บทที่ ๒

บทที่ ๒ ความรู้ที่น่าสนใจทางสังคมศาสตร์ มน

บทที่ ๒ ในเล่มวิทยานิพนธ์ทางด้านสังคมศาสตร์ก็คือส่วนที่ว่าด้วยการทบทวนวรรณกรรม เพจนี้จึงนำเอา สิ่งที่จะอ้างอิงในบทที่ ๒ ได้มารวบรวมไว้ เพื่อเป็นการแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ มานุษยวิทยา ปรัชญา และสาขาอื่นๆ เหมือนเป็นคลังบัตรคำ ที่สามารถนำไปอ้างอิงในเรื่องที่กำลังเขียนในวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ได้
อะไรบ้างที่อยู่ในบทที่ ๒
- นิยาม คำอธิบาย เกี่ยวกับคำสำคัญ แนวคิดต่างๆ ในทางสังคมศา

สตร์
- ข้อมูลใหม่ๆ จากการวิจัย
- ความคิดเห็น ข้อสรุปของนักวิชาการต่อประเด็นต่างๆ
ทั้งนี้ บทที่ ๒ ยังต้องการอาสาสมัครร่วมลงขันจากนักวิชาการที่ท่านมีโอกาสอ่านหนังสือต่างๆ ที่จะสามารถเติมเต็มคลังแหล่งอ้างอิงบทที่ ๒ ได้ เชิญมาร่วมเป็นแอดมินกับเรา หรือหากมีข่าวสารการประชุมวิชาการที่น่าสนใจสามารถฝากแชร์ได้ ทางบทที่ ๒ มีความยินดีที่จะสร้างสังคมของการแบ่งปันในด้านวิชาการอย่างยิ่ง

หลาย ๆ ครั้งที่เห็นเพื่อนในโซเชียลที่เรียนระดับบัณฑิตศึกษาบ่นโอดครวญเมื่อจะต้องแก้เล่มธีซิส แอดก็มาคิดเสมอว่ามันเกิจากอะ...
23/10/2022

หลาย ๆ ครั้งที่เห็นเพื่อนในโซเชียลที่เรียนระดับบัณฑิตศึกษาบ่นโอดครวญเมื่อจะต้องแก้เล่มธีซิส แอดก็มาคิดเสมอว่ามันเกิจากอะไร ทำไมถึงทุขเวทนากันขนาดนั้นกับการทำธีซิส ? สำหรับแอดอยากจะขอแชร์ว่าระหว่างทำเล่มได้เกิดจุดเปลี่ยนในวิธีคิดที่สำคัญมากและทำให้หลังจากที่เปลี่ยนความคิดได้ก็ทำงานได้อย่างสบายใจ ความคิดนั้นคือ "เล่มมันเป็นของทุกคนนี่นา" ไม่ใช่ของเราคนเดียว
ทุกคนที่ว่านี้คือใคร สำคัญสุดก็คือท่านที่ปรึกษาฯ และรองลงมาก็คณะกรรมการเปิด-ปิด เล่ม จะ 2 คน 3 คน 4 คนก็ว่าไป รวม ๆ แล้วคือเล่มเป็นของพวกเราทั้งหมดนี่แหละ เราทำงานกันเป็นทีม เหมือน ที่ปรึกษาฯ เป็นหัวหน้า กรรมการเป็นกรรมการคอนซัลท์ (สมมติเป็นบริษัทเล็ก ๆ) ส่วนเรา เปลี่ยนจาก "กูผู้เป็นเจ้าของโปรเจค" มาเป็น "พนักงานผู้ดำเนินการ" ไปแทน
สำหรับแอดแล้วการโพสิชั่นตัวเองแบบนี้ถูกต้องตามลำดับอำนาจที่แท้จริงในทางปฏิบัติมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด และทำให้การทำงานไหลลื่น แถมไม่ต้องหัวร้อนเพราะก่อนนั้นพอ "ธีซิสของกู" โดนคอมเมนต์ก็พลอยเกิดความรู้สึกว่า "กูโดนคอมเมนต์" ไปด้วย ทั้ง ๆ ที่ ที่ปรึกษาและกรรมการทุกคนที่ต้องใส่ชื่อลงไปในเล่มเขาก็มีหน้าที่ต้องรักษาคุณภาพงานที่จะส่งผลไปยังชื่อเสียงของเขาเช่นกัน
ก็ลองนำไปปรับใช้ดูนะ แอดอยากอวยพรให้ นศ ป.โท ป.เอก ทุกท่านเรียนจบโดยไม่ต้องเครียดหรือมีโทสะซึ่งไม่เห็นมีข้อดีตรงไหนเลย โชดีจ่ะ

ว่าด้วยความสุข (อันเป็นสิ่งสัมพัทธ์) -- ชิเชค
22/03/2022

ว่าด้วยความสุข (อันเป็นสิ่งสัมพัทธ์) -- ชิเชค

Happy brithday also Monday Na! Slavoj Žižek

ทุกท่านสามารถแวะเข้าไปอ่านบทความของเรา ว่าด้วยเรื่องของความสุข ที่เรานำแนวคิดของ Slavoj Žižek มาใช้ในการวิเคราะห์ได้

