เจิด สุขภาพง่ายๆ

เจิด สุขภาพง่ายๆ ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก เจิด สุขภาพง่ายๆ, ครีเอเตอร์ดิจิทัล, 188/12 ซอยแจ้งวัฒนะ14 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่, Bangkok.

คนเรากินของอร่อยๆ ของที่ชอบได้ แต่ต้องรู้จักประมาณในการบริโภคและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ปล. การทำทั้ง 2 อย่างนี้ จะต้องตั้งอยู่บนทางสายกลาง ร่างกายจึงจะแข็งแรง และใช้ชีวิตทางโลกได้อย่างมีความสุข

ผลการตรวจอุจจาระ (Stool Examination/Stool direct smear)- สีอุจจาระ (Stool Color) - บ่งบอกความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร- ...
23/03/2025

ผลการตรวจอุจจาระ (Stool Examination/Stool direct smear)

- สีอุจจาระ (Stool Color) - บ่งบอกความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร
- ความเหนียว (Consistency) - ลักษณะความแข็ง-นิ่มของอุจจาระ
- เม็ดเลือดแดงในอุจจาระ (RBC) - เลือดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
- เม็ดเลือดขาวในอุจจาระ (WBC) - บ่งชี้การอักเสบในลำไส้
- ปรสิต/พยาธิ (Ova and Parasites) - การติดเชื้อพยาธิหรือปรสิต
- Protozoa (โปรโตซัว) เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่อาจพบได้ในตัวอย่างอุจจาระของมนุษย์ ลักษณะอาการเมื่อมีโปรโตซัวก่อโรคในลำไส้: ท้องเสีย ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย น้ำหนักลด
- แบคทีเรีย (Bacteria) - การติดเชื้อแบคทีเรีย
- ไขมันในอุจจาระ (Fat) - บ่งชี้ปัญหาการดูดซึมไขมัน
- ยีสต์ (Yeast) - การติดเชื้อรา

ผลตรวจสุขภาพปัสสาวะ (Urine Analysis : UA)  โดยสังเขป  คือ การตรวจพื้นฐาน นิยมใช้ตรวจในการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อให้ข้อมู...
23/03/2025

ผลตรวจสุขภาพปัสสาวะ (Urine Analysis : UA) โดยสังเขป คือ การตรวจพื้นฐาน นิยมใช้ตรวจในการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของไต และระบบปัสสาวะของผู้เข้ารับการตรวจหลายอย่าง

การแปลผลการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะ; ในการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะนั้น จะทำการตรวจวิเคราะห์ด้วยวิธีการ 3 อย่าง ได้แก่

1️⃣ การมองด้วยสายตา (Visual examination),
2️⃣ การตรวจวิเคราะห์ทางเคมี (Chemical examination),
3️⃣ การส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic examination)

………………………

1️⃣ การมองด้วยสายตา (Visual examination) จะมีคำศัพท์พื้นฐานดังต่อไปนี้

“Appearance” คือ “ลักษณะปรากฏของตัวอย่างปัสสาวะ” (Appearance) โดยดู “สี”(Color) และ “ความใส”(Clarity) ของตัวอย่างปัสสาวะที่ได้มาเป็นหลัก ซึ่งสีและความใส อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างได้

2️⃣ การตรวจวิเคราะห์ทางเคมี (Chemical examination) เช่น

(1) Specific Gravity คือ การตรวจความถ่วงจำเพาะ เป็นการหาความเข้มข้นของปัสสาวะ ซึ่งสามารถบอกได้ถึงการดื่มน้ำที่เพียงพอหรือไม่ โดยในผู้ที่ร่างกายปกติจะมี ค่าความถ่วงจำเพาะ อยู่ที่ 1.005 – 1.030
- หากตรวจพบค่าที่มากเกินไปแสดงว่าร่างกายขาดน้ำหรือดื่มน้ำน้อยเกินไป ควรปรับพฤติกรรม หรือ
- หากตรวจเวลาไหนของวันยังได้ไม่เกิน 1.005 นั่นอาจแสดงว่ากลไกการควบคุมความเข้มข้นของปัสสาวะของไตเสื่อมสมรรถภาพ

(2) ค่า pH คือ เป็นการตรวจหาว่า ปัสสาวะมีความเป็นกรดหรือด่างมากน้อยเพียงใด โดยทั่วไปปัสสาวะจะมีความเป็นกรดอยู่เล็กน้อย (ประมาณ pH = 6) ช่วงอ้างอิงของค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของปัสสาวะจะอยู่ที่ 4.5 – 8.0 ปล.ถ้าค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของปัสสาวะ เกินเกณฑ์จะบ่งบอกถึง ท่อหน่วยไตมีความผิดปกติในการขับกรด และอื่นๆ เช่น
- ภาวะเลือดเป็นกรดจากระบบเมตาบอลิก (Metabolic acidosis),
- ภาวะเลือดเป็นกรดจากระบบหายใจ (Respiratory acidosis),
- เบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ (Uncontrolled diabetes mellitus),
- ภาวะอดอาหารและขาดน้ำ (Starvation and dehydration), และท้องเสีย (Diarrhea)

(3) Protein/Albumin คือ การตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะนั้นเป็นการตรวจคัดกรองดูว่า มีภาวะไตถูกทำลาย (Kidney damaged) เกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าพบว่ามีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ ผลตรวจก็จะขึ้นว่า เช่น
- ระดับ Trace (เล็กน้อย) จะประมาณเท่ากับโปรตีน 5 – 10 mg/dL (มิลลิกรัมต่อเดลซิลิตร)
- ระดับ 1+ (น้อย) จะประมาณเท่ากับโปรตีน 30 mg/dL
- ระดับ 2+ (ปานกลาง) จะประมาณเท่ากับโปรตีน 100 mg/dL
- ระดับ 3+ (มาก) จะประมาณเท่ากับโปรตีน 300 mg/dL
- ระดับ 4+ (มากที่สุด) จะประมาณเท่ากับโปรตีน 1,000 mg/dL *และถ้าไม่มีจะผลตรวจจะขึ้นว่า Negative

(4) Glucose (กลูโคส) คือ ภาวะที่พบมีน้ำตาลกลูโคสอยู่ในปัสสาวะ (Glucosuria หรืออาจเรียกว่า Glycosuria ก็ได้) มักบ่งชี้ถึงระดับน้ำตาลในเลือดสูงจากโรคเบาหวาน ถ้าพบว่ามีน้ำตาลกลูโคสในปัสสาวะ ผลตรวจก็จะขึ้นว่า เช่น Trace, 1+, 2+ 3+ และอื่นๆ ถ้าไม่มีจะผลตรวจจะขึ้นว่า Negative

(5) Ketones (คีโตน) คือ ภาวะที่พบมีคีโตนในปัสสาวะ (Ketonuria) จะเกิดขึ้นได้เมื่อร่างกายมีคีโตนสะสม ซึ่งจะเกิดเมื่อร่างกายมีคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) ไม่เพียงพอ และต้องใช้พลังงานจากการเผาผลาญไขมัน(Fat) แทน ถ้าพบว่ามีคีโตนในปัสสาวะ ผลตรวจก็จะขึ้นว่า Trace, หรือ 1+ หรือ 2 หรือ 3+ หรือ +4 และอื่นๆ ถ้าไม่มีจะผลตรวจจะขึ้นว่า Negative

(6) Nitrite (ไนไตรต์) คือ โดยปกติสารไนไตรต์จะไม่พบอยู่ในปัสสาวะ หากพบไนไตรต์ในปัสสาวะ จะบ่งชี้จำเพาะว่ามีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ถ้าพบว่ามีน้ำตาลกลูโคสในปัสสาวะ ผลตรวจก็จะขึ้นว่า Trace, หรือ 1+ หรือ 2 หรือ 3+ หรือ +4 และอื่นๆ ถ้าไม่มีจะผลตรวจจะขึ้นว่า Negative

