Working On It มาทำงานแบบมีความสุขกันเถอะ

เวลาพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในองค์กรเรามักพูดถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร หรือ mindset ของพนักงานแต่มีอีกกลุ่มที่คนมักมองข้ามทั...
12/07/2025

เวลาพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในองค์กร
เรามักพูดถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร หรือ mindset ของพนักงาน
แต่มีอีกกลุ่มที่คนมักมองข้าม
ทั้งที่พวกเขาคือฟันเฟืองสำคัญที่จะทำให้ทุกอย่างเวิร์ก หรือพังได้ทันที
นั่นคือ หัวหน้าระดับกลาง

ทำไมหัวหน้าระดับกลางถึงสำคัญที่สุดในช่วงเปลี่ยนแปลง
เพราะเขาคือคนที่ต้องแปลแผนจากข้างบน ให้กลายเป็นความจริงในชีวิตของทีม
เพราะลูกทีมจะดูว่า “หัวหน้ารู้เรื่องไหม” “เชื่อมั่นในแผนหรือเปล่า”
และเพราะเสียงแรกที่พนักงานจะได้ยิน ไม่ใช่เสียง CEO
แต่คือเสียงของหัวหน้าโดยตรง

งานวิจัยล่าสุดพบว่า การเปลี่ยนแปลงมักล้มเหลว เพราะหัวหน้าระดับกลางไม่ได้รับการสนับสนุน หรือไม่เข้าใจแผนเท่าที่ควร

แล้วทำไมบางครั้งหัวหน้ากลายเป็น “ตัวถ่วง” แทนที่จะเป็น “ตัวเชื่อม”
เพราะเขาเองก็อยู่ตรงกลางของแรงกดดัน
ต้องรับนโยบายจากข้างบน พร้อมกับจัดการอารมณ์และข้อกังวลของลูกทีม
แต่ในขณะเดียวกัน

เขาอาจไม่เคยได้รับ training ด้านการสื่อสารหรือการบริหารอารมณ์
เขาอาจไม่มีสิทธิตัดสินใจหรือปรับแผนให้เหมาะกับทีม
หรือที่แย่กว่านั้น เขาอาจไม่เชื่อในแผนนั้นเลยตั้งแต่แรก

เมื่อหัวหน้าระดับกลางไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ หรือไม่มีพื้นที่ให้พูด
เขาก็จะเลือก “พยักหน้าแล้วถอยออกมา”
ปล่อยให้ลูกทีมล่องลอยไปเอง

ถ้าองค์กรอยากเปลี่ยนได้จริง ต้องเริ่มจากสนับสนุนคนกลุ่มนี้ก่อน
- ให้เขาได้ “คุยจริง” กับผู้บริหาร ไม่ใช่แค่รับคำสั่ง
- ฝึก soft skills ที่จำเป็น เช่น การสื่อสาร ฟังแบบไม่ป้องกันตัว การให้ feedback ที่ไม่ใช่การตำหนิ
- ให้ autonomy พอที่จะปรับแผนให้เหมาะกับความจริงของทีม

เพราะหัวหน้าระดับกลางไม่ควรถูกใช้เป็น “เครื่องกระจายนโยบาย”
แต่ควรเป็น ตัวแปลงสัญญาณของความเข้าใจ ความมั่นใจ และความหวัง

หลายองค์กรทุ่มงบไปกับ “กลยุทธ์การเปลี่ยนแปลง”มีแผนละเอียด มีที่ปรึกษา มี roadmap มี KPI แต่สุดท้ายก็ยังเจอคำถามเดิมทำไมค...
09/07/2025

หลายองค์กรทุ่มงบไปกับ “กลยุทธ์การเปลี่ยนแปลง”
มีแผนละเอียด มีที่ปรึกษา มี roadmap มี KPI แต่สุดท้ายก็ยังเจอคำถามเดิม

ทำไมคนไม่เอาด้วย
ทำไมเปลี่ยนเท่าไรก็ไม่ขยับ
ทำไมทีมเหนื่อยหน่าย ทั้งที่เรากำลัง “พัฒนา”