ว่าด้วยเรื่องความสุข (Happy)

เมื่อเราทำความเข้าใจกับความหมายของชีวิตในมิติทางปรัชญาแล้ว อีกส่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะนำพาท่านเข้าไปทำความรู้จักผ่าน การนำเสนอผ่านโลกของปรัชญาอีกเรื่องนั่นคือ "ความสุข"

บทความนี้เป็นบทความจากอดีตสมาชิกกลุ่มศึกษาฯ

ทำไม "ความสุข"จึงไม่อาจเป็นความหมายในชีวิตได้ในตัวมันเอง ?

อันดับแรกในการเข้าใจ “ความสุข” ก็ คือ
เราไม่สามารถที่จะเข้าถึง “ความสุข” ได้โดยไม่มี “ความทุกข์” เป็นส่วนประกอบ

เพราะยิ่งภาวะที่เราห่างไกลจาก “ความสุข” เราจะเรียกมันว่า “ความทุกข์” และในทางกลับกัน ภาวะที่เรารู้สึกห่างไกลจาก
“ความทุกข์” ยิ่งมากเท่าใดก็ยิ่งเข้าใกล้ “ความสุข” มากเท่านั้น

ตัวอย่างนึงที่ นักปรัชญาร่วมสมัยที่โด่งดังในฉายา “Rockstar philosopher” อย่าง
Slavoj Žižek ได้ชี้ให้เห็นในบทความหนึ่งของเขาเกี่ยวกับเรื่อง “ความสุข” ว่า ....

“ในประเทศอย่าง เชคโกสโลวาเกีย ในช่วงปลายของยุค 1970s และ 1980s ผู้คนในประเทศนั้น “มีความสุข” กันอย่างมากเพราะ 3 เงื่อนไขแห่งความสุขได้รับการเติมเต็ม

1. ความต้องการทางวัตถุได้รับการเติมเต็มแต่ต้องไม่ถึงกับ “เติมจนล้น” เพราะการบริโภค
ที่เกินขอบเขตนั้นจะสร้างความทุกข์ขึ้นมาได้

การที่เราได้เผชิญกับความขาดแคลนของสิ่งอุปโภคบริโภคบ้าง นั้นเป็นสิ่งที่ดี เช่น ไม่มีกาแฟให้ซื้อในบางวัน จากนั้นก็ไม่มีเนื้อวัวให้ซื้อ จากนั้นอีกก็ไม่มี TV ให้ดู ฯลฯ สภาวะขาดแคลนที่
“โผล่มาเป็นพักๆ” แบบนี้เป็นเครื่องเตือนใจแก่ประชาชนเป็นอย่างดีว่า ช่วงเวลาที่
สิ่งอุปโภคบริโภคนั้น “ไม่ขาดแคลน” เป็นช่วงเวลาที่แสนพิเศษแค่ไหน!

ถ้าหากสิ่งของเหล่านี้ไม่เคยจะขาดแคลนเลย มีให้ซื้ออยู่ตลอด ในเวลาต่อมา
”ความไม่ขาดแคลน” นี้จะกลายเป็น “หลักฐาน” ที่ช่วยยืนยันว่า “ความไม่ขาดไม่แคลน” นั้นเป็นเรื่อง “ปกติ” และผู้คนจะไม่รู้สึกยินดีกับ “โชคดี” (ความไม่ขาดแคลน) ที่พวกเขาได้รับ

2. ผู้คนในเชคโกสโลวาเกียสมัยนั้นมี “พวกมัน” ให้กล่าวโทษอยู่ตลอด “พวกมัน” ในที่นี้
นั่นคือ พรรครัฐบาลอันเป็นเผด็จการพรรคเดียวที่บริหารประเทศอยู่ ดังนั้นไม่ว่า
จะเกิดเหตุร้ายอะไร จะเป็นการขาดแคลนสิ่งของอุปโภคบริโภคอยู่เป็นประจำ หรือ แม้แต่พายุหิมะถล่มเมือง ทั้งหมดเป็นความผิดของ “พวกมัน” (พรรครัฐบาล)

สิ่งนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกต้องรับผิดชอบน้อยลง (แน่นอนว่าทำให้รู้สึกผิดน้อยลงด้วย – ผู้แปล)

3. และอย่างสุดท้าย มันมี “สถานที่อื่น” ( ซึ่งก็คือโลกทุนนิยม,บริโภคนิยมตะวันตก ในขณะนั้นที่เป็นช่วงสงครามเย็นเชคโกฯ ไม่ได้ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีที่จะได้มีสินค้าอู้ฟู่หลากหลายแบบให้เลือกซื้อ ) ซึ่งผู้คน (ในเชคโกฯ) จะได้มีไว้ “ใฝ่ฝันถึง” หรือ ถึงขั้นได้ไปเยี่ยมเยือนในบางโอกาส (ไปเที่ยวประเทศทุนนิยมเสรี) “สถานที่อื่น” ดังกล่าวนั้นอยู่ในระยะที่ไม่ใกล้และไม่ไกลจนเกินไป ..