(7) Billirubin (บิลิรูบิน) คือ เป็นสารเคมีในร่างกายที่สร้างจากตับที่พบในปัสสาวะ มักบ่งชี้ถึงภาวะที่เกิดการอุดตันของทางเดินน้ำดี เช่น โรคตับแข็ง และ มะเร็งตับ เป็นต้น ถ้าพบว่ามี Billirubin ในปัสสาวะ ผลตรวจก็จะขึ้นว่า Trace, หรือ 1+ หรือ 2 หรือ 3+ หรือ +4 และอื่นๆ และอื่นๆ ถ้าไม่มีจะผลตรวจจะขึ้นว่า Negative

(8) Urobilinogen (ยูโรบิลิโนเจน) คือ การตรวจหาสารยูโรบิลิโนเจน (Urobilinogen) ในปัสสาวะ มักใช้พิจารณาร่วมไปกับ “การตรวจบิลิรูบินในปัสสาวะ” เพื่อแยกโรค โดยเมื่อบิลิรูบิน (Bilirubin) ถูกขับออกมาในทางเดินอาหาร จะถูกแบคทีเรียในลำไส้ (Intestine) เปลี่ยนเป็นสารยูโรบิลิโนเจน (Urobilinogen)

ส่วนสภาวะที่ผิดปกติ อาจพบระดับยูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะสูงขึ้นได้ คือ ในภาวะที่เม็ดเลือดแดงแตก (Hemolysis) เช่น

- โรคโลหิตจางเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก (Hemolytic anemia) ซึ่งภาวะเม็ดเลือดแดงแตกนี้มักจะทำให้ระดับยูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะสูงขึ้น แต่ไม่ทำให้ระดับบิลิรูบินในปัสสาวะสูงขึ้น

- ภาวะที่เกิดการทำลายของเนื้อตับ (Hepatic disease) เช่น ตับแข็ง (Cirrhosis), ตับอักเสบจากไวรัส (Viral hepatitis), ตับอักเสบจากยาหรือสารพิษ (Hepatitis due to drugs or toxic substances) ก็ทำให้ระดับยูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะสูงขึ้นได้เช่นกัน และอาจทำให้ระดับบิลิรูบินในปัสสาวะสูงขึ้นหรือไม่สูงขึ้นก็ได้

- ส่วนภาวะที่เกิดการอุดตันของทางเดินน้ำดี (Biliary obstruction) มักจะทำให้ระดับบิลิรูบินในปัสสาวะสูงขึ้น แต่ระดับยูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะไม่สูงขึ้น การใช้ยาฆ่าเชื้อแบบออกฤทธิ์กว้าง (Broad-spectrum antibiotic) ทำให้แบคทีเรียในลำไส้ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนบิลิรูบินเป็นยูโรบิลิโนเจนตาย สามารถทำให้ตรวจระดับยูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะไม่พบได้เช่นกัน ถ้าพบว่ามียูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะ ผลตรวจก็จะขึ้นว่า Trace, หรือ 1+ หรือ 2 หรือ 3+ หรือ +4 และอื่นๆ ถ้าไม่มีจะผลตรวจจะขึ้นว่า Negative

(9) Leukocyte คือ การตรวจหาเม็ดเลือดขาว (White blood cell หรือ Leukocyte) ในปัสสาวะหากตรวจพบ ก็จะถือว่าปัสสาวะนั้นมีเม็ดเลือดขาวปนอยู่อย่างมีนัยสำคัญ หรือเรียกว่าภาวะมีเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ (Pyuria หรือ Leukocyturia) ภาวะมีเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะมักสัมพันธ์กับการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection; UTI) ถ้าพบว่ามี Leukocyte ในปัสสาวะ ผลตรวจก็จะขึ้นว่า Trace, หรือ 1+ หรือ 2 หรือ 3+ หรือ +4 และอื่นๆ ถ้าไม่มีจะผลตรวจจะขึ้นว่า Negative

(10) Erythrocyte/Hemoglobin (หรือ Blood) คือ การตรวจหาเม็ดเลือดแดง (Red blood cell หรือ Erythrocyte) ในปัสสาวะ ผลตรวจที่เป็นบวกบ่งชี้ว่ามีเม็ดเลือดแดง (หรือฮีโมโกลบิน หรือไมโอโกลบิน) บ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างที่ไต หรือส่วนใดส่วนหนึ่งในระบบทางเดินปัสสาวะ ถ้าพบว่ามี Erythrocyte ในปัสสาวะ ผลตรวจก็จะขึ้นว่า Trace, หรือ 1+ หรือ 2 หรือ 3+ หรือ +4 และอื่นๆ ถ้าไม่มีจะผลตรวจจะขึ้นว่า Negative

(11) Microalbumin คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอณูเล็กขนาดประมาณ 60,000 dalton; การตรวจไมโครอัลบูมินในปัสสาวะนี้เป็นการวัดระดับของอัลบูมินในปัปริมาณที่น้อยกว่าการตรวจหาโปรตีนหรืออัลบูมินปัสสาวะด้วยวิธีทั่วไป (ที่มีปริมาณมากกว่า 300 มิลลิกรัมในปัสสาวะ 24ชม. หรือ มากกว่า 30 ไมโครกรัมต่อมิลลิกรัมครีอาตินีน) อย่างไรก็ดีภาวะไมโครอัลบูมินนูเรียที่ไม่เกี่ยวกับภาวะไตเสื่อม อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ได้ เช่น ภาวะไข้สูง ปัสสาวะมีเม็ดเลือดแดงปน การติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ขณะมีประจำเดือน มีตกขาว การตั้งครรภ์ ภาวะหัวใจวาย การออกกำลังกายอย่างหนัก และมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่า 300 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ถ้าพบว่ามี Microalbumin ในปัสสาวะ ผลตรวจก็จะขึ้นว่า Trace, หรือ 1+ หรือ 2 หรือ 3+ หรือ +4 และอื่นๆ ถ้าไม่มีจะผลตรวจจะขึ้นว่า Negative

3️⃣ การส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic examination)

(1) เม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ (RBC) คือ เม็ดเลือดแดง หากพบว่ามีมากกว่า 3-5 cell/HPF (เซลต่อกำลังขยายสูง) ถือว่าผิดปกติ อาจจะเกิดจากการติดเชื้อ, นิ่ว, เนื้องอก หรือการอักเสบที่ไต หรือระบบทางเดินปัสสาวะ

(2) เม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ (WBC) คือ เม็ดเลือดขาว หากพบว่ามีมากกว่า 5-10 cell/HPF จะบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ การอักเสบของทางเดินปัสสาวะ9. Epith. Cell (Epithelial Cell) เซลล์เยื่อบุ จะพบมากๆ ในการถูกทำลายของเนื้อเยื่อด้วยสาเหตุต่างๆ หรือในสตรี อาจจะเกิดจากการเก็บปัสสาวะส่งตรวจไม่ถูกวิธี มีการปนเปื้อนของตกขาว

(3) Squamous epithelium คือ เซลล์เยื่อบุส่วนท่อปัสสาวะส่วนนอก (External urethra) หากพบจำนวนเล็กน้อยถือว่าปกติ (Few) แต่หากพบในปริมาณมาก เช่น “15 – 20 cells/HPF ขึ้นไป” มักจะบ่งบอกว่าตัวอย่างปัสสาวะนั้นมีการปนเปื้อน เซลล์เยื่อบุชนิด Transitional epithelial cell (หรือ Transitional cell) เป็นเซลล์เยื่อบุส่วนกระเพาะปัสสาวะ (Urinary bladder) สามารถพบได้เป็นปกติ ส่วนเซลล์เยื่อบุชนิด Renal tubule cell เป็นเซลล์เยื่อบุท่อหน่วยไต (Renal tubule) โดยปกติต้องไม่พบในปัสสาวะ หากพบมักแสดงถึงความผิดปกติของหน่วยไต

(4) Bacteria - แบคทีเรียในปัสสาวะ; โดยปกติแล้วปัสสาวะควรมีแบคทีเรียน้อยมากหรือไม่มีเลย การพบแบคทีเรียจำนวนเล็กน้อยอาจเกิดจากการปนเปื้อนขณะเก็บตัวอย่าง

