวงการ สตาร์ทอัพ ที่วันนี้ไม่ได้เป็นเพียงกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ แต่กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก รวมถึงไทย
ด้วยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ล้ำหน้า ระบบสนับสนุนจากภาครัฐที่แข็งแรง และการเติบโตของยูนิคอร์นที่น่าจับตา เกาหลีใต้จึงเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของระบบนิเวศสตาร์ตอัพที่น่าลงทุนที่สุดในเอเชีย
ซึ่งในงาน “2025 Korea Tourism Startup Center Demo Day” จัดโดย Y&Archer บริษัท Incubator ของเกาหลี ที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลเกาหลี จะพานักลงทุนไปเปิดเลนส์ใหม่ ผ่าน 10 สตาร์ทอัพดาวรุ่งของเกาหลีใต้ ที่พร้อมจับมือกับนักลงทุนไทย และขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียน
โดยทั้ง 10 บริษัทนี้ เป็นบริษัทที่มีสินค้าและบริการซึ่งพร้อมขยายสู่ตลาดต่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบ อาทิ
• ND SOFT ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับระบบแปลแบบเรียลไทม์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
• Crosshub: แพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วยบล็อกเชน
• และ Healing Paper (GANGNAMUNNI) แพลตฟอร์มสำหรับจองคลินิกศัลยกรรมตกแต่ง
นี่เพียงแค่ตัวอย่างบริษัทที่มีเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง มีรายได้และความพร้อมในการหา Partner เพื่อขยายตลาดมายังประเทศไทย นี่จึงเป็นโอกาสทองที่นักลงทุนไทยควรคว้าไว้ เพื่อก้าวทันเทรนด์โลก และร่วมขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ไปพร้อมกับสตาร์ทอัพชั้นนำจากเกาหลีใต้
ท่านที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่: https://forms.gle/BnKcVbKcAgfGxpR8A
🗓️วันพุธที่ 6 สิงหาคม 2568
⏳เวลา 13.00 - 17.00 น. (ลงทะเบียนเวลา 12.30 น.)
📍ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ห้อง MR106

เจาะลึกจักรวาลธุรกิจผู้สูงอายุ กลุ่มไหนคู่แข่งน้อย ทำกำไรได้สูง?‘Business Crack’ จะพาไปเจาะอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่กำลังเต...
22/07/2025