แต่ความสมดุลดังกล่าวนั้นถูกรบกวน โดยอะไร ? ก็โดย “ความปรารถนา” (Desire) ยังไงล่ะ! ความปราถนาคือพลังที่ขานเรียกให้ผู้คนลุกขึ้นสู้ แล้วก้าวต่อไป (ก้าวไปยัง ระบบใหม่ ที่ตัวเองปรารถนามากกว่า) และจบลงด้วยการได้ระบบที่ผู้คนส่วนใหญ่นั้น แน่นอนว่ามีความสุขน้อยกว่า...(หมายถึงระบบทุนนิยมเสรี) “
(ลิงค์อ้างอิงอยู่ที่ท้ายบทความ)

เผื่อถ้ายังมีใครงงๆ อยู่ผมขอสรุปให้อีกครั้งด้วย 3 เงื่อนไขนี้ .. อันได้แก่

1.การมีสิ่งของอุปโภคบริโภคที่ขาดแคลนบ้างเป็นพัก ๆ
เป็นการรักษาจังหวะแห่งความสุขทุกข์ ให้ไม่ขาดไม่เกิน

2. มี “สิ่งอื่น-คนพวกอื่น” ให้เราได้ “โยนความผิดให้”
ทำให้เราไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรกับตัวเองและสังคม เมื่อเกิดเรื่องแย่ๆขึ้น

3. มี “สังคมอื่น” ที่ดีกว่า ให้เราได้ “ใฝ่ฝัน” ถึง
การมีความหวังการวิ่งตามความฝันนั้นทำให้เรามีความสุข

เป็นองค์ประกอบสำคัญของ “ความสุข” ของมนุษย์ เพราะอย่างงั้นการตั้งเป้าหมายในชีวิตว่า
“จะมุ่งหาแต่ความสุข”
หรือ
“เพราะมีความสุข ชีวิตจึงมีความหมาย ” จึงเป็นการตั้งอยู่บนฐานของการไม่เข้าใจกลไกการทำงานของสิ่งที่เรียกว่า “ความสุข”

ไม่ต่างอะไรกับการคิดว่า เราจะสามารถกินบุฟเฟ่ต์ร้านโปรดของเราได้เป็นวัน ๆ โดยไม่ต้องมีเวลาให้ร่างกายได้พักย่อย รึไม่ต้องมีช่วงเวลาของความ “คิดถึงและใฝ่ฝัน” ถึงเมนูโปรดของเรา

อ่ะ โอเค เข้าใจแล้วว่า ชีวิตจำเป็นต้องมีความหมาย ให้ได้ฝันใฝ่ที่จะไปถึง
ถ้ายังงั้นแล้วเราควรจะตั้งความหมายว่าอย่างไรกันล่ะ ?

ผมคิดว่าการตั้งเป้าหมายของชีวิต หรือ ความหมายของชีวิตคนเรามันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว
ดังนั้นผมเสนอว่าเราควรจะตั้งมันอยู่บนฐานของ “ความจริงชั่วคราว / ความจริงเฉพาะบริบท”

เราจะตั้งมันให้มีความหมายได้เท่าไร สิ่งที่จะ “บงการ” คุณคือ “ความรู้” ที่คุณมีอยู่

ตัวอย่าง เช่น คนที่ไม่ได้รู้เรื่องของระบบเศรษฐกิจการเมืองบ้าง อาจมีความใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นมหาเศรษฐี , ผู้มีอำนาจ (หรือเผด็จการเลยยิ่งดี) เพื่อที่จะได้นำเอาอำนาจและเงินตรานั้น ไปแจกจ่ายให้แก่ผู้คนยากไร้ให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น
หรือ ใฝ่ฝันถึงการมีรัฐบาลที่เป็น “คนดี” ที่ต่อมาจะหวังดี และ “ทำดี” ต่อประชาชน

ในขณะที่คนที่รู้เรื่องเศรษฐกิจการเมืองขึ้นมา อาจใฝ่ฝันถึง “ระบบของเศรษฐกิจการเมือง” ที่จะสร้างชีวิตที่ดีให้กับผู้คน (รวมถึงตัวเองได้) โดยระบบดังกล่าวจะต้อง ยืนอยู่บนพื้นฐานของ “ความจริง” (ความจริง ซึ่งถูกกำหนดด้วยความรู้) และความที่มันเป็น “ความใฝ่ฝันอันสูงส่ง” มันจะต้องเป็นระบบที่ดีที่สุด ยุติธรรมที่สุด เท่าที่มันจะเป็นได้