ภาวะที่มีแบคทีเรียในปัสสาวะ
1. การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI)**
- พบแบคทีเรียมากกว่า 100,000 CFU/ml ในการเพาะเชื้อ
- เชื้อที่พบบ่อย: Escherichia coli, Klebsiella, Proteus, Enterococcus, Staphylococcus saprophyticus

2. แบคทีเรียในปัสสาวะแบบไม่มีอาการ (Asymptomatic bacteriuria)
- พบแบคทีเรียในปริมาณมากแต่ผู้ป่วยไม่มีอาการ
- พบบ่อยในผู้สูงอายุ, หญิงตั้งครรภ์, ผู้ป่วยที่สวนปัสสาวะเป็นประจำ

3. การปนเปื้อน**
- เกิดจากแบคทีเรียบริเวณทวารหนัก อวัยวะเพศ หรือผิวหนัง
- มักพบในการเก็บตัวอย่างที่ไม่ถูกวิธี

การตรวจพบแบคทีเรีย
1. การตรวจทางกล้องจุลทรรศน์**
- ปกติไม่ควรพบแบคทีเรียหรือพบน้อยมาก(Normal หรือ few)
- การพบแบคทีเรียมากกว่า 1+ ถือว่าผิดปกติ

2. การเพาะเชื้อปัสสาวะ
- เกณฑ์วินิจฉัย UTI: >100,000 CFU/ml
- บางกรณีอาจวินิจฉัย UTI ได้เมื่อพบ >10,000 CFU/ml ร่วมกับอาการ

อาการที่บ่งชี้การติดเชื้อ
- ปัสสาวะแสบขัด
- ปัสสาวะบ่อย
- ปวดท้องน้อย
- ปัสสาวะขุ่น มีกลิ่นเหม็น
- มีไข้ (ในกรณีรุนแรง)

หากตรวจพบแบคทีเรียในปัสสาวะร่วมกับอาการข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม โดยการรักษามักใช้ยาปฏิชีวนะตามความไวของเชื้อที่พบจากการเพาะเชื้อ

“ผลตรวจสุขภาพกรดยูริก” (Uric Acid) คือ การตรวจกรดยูริกในเลือดหรือหาความเสี่ยงโรคเก๊าต์ ซึ่งค่าปกติ- ผู้ชายต้องไม่เกิน 5 ...
23/03/2025

“ผลตรวจสุขภาพกรดยูริก” (Uric Acid) คือ การตรวจกรดยูริกในเลือดหรือหาความเสี่ยงโรคเก๊าต์

ซึ่งค่าปกติ
- ผู้ชายต้องไม่เกิน 5 mg/dL
- ผู้หญิงต้องไม่เกิน 8 mg/dL

ทั้งนี้การมีค่ายูริกสูง ไม่จำเป็นจะต้องเป็นโรคเก๊าต์หรือมีอาการปวดบวมตามข้อเสมอไป แต่ควรปรับพฤติกรรมเพื่อให้ค่ากลับมาเป็นปกติ เช่น ปรับการกินคาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ให้เหมาะสม

ผลตรวจสุขภาพการทำงานของไต BUN, Creatinine และ eGFR ด้วยการตรวจเลือด1️⃣ การตรวจค่าไต BUN (Blood Urea Nitrogen) คือ - การเ...
23/03/2025

ผลตรวจสุขภาพการทำงานของไต BUN, Creatinine และ eGFR ด้วยการตรวจเลือด

1️⃣ การตรวจค่าไต BUN (Blood Urea Nitrogen) คือ
- การเจาะเลือดตรวจค่าไต เพื่อประเมินคุณภาพเลือด โดยนำไปวัดค่าไนโตรเจนจากส่วนประกอบของยูเรียว่า มีปริมาณรั่วออกมาในกระแสเลือดมากน้อยแค่ไหน

ค่าปกติของ BUN
- ค่า BUN ปกติ จากการตรวจเลือด จะถูกแบ่งเกณฑ์ตามอายุดังนี้
- ค่า BUN ปกติในผู้ใหญ่ อยู่ที่ประมาณ 10 - 20 mg/dL
- ค่า BUN ปกติในเด็ก อยู่ที่ประมาณ 5 - 18 mg/dL

หากค่า BUN สูง; มีโอกาสเป็นไปได้ว่า ระบบการทำงานของไตมีปัญหา อาจนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลัน นอกเหนือจากนี้ ค่า BUN อาจจะใช้เป็นตัวชี้วัดเพื่อ ฟื้นฟูไต รักษามะเร็ง SLE หนังแข็ง สะเก็ดเงิน และรูมะตอย ด้วยเช่นกัน

2️⃣ การตรวจค่าไต Creatinine คือ

การเจาะเลือดตรวจค่าไต เพื่อประเมินคุณภาพของเสียจากการเผาผลาญใช้งานของกล้ามเนื้อภายในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง หรือการขยับทุกส่วนของร่างกาย หากค่า Creatinine ในกระแสเลือดมีปริมาณมากหรือน้อยเกินไป อาจวินิจฉัยได้ว่าค่าไตของผู้ป่วยนั้นมีการทำงานผิดปกติ

ค่าปกติของ Creatinine
- ค่าปกติ Creatinine คือการขับสาร cr ผ่านทางไต 100% จะถูกแบ่งเกณฑ์ตามเพศ ดังนี้
- ค่าปกติ Creatinine ของผู้ชาย : 0.6-1.2 mg/dL
- ค่าปกติ Creatinine ของผู้หญิง : 0.5-1.1 mg/dL

* หากค่า Creatinine ต่ำกว่าปกติ - “มีโอกาสเป็นไปได้ที่ กล้ามเนื้อและเส้นประสาทไม่ได้รับการบริหารร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน จนถึงภาวะกล้ามเนื้อลีบ ฝ่อ”

* แต่หาก Creatinine สูงกว่าปกติ คือ มีสิ่งอุดตันในระบบปัสสาวะอย่าง นิ่ว และภาวะขาดน้ำได้ เป็นต้น

3️⃣ การตรวจค่าไต eGFR คือ การตรวจวัดอัตราการคัดกรองของกระแสเลือดในไตต่อนาที เพื่อตรวจเช็คประสิทธิภาพการกรองของไตว่า มีปัญหาหรือไม่

ค่า eGFR ปกติ คือ อัตราการคัดกรองของเสียภายในไต สามารถคัดของเสียได้มากกว่า 90 มล./นาที เป็นต้นไป จึงทำให้การตรวจค่าไตแบ่งเป็น 5 ระยะดังนี้

- ระยะที่ 1 ค่า eGFR มากกว่า 90 มล./นาที/1.73 ตร.ม. การทำงานของไตทำงานปกติ
- ระยะที่ 2 ค่า eGFR น้อยกว่าหรือเท่ากับ 90 มล./นาที/1.73 ตร.ม. การทำงานของไตมีความผิดปกติเล็กน้อย
- ระยะที่ 3 ค่า eGFR น้อยกว่าหรือเท่ากับ 60 มล./นาที/1.73 ตร.ม. การทำงานของไตทำงานปานกลาง
- ระยะที่ 4 ค่า eGFR น้อยกว่าหรือเท่ากับ 30 มล./นาที/1.73 ตร.ม. การทำงานของไตทำงานผิดปกติมาก
- ระยะที่ 5 ค่า eGFR น้อยกว่าหรือเท่ากับ 15 มล./นาที/1.73 ตร.ม. การทำงานของไตอยู่ภาวะไตวาย อาจจะต้องฟอกไตถ้าไม่ได้รับการฟื้นฟูไตอย่างถูกวิธี

ระยะที่ 2-5 สามารถทำให้ ค่า eGFR (หรือ การคัดกรองของกระแสเลือดในไตต่อนาที) ดีขึ้นได้ ด้วยวิธีการฟื้นฟูไตอย่างถูกวิธี

ผลตรวจสุขภาพการทำงานของตับ (Liver Function Test : LFT) คือ การตรวจหาเอนไซม์ของตับ เพื่อดูการทำงานของตับว่าผิดปกติหรือไม่...
23/03/2025