คำตอบอาจไม่อยู่ในแผน แต่ซ่อนอยู่ในพฤติกรรมเล็ก ๆ ของคนในองค์กร
และนั่นคือ Soft Skills

กลยุทธ์เปลี่ยนแปลงที่ดี ต้อง “ขับเคลื่อนด้วยคน” ไม่ใช่แค่เอกสาร
คุณอาจมีเหตุผลที่ดีเยี่ยมว่าทำไมต้องเปลี่ยน
แต่ถ้าคนในไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ หรือไม่รู้สึกว่าตัวเองมีที่ยืนในแผนนั้น
แผนดีก็ล้มได้ง่าย ๆ การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นจริง ถ้าไม่มี

1. การสื่อสารที่ชัดเจนและจริงใจ
ไม่ใช่แค่ประกาศจากฝ่ายบริหาร แต่คือการคุยกันจริง ๆ ว่าทำไมต้องเปลี่ยน แล้วมันกระทบใครบ้าง

2. ความเห็นอกเห็นใจ
เข้าใจว่าคนรู้สึกยังไงกับการเปลี่ยน ไม่ใช่รีบเร่งให้ทุกคน “พร้อม” ทันที

3. ความยืดหยุ่น
ยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนจะเปลี่ยนได้ในจังหวะเดียวกัน และเปิดพื้นที่ให้เรียนรู้จากข้อผิดพลาด

4. ความปลอดภัยทางใจ
ทำให้คนรู้ว่าพูดได้ ถามได้ ไม่เข้าใจได้ โดยไม่ถูกมองว่าเป็น “ตัวปัญหา”

การเปลี่ยนองค์กรไม่ใช่แค่เรื่องของ “เปลี่ยนระบบ”
แต่คือการ “เปลี่ยนวิธีปฏิบัติต่อกัน”

หัวหน้าที่กล้าฟัง
ทีมที่กล้าพูด
คนที่กล้าลองผิด
นี่แหละคือน้ำมันหล่อลื่นของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

ฟีดแบ็ค? ไม่ใช่เรื่องด่วน ไว้ค่อยคุยละกัน...เดือนกรกฎาคม กลางปีพอดี แต่หลายองค์กรยังไม่เคยมี 1-on-1 ที่ “จริงจัง” กับพนั...
05/07/2025

ฟีดแบ็ค? ไม่ใช่เรื่องด่วน ไว้ค่อยคุยละกัน...

เดือนกรกฎาคม
กลางปีพอดี แต่หลายองค์กรยังไม่เคยมี 1-on-1 ที่ “จริงจัง” กับพนักงานเลยสักครั้ง
เพราะคิดว่าเอาไว้ “รอประเมินปลายปีทีเดียว”
แต่คุณรู้ไหมว่าการรอแบบนั้น อาจทำให้คนดี ๆ หมดไฟ หรือหมดใจก่อนได้พูดอะไรเลย

ทำไมเราถึงชอบ “รอ” ให้สถานการณ์มันแย่ก่อน ถึงค่อยคุย?
เพราะระบบประเมินผลงานถูกออกแบบให้ ฟีดแบ็กเป็นเรื่องทางการ
มีแบบฟอร์ม มีคะแนน มีคอมเมนต์ที่เขียนแบบวัดผล
ทำให้หลายคนทั้งหัวหน้าและลูกทีมรู้สึกว่า ถ้าไม่มีประเด็นใหญ่ ๆ ก็ไม่ต้องคุยก็ได้
หรือถ้าจะคุย ต้องรอให้ครบรอบก่อน

แต่นี่คือกับดักที่ทำให้หลายทีมเจอปัญหาแบบไม่รู้ตัว:
คนทำงานแบบไม่แน่ใจว่าตัวเอง “ดีพอ” ไหม
ปัญหาที่เล็ก ๆ ค่อย ๆ บาน เพราะไม่มีใครพูดตรง ๆ
คนรู้สึกว่า “เราไม่มีที่ให้พูด” หรือ “พูดไปก็ไม่มีคนฟัง”