เจาะลึกจักรวาลธุรกิจผู้สูงอายุ กลุ่มไหนคู่แข่งน้อย ทำกำไรได้สูง?
‘Business Crack’ จะพาไปเจาะอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่กำลังเติบโตทั่วโลก นั่นก็คือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ จากการที่โลกของเราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aged Society) รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเท่ากับว่าตอนนี้ผู้สูงอายุทั่วโลกมีคนอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด
และอนาคตในอีกไม่กี่ปีประเทศไทยก็กำลังจะกลายเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Hyper-aged society) ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นเท่ากับว่าถ้าเราเดินสวนกับคน 100 คน จะเจอคนที่อายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 20 คน โดยโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการที่ประเทศไทยมีเด็กเกิดน้อยลและอนาคตในอีกไม่กี่ปีประเทศไทยก็กำลังจะกลายเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Hyper-aged society) ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นเท่ากับว่าถ้าเราเดินสวนกับคน 100 คน จะเจอคนที่อายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 20 คน โดยโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการที่ประเทศไทยมีเด็กเกิดน้อยล #ส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจผู้สูงอายุง ส่วนคนสูงวัยมีอายุยืนยาวขึ้น
นั่นจึงทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆที่ต้องการเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ขึ้นมากมาย แต่สินค้า และการให้บริการแบบไหนกันล่ะที่จะสามารถสร้างกำไรให้กับเจ้าของธุรกิจได้สูง คู่แข่งน้อย และยังมีโอกาสเติบโต?
เริ่มจากข้อมูลที่น่าสนใจของธุรกิจโดยรวม เราพบว่า มูลค่าการใช้จ่ายของผู้สูงอายุไทยในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้เติบโตขึ้นจากปีที่แล้วเกือบ 4% และมีการคาดการณ์ว่า มูลค่าการใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.2 ล้านล้านบาท ในปี 2572 คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย 5.3% ต่อปี (CAGR 2024-2029) (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
ซึ่งมูลค่าการใช้จ่ายที่พุ่งขึ้นนี้ทำให้มีผู้เล่นหน้าใหม่ผุดขึ้นมาต่อเนื่อง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ช่วงเดือนมีนาคม 2568 พบว่า ประเทศไทยมีธุรกิจดูแลผู้สูงอายุที่เป็นนิติบุคคล 776 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 4,236 ล้านบาท และสร้างรายได้ปี 2566 อยู่ที่ 1,295 ล้านบาท ทำให้เห็นว่าภาวะตลาดในปัจจุบันจึงมีการแข่งขันในระดับหนึ่งเพื่อแย่งชิงลูกค้าที่มีศักยภาพ เพราะส่วนใหญ่ผู้สูงอายุในไทยเป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อย ส่งผลต่อกำลังซื้อที่จำกัด โดยผู้สูงอายุที่มีรายได้สูงส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ ทำให้ธุรกิจที่จะเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดนี้อาจต้องเผชิญการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่เข้มข้นจากคู่แข่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งนี้หาก Crack ธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุออกมาเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ
1. กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ มีมูลค่าค่อนข้างสูง ราว 34,000 ล้านบาท ขยายตัวประมาณ 6%
2. กลุ่มเนอร์สซิ่งโฮม และบ้านพักคนชรา มูลค่าตลาดศูนย์ดูแลผู้สูงอายุปี 2567 ราว 3 พันล้านบาท
3. กลุ่มรักษาโรคเฉพาะทางของผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตสูงเพราะจากผลสำรวจพบว่า ผู้สูงอายุใช้จ่ายด้านสุขภาพราว 37% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งสูงกว่ากลุ่มประชากรในวัยอื่นถึง 3%
เราไป Crack ข้อมูลของแต่ละกลุ่มผ่าน Infographic นี้กันเลย
ที่มา : Corpus X , TTB , ศูนย์วิจัยกสิกรไทย Data Analytic : Business Plus
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์


#ธุรกิจ
#ส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจผู้สูงอายุ

21/07/2025

วิเคราะห์เหตุผล ‘MK’ ออกแบรนด์ใหม่สู้ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ผ่านกลยุทธ์ Flanker Brand

อ่านบทความได้ที่: https://www.thebusinessplus.com/flanker-mk/


#ธุรกิจ
#เอ็มเคสุกี้

เปิดแฟรนไชส์ร้านกาแฟชื่อดัง ต้องใช้เงินลงทุนเท่าไร ?การมีธุรกิจเป็นของตัวเองน่าจะเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน ซึ่งแฟรนไชส์...
21/07/2025

เปิดแฟรนไชส์ร้านกาแฟชื่อดัง ต้องใช้เงินลงทุนเท่าไร ?
การมีธุรกิจเป็นของตัวเองน่าจะเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน ซึ่งแฟรนไชส์ก็เป็นทางเลือกในการเริ่มต้นธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับคนที่มีเงินทุน แต่ไม่อยากเริ่มปั้นทุกอย่างใหม่ขึ้นจากศูนย์
ทั้งนี้ การซื้อแฟรนไชส์มาเปิดก็มีข้อดีหลายข้อ ซึ่งข้อแรกก็คือ ผู้เริ่มต้นธุรกิจไม่ต้องลงทุนลงแรงแบรนด์ดิ้งด้วยตัวเองมากนัก ทำให้สามารถลดต้นทุนในส่วนนี้ออกไปได้ นอกจากนี้เอง ยังมีโอกาสได้รับการสนับสนุนจากเจ้าของแฟรนไชส์ในแง่ของการเทรนนิงก์ต่าง ๆ และการเข้าถึงซัปพลายเชนในกรณีที่แฟรนไชส์มีระบบจัดซื้อแบบรวมศูนย์
ด้วยเหตุนี้ Business Plus จึงได้รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นของแฟรนไชส์ร้านกาแฟดังแบรนด์ไทย โดยเงินลงทุนเบื้องต้นจะเริ่มที่ 1 ล้านบาท โดยที่บางแห่งจะยังไม่รวมค่าใช้จ่ายคงที่รายเดือน เช่น ค่า Royalty และ Marketing ที่แบรนด์เรียกเก็บจากผู้ซื้อแฟรนไชส์ และค่าระบบขายหน้าร้าน (POS) อีกต่างหาก
ที่มา: เว็บไซต์ของแต่ละบริษัท


