12/06/2025
เมื่อการลาออก ไม่ใช่แค่เรื่องของคน แต่เป็นเรื่องของ "เงิน" ที่บริษัทต้องจ่ายแพง!
คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมพนักงานดี ๆ ถึงเดินจากไป? หลายครั้งไม่ใช่เพราะเงินเดือนน้อยกว่า หรือเจอโอกาสที่ดีกว่า แต่เป็นเพราะ "เข้ากับทีมไม่ได้" หรือ "เคมีไม่ตรงกับหัวหน้า" นั่นแหละที่เป็นปัญหาใหญ่!
งานวิจัยจากจุฬาฯ เองก็ชี้ว่า ความสบายใจกับวัฒนธรรมองค์กรและพฤติกรรมของหัวหน้า มีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจลาออกของพนักงานใหม่ในบริษัทไทย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีงานวิจัยที่บอกว่า "ความเข้ากันได้ระหว่างบุคคลกับกลุ่ม" และ "ความเข้ากันได้ระหว่างบุคคลกับหัวหน้า" มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการลาออกของพนักงานใน SME ไทย โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y ที่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนจากหัวหน้าเป็นพิเศษ!
คุณรู้ไหมว่าการลาออก 1 ครั้ง บริษัทต้องจ่ายแพงแค่ไหน?
การที่พนักงานคนหนึ่งเดินออกไป ไม่ได้จบแค่การเซ็นใบลาออก แต่มันคือ "ค่าใช้จ่ายมหาศาล" ที่บริษัทต้องแบกรับ:
- ค่าสรรหาและคัดเลือก: ตั้งแต่ค่าประกาศรับสมัคร, ค่าเสียเวลาของ HR ในการสัมภาษณ์, ค่าใช้จ่ายในการทดสอบต่าง ๆ
- ค่าเสียโอกาส: ตำแหน่งที่ว่างลงหมายถึงงานที่ค้าง, โปรเจกต์ที่ล่าช้า หรือลูกค้าที่อาจจะไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร
- ค่าฝึกอบรม: พนักงานใหม่ต้องใช้เวลาเรียนรู้งาน ค่าใช้จ่ายในการเทรนนิ่ง และเวลาของพนักงานคนอื่นที่ต้องมาสอนงาน
- ผลิตภาพที่ลดลง: พนักงานใหม่ยังไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่ ทำให้ผลิตภาพโดยรวมของทีมลดลงในช่วงแรก
- ผลกระทบต่อขวัญกำลังใจ: การลาออกบ่อย ๆ อาจทำให้พนักงานที่เหลือรู้สึกไม่มั่นคงและลดขวัญกำลังใจในการทำงาน
บางแหล่งประเมินว่าค่าใช้จ่ายในการหาคนมาทดแทนพนักงานหนึ่งคนอาจสูงถึง 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1 ล้านบาท)! และถ้าบริษัทมีพนักงานลาออกเดือนละคน ก็หมายถึงค่าใช้จ่ายกว่า 360,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือกว่า 12 ล้านบาทเลยทีเดียว! นี่คือต้นทุนที่มองไม่เห็น แต่เป็นของจริงที่กัดกินผลกำไรของบริษัทไปเรื่อย ๆ
"คนไทยไม่ค่อยพูดกัน...รู้ตัวอีกทีก็ลาออกไปแล้ว"
นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นบ่อยในสังคมไทย ที่เน้นความกลมกลืนและเลี่ยงการเผชิญหน้า ทำให้วัฒนธรรมการสื่อสารในที่ทำงานค่อนข้างอ้อมค้อมและไม่ค่อยเปิดอก เวลาพนักงานมีปัญหากับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน แทนที่จะพูดตรง ๆ กลับเลือกที่จะเก็บไว้ในใจ รอจนถึงจุดที่ทนไม่ไหว แล้วก็ยื่นใบลาออกไปแบบไม่บอกล่วงหน้า ทำให้หลายครั้งหัวหน้ามารู้ตัวอีกทีก็สายไปแล้ว
สร้างวัฒนธรรมใหม่: "หัวหน้าต้องเปิดใจ พนักงานต้องกล้าพูด"
เพื่อลดการลาออกที่แพงแสนแพงนี้ หัวหน้ามีบทบาทสำคัญมากในการสร้าง "พื้นที่ปลอดภัย" ให้พนักงานได้แสดงออกอย่างเปิดอก ไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่รวมถึงเรื่องความรู้สึกและสภาพจิตใจด้วย
องค์กรใหญ่ ๆ ในต่างประเทศนิยมใช้การประชุมที่เรียกว่า "1-on-1 (วัน-ออน-วัน)" ซึ่งเป็นการพูดคุยตัวต่อตัวระหว่างหัวหน้ากับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเดือนละครั้ง หรือถี่กว่านั้น เพื่อเช็คอินสภาพจิตใจ ถามไถ่ถึงปัญหาและอุปสรรคที่พนักงานเจอ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวที่อาจส่งผลต่องาน
5 คำถามดีๆ ที่หัวหน้าควรใช้ใน 1-on-1 เพื่อป้องกันการลาออก:
1. "ช่วงนี้มีอะไรที่คุณรู้สึกติดขัด หงุดหงิด หรือเป็นกังวลเป็นพิเศษบ้างไหม ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว?" (ช่วยเปิดโอกาสให้พนักงานระบาย)
2. "มีอะไรที่พี่ (ในฐานะหัวหน้า) สามารถทำได้ดีขึ้นเพื่อซัพพอร์ตคุณได้บ้าง?" (เปิดรับ Feedback สร้างความไว้วางใจ)
3. "มีเป้าหมายการพัฒนาตัวเองอะไรบ้างที่อยากจะเน้นในช่วงนี้ หรืออยากเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมไหม?" (แสดงความสนใจในการเติบโตของพนักงาน)
4. "ตอนนี้มีอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกเบื่อ หมดไฟ หรืออยากจะปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานบ้างไหม?" (เช็คสุขภาพใจและแก้ไขปัญหาเชิงรุก)
5. "มีอะไรอีกไหมที่คุณอยากคุย หรือสิ่งที่เราไม่ได้พูดถึงที่ผม/หนูควรรู้?" (เปิดช่องให้พนักงานพูดเรื่องที่สำคัญแต่ไม่กล้าเปิดประเด็น)
การลงทุนในความสัมพันธ์และการสื่อสารที่เปิดเผย ไม่ใช่แค่การประหยัดเงินค่าใช้จ่ายในการหาคนใหม่ แต่คือการลงทุนใน "ความสุข" และ "ประสิทธิภาพ" ของพนักงานทุกคนในองค์กรต่างหาก
หากคุณสนใจอยากคุยกับลูกน้อง เรามีชุดคำถาม 1-on-1 เพิ่มเติมกว่า 150 คำถาม ที่ช่วยให้คุณเป็นหัวหน้าที่ดีขึ้นและสร้างทีมที่แข็งแกร่งได้ง่าย ๆ แอดไลน์ ได้เลย!
https://lin.ee/oLhOqJK