ส่วนเราจะซอยย่อย “เป้าหมายใหญ่” ให้กลายเป็น “ขั้นตอนเล็กๆ” อย่างไร
ค่อยว่ากันในรายละเอียดภาคปฏิบัติการณ์

“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” แต่ผู้คนที่ไม่มีความรู้ ย่อมไม่สามารถจะมี “จินตนาการ”

อย่างเช่นการ “จินตนาการ” ถึง “มิโนทอร์” (ตัวละครจากเทพนิยายกรีก ที่มีตัวเป็นคน หัวเป็นวัว) คนที่จะจินตนาการได้ คือคนที่เคยเห็นทั้ง “ตัวคน” และ “หัววัว” จากนั้นค่อยเอาความรู้ในรูปร่างทั้ง 2 นั้น มาผสมกันเป็นจินตนาการ

ความใฝ่ฝันในทางการเมืองนั้น คือ จินตนาการ นั่นเอง ที่ต้องอาศัยความรู้เป็นเนื้อดินแห่งความใฝ่ฝัน ไม่ต่างจากจินตนาการในแบบอื่น ๆ แน่ล่ะว่าคนที่ “เพ้อฝัน” ทุกคนย่อมต้องใช้จินตนาการ แต่ไม่ได้แปลว่าคนที่ จินตนาการเป็น ทุกคนจะเป็นคนเพ้อฝัน เพราะสิ่งที่จะตัดสินไม่ได้อยู่ที่ ความใหญ่ของความฝัน – ความไกลของความฝัน หากแต่อยู่ที่เราจะลงมือทำมันรึเปล่า

หากฝันใกล้ ๆ จินตนาการง่าย ๆ แต่ไม่คิดจะลงมือทำ ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรอยู่ดี

กลับกลายเป็นหลาย ๆ คนที่มีวัตถุดิบแห่งจินตนาการน้อย (ก็แปลว่ามีความรู้น้อย) กลับเป็นฝ่ายดูถูกคนที่ใฝ่ฝันได้ไกลกว่าเป็นพวก “ไม่มีความรู้” ไปเสียอีก (ตลกร้ายใช้ได้)

ถ้าหากชีวิตต้องมี “ความหมาย” ซึ่งความหมายนั้นไม่ใช่การ “มุ่งแสวงหาความสุข” แต่คือ
“หาสิ่งที่เรายอมเป็นทุกข์ “ เพื่อมัน (และเมื่อเกิดความทุกข์ขึ้น ความสุขจึงจะเกิดตามได้)

สำหรับผม ผมเลือกจะให้ความหมายของชีวิตว่า ผมต้องการให้มนุษย์มี
“ระบบเศรษฐกิจ การเมือง ที่ล้ำสมัยที่สุด เท่าที่ผมจะสามารถจินตนาการได้”

ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถจะวางใจตนเองได้ ว่า “ชุดความจริง” “ชุดคุณค่า” ที่ผมมี
มันจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ดังนั้นผมจึงพุ่งเป้าไปที่การเสาะหา “ระบบ” ที่จะสามารถนำเอา “ชุดความจริง” ของคนในสังคมมาร่วมวิเคราะห์,พิจารณาให้ได้จำนวนมากที่สุด

ระบบที่จะวางอยู่บนความต้องการของ “เสียงส่วนใหญ่”
ที่จะไม่ถูกกำหนดโดย “สิ่งมีชีวิตอื่น” – “สิ่งศักดิ์สิทธ์ หรือ สิ่งเหนือธรรมชาติ”

จะไม่ถูกกำหนดโดย “คนส่วนน้อย”
ไม่ว่าคนส่วนน้อยนั้นจะหยิบฉวยตำนานโบราณ, นิทานหลอกเด็กไหนมาตบแต่งตัวเองก็ตาม

ผมต้องการระบบ ประชาธิปไตยเพียว ๆ ที่ปราศจาก “ชุดคุณค่าอื่น” มาเจือปน
จะ “ความดี - ความชั่ว ความศักดิ์สิทธิ์ เหล่าทวยเทพ กรรมสิทธ์ส่วนบุคคล”
ล้วนเป็น “ความจริงชั่วคราว”ที่ถูกสร้างโดยคนในบริบทโลกอดีต
และมาบัดนี้ มันได้ “หมดอายุขัย”
ลงในห้วงความคิดของผมแล้ว

ผมไม่ซื้อไอเดียแบบ “ถ้าประชาธิปไตยปราศจากธรรมะแล้ว จะเลวร้ายกว่าเผด็จการ”
เพราะไม่มีระบบการปกครองไหน
จะเลวร้ายลงไปกว่าการประมวลผลข้อมูลและตัดสินใจ เพื่อผลประโยชน์ของ “คนส่วนน้อย”

ไม่ว่า “คนส่วนน้อย” นั้นจะ “ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา” จากการเป็นเทพเทวา หรือ เป็นมหาเศรษฐี ก็ไม่อาจทำให้ความคิดผมยอมสยบ