#ธุรกิจ
#แฟรนไชส์

19/07/2025

4 แบรนด์สุกี้ในเครือ MK ทางรอดที่เชื่อว่าต้อง ‘รุกตลาดครบทุก Target’
อ่านบทความได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/mk-3/

#ธุรกิจ

#เอ็มเคสุกี้

18/07/2025

หมูไทยด้อยกว่าหมูสหรัฐฯทุกด้าน หากเปิดตลาดนำเข้าหลายกิจการตายเกลื่อน!
อ่านในรูปแบบบทความได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/pick/

#เศรษฐกิจ
#หมูไทย

ธุรกิจ ‘ฟาสต์ฟิต’ ดุเดือด แข่งกันที่โปรโมชั่น-รายการตรวจฟรีแบรนด์ใหญ่ในไทยใครยังรอด ใครจะร่วงธุรกิจฟาสต์ฟิต หรือศูนย์บริ...
17/07/2025

ธุรกิจ ‘ฟาสต์ฟิต’ ดุเดือด แข่งกันที่โปรโมชั่น-รายการตรวจฟรี
แบรนด์ใหญ่ในไทยใครยังรอด ใครจะร่วง
ธุรกิจฟาสต์ฟิต หรือศูนย์บริการรถยนต์แบบเร่งด่วนที่ให้บริการซ่อมบำรุงและตรวจเช็กรถยนต์แบบครบวงจรในไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการแข่งขันกันค่อนข้างดุเดือดไม่แพ้กับธุรกิจอาหาร ทั้งค่ายรถยนต์ที่ตั้งศูนย์บริการขึ้นมาเองใหม่เพื่อกินรวบเซอร์วิสของลูกค้า หรือแม้กระทั่งบริษัทพลังงานที่เป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันหลายเจ้าก็แตกแบรนด์ฟาสต์ฟิตออกมาเช่นกัน
ซึ่งถึงแม้มองภาพรวมยังถือว่าเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตที่ดีจากรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นและการใช้รถที่ยาวนานขึ้น ทำให้ความต้องการบริการซ่อมบำรุงรถยนต์แบบเร่งด่วนมีสูงขึ้น
แต่การที่ธุรกิจฟาสต์ฟิต ต้องอัดสงครามโปรโมชั่น เพื่อดึงดูดลูกค้า ทั้งแข่งขันกันที่รายการตรวจฟรียิ่งมากยิ่งดี และโปรโมชั่นลด 50% ซึ่งถึงแม้ว่าจะทำให้ชิงส่วนแบ่งการตลาดมาได้แต่ในระยะยาวก็อาจจะเจอกับกำไรสุทธิที่เหลือต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
ทีนี้เรามาวิเคราะห์สถานการณ์ของแบรนด์ฟาสต์ฟิตอิสระที่เรารู้จักกันดีว่า แบรนด์ไหนยังมีการเติบโต ส่วนแบรนด์ไหนเริ่มแผ่ว โดยเรียงลำดับจากแบรนด์ที่มีรายได้สูงที่สุดลงไปตาม Infographic นี้
ในส่วนของ บีควิก รายได้และกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2564 โดยกำไรสุทธิปี 2565 แตะระดับพันล้านบาทเป็นปีแรกขณะที่รายได้พุ่งทะลุ 1 หมื่นล้านบาทได้ในปีล่าสุด ซึ่งโมเดลธุรกิจของบีควิก นั้น บริหารเอง 100% ไม่มีการขายแฟรนไชส์ ทำให้สามารถควบคุมต้นทุน ค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 11.20% ถือว่าสูงที่สุดในกลุ่ม
ขณะที่ในปี 2566 บีควิก ได้เจาะกลุ่มลูกค้าเป็นคนรุ่นใหม่ ด้วยการดึง พีพี-บิวกิ้น เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ และยังคงคอนเซปต์ด้วยการใช้ ‘Music Marketing’ ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว และยังเป็นการปรับภาพลักษณ์สู่แบรนด์ที่ทันสมัยขึ้นอีกด้วย
มาต่อกันที่แบรนด์ที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทย นั่นก็คือ ค็อกพิท (Cockpit) ซึ่งมีสาขามากถึง 276 สาขา ด้วยโมเดลการทำธุรกิจด้วยการขายแฟรนไชส์ ในส่วนของรายได้และกำไรสุทธิปี 2567 ลดลงจากปีที่แล้ว โดยรายได้ลดลงจากหมื่นล้านบาทเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี (นับตั้งแต่ปี 2548) ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทเคยอู่ฟู้ถึงขั้นที่รายได้เคยทำจุดสูงสุดที่ 19,489 ล้านบาท ในปี 2555 เลยทีเดียว