เวลามีประเมินจริง กลายเป็น พ่นของเก่าใส่กัน แทนที่จะพัฒนาไปข้างหน้า
ฟีดแบ็กที่ได้ผล ต้อง “สด” และ “สม่ำเสมอ”
งานวิจัยใหม่ ๆ ยืนยันว่า
ฟีดแบ็กที่ดีจะมีพลังที่สุด เมื่อมันเกิดในจังหวะที่พอดี
ไม่ใช่รอให้ทุกอย่างจบ หรือรอให้ถึง “รอบ”
และต้องเป็นบทสนทนาที่มี ความปลอดภัยทางใจ (psychological safety)
คือพูดได้โดยไม่กลัวว่าจะถูกตัดสิน หรือโดนเก็บคะแนน

นี่คือเหตุผลที่การมี 1-on-1 อย่างสม่ำเสมอ (เช่น ทุกเดือน)
จะช่วยลดความกลัว และเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานให้ไว้วางใจกันมากขึ้น
กลางปีแบบนี้ อย่ารออีก 6 เดือน
ถ้าคุณเป็นหัวหน้า ลองใช้โอกาสนี้นัดลูกทีมคุย 1-on-1 อย่างจริงจัง
ไม่ต้องรอให้ HR สั่ง ไม่ต้องรอระบบประเมิน
ถามง่ายๆ ว่า:

“ครึ่งปีที่ผ่านมารู้สึกยังไงกับงาน?”
“มีอะไรที่ฉันควรปรับปรุงบ้างไหม?”
“ตอนนี้อะไรที่ทำให้รู้สึกติดขัด?”

บางครั้ง คำถามเหล่านี้อาจช่วยให้คุณ รักษาคนเก่งไว้ได้
หรืออย่างน้อย ทำให้เขารู้ว่า “ยังมีใครแคร์อยู่”

ถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มคำถามยังไง
ชุดคำถาม All Hands จาก Working On It
ถูกออกแบบมาเพื่อให้หัวหน้าเริ่ม 1-on-1 ได้โดยไม่ฝืนธรรมชาติ
มีทั้งคำถามเกี่ยวกับฟีดแบ็ก ความรู้สึก และการร่วมมือกันในงาน
ใช้ได้กับทุกเจน ทุกแผนก ทุกระดับความสัมพันธ์

อย่ารอให้ทุกอย่างพัง ก่อนจะเริ่มคุย
#ฟีดแบ็กต้องไม่ใช่ปีละครั้ง #หัวหน้าที่กล้าคุยก่อน

เวลาเราพูดถึง “การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง” ในที่ทำงานหลายคนจะนึกถึงภาพพนักงานที่เถียง หัวร้อน ขัดคำสั่ง หรือไม่ยอมทำงานแต่...
04/07/2025

เวลาเราพูดถึง “การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง” ในที่ทำงาน
หลายคนจะนึกถึงภาพพนักงานที่เถียง หัวร้อน ขัดคำสั่ง หรือไม่ยอมทำงาน
แต่ในความเป็นจริง พฤติกรรมที่ทำร้ายองค์กรมากที่สุด อาจไม่ใช่คนที่ "พูดดัง"
แต่อาจเป็นคนที่ พยักหน้า…แล้วไม่ทำอะไรเลย

นี่แหละคือ Passive Resistance
การต่อต้านแบบเงียบ ๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่กัดกินองค์กรอย่างช้า ๆ และลึกมาก

Passive Resistance คืออะไร?
- พูดว่า "โอเค" แต่ไม่ลงมือทำ
- ทำเฉพาะสิ่งที่ถูกสั่ง ไม่เสนอตัว ไม่เสนอไอเดีย
- เงียบทุกครั้งที่ประชุมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง
- ปล่อยให้ทีมรับผิดชอบไป โดยไม่แสดงท่าทีใด ๆ