ระบบประชาธิปไตย ที่มนุษย์ทุกคนเท่าเทียม ไม่ว่าจะในทาง “ศาสนา” “การเมือง” หรือ “เศรษฐกิจ” จึงเป็นความใฝ่ฝันของผม การพยายามเพื่อสิ่งนี้ จึงมาเป็นความหมายของชีวิตผม และด้วยความหมายที่เกิดขึ้น ทำให้ผมหลุดออกจากวงจรของการตามหาความหมาย

ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกไร้ค่าไม่สิ้นสุด

“ความจริงสูงสุด” จึงไม่มี
มีเพียง “ความจริงยิ่งกว่า”
ที่จะจริงขึ้นจากการประกอบ “ความจริง”
จำนวนมากของผู้คนมาประกอบกัน

แต่ความจริงของผู้คนจะไม่สามารถถูกปลดปล่อยให้มาประกอบกันได้
หากยังมีระบบที่กดขี่ กักขังผู้คน

การต่อสู้เพื่อปลดแอกนั้น “สำหรับผม” มันจึงเป็น “ความดี”

และติดตามฟัง Podcast ของเราได้

YouTube - https://youtu.be/3OJBl99tPoE

SoundCloud - https://soundcloud.com/analysand/ep-54-th-part-1?utm_source=clipboard&utm_medium=text&utm_campaign=social_sharing

Spotify - https://open.spotify.com/episode/3wz1uxgnbKk5khzOo0vrhA?si=5a0e953dbcf3424d

26/08/2021

ช่วงนี้ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มีเสวนาหัวข้อป๊อปคัลเจอร์ที่น่าสนใจออกมาเป็นชุดเลยค่ะ ลองเข้าไปติดตามดูนะคะ

ความจริงที่มีมากกว่าหนึ่งนี้ไม่ได้ดำรงอยู่แบบพหุลักษณ์ (pluralism) ที่แต่ละสิ่งต่างแยกกันอยู่ และเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามห...
15/08/2021

ความจริงที่มีมากกว่าหนึ่งนี้ไม่ได้ดำรงอยู่แบบพหุลักษณ์ (pluralism) ที่แต่ละสิ่งต่างแยกกันอยู่ และเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามหรืออยู่ภายนอกสิ่งอื่น แต่ความจริงที่เกิดขึ้นในที่นี้ดำรงอยู่ในลักษณะทบทวี (multiplicity) กล่าวคือ ความจริงหนึ่งป็นส่วนหนึ่งของความจริงหนึ่ง และความจริงหนึ่งดำรงอยู่ได้เพราะมีความจริงอื่น ดังนั้น “สิ่งอื่น” (other) ที่เราคิดเคยว่าเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอก จริงๆ แล้วกลับอยู่ภายใน คำถามสำคัญคือความจริงเหล่านี้มีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร สิ่งเหล่านี้อยู่ร่วมกันอย่างไร ปะทะหรือหลีกเลี่ยงการปะทะกันอย่างไร เมื่อการดำรงอยู่ของความจริงหนึ่งไม่อาจตัดขาดจากความจริงอื่น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการต่อสู้ช่วงชิงการนิยามความจริงจากการปฏิบัติของผู้คนและวัตถุต่าง ๆ ซึ่งโมลเรียกว่านี่คือการเมืองของภววิทยา (ontological politic) ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่มีปลายเปิด เต็มไปด้วยการตัดสินที่ยากลำบาก (dilemmas) และอยู่ภายใต้ความตึงเครียด (Mol, 1999 อ้างถึงใน ชัชชล อัจนากิตติ, 2564: ออนไลน์)
ชัชชล อัจนากิตติ, ทฤษฎีเครือข่าย-ผู้กระทำ (Actor-Network Theory), [ออนไลน์] เข้าถึงเมื่อ 15 สิงหาคม 2564 จาก https://sac.or.th/main/th/article/detail/236?fbclid=IwAR308rmAdYlFEy0Bdhq_neFOktjjWB3Iz4Ag__I55hEorCqzL2SMqU8_uvA

ชมได้ทั้งเฟซบุ้คและซูมค่ะ https://www.facebook.com/ICHICMU/photos/a.124030476238812/232841052024420/
20/06/2021

ชมได้ทั้งเฟซบุ้คและซูมค่ะ
https://www.facebook.com/ICHICMU/photos/a.124030476238812/232841052024420/

[บทคัดย่อด้านล่าง] วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน นี้ ขอเชิญฟังบรรยายปาฐกถา ของงานประชุม "(ถอน)รากอาณานิคมทางความคิดในภาษา วรรณกรรม และวัฒนธรรมศึกษา" ในหัวข้อ "กาลานุวัตรเวลาอาณานิคมไทย: การถอนรากอาณานิคมในอนาคตอันเป็นอดีต" โดย รศ.ดร. แพร จิตติพลังศรี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสามารถรับชมได้ที่
>> page ของ The Integrative Center for Humanities Innovation นี้ หรือ
>> ลงทะเบียนเข้าร่วมการประชุมเพื่อฟังผ่าน zoom และร่วมวงเสวนาอื่น ๆ ของงานประชุม รายละเอียดเพิ่มเติม ดูได้ที่ www.cmu.to/decolonisingsymposium2021
---------
บทคัดย่อการบรรยายปาฐกถา:

ปัญหาเรื่องอาณานิคมศึกษากับประเทศไทยเป็นประเด็นถกเถียงกันมายาวนาน โดยเฉพาะในเรื่อง “ความเป็นอาณานิคม” ของไทยที่มักจะถูกปฏิเสธโดยวงการศึกษาประวัติศาสตร์กระแสหลัก อย่างไรก็ตามนักวิชาการอีกหลายสาขาในด้านไทยศึกษาก็ได้พยายามชี้ให้เห็นภาวะอาณานิคมที่ซ่อนเร้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการอธิบายถึงจินตนาการด้านพื้นที่และอาณาเขตสยามของธงชัย วินิจจะกูล (1994) ที่แสดงให้เห็นถึงการต่อรองกับอำนาจจักรวรรดินิยมตะวันตก การวิเคราะห์ภาวะอาณานิคมสยามผ่านกรอบแนวคิดเชิงมาร์กซิสต์เรื่องภาวะกึ่งอาณานิคม (Semicolonialism) ของ Peter Jackson (2007) หรือการเปรียบเทียบสยามกับภาวะอาณานิคมแฝง (Crypto-Colonialism) ในประเทศกรีซของ Michael Herzfeld (2017) ข้อเสนอเหล่านี้ได้ชี้ให้เห็นถึงภาวะความเป็นอาณานิคมที่สยามไม่อาจอ้างได้ว่าไม่เกี่ยวข้องดังที่ประวัติศาสตร์กระแสหลักพยายามจะสถาปนาขึ้น ในทางกลับกันภาวะอาณานิคมกลับมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทยในบริบทสากล ทว่ายังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ไม่ได้รับการกล่าวถึง นั่นก็คือ “มิติเวลา” ของภาวะอาณานิคมที่มีต่อประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย ด้วยความที่ไม่เคยมีการประกาศภาวะความเป็นอาณานิคมของไทยอย่างชัดแจ้งในบันทึกใดๆ จึงก่อให้เกิดปัญหาการกำกับขอบเขตของเวลา (temporal boundary) ที่จำเป็นต่อการกำหนดภาวะอาณานิคมและภาวะ “หลัง” อาณานิคม จึงทำให้ขั้นตอนต่อไปซึ่งก็คือการถอนรากอาณานิคมนั้นเป็นไปไม่ได้ไปด้วย

ในการบรรยายครั้งนี้ ผู้บรรยายจะชี้ให้เห็นถึงปัญหาของมิติเวลาที่ปรากฏในเหตุการณ์สำคัญในวรรณกรรมไทยเรื่องต่างๆ โดยการอ่านแบบถอดรื้อ (deconstruction) เพื่อเผยให้เห็นร่องรอยของการเล่น (jeu) ระหว่างสัญญะต่างๆที่พยายามกดทับหรือ “ก่อนกัก” (foreclose) ความเป็นอื่นหรืออำนาจจักรวรรดินิยม และภาวะล้นเกิน (excess) ที่ปรากฏในการสมาทานสมมูลภาพทางยุคสมัย (co-evalness) โดยเฉพาะความเป็นสมัยใหม่อย่างตะวันตก ทั้งหมดนี้เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าความเป็นไปได้ของการถอนรากอาณานิคมของไทยคือการ “กาลานุวัตร” (temporalize) เวลาอาณานิคมให้มีลักษณะฆราวาส (secular) หรือดึงเหตุการณ์ในวรรณกรรม/ประวัติศาสตร์ออกจากความเวิ้งว้างของอกาล (non-time) มาจัดตำแหน่งแห่งที่ (situate) ในห้วงขณะ (moment) ที่สัมพันธ์กับความเฉพาะของเหตุการณ์อื่นๆ เช่นนี้แล้วเราจึงจะ “ถอนราก” ภาวะอันกำกวมของอาณานิคมได้ผ่านการจินตนาการถึงอนาคตผ่านอดีต (future anterior) โดยเฉพาะการหันเข้าหาการเมืองแบบกำหนดก่อน (prefigurative politics) ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกันอย่างมีกลยุทธ (strategic) งานวรรณกรรมที่จะนำมาสำรวจในการบรรยายครั้งนี้ได้แก่ เทศนาเรื่องมิกาทุระ นิทานทองอิน สี่แผ่นดิน นวนิยายชุดเรื่องปริศนา นิยายรักในราชสำนักฝ่ายใน แดนดาว และพุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ

การแสดงศึกษา (Performance Studies)ในช่วงปี 1970s Richard Schechner นักวิชาการด้านการแสดง ณ New York University สหรัฐอเมร...
11/05/2021