แต่ถ้าหากมองกันที่ความสามารถในการทำกำไรสุทธิแล้ว ถือว่าต่ำกว่า บีควิก อย่างมาก ด้วยอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ราวๆ 1.63% ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการทำการตลาด อย่างช่วงการเปิดสาขาใหม่ก็จะมีการออกโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นลูกค้าในช่วงเปิดตัวศูนย์บริการ
ออโต้แบคส์ (Autobacs) ซึ่งอยู่ภายใต้เครือบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือปั๊มน้ำมัน PT ถือเป็นม้ามืดในแง่ของรายได้ ที่ขึ้นมาสู่ระดับพันล้านเป็นครั้งแรกในปี 2567 ที่ 1,152 ล้านบาท แต่ก็อาจจะแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด ทำให้กำไรสุทธิลดลงมา 2 ปีติดต่อกันเหลือ 5.95 ล้านบาทในปี 2567 จากปี 2565 อยู่ราวๆ 8.8 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรสุทธินั้นต่ำเพียงแค่ 0.52% เท่านั้น
ถึงแม้ภาพรวมแล้วธุรกิจนี้จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากพฤติกรรมของคนที่ใช้รถยาวนานขึ้นในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี หนี้ครัวเรือนสูง แต่ก็ยังมีความท้าทายจากการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้เจ้าของธุรกิจฟาสต์ฟิตในไทยต้องเร่งปรับตัวตาม ไม่อย่างนั้นก็จะไม่สามารถชิงส่วนแบ่งการตลาดมาได้ ซึ่งสิ่งสำคัญสิ่งแรก คือ พนักงานต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มจากรถยนต์แบบสันดาป ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายในแง่ของการฝึกอบรม หรือการจัดคอร์สเพื่อพัฒนาทักษะให้กับช่าง ซึ่งจะกลายเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในงบการเงิน
แต่ศูนย์บริการที่มีสัญลักษณ์ EV Ready สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ก็ถือว่ามีการการันตีว่ามีช่างที่ผ่านการอบรมเฉพาะด้าน มีความพร้อมในการให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าอย่างมืออาชีพทำให้เกิดความไว้วางใจมากกว่า ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา หลายแบรนด์ได้ออกสัญลักษณ์ EV READY อย่าง ค็อกพิท เปิดตัวช่วงปี 2567 ส่วน ‘ไทร์พลัส’ เปิดตัวสัญลักษณ์เมื่อเดือนเมษายน 2568
ที่มา : Corpus X , เว็บไซต์บริษัท
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์

#ธุรกิจ
#ส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจฟาสต์ฟิต

16/07/2025

ยอดขายสาขาเดิม ของร้านอาหารในตลาดหุ้น ปีนี้ยังไม่ฟื้น!

อ่านบทความได้ที่: https://www.thebusinessplus.com/sssg-1/


#ธุรกิจ
#เอ็มเคสุกี้

‘รัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ’ นั่งประธานฝ่ายบริหาร APเป้าหมายคือการเป็นอสังหาอันดับหนึ่ง ยอดขาย 55,000 ล้านคณะกรรมการบริษัท...
16/07/2025