บางคนเรียกสิ่งนี้ว่า “ทำงานแบบอยู่รอด”
เขาอาจไม่ลาออก แต่ก็ไม่ลงแรงกับอะไรใหม่
เขาไม่ได้เกลียดองค์กร แต่ก็ไม่เชื่อว่าความคิดเห็นของเขามีความหมาย
และเขาอาจเคยมีไอเดียดี ๆ แต่ถูกมองข้ามบ่อยจนเลิกพูด

แล้วหัวหน้ารู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?
ส่วนใหญ่ไม่รู้ เพราะคนที่ Passive Resistance จะไม่ส่งสัญญาณชัดเจน
หัวหน้าหลายคนเข้าใจผิดว่า "ไม่มีเสียงแปลว่าไม่มีปัญหา"
แต่ความเงียบ ไม่ได้แปลว่าความเข้าใจ
และการพยักหน้า ไม่ได้แปลว่าความเชื่อมั่น

ในบางองค์กรที่ไม่เปิดพื้นที่ให้พูดตรง ๆ
คนเลยเลือก “เงียบไว้ก่อน ปลอดภัยกว่า”
สิ่งที่องค์กรควรทำไม่ใช่ “บังคับให้พูด”
แต่คือ สร้างพื้นที่ที่คนอยากพูด
จัด 1-on-1 ที่ไม่ใช่แค่เช็กงาน แต่เช็กใจ
สร้างวัฒนธรรมที่ “ความไม่เห็นด้วย” ไม่ถูกมองว่าเป็นการขัดขา
ฝึกหัวหน้าให้ ฟังโดยไม่ป้องกันตัว และถามด้วยความตั้งใจ

ดังนั้นคุณอย่ารอให้คนลาออกก่อนแล้วค่อยรู้ว่า
เขาไม่ได้ต่อต้าน เขาแค่ หมดหวังว่าการพูดจะเปลี่ยนอะไรได้ :)

เมื่อการลาออก ไม่ใช่แค่เรื่องของคน แต่เป็นเรื่องของ "เงิน" ที่บริษัทต้องจ่ายแพง!คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมพนักงานดี ๆ ถึงเดิน...
12/06/2025

เมื่อการลาออก ไม่ใช่แค่เรื่องของคน แต่เป็นเรื่องของ "เงิน" ที่บริษัทต้องจ่ายแพง!

คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมพนักงานดี ๆ ถึงเดินจากไป? หลายครั้งไม่ใช่เพราะเงินเดือนน้อยกว่า หรือเจอโอกาสที่ดีกว่า แต่เป็นเพราะ "เข้ากับทีมไม่ได้" หรือ "เคมีไม่ตรงกับหัวหน้า" นั่นแหละที่เป็นปัญหาใหญ่!

งานวิจัยจากจุฬาฯ เองก็ชี้ว่า ความสบายใจกับวัฒนธรรมองค์กรและพฤติกรรมของหัวหน้า มีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจลาออกของพนักงานใหม่ในบริษัทไทย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีงานวิจัยที่บอกว่า "ความเข้ากันได้ระหว่างบุคคลกับกลุ่ม" และ "ความเข้ากันได้ระหว่างบุคคลกับหัวหน้า" มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการลาออกของพนักงานใน SME ไทย โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y ที่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนจากหัวหน้าเป็นพิเศษ!

คุณรู้ไหมว่าการลาออก 1 ครั้ง บริษัทต้องจ่ายแพงแค่ไหน?
การที่พนักงานคนหนึ่งเดินออกไป ไม่ได้จบแค่การเซ็นใบลาออก แต่มันคือ "ค่าใช้จ่ายมหาศาล" ที่บริษัทต้องแบกรับ:

- ค่าสรรหาและคัดเลือก: ตั้งแต่ค่าประกาศรับสมัคร, ค่าเสียเวลาของ HR ในการสัมภาษณ์, ค่าใช้จ่ายในการทดสอบต่าง ๆ
- ค่าเสียโอกาส: ตำแหน่งที่ว่างลงหมายถึงงานที่ค้าง, โปรเจกต์ที่ล่าช้า หรือลูกค้าที่อาจจะไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร
- ค่าฝึกอบรม: พนักงานใหม่ต้องใช้เวลาเรียนรู้งาน ค่าใช้จ่ายในการเทรนนิ่ง และเวลาของพนักงานคนอื่นที่ต้องมาสอนงาน
- ผลิตภาพที่ลดลง: พนักงานใหม่ยังไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่ ทำให้ผลิตภาพโดยรวมของทีมลดลงในช่วงแรก
- ผลกระทบต่อขวัญกำลังใจ: การลาออกบ่อย ๆ อาจทำให้พนักงานที่เหลือรู้สึกไม่มั่นคงและลดขวัญกำลังใจในการทำงาน

บางแหล่งประเมินว่าค่าใช้จ่ายในการหาคนมาทดแทนพนักงานหนึ่งคนอาจสูงถึง 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1 ล้านบาท)! และถ้าบริษัทมีพนักงานลาออกเดือนละคน ก็หมายถึงค่าใช้จ่ายกว่า 360,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือกว่า 12 ล้านบาทเลยทีเดียว! นี่คือต้นทุนที่มองไม่เห็น แต่เป็นของจริงที่กัดกินผลกำไรของบริษัทไปเรื่อย ๆ

"คนไทยไม่ค่อยพูดกัน...รู้ตัวอีกทีก็ลาออกไปแล้ว"

นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นบ่อยในสังคมไทย ที่เน้นความกลมกลืนและเลี่ยงการเผชิญหน้า ทำให้วัฒนธรรมการสื่อสารในที่ทำงานค่อนข้างอ้อมค้อมและไม่ค่อยเปิดอก เวลาพนักงานมีปัญหากับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน แทนที่จะพูดตรง ๆ กลับเลือกที่จะเก็บไว้ในใจ รอจนถึงจุดที่ทนไม่ไหว แล้วก็ยื่นใบลาออกไปแบบไม่บอกล่วงหน้า ทำให้หลายครั้งหัวหน้ามารู้ตัวอีกทีก็สายไปแล้ว

สร้างวัฒนธรรมใหม่: "หัวหน้าต้องเปิดใจ พนักงานต้องกล้าพูด"
เพื่อลดการลาออกที่แพงแสนแพงนี้ หัวหน้ามีบทบาทสำคัญมากในการสร้าง "พื้นที่ปลอดภัย" ให้พนักงานได้แสดงออกอย่างเปิดอก ไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่รวมถึงเรื่องความรู้สึกและสภาพจิตใจด้วย

องค์กรใหญ่ ๆ ในต่างประเทศนิยมใช้การประชุมที่เรียกว่า "1-on-1 (วัน-ออน-วัน)" ซึ่งเป็นการพูดคุยตัวต่อตัวระหว่างหัวหน้ากับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเดือนละครั้ง หรือถี่กว่านั้น เพื่อเช็คอินสภาพจิตใจ ถามไถ่ถึงปัญหาและอุปสรรคที่พนักงานเจอ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวที่อาจส่งผลต่องาน

5 คำถามดีๆ ที่หัวหน้าควรใช้ใน 1-on-1 เพื่อป้องกันการลาออก:

1. "ช่วงนี้มีอะไรที่คุณรู้สึกติดขัด หงุดหงิด หรือเป็นกังวลเป็นพิเศษบ้างไหม ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว?" (ช่วยเปิดโอกาสให้พนักงานระบาย)

2. "มีอะไรที่พี่ (ในฐานะหัวหน้า) สามารถทำได้ดีขึ้นเพื่อซัพพอร์ตคุณได้บ้าง?" (เปิดรับ Feedback สร้างความไว้วางใจ)

3. "มีเป้าหมายการพัฒนาตัวเองอะไรบ้างที่อยากจะเน้นในช่วงนี้ หรืออยากเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมไหม?" (แสดงความสนใจในการเติบโตของพนักงาน)