การแสดงศึกษา (Performance Studies)
ในช่วงปี 1970s Richard Schechner นักวิชาการด้านการแสดง ณ New York University สหรัฐอเมริกา ได้เริ่มศึกษาและวิจัยเกี่ยวข้องกับการแสดงโดยใช้คำว่าเพอร์ฟอร์มานซ์ (Performance) เพื่อเน้นย้ำว่าการศึกษาการแสดงเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายใต้บริบทของศิลปะการละคร (Theatre) เพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับการแสดงผ่านมุมมองของพฤติกรรมมนุษย์ที่อยู่ในบริบทต่าง ๆ โดยเรียกทฤษฎีนี้ว่า การแสดงศึกษา (Performance Studies) การเกิดขึ้นของการแสดงศึกษาถือว่าเป็นเรื่องที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการเปลี่ยนผันของระบบการศึกษาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น ระบบการศึกษาที่เปิดกว้างขึ้น กลุ่มวัฒนธรรมที่หลากหลายยิ่งขึ้นที่เข้ามาอยู่ในระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงการพยายามใช้มิติทางความคิดในการจัดการกลุ่มวัฒนธรรมอื่น ๆ ให้เป็นระบบอีกด้วย (Balme, 2008, P. 11-12) ซึ่งการแสดงศึกษา (Performance Studies) เป็นการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์โดยรวบรวมมุมมองและปรัชญาของมานุษยวิทยาและสังคมวิทยาเข้ามาไว้ด้วยกัน มุ่งศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสด หรือ ณ ปัจจุบันขณะ ทั้งในเชิงศิลปะและสังคม แนวคิดทางการแสดงของ Richard Schechner เน้นการแสดงออกทางสังคม (Social Drama) และการแสดงออกทางสุนทรียะ (Aesthetics Drama) เพื่อพยายามจะอธิบายความซับซ้อนของการแสดงที่อยู่เหนือขอบเขตของละคร และพยายามผลักดันการแสดงศึกษา (Performance Studies) ให้ออกจากร่มของละครศึกษา (Theatre studies) และละคร (Drama) ด้วย.
ธนัชพร กิตติก้อง. การแสดง/Performance: ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเพอร์ฟอร์มานซ์. ขอนแก่น : โครงการส่งเสริมการผลิตตำราเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2563. (หน้า 17)
ขอบคุณภาพประกอบจาก: ศิลปะปลดแอก - FreeArts
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=203386504919910&set=pb.100057456849576.-2207520000..&type=3

Psychic Determination หมายถึง กฎเกณฑ์ที่ถือว่า พฤติกรรมทุกอย่างของมนุษย์มีสาเหตุที่แน่นอน ไม่ใช้เกิดขึ้นเองโดยปราศจากเหต...
23/02/2021

Psychic Determination หมายถึง กฎเกณฑ์ที่ถือว่า พฤติกรรมทุกอย่างของมนุษย์มีสาเหตุที่แน่นอน ไม่ใช้เกิดขึ้นเองโดยปราศจากเหตุ หรือเกิดขึ้นเองโดยยถากรรมหรือโดยบังเอิญ ถ้ามองดูผิวเผินเราอาจจะไม่ทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุ เพราะเหตุส่วนใหญ่นั้นอยู่ในระดับ "จิตไร้สำนึก" คือ ไม่รู้สึกตัว ดังนั้นในทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างที่คนทำไป ที่คนมีความรู้สึก ที่คนมีความนึกคิด ตลอดจนความฝันของคน ความปรารถนาต่าง ๆ จะมีแรงผลักทางจิตใจทั้งสิ้น (Psychological Motive) ผู้รับบริการเลือกแต่งงานกับใคร เขาทำอะไรหรือไม่ได้ทำอะไรในการแต่งาน เขาทำงานที่ไหน ทำอย่างไร เพื่อนเขาคือใคร และอื่น ๆ ได้รับการกระตุ้นให้ทำให้คิดโดยจิตไร้สำนึก (unconscious inner forces) แม้ว่าสภาวะแวดล้อมจะมีความสำคัญต่อบุคลิกของผู้ขอรับบริการ แต่แนวความคิดเกี่ยวกับ Psychic Determination และจิตไร้สำนึก (unconscious) จะช่วยนักสังคมสงเคราะห์เห็นว่า พฤติกรรมของบุคคล กลุ่ม และชุมชนไม่ใช่เกิดจากอิทธิพลหรือตัวแปรภายนอกเช่น จากครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้านเท่านั้น แต่ยังถูกทำให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ โดยความปรารถนา ความฝัน ความหวังต่าง ๆ อีกด้วย
ตามความเห็นของฟรอยด์และนักจิตวิเคราะห์อื่น ๆ เชื่อว่า กระบวนการของจิตไร้สำนึกมีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์มากกว่าส่วนที่เรียกว่า รู้สึกตัว (conscious) หลายเท่านัก พฤติกรรมมีสาเหตุแต่อยู่ในระดับการไม่รู้สึกตัว ตัวอย่างเช่น บุคคลคนหนึ่งได้ยินเสียงเพลงที่ตนชอบเมื่อสักครู่ และเขาก็ไม่ได้นึกถึงมันอีก เสียงเพลงนี้จะถูกลืมโดยการเก็บกดอยู่ในระดับจิตไร้สำนึก ต่อมาชายคนนี้ร้องเพลงนี้ออกมา สมมุติว่าเขาถูกถามว่าทำไขาจึงร้องเพลงนี้ เขาก็ตอบว่าไม่ทราบ แต่แท้ที่จริงแล้วมีเหตุผลการร้องเพลงนี้อยู่อย่างแน่นอน
นงลักษณ์ เทพสวัสดิ์. ทฤษฎีและการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์. กรุงเทพฯ
: หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2540. (หน้า 73)