‘รัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ’ นั่งประธานฝ่ายบริหาร AP
เป้าหมายคือการเป็นอสังหาอันดับหนึ่ง ยอดขาย 55,000 ล้าน
คณะกรรมการบริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ประกาศแต่งตั้ง นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานฝ่ายบริหาร (President) บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นหนึ่งในการต่อยอดแผนยุทธศาสตร์และการดำเนินงานของเอพี ไทยแลนด์ ให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น ตลอดจนตอกย้ำเป้าหมายในการเป็นบริษัทอสังหาอันดับหนึ่งของไทย สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ ‘ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้’ ที่เอพี ไทยแลนด์ มุ่งมั่นในการสร้างและส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดี
โดยมี AP PRINCIPLES - The Principles of Living Quality ปรัชญาในการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติ เป็นหลักการสำคัญขับเคลื่อนการทำงานของพนักงานในเครือกว่า 3,000 คน ในการพัฒนา ออกแบบ และส่งมอบ ‘โครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพ ตลอดจนบริการหลังการขาย’ เพื่อให้ลูกค้าอยู่อาศัยในโครงการเครือเอพีได้อย่างอุ่นใจ และสบายใจสูงสุด
ทั้งนี้ นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ มีประสบการณ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มายาวนานกว่า 25 ปี ตลอดระยะเวลาการทำงาน คุณรัชต์ชยุตม์ ได้รับการมอบหมายให้บริหารงานในมิติที่หลากหลาย ภายใต้เครือเอพี ทั้งการดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารสูงสุดในสายงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บริหารจัดการในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การสรรหาที่ดินใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขันที่มากกว่า การควบคุมคุณภาพงานก่อสร้าง งานขาย งานโอนกรรมสิทธิ์ และการตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนการส่งมอบ
รวมถึงการดำรงตำแหน่งเป็น ผู้บริหารสูงสุดดูแลส่วนงานอื่นๆ ภายในเครือเอพี ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายงาน Customer Care บริหารจัดการข้อร้องเรียนต่างๆ ฝ่ายงาน Call Center การให้ข้อมูลโครงการเบื้องต้นแก่ผู้ที่มีความสนใจ ตลอดจนการเป็นผู้บริหารสายงานการให้บริการหลังการขาย และผู้บริหารบริษัทที่ให้บริการด้านการบริหารนิติบุคคลในเครือเอพี
ทั้งนี้ การขึ้นมาขับเคลื่อนธุรกิจของนายรัชต์ชยุตม์ จะสานต่อวิสัยทัศน์ ‘ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้’ และเป้าหมายที่ตั้งไว้ในการเป็นบริษัทอสังหาอันดับหนึ่ง ทั้งเป้ายอดขายมูลค่า 55,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 52,900 ล้านบาท แผนการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 42 โครงการ มูลค่า 65,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 26,500 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝด จำนวน 18 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 20,200 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 3,300 ล้านบาท และเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (ongoing projects) จะทำให้เอพี ไทยแลนด์ มีจำนวนโครงการพร้อมขายที่มากกว่า 200 โครงการ กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล
อนึ่ง นายพิเชษฐ วิภวศุภกร ซึ่งเดิมดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ (Managing Director) ได้มีการปรับตำแหน่งขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer) เพื่อบริหารงานของบริษัทควบคู่กับ นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer) ร่วมกัน
ที่มา : AP

#ธุรกิจ

Address


Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Business+ posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Business

Send a message to Business+:

Shortcuts

  • Address
  • Telephone
  • Alerts
  • Contact The Business
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share

นิตยสาร Business Plus

ส่งหมายข่าว [email protected]

นิตยสารธุรกิจในเครือบริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ที่นำเสนอบทความและคอลัมน์เจาะลึกข่าวสารด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการตลาด ครอบคลุมหลากอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ รายงานความเคลื่อนไหวในแวดวงธุรกิจต่างๆ นำเสนอกลยุทธ์ แผนธุรกิจ พร้อมบทสัมภาษณ์ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ ครบถ้วนด้วยกรณีศึกษา และข่าวสารจากมุมอื่นๆ ของโลกเพื่อนำมาประยุกต์ให้เข้ากับการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการชาวไทย บนรูปแบบใหม่ New Look !! Business+ โดยมีกลุ่มผู้อ่านหลัก คือ ผู้บริหารระดับสูง (CEO) กลุ่มคนที่สนใจเรื่องราวบนโลกธุรกิจ และกลุ่มนักศึกษา ติดตามสัมภาษณ์นักธุรกิจชื่อดังได้ที่ Youtube Channel Business Plus Magazine : https://goo.gl/RCPMyi