4. "ตอนนี้มีอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกเบื่อ หมดไฟ หรืออยากจะปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานบ้างไหม?" (เช็คสุขภาพใจและแก้ไขปัญหาเชิงรุก)

5. "มีอะไรอีกไหมที่คุณอยากคุย หรือสิ่งที่เราไม่ได้พูดถึงที่ผม/หนูควรรู้?" (เปิดช่องให้พนักงานพูดเรื่องที่สำคัญแต่ไม่กล้าเปิดประเด็น)

การลงทุนในความสัมพันธ์และการสื่อสารที่เปิดเผย ไม่ใช่แค่การประหยัดเงินค่าใช้จ่ายในการหาคนใหม่ แต่คือการลงทุนใน "ความสุข" และ "ประสิทธิภาพ" ของพนักงานทุกคนในองค์กรต่างหาก

หากคุณสนใจอยากคุยกับลูกน้อง เรามีชุดคำถาม 1-on-1 เพิ่มเติมกว่า 150 คำถาม ที่ช่วยให้คุณเป็นหัวหน้าที่ดีขึ้นและสร้างทีมที่แข็งแกร่งได้ง่าย ๆ แอดไลน์ ได้เลย!
https://lin.ee/oLhOqJK

🔎 4 สาเหตุหลักที่ทำให้ 1-on-1 ไม่มีประสิทธิภาพ1. ไม่มีโครงสร้าง หรือวัตถุประสงค์ชัดเจนหลายครั้ง 1-on-1 กลายเป็นการอัปเดต...
10/05/2025

🔎 4 สาเหตุหลักที่ทำให้ 1-on-1 ไม่มีประสิทธิภาพ

1. ไม่มีโครงสร้าง หรือวัตถุประสงค์ชัดเจน
หลายครั้ง 1-on-1 กลายเป็นการอัปเดตงานแบบซ้ำซาก ไม่ได้แตะเรื่องที่สำคัญจริง เช่น ความรู้สึก ความสัมพันธ์ หรืออุปสรรคที่ซ่อนอยู่

2. หัวหน้าไม่มีทักษะการตั้งคำถาม
หัวหน้าส่วนมากไม่เคยได้รับการเทรนเรื่อง “การฟังเชิงลึก” หรือ “การเปิดบทสนทนา” ส่งผลให้คำถามมักวนอยู่กับ KPI หรือ “งานเดินถึงไหนแล้ว?”

3. ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยให้พูดตรงๆ
จากงานวิจัยของ McKinsey พบว่า ทีมที่มี psychological safety สูง มี productivity สูงขึ้นถึง 12% และ turnover ต่ำลง 27%
แต่การจะสร้างพื้นที่แบบนั้น ต้องเริ่มจากวิธีถามและวิธีฟังที่ไว้ใจได้

4. พูดไม่ตรงจุดเพราะไม่มีเครื่องมือ
การขาด “ตัวช่วย” เช่น prompt card หรือคำถามนำ ทำให้การสนทนาวกไปวนมา ไม่เข้าเป้า และไม่ต่อยอดอะไรเลย

✅ ทางออก: 1-on-1 ที่ดี ไม่ได้ยาก แต่ต้อง “ตั้งใจ” และ “มีเครื่องมือ”
เริ่มต้นด้วยคำถามที่ดี เช่น
“ฉันกำลังเสียเวลาไปกับอะไร?”
“เราจะสร้างแรงบันดาลใจให้ทีมได้อย่างไร”

ใช้เครื่องมืออย่าง prompt card เพื่อช่วยเปิดบทสนทนาเชิงลึก โดยไม่ต้องฝืนธรรมชาติ
เปลี่ยน 1-on-1 ให้เป็นพื้นที่ของความเข้าใจ ไม่ใช่แค่การรายงานผล
เพราะ 1-on-1 ที่ดีคือ การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด ในการรักษาคนที่ดีให้อยู่กับเราให้นานขึ้น