ผลตรวจสุขภาพการทำงานของตับ (Liver Function Test : LFT) คือ การตรวจหาเอนไซม์ของตับ เพื่อดูการทำงานของตับว่าผิดปกติหรือไม่

1️⃣ โดยวัดค่า “SGOT” (Serum Glutamic Oxaloacetic Transaminase) หรือ “AST” (Aspartate Transaminase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่พบได้มากที่ตับและกล้ามเนื้อหัวใจ

โดยค่าปกติของ SGOT (AST) ในผู้ชายและผู้หญิงจะต่างกัน ดังนี้
ผู้ชาย 8-46 U/L หรือ มากกว่าหรือเท่ากับ 40
ผู้หญิง 7-34 U/L หรือ มากกว่าหรือเท่ากับ 40

U/L คือหน่วยวัดที่ใช้ในการวัดระดับเอนไซม์ในเลือด ย่อมาจาก "Units per Liter" หรือ "ยูนิตต่อลิตร"

______________

2️⃣ ค่า “SGPT” (Serum Glutamate-Pyruvate Transaminase) หรือ “ALT” (Alanine Aminotransferase) จะบอกถึงความเป็นพิษต่อตับที่อาจเกิดจากยาบางชนิด แอลกอฮอล์ อาหาร หรือการติดเชื้อไวรัส โดยทั่วไปการตรวจตับจะนิยมตรวจค่า SGOT คู่กับค่า SGPT เสมอ

โดยค่าปกติของ SGPT (ALT) ในผู้ชายและผู้หญิงจะไม่เท่ากัน คือ
ผู้ชาย 30 U/L หรือ มากกว่าหรือเท่ากับ 40
ผู้หญิง 19 U/L หรือ มากกว่าหรือเท่ากับ 40

หากค่าที่วัดได้สูงกว่าปกติอาจบอกได้ว่าตับหรือตับอ่อนกำลังมีปัญหา

______________

3️⃣ รวมถึงค่า “Alkaline phosphatase” (ALP หรือ Alkaline phosphatase) คือ เอนไซม์ที่พบในเลือด โดยทำหน้าที่ช่วยสลายโปรตีนในร่างกายและขับออกจากร่างกาย โดยมีตับเป็นอวัยวะหลักในการสร้าง ALP

โดยปกติแล้วค่าปกติของการตรวจ ALP นั้นจะอยู่ที่ 20-140 IU/L
ค่า ALP สามารถช่วยระบุโรคตับอักเสบ ตับแข็ง ถุงน้ำดีอักเสบ การอุดตันในท่อน้ำดีจากนิ่ว

- ผู้ที่มีระดับ ALP สูง แสดงว่ามีความผิดปกติที่ตับหรือถุงน้ำดี ซึ่งอาจแสดงว่าเป็นโรคตับอักเสบ ตับแข็ง มะเร็งตับ มีนิ่วในถุงน้ำดี หรือมีท่อน้ำดีอุดตัน และอาจจะบ่งชี้ได้ว่า มีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกระดูก เช่น โรค rickets, Paget’s disease, มะเร็งกระดูก หรือการทำงานของต่อมพาราไทรอยด์ที่มากเกินไปก็ได้

- ในบางรายการตรวจพบ ALP ที่สูงนั้น และอาจจะบ่งชี้ได้ว่า หัวใจวาย เป็นมะเร็งไต หรือมะเร็งอื่นๆ มีการติดเชื้อ mono หรือแบคทีเรีย

- ส่วนในผู้ที่มีระดับ ALP ต่ำกว่าปกตินั้น มีความน่าเป็นห่วงน้อยกว่าและเป็นภาวะที่พบได้น้อย แต่สามารถแสดงถึงภาวะทุพโภชนาการซึ่งอาจเกิดจากโรคเซลิแอคหรือการขาดวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด

ผลตรวจสุขภาพระดับไขมันคลอเรสเตอรอล (Cholesterol) และไตรกรีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) คือ การตรวจเพื่อหาความเสี่ยงในการเป็น...
23/03/2025

ผลตรวจสุขภาพระดับไขมันคลอเรสเตอรอล (Cholesterol) และไตรกรีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) คือ

การตรวจเพื่อหาความเสี่ยงในการเป็นโรคที่เกี่ยวกับ ความดันโลหิต โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง

1️⃣ โดยค่าที่เหมาะสมคือ

(1) “คลอเลสเตอรอลตัวรวม” (Cholesterol) ต้องไม่เกิน 200 mg/dL แต่ไม่เสมอไปขึ้นอยู่กับ HDL มากกว่า LDL รวมอาจจะมากกว่า 200 ก็ได้ ถ้าเข้าเงื่อนไขนี้ จัดว่าดี
(2) “ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์” (Triglyceride) ต้องไม่เกิน 150 mg/dL
(3) “ไขมันเลว/ไขมันนักอุด” (LDL-Cholesterol) ควรน้อยกว่า 150 mg/dL
(4) “ไขมันดี/ไขมันนักล้าง” (HDL-Cholesterol) ควรมากกว่า 50 mg/dL

2️⃣ หรือง่ายๆ ถ้าอยากรู้ว่า

“คลอเลสเตอรอล” สูงหรือไม่ ? ให้เอา
- LDL หารด้วย HDL ผลที่ได้ต้องน้อยกว่า 3; ถ้ามากกว่าหรือเท่ากับ 3 คือ สูง

ส่วน “ไตรกลีเซอร์ไรด์” สูงหรือไม่ ? ให้เอา
- ไตรกลีเซอร์ไรด์ หารด้วย HDL ผลที่ได้ต้องน้อยกว่า 2; ถ้ามากกว่าหรือเท่ากับ 2 คือ สูง

ผลตรวจสุขภาพระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar)  คือ เพื่อหาข้อบ่งชี้ของโรคเบาหวาน หลังการงดอาหารและเครื่องดื่มที่ใ...
23/03/2025

ผลตรวจสุขภาพระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar) คือ

เพื่อหาข้อบ่งชี้ของโรคเบาหวาน หลังการงดอาหารและเครื่องดื่มที่ให้พลังงานมาแล้วอย่างน้อย 8 ชั่วโมง โดยหา “ค่าระดับกลูโคสในเลือด” (Blood Glucose)

(1) ค่ามาตรฐานคือ 70-100 mg/dL
(2) หากเกิน 100 mg/dL จะเข้าข่ายเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานในอนาคต ควรตรวจติดตามผลทุกปี
(3) หากเกิน 125 mg/dL ถือว่าเป็น โรคเบาหวาน แล้ว
(4) หรือ ทำการตรวจระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมจาก “ฮีโมโกลบินเอวันซี”(HbA1c) หากได้ค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 7 จะยืนยันได้ว่าเป็น เบาหวานแล้ว

3 คำศัพท์พื้นฐาน ในกลุ่มเกล็ดเลือด 1️⃣ “เกล็ดเลือด” (Platelet Count) คือ - การวัดจำนวนเกล็ดเลือดในเลือดของคุณ - เกล็ดเลื...
23/03/2025

3 คำศัพท์พื้นฐาน ในกลุ่มเกล็ดเลือด

1️⃣ “เกล็ดเลือด” (Platelet Count) คือ
- การวัดจำนวนเกล็ดเลือดในเลือดของคุณ
- เกล็ดเลือดเป็นเซลล์ขนาดเล็กที่มีหน้าที่สำคัญในการช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อมีบาดแผลหรือการบาดเจ็บ

(1) เกล็ดเลือดทำงานโดย :
- เกาะกลุ่มกันเพื่อปิดรอยแผลที่หลอดเลือด
- ปล่อยสารที่กระตุ้นการแข็งตัวของเลือด
- ช่วยในการซ่อมแซมหลอดเลือดที่เสียหาย

(2) ค่าปกติของเกล็ดเลือด อยู่ที่ประมาณ 150,000-450,000 เซลล์ต่อไมโครลิตรของเลือด
- หากคุณมีค่าเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติ (ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ) อาจทำให้เลือดออกง่ายหรือหยุดยาก
- ในทางกลับกัน หากมีค่าสูงเกินไป (ภาวะเกล็ดเลือดสูง) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด

การตรวจวัดเกล็ดเลือดเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจ CBC (Complete Blood Count) ที่แพทย์มักสั่งในการตรวจสุขภาพทั่วไป​​​​​​​​​​​​​​​​

…………………………

2️⃣ “Platelet smear” (การตรวจสเมียร์เกล็ดเลือด) คือ การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ใช้เพื่อประเมินลักษณะรูปร่าง ขนาด และการกระจายตัวของเกล็ดเลือด ภายใต้กล้องจุลทรรศน์

(1) วิธีการทำ Platelet smear :
- นำเลือดมาป้ายบางๆ บนแผ่นสไลด์แก้ว
- ย้อมสีเพื่อให้มองเห็นเซลล์ได้ชัดเจน
- ส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์โดยผู้เชี่ยวชาญ

(2) ประโยชน์ของการตรวจ Platelet smear :
- ช่วยยืนยันจำนวนเกล็ดเลือดที่ได้จากเครื่องนับเม็ดเลือดอัตโนมัติ
- ตรวจหาความผิดปกติของรูปร่างและขนาดของเกล็ดเลือด
- ช่วยในการวินิจฉัยโรคเกี่ยวกับเกล็ดเลือดหลายชนิด
- ประเมินการทำงานของไขกระดูกในการสร้างเกล็ดเลือด
- ติดตามผลการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับเกล็ดเลือด

- การตรวจนี้มีความสำคัญ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมีค่าเกล็ดเลือดผิดปกติ
- หรือมีอาการเลือดออกง่ายผิดปกติ แพทย์จะใช้ผลการตรวจนี้ร่วมกับการตรวจอื่นๆ เพื่อวินิจฉัยโรคเช่น โรค ITP (Immune Thrombocytopenic Purpura), TTP (Thrombotic Thrombocytopenic Purpura) หรือภาวะเกล็ดเลือดผิดปกติอื่นๆ​​​​​​​​​​​​​​​​

…………………………

3️⃣ MPV MPV (Mean Platelet Volume) คือ
- ค่าเฉลี่ยขนาดของเกล็ดเลือดในเลือดของคุณ
- เป็นค่าที่วัดโดยเครื่องนับเม็ดเลือดอัตโนมัติ ซึ่งแสดงถึงขนาดเฉลี่ยของเกล็ดเลือดทั้งหมดในตัวอย่างเลือด

(1) ค่าปกติของ MPV:
- โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 7.5-11.5 femtoliters (fL)
- อาจแตกต่างกันเล็กน้อยตามห้องปฏิบัติการที่ทำการตรวจ

(2) ความสำคัญของ MPV:
- บ่งชี้ถึงการทำงานของไขกระดูกในการสร้างเกล็ดเลือด
- เกล็ดเลือดที่มีขนาดใหญ่ (MPV สูง) มักเป็นเกล็ดเลือดใหม่และมีความสามารถในการแข็งตัวสูง
- เกล็ดเลือดที่มีขนาดเล็ก (MPV ต่ำ) อาจบ่งชี้ถึงการสร้างเกล็ดเลือดที่ผิดปกติ

(3) กรณีที่ MPV สูงกว่าปกติอาจพบในภาวะต่างๆ เช่น:
- ภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากการทำลายเกล็ดเลือดในร่างกาย
- โรคหลอดเลือดหัวใจ
- เบาหวาน
- โรคอ้วน

กรณีที่ MPV ต่ำกว่าปกติอาจพบในภาวะต่างๆ เช่น :
- โรคไขกระดูกบางชนิด
- โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- บางภาวะของโรคเกล็ดเลือดต่ำ

แพทย์มักใช้ค่า MPV ร่วมกับการตรวจอื่นๆ เช่น จำนวนเกล็ดเลือด (Platelet Count) และการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องกับเกล็ดเลือด

คำศัพท์พื้นฐาน ในกลุ่มเม็ดเลือดขาว1️⃣ White Blood Cell / WBC Count คือ - จำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมดในเลือด - เป็นการตรวจวั...
23/03/2025

คำศัพท์พื้นฐาน ในกลุ่มเม็ดเลือดขาว

1️⃣ White Blood Cell / WBC Count คือ

- จำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมดในเลือด
- เป็นการตรวจวัดที่สำคัญในการประเมินระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- โดยมีหน่วยเป็นเซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร (cells/mm³) หรือ x10⁹/L

(1) ค่าปกติของ WBC Count :
- ผู้ใหญ่: 4,500-11,000 cells/mm³ (4.5-11.0 x10⁹/L)
- เด็ก: อาจมีค่าสูงกว่าผู้ใหญ่ ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ

(2) ความผิดปกติของ WBC Count :
เม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ (Leukocytosis) :
- การติดเชื้อ (แบคทีเรีย, ไวรัส, เชื้อรา)
- การอักเสบ
- มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
- ภาวะเครียดของร่างกาย เช่น หลังผ่าตัด, บาดเจ็บรุนแรง
- ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์

เม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติ (Leukopenia) :
- การติดเชื้อบางชนิดโดยเฉพาะไวรัส
- โรคไขกระดูกบางชนิด
- ยาบางประเภท เช่น ยาเคมีบำบัด
- โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น HIV/AIDS
- ภาวะทุพโภชนาการ

* WBC Count เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจ CBC (Complete Blood Count) มักใช้เป็นการคัดกรองเบื้องต้นในการวินิจฉัยโรคต่างๆ และติดตามผลการรักษา​​​​​​​​​​​​​​​​

___________________

2️⃣ Neutrophill (นิวโทรฟิล) คือ

- ชนิดของเม็ดเลือดขาวที่เป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- ซึ่งมีหน้าที่หลักในการต่อสู้กับการติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดเชื้อแบคทีเรีย

(1) ลักษณะสำคัญของนิวโทรฟิล:
- เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีจำนวนมากที่สุดในร่างกาย (ประมาณ 50-70% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด)
- มีอายุสั้น (ประมาณ 5-10 วัน)
- มีความสามารถในการเคลื่อนที่ไปยังบริเวณที่มีการติดเชื้อ (กระบวนการที่เรียกว่า chemotaxis)
- สามารถกลืนกินและย่อยทำลายเชื้อโรคได้ (phagocytosis)
- สามารถปล่อยสารที่ใช้ทำลายเชื้อโรคออกมาภายนอกเซลล์ได้
- เมื่อร่างกายติดเชื้อ นิวโทรฟิลจะเป็นกลุ่มแรกที่เดินทางไปยังจุดที่มีการติดเชื้อและเริ่มกระบวนการต่อสู้กับเชื้อโรค

(2) ความผิดปกติของ Neutrophill :
- การที่จำนวนนิวโทรฟิลสูง มักเป็นสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรีย
- ส่วนจำนวนที่ต่ำเกินไป อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่รุนแรง​​​​​​​​​​​​​​​​

___________________

3️⃣ Lymphocyte (ลิมโฟไซต์) คือ

- ประเภทหนึ่งของเม็ดเลือดขาวที่มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- ซึ่งถูกสร้างในไขกระดูกและพัฒนาในต่อมน้ำเหลืองและอวัยวะน้ำเหลืองอื่นๆ
- ลิมโฟไซต์ มีหน้าที่จดจำและโจมตีสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย

(1) ลิมโฟไซต์แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก :

เซลล์ที (T cells) - พัฒนาใน “ต่อมไทมัส” และทำหน้าที่ :
- ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสโดยตรง (เซลล์ที killer)
- ควบคุมการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นๆ (เซลล์ที helper)
- กดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน (เซลล์ที regulatory)

เซลล์บี (B cells) - พัฒนาในไขกระดูก และทำหน้าที่ :
- สร้างแอนติบอดี (antibody) เพื่อทำลายเชื้อโรค
- เป็นเซลล์ความจำ (memory cells) ที่จดจำเชื้อโรคเพื่อตอบสนองได้เร็วขึ้นในอนาคต

เซลล์เอ็นเค (Natural Killer cells) - ทำหน้าที่ :
- ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสและเซลล์มะเร็งบางชนิด
- ตอบสนองได้เร็วโดยไม่ต้องรอการกระตุ้น