ไม่ว่าใครก็เคยเจอวันที่ใจร้าวและต้องการเยียวยาบทความนี้แบ่งปัน 3 เทคนิคที่ช่วยฮีลตัวเองมาเรียนรู้วิธีเปลี่ยนการพูดกับตัว...
20/03/2025

ไม่ว่าใครก็เคยเจอวันที่ใจร้าวและต้องการเยียวยา
บทความนี้แบ่งปัน 3 เทคนิคที่ช่วยฮีลตัวเอง
มาเรียนรู้วิธีเปลี่ยนการพูดกับตัวเอง ปฏิบัติต่อตัวเองอย่างเพื่อนรัก และเข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของตัวคุณ ที่เหนือกว่างาน ❤️

อ่านได้ที่ https://shorturl.at/BhaiP

คุณเข้ากันได้ดีกับลูกน้องได้แค่ไหน?คุณรู้ได้อย่างไรว่าลูกน้องบอกคุณทุกอย่าง?ลองซื้อชุดคำถามไปให้น้องสิ! การ์ดทั้ง 150 คำ...
04/03/2025

คุณเข้ากันได้ดีกับลูกน้องได้แค่ไหน?
คุณรู้ได้อย่างไรว่าลูกน้องบอกคุณทุกอย่าง?

ลองซื้อชุดคำถามไปให้น้องสิ!
การ์ดทั้ง 150 คำถามนี้เป็นคำถามที่น้องจะสามารถตั้งคำถามกับคุณได้อย่างมั่นใจ มีความมืออาชีพ และช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในออฟฟิส

โดยการ์ดจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อยด้วยกัน
Feedback: สนทนาเพื่อถามฟีดแบ็คการทำงาน
Collaboration: ค้นหาสิ่งที่ลูกน้องและหัวหน้ามีร่วมกัน
Growth: เชื่อมโยงการพัฒนาของน้องกับทีม

วิธีการใช้

1) หัวหน้าแนะนำการ์ดให้น้อง พร้อมกับนัดคุยในช่วงเวลาที่สะดวก เช่น ช่วงเวลาประเมิน หรือแม้แต่ชวนดื่มกาแฟด้วยกัน
2) ลูกน้องรีวิวคำถามทั้งหมดในกล่อง ในเวลาส่วนตัว
2) เลือก 4-5 คำถามที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตัวเอง
3) นำลูกน้องคำถามที่เลือกไปคุยกับหัวหน้ากันอย่างเปิดใจ

สิ่งที่จะคุณและน้องได้:
- ค้นหา common ground ระหว่างกัน เพื่อสร้างรากฐานที่ดีในการทำงานด้วยกัน
- เข้าใจความคิดและความต้องการของลูกน้อง และหาวิธีที่จะช่วยสนับสนุนพวกเขา ❤️

สั่งซื้อได้กับแอดมิน หรือชอปปี้เลย!
https://shopee.co.th/product/221923504/27325673907/

หัวหน้าที่ดีไม่ใช่แค่คนที่มอบหมายงานให้ทีม แต่ต้องสามารถช่วยทีมจัดลำดับความสำคัญของงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในแต่ละ...
19/02/2025

หัวหน้าที่ดีไม่ใช่แค่คนที่มอบหมายงานให้ทีม แต่ต้องสามารถช่วยทีมจัดลำดับความสำคัญของงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในแต่ละวัน ทีมต้องเผชิญกับงานหลายอย่างที่เข้ามาพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์หลัก งานเร่งด่วน หรือคำขอจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) หากไม่มีการจัดลำดับความสำคัญอย่างเหมาะสม ทีมอาจเสียเวลาไปกับงานที่ไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่แท้จริง หรือทำให้เกิดภาระงานที่หนักเกินไปจนส่งผลต่อคุณภาพงานโดยรวม หัวหน้าที่สามารถช่วยให้ทีมโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญที่สุด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความเครียด และทำให้ทีมสามารถส่งมอบงานที่มีคุณค่าได้มากขึ้น

การจัดลำดับความสำคัญไม่ใช่แค่การเลือกว่างานไหนควรทำก่อนหรือหลัง แต่ต้องพิจารณาถึงผลกระทบของงานแต่ละชิ้น รวมถึงการบริหารความคาดหวังของผู้ที่เกี่ยวข้อง หลายครั้งทีมต้องเผชิญกับความต้องการที่ขัดแย้งกันจากหลายฝ่าย เช่น ฝ่ายบริหารต้องการให้โปรเจกต์เสร็จเร็วขึ้น ในขณะที่ทีมพัฒนาอาจต้องการเวลามากขึ้นเพื่อให้ได้คุณภาพที่ดี หัวหน้าที่ดีต้องสามารถสื่อสารกับทั้งสองฝ่าย จัดการความคาดหวัง และหาจุดสมดุลที่ทำให้ทั้งทีมและองค์กรได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

นอกจากนี้ หัวหน้าที่ดีต้องสามารถให้แนวทางที่ชัดเจนกับทีม ไม่ใช่แค่ปล่อยให้ทีมตัดสินใจเองโดยไม่มีทิศทาง เพราะหากทีมไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน การตัดสินใจเรื่องลำดับความสำคัญก็จะยิ่งยากขึ้น หัวหน้าต้องช่วยกำหนดว่าเป้าหมายหลักของทีมคืออะไร อะไรคือสิ่งที่ต้องทำทันที และอะไรที่สามารถรอได้ สิ่งนี้ช่วยให้ทีมสามารถทำงานอย่างมั่นใจ และไม่รู้สึกกดดันกับภาระงานที่เข้ามา

สุดท้าย การจัดลำดับความสำคัญที่ดีช่วยให้ทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดภาระงานที่ไม่จำเป็น หัวหน้าที่เข้าใจวิธีบริหารเวลาและทรัพยากรจะสามารถสร้างทีมที่ทำงานได้อย่างคล่องตัว ลดความเหนื่อยล้า และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว ดังนั้น การเป็นหัวหน้าที่ดีไม่ได้หมายถึงการเป็นคนที่ขยันที่สุดหรือทำงานหนักที่สุด แต่หมายถึงการเป็นคนที่สามารถช่วยให้ทีมทำงานได้อย่างฉลาด และสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยู่

Working On It คือใคร? 👀
09/02/2025

Working On It คือใคร? 👀

เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ด้วยกำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง 🌞✨"หลายคนอาจไม่เคยลองพูดกับตัวเองด้วย "การยืนยันความคิดเชิงบวก" หรือ Affirma...
09/02/2025

เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ด้วยกำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง 🌞✨"

หลายคนอาจไม่เคยลองพูดกับตัวเองด้วย "การยืนยันความคิดเชิงบวก" หรือ Affirmation แต่รู้ไหมว่ามันช่วยได้มาก โดยเฉพาะเวลาที่เรามีความกังวลเกี่ยวกับงานหรือความท้าทายต่างๆ ในชีวิต

การทำ Affirmation คือการพูดคำดีๆ ให้ตัวเองฟัง เช่น
💬 "วันนี้ฉันจะรับมือกับทุกสิ่งได้ดี"
💬 "ฉันเก่งและมีคุณค่าในแบบของตัวเอง"
💬 "ฉันจะทำงานวันนี้อย่างมั่นใจและสงบ"

การพูด Affirmation ตอนเช้าเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยตั้งโทนความคิดและอารมณ์ของวันให้เป็นไปในเชิงบวก เหมือนเราเติมกำลังใจให้ตัวเองก่อนเริ่มต้นวันใหม่

✨ ลดความเครียดและความกังวล
✨ ช่วยให้สมองจดจ่อกับพลังงานด้านบวก
✨ สร้างความมั่นใจและเสริมความพร้อมในการทำงาน

ลองหาเวลาสัก 2-3 นาทีตอนเช้า หน้ากระจกหรือที่ใดก็ได้ แล้วพูด Affirmation ดีๆ กับตัวเอง อย่าลืมเลือกคำที่เหมาะกับคุณกันเลย!

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Working On Itผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์