(2) สรุป
- ลิมโฟไซต์มีความสำคัญในการต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรียบางชนิด
- และช่วยในการทำลายเซลล์มะเร็ง ความผิดปกติของจำนวนหรือการทำงานของลิมโฟ
- ไซต์สามารถนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคภูมิแพ้ หรือโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง​​​​​​​​​​​​​​​​

___________________

4️⃣ Monocyte คือ
- ประเภทหนึ่งของเม็ดเลือดขาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเม็ดเลือดขาวทั้งหมด
- เป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะ (innate immune system) ของร่างกาย

(1) ลักษณะและหน้าที่สำคัญของโมโนไซต์:

การเกิดและพัฒนา :
- สร้างจากไขกระดูก
- เมื่อเข้าสู่เนื้อเยื่อ จะเปลี่ยนเป็น “แมคโครฟาจ” (macrophage) หรือ “เซลล์เดนไดรติก (dendritic cell)

หน้าที่หลัก :
- กำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว สิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคผ่านกระบวนการฟาโกไซโตซิส (phagocytosis)
- นำเสนอแอนติเจน (antigen-presenting) เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ
- หลั่งไซโตไคน์ (cytokines) เพื่อควบคุมการอักเสบและการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ
- ช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ

สัดส่วนในเลือด:
- โดยปกติคิดเป็น 2-8% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด
- ค่าปกติประมาณ 200-800 เซลล์ต่อไมโครลิตร ของเลือด

(2) ความสำคัญทางคลินิก :

- การเพิ่มขึ้นของโมโนไซต์ (monocytosis) อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อเรื้อรัง โรคอักเสบ โรคออโตอิมมูน หรือมะเร็งบางชนิด
- การลดลงของโมโนไซต์ (monocytopenia) อาจเกิดจากการกดการทำงานของไขกระดูก หรือการใช้ยาบางชนิด

(3) สรุป
- ”โมโนไซต์“ มีความสำคัญในการต่อต้านการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และภาวะติดเชื้อเรื้อรัง
- รวมถึงมีบทบาทในการรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันและกระบวนการอักเสบในร่างกาย​​​​​​​​​​​​​​​​

___________________

5️⃣ Eosinophil Eosinophil คือ

- ประเภทหนึ่งของเม็ดเลือดขาวที่มีลักษณะเด่น คือมีแกรนูลในไซโทพลาซึมที่ติดสีย้อม eosin ได้ดี ทำให้มีสีแดงส้มเมื่อดูภายใต้กล้องจุลทรรศน์
- อีโอซิโนฟิลมีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

(1) คุณลักษณะและหน้าที่สำคัญของอีโอซิโนฟิล :

สัดส่วนในเลือด:
- มีจำนวนน้อย ปกติประมาณ 1-6% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด
- ค่าปกติประมาณ 50-500 เซลล์ต่อไมโครลิตรของเลือด

บทบาทหลัก :
- ต่อสู้กับปรสิต โดยเฉพาะพยาธิขนาดใหญ่ที่นิวโทรฟิลไม่สามารถกลืนกินได้
- มีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยาภูมิแพ้และกระบวนการอักเสบ
- ช่วยควบคุมการอักเสบและการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน
- มีส่วนร่วมในการซ่อมแซมและการปรับโครงสร้างเนื้อเยื่อ

กลไกการทำงาน :
- ปล่อยโปรตีนที่เป็นพิษ (cytotoxic proteins) จากแกรนูล เช่น Major Basic Protein (MBP), Eosinophil Cationic Protein (ECP) เพื่อทำลายปรสิต
- หลั่งสารสื่อกลางการอักเสบ (inflammatory mediators) เช่น ลิวโคไทรีน (leukotrienes) และไซโตไคน์

(2) ความสำคัญทางคลินิก :

การเพิ่มขึ้น (eosinophilia) :
- โรคภูมิแพ้ เช่น หอบหืด, โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้
- การติดเชื้อปรสิต
- โรคผิวหนังบางชนิด
- โรคออโตอิมมูนบางประเภท
- ยาบางชนิด
- โรคเกี่ยวกับระบบเลือดบางชนิด

การลดลง (eosinopenia):
- ภาวะเครียดเฉียบพลัน
- การติดเชื้อเฉียบพลัน
- การใช้ยาสเตียรอยด์

(3) สรุป

- อีโอซิโนฟิลมีความสำคัญในการตรวจวินิจฉัยและติดตามโรคภูมิแพ้และการติดเชื้อปรสิต
- การติดตามระดับของอีโอซิโนฟิลในเลือดสามารถช่วยในการประเมินการตอบสนองต่อการรักษาในโรคเหล่านี้ได้​​​​​​​​​​​​​​​​

___________________

6️⃣ Basophil คือ

ชนิดของเม็ดเลือดขาวที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

โดยมีลักษณะเด่นดังนี้:

(1) เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีจำนวนน้อยที่สุดในร่างกาย (ประมาณ 0.5-1% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด)

(2) มี ”แกรนูล“ ใน ”ไซโทพลาสซึม“ ที่ติด ”สีเบสิก“ (basic dye) ได้ดี จึงมีชื่อว่า "basophil"

(3) มีรูปร่างเป็นเม็ดกลมที่มีนิวเคลียสแบ่งเป็น 2-3 พู และมีแกรนูลสีม่วงเข้มกระจายอยู่ทั่วเซลล์

(4) หน้าที่สำคัญของ basophil ได้แก่ :
- สร้างและหลั่ง “สารฮิสตามีน” (histamine) และ สารที่ทำให้เกิดการอักเสบอื่นๆ
- มีบทบาทสำคัญในการตอบสนองต่อการแพ้และปฏิกิริยาภูมิแพ้
- เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบและการต่อต้านการติดเชื้อปรสิต

การที่ร่างกายมีระดับ basophil สูงผิดปกติ (basophilia) อาจเป็นสัญญาณของโรคบางชนิด เช่น โรคเลือด โรคภูมิแพ้ หรือ การติดเชื้อบางประเภท​​​​​​​​​​​​​​​​

___________________

7️⃣ Band form หรือ band neutrophil คือ

neutrophil ที่ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ มีลักษณะเด่นดังนี้:

(1) มีนิวเคลียสรูปร่างคล้ายเกือกม้าหรือคล้ายตัวซี (C-shaped) หรือตัวยู (U-shaped)

(2) นิวเคลียสไม่แบ่งเป็นพู (lobes) เหมือน neutrophil ที่เจริญเติบโตเต็มที่

(3) เป็นระยะพัฒนาที่อยู่ระหว่าง metamyelocyte และ “segmented neutrophil” (neutrophil ที่เจริญเติบโตเต็มที่)

(4) ในสภาวะปกติ band neutrophil จะพบได้ในเลือดประมาณ 0-5% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด

- การที่มีระดับ band neutrophil สูงขึ้นในเลือด (band shift หรือ left shift) มักเป็นสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรียเฉียบพลันหรือการอักเสบรุนแรง

- เนื่องจากร่างกายต้องการเม็ดเลือดขาวจำนวนมากเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ จึงปล่อย band neutrophil ออกมาจากไขกระดูกเร็วกว่าปกติ โดยที่ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่

- การตรวจพบ band form มีความสำคัญทางคลินิกในการวินิจฉัยและติดตามการรักษาโรคติดเชื้อ​​​​​​​​​​​​​​​​

___________________

8️⃣ Absolute Neutrophile count (ANC) คือ

จำนวนนิวโทรฟิลที่แท้จริงในเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร (mm³) ซึ่งเป็นค่าที่มีความสำคัญทางคลินิกอย่างมาก

(1) ค่า ANC ปกติอยู่ระหว่าง 1,500-8,000 เซลล์/mm³ โดยมีความสำคัญดังนี้:
- ค่า ANC < 1,500 เซลล์/mm³: คือ ภาวะนิวโทรฟิลต่ำ (neutropenia)
- ค่า ANC < 500 เซลล์/mm³: คือ ภาวะนิวโทรฟิลต่ำรุนแรง (severe neutropenia) ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ
- ค่า ANC > 8,000 เซลล์/mm³: คือ ภาวะนิวโทรฟิลสูง (neutrophilia) มักพบในภาวะติดเชื้อหรือการอักเสบ

(2) ค่า ANC มีความสำคัญอย่างยิ่งในการติดตามผู้ป่วยที่ :
1. ได้รับยาเคมีบำบัด เนื่องจากยาเคมีบำบัดมักกดการทำงานของไขกระดูก
2. ได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูก
3. มีภาวะนิวโทรฟิลต่ำจากสาเหตุต่างๆ
4. มีการติดเชื้อรุนแรง

แพทย์มักใช้ค่า ANC ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือการพิจารณาเลื่อนการให้ยาเคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็ง​​​​​​​​​​​​​​​​

___________________

9️⃣ WBC Corrected หรือค่าเม็ดเลือดขาวที่ได้รับการแก้ไขปรับปรุง คือ

ค่าจำนวนเม็ดเลือดขาวที่ได้รับการคำนวณปรับปรุงเพื่อให้ถูกต้องมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่มีเซลล์ Nucleated Red Blood Cells (NRBC) ในเลือด

(1) ความจำเป็นในการแก้ไขค่า WBC :
- เมื่อทำการตรวจนับเม็ดเลือดด้วยเครื่องอัตโนมัติ เครื่องมักจะนับ NRBC เป็นเม็ดเลือดขาว เนื่องจาก NRBC มีนิวเคลียสเหมือนเม็ดเลือดขาว
- การนับรวม NRBC เป็น WBC ทำให้ค่า WBC ที่รายงานสูงกว่าความเป็นจริง
- จึงต้องมีการปรับค่า WBC เพื่อให้ได้จำนวนเม็ดเลือดขาวที่แท้จริง

(2) ค่า WBC Corrected มีความสำคัญทางคลินิกเพราะ:
- ให้ค่าจำนวนเม็ดเลือดขาวที่แท้จริงซึ่งสำคัญต่อการประเมินภาวะการติดเชื้อ
- ช่วยในการคำนวณค่า ANC (Absolute Neutrophil Count) ที่ถูกต้อง
- มีความสำคัญอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มี NRBC จำนวนมากในเลือด เช่น ผู้ป่วยธาลัสซีเมีย ภาวะไขกระดูกถูกกระตุ้นรุนแรง หรือภาวะขาดม้าม

ในปัจจุบัน เครื่องตรวจวิเคราะห์ทางโลหิตวิทยาที่ทันสมัยหลายเครื่องสามารถแยก NRBC ออกจาก WBC และรายงานค่า WBC Corrected ได้โดยอัตโนมัติ

ผลตรวจสุขภาพความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count : CBC) เป็นการตรวจนับปริมาณ และลักษณะของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือด...
23/03/2025

ผลตรวจสุขภาพความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count : CBC) เป็นการตรวจนับปริมาณ และลักษณะของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด (ด้วยการตรวจเลือด)

9 คำศัพท์พื้นฐาน ในกลุ่มเม็ดเลือดแดง

___________________________

คำศัพท์พื้นฐานที่ควรรู้ในกลุ่มเม็ดเลือดแดง คำที่ 1 คือ

1️⃣ ค่า Red Blood Cell/RBC Count คือ จำนวนเม็ดเลือดแดงทั้งหมดในร่างกาย

(1) ค่าปกติของเม็ดเลือดแดง :
- ผู้ชาย: 4.5-5.5 ล้านเซลล์/ไมโครลิตร
- ผู้หญิง: 4.0-5.0 ล้านเซลล์/ไมโครลิตร

(2) ความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง:
- ค่าต่ำกว่าปกติ: อาจบ่งชี้ถึงภาวะโลหิตจาง เลือดออก หรือโรคไขกระดูก
- ค่าสูงกว่าปกติ: อาจพบในโรค โพลีไซทีเมีย (Polycythemia) ภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง หรือ ภาวะขาดน้ำ

___________________________

คำศัพท์พื้นฐานที่ควรรู้ในกลุ่มเม็ดเลือดแดง คำที่ 2 คือ

2️⃣ ค่า ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) คือ โปรตีนที่มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ ที่พบอยู่ภายในเม็ดเลือดแดง

(1) ค่าปกติของฮีโมโกลบิน:
- ผู้ชาย: 13.5-17.5 g/dL (grams per deciliter; กรัมต่อเดซิลิตร)
- ผู้หญิง: 12.0-15.5 g/dL
- เด็ก: ค่าแตกต่างกันตามอายุ

(2) ความผิดปกติของฮีโมโกลบิน :
- ค่าต่ำกว่าปกติ: บ่งชี้ภาวะโลหิตจาง (Anemia) ซึ่งอาจเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก การเสียเลือด โรคเรื้อรัง หรือความผิดปกติทางพันธุกรรม
- ค่าสูงกว่าปกติ: อาจพบในโรคโพลีไซทีเมีย (Polycythemia) ภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง (เช่น ผู้ที่อาศัยในที่สูง) หรือภาวะขาดน้ำ

___________________________

คำศัพท์พื้นฐานที่ควรรู้ในกลุ่มเม็ดเลือดแดง คำที่ 3 คือ

3️⃣ ฮีมาโทคริต (Hematocrit/HCT) คือ ค่าที่แสดงถึงสัดส่วนของปริมาตรเม็ดเลือดแดง เมื่อเทียบกับปริมาตรเลือดทั้งหมด คิดเป็นเปอร์เซ็นต์

(1) ค่าปกติของฮีมาโทคริต:
- ผู้ชาย: 38.5-50.0%
- ผู้หญิง: 35.0-45.0%
- เด็กแรกเกิด: 42.0-68.0%
- เด็ก: ค่าแตกต่างกันตามอายุ

(2) ความผิดปกติของฮีมาโทคริต :
- ค่าต่ำกว่าปกติ: ภาวะโลหิตจาง (Anemia), การเสียเลือด, การทำลายเม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ, น้ำเกิน(Hypervolemia)
- ค่าสูงกว่าปกติ: ภาวะขาดน้ำ (Dehydration), โรคโพลีไซทีเมีย (Polycythemia), การอยู่ในที่สูงเป็นเวลานาน, โรคปอดเรื้อรัง

แพทย์ใช้ค่าฮีมาโทคริตในการ :
- วินิจฉัยภาวะโลหิตจางและความรุนแรงของโรค
- ติดตามการเปลี่ยนแปลงปริมาณเม็ดเลือดแดงในผู้ป่วย
- ประเมินความเสี่ยงก่อนการผ่าตัด
- ติดตามภาวะขาดน้ำ หรือภาวะน้ำเกิน​​​​​​​​​​​​​​​​

___________________________

4️⃣ MCV หรือ Mean Corpuscular Volume คือ ค่าที่แสดงถึงขนาดเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดงแต่ละเซลล์ วัดเป็นหน่วยเฟมโตลิตร (femtoliter หรือ fL) เป็นหนึ่งในค่าดัชนีเม็ดเลือดแดง (RBC indices) ที่สำคัญในการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)

(1) ค่าปกติของ MCV :
- ผู้ใหญ่: 80-100 fL
- เด็ก: ค่าแตกต่างกันตามอายุ (มักมีค่าต่ำกว่าผู้ใหญ่เล็กน้อย)

(2) ค่า MCV ต่ำกว่าปกติ (< 80 fL) : โลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงขนาดเล็ก (Microcytic anemia)
- ภาวะขาดธาตุเหล็ก
- โรคธาลัสซีเมีย
- โลหิตจางจากโรคเรื้อรัง (บางกรณี)

(3) ค่า MCV สูงกว่าปกติ (> 100 fL): โลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงขนาดใหญ่ (Macrocytic anemia)
- ขาดวิตามินบี 12
- ขาดกรดโฟลิก
- โรคตับ
- ภาวะแอลกอฮอล์เรื้อรัง
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด

MCV เป็นค่าสำคัญที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัย แยกสาเหตุของภาวะโลหิตจาง และมักใช้ร่วมกับค่าดัชนีเม็ดเลือดแดงอื่นๆ เช่น MCH, MCHC, RDW) เพื่อให้การวินิจฉัยแม่นยำยิ่งขึ้น​​​​​​​​​​​​​​​​

___________________________

5️⃣ MCH Mean Corpuscular Hemoglobin หรือฮีโมโกลบินเฉลี่ยต่อเม็ดเลือดแดง; เป็นค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณฮีโมโกลบินเฉลี่ยในเม็ดเลือดแดงแต่ละเซลล์ มีหน่วยเป็น “พิโคกรัม” (pg)

ค่า MCH ใช้ในการวินิจฉัยโรคโลหิตจางประเภทต่างๆ โดย:
- ค่าปกติของ MCH อยู่ระหว่าง 27-31 pg

- ค่า MCH ต่ำ (Hypochromic) อาจบ่งชี้ถึงภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก หรือธาลัสซีเมีย
- ค่า MCH สูง (Hyperchromic) อาจพบในภาวะโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12 หรือกรดโฟลิก

MCH เป็นหนึ่งในพารามิเตอร์ของการตรวจ CBC (Complete Blood Count) ซึ่งเป็นการตรวจเลือดพื้นฐานที่แพทย์นิยมสั่งเพื่อคัดกรองสุขภาพทั่วไป​​​​​​​​​​​​​​​​

_________________________

6️⃣ MCHC หรือ Mean Corpuscular Hemoglobin Concentration คือ
ค่าที่แสดงถึงความเข้มข้นเฉลี่ยของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง
วัดเป็นเปอร์เซ็นต์หรือกรัมต่อเดซิลิตร (g/dL)

(1) ค่าปกติของ MCHC:
- ผู้ใหญ่: 32-36 g/dL หรือ 32-36%
- เด็ก: ค่าใกล้เคียงกับผู้ใหญ่

(2) ค่า MCHC ต่ำกว่าปกติ (< 32 g/dL): เม็ดเลือดแดงมีความเข้มข้นของฮีโมโกลบินต่ำ (Hypochromic)
- ภาวะขาดธาตุเหล็ก
- โรคธาลัสซีเมีย
- โลหิตจางจากโรคเรื้อรัง
(3) ค่า MCHC สูงกว่าปกติ (> 36 g/dL): พบได้ไม่บ่อย แต่อาจพบใน
- เม็ดเลือดแดงแตก (Hemolysis) ในหลอดเก็บเลือด
- โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (Sickle Cell Disease)
- ความผิดปกติทางห้องปฏิบัติการ

แพทย์ใช้ค่า MCHC ร่วมกับค่าดัชนีเม็ดเลือดแดงอื่นๆ (MCV, MCH, RDW) เพื่อช่วยในการวินิจฉัยแยกสาเหตุของภาวะโลหิตจาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแยกระหว่างภาวะโลหิตจางชนิด Hypochromic กับ Normochromic​​​​​​​​​​​​​​​​

____________________________

7️⃣ RDW หรือ Red Cell Distribution Width คือ ค่าที่แสดงถึงความแตกต่างของขนาดเม็ดเลือดแดงในกระแสเลือด วัดเป็นเปอร์เซ็นต์ของการกระจายตัว

(1) ค่าปกติของ RDW:
- RDW-CV (Coefficient of Variation): 11.5-14.5%
- RDW-SD (Standard Deviation): 39-46 fL

(2) ค่า RDW ปกติ: พบในคนปกติและภาวะโลหิตจางบางชนิด เช่น
- โลหิตจางจากเลือดออกเฉียบพลัน
- โลหิตจางจากโรคเรื้อรัง
- โรคธาลัสซีเมียบางชนิด (โดยเฉพาะธาลัสซีเมียชนิด minor)

(3) ค่า RDW สูงกว่าปกติ: พบในภาวะโลหิตจางหลายชนิด เช่น
- ภาวะขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency anemia)
- ภาวะขาดวิตามินบี 12 หรือกรดโฟลิก
- โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก (Hemolytic anemia)
- ภาวะที่มีการสร้างเม็ดเลือดแดงใหม่จำนวนมาก
- ภาวะที่ได้รับการถ่ายเลือด

(4) ประโยชน์ทางคลินิกของ RDW :
- ช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคในภาวะโลหิตจาง
- เป็นดัชนีชี้วัดการพยากรณ์โรคในผู้ป่วยโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดหัวใจ​​​​​​​​​​​​​​​​

____________________________

8️⃣ RBC Morphology คือ การศึกษาลักษณะรูปร่างและโครงสร้างของเม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell) โดยใช้กล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจดูความผิดปกติต่างๆ ลักษณะสำคัญที่พิจารณาใน RBC Morphology ได้แก่ :

(1) ขนาด:
- Normocytic: เม็ดเลือดแดงขนาดปกติ
- Microcytic: เม็ดเลือดแดงขนาดเล็กกว่าปกติ (พบในภาวะขาดธาตุเหล็ก, ธาลัสซีเมีย)
- Macrocytic: เม็ดเลือดแดงขนาดใหญ่กว่าปกติ (พบในภาวะขาดวิตามินบี 12)

(2) สี:
- Normochromic: สีของเม็ดเลือดแดงปกติ
- Hypochromic: สีซีดกว่าปกติ (พบในภาวะขาดธาตุเหล็ก)
- Hyperchromic: สีเข้มกว่าปกติ

(3) รูปร่าง:
- Poikilocytosis: ความผิดปกติของรูปร่างเม็ดเลือดแดง
- ความผิดปกติแบบเฉพาะเจาะจง เช่น:
- Spherocytes: เม็ดเลือดแดงทรงกลม
- Sickle cells: เม็ดเลือดแดงรูปเคียว (พบในโรค Sickle cell anemia)
- Target cells: เม็ดเลือดแดงรูปเป้า (พบในโรคตับและธาลัสซีเมีย)
- Schistocytes: เม็ดเลือดแดงแตกหัก (พบในภาวะ microangiopathic hemolytic anemia)

การตรวจ RBC Morphology มีประโยชน์อย่างมากในการวินิจฉัยโรคเลือดชนิดต่างๆ เช่น โลหิตจาง, ธาลัสซีเมีย, โรคตับ, และภาวะเม็ดเลือดแดงแตก​​​​​​​​​​​​​​​​

____________________________

9️⃣ NRBC (Nucleated Red Blood Cells) คือ เซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีนิวเคลียส

ซึ่งมีลักษณะและความสำคัญดังนี้
- เป็นเซลล์เม็ดเลือดแดงตัวอ่อนที่ยังมีนิวเคลียสอยู่ (ปกติเม็ดเลือดแดงในกระแสเลือดจะไม่มีนิวเคลียส)
- เป็นเซลล์ในระยะพัฒนาของเม็ดเลือดแดงที่ยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งโดยปกติแล้วจะอยู่ในไขกระดูกเท่านั้น
- ในคนปกติจะไม่พบหรือพบได้น้อยมากในเลือดผู้ใหญ่ แต่อาจพบได้ในเลือดของทารกแรกเกิดในปริมาณเล็กน้อย

การพบ NRBC ในเลือดของผู้ใหญ่มักบ่งชี้ถึงภาวะผิดปกติบางอย่าง เช่น:
- ภาวะเม็ดเลือดแดงถูกทำลายรุนแรง (hemolytic anemia)
- ภาวะไขกระดูกถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง (extramedullary hematopoiesis)
- ภาวะเลือดออกรุนแรงหรือขาดออกซิเจนรุนแรง
- มะเร็งเม็ดเลือดบางชนิด
- การติดเชื้อรุนแรง
- ภาวะม้ามไม่ทำงาน (asplenia) หรือม้ามทำงานบกพร่อง

การตรวจนับและรายงานจำนวน NRBC มีความสำคัญในการประเมินความรุนแรงของโรคและช่วยในการวินิจฉัยโรคทางโลหิตวิทยาบางชนิด​​​​​​​​​​​​​​​​

____________________________

ที่อยู่

188/12 ซอยแจ้งวัฒนะ14 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่
Bangkok
10210

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ เจิด สุขภาพง่ายๆผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์