... ความจริงเป็นสิ่งที่ถูกผลิตขึ้นเช่นเดียวกันกับสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ นอกจากนั้นสิ่งที่สําคัญอย่างยิ่งก็คือความจริงนั้นเป็...
11/11/2020

... ความจริงเป็นสิ่งที่ถูกผลิตขึ้นเช่นเดียวกันกับสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ นอกจากนั้นสิ่งที่สําคัญอย่างยิ่งก็คือความจริงนั้นเป็นสิ่งที่ถูกผลิตขึ้นมา โดยอํานาจ(Foucault, 1981a: 131) ดังนั้น ความจริงจึงมิใช่จุดอาร์คิมิเดียน (Archimedean point) ที่สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานสากลในการพิจารณา สรรพสิ่งความเป็นไปทั้งหลายในสังคม อย่างไรก็ตาม ในที่นี้ฟูโกต์มิได้ หมายความว่าต้องการที่จะให้มีการแยกความจริงออกจากเรื่องของอํานาจ แต่อย่างไร ทั้งนี้เพราะความจริงก็คืออํานาจอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ฟูโกต์ต้องการ ก็คือการทําลายอํานาจของความจริงจากการครอบงําโดยการนําทาง วัฒนธรรม (hegemony) ในทุกๆ ด้าน (ibid: 133)
เมื่อฟูโกต์ต้องการทําลายการครอบงําของอํานาจทางความจริงนั้น ก็เท่ากับเป็นการบ่อนทําลายบทบาทของปัญญาชนไปในตัว ทั้งนี้เพราะ สําหรับฟูโกต์แล้วปัญญาชนก็คือตัวแทนของระบบอํานาจนั่นเอง (ibid, 1977c: 207) ไม่ว่าปัญญาชนเหล่านี้จะเป็นฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา มาร์กซิสต์ หรือจิตวิเคราะห์ก็ตาม ปัญญาชนทุกชนิดก็แล้วแต่ใช้เทคนิคทางอํานาจที่ มีพื้นฐานมาจากความคิดของกระฏมพีแทบทั้งสิ้น ดังนั้น มวลสมาชิกใน สังคมจึงไม่มีความจําเป็นที่จะต้องปลดปล่อยตัวเองด้วยการวิ่งไปพึ่งพา ตัวแทนของอํานาจหรือปัญญาชนในการชี้นําอีกต่อไป มวลสมาชิกในสังคม สามารถเข้าใจและรับรู้ถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง (ibid: 207) การ ต่อสู้ที่มิจําเป็นต้องพึ่งพาอาศัยปัญญาชนนี้ต่างหากที่จะทําให้มวลสมาชิก ในสังคมที่จะบรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการได้ถ้ามวลสมาชิกในสังคมเหล่านี้ ตรวจสอบเป้าหมายที่ต้องการในเชิงการเมืองได้ด้วยตัวเอง (Foucault, 1981d: 31)
ดังนั้น สถานภาพของปัญญาชนในทัศนะของฟูโกต์จึงไม่ได้สูงส่ง เหมือนกับพวกเสรีนิยมที่มักจะให้ค่ากับบทบาทของปัญญาชนในการ จรรโลงโลกอย่างมาก อย่างไรก็ตาม นี่มิได้หมายความฟูโกต์ต้องการที่จะ ปฏิเสธบทบาทของปัญญาชนเสียเลยทีเดียว แต่ฟูโกต์กลับมีความเห็นว่า โลกที่ผู้ชํานาญการต่าง ๆ มีบทบาทมากขึ้น ปัญญาชนที่มีลักษณะเฉพาะนี้ จะมีความสําคัญเข้ามาแทนที่ปัญญาชนสากลอย่างนักเขียน (Foucault, 1981a: 127) ปัญญาชนเฉพาะเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นหมอ นักสังคมสงเคราะห์ จิตแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มีโอกาสที่จะต่อต้านการใช้ อํานาจที่มีลักษณะเฉพาะได้ (ibid: 130) ตัวอย่างเช่น ขบวนการต่อต้าน จิตแพทย์ เป็นต้น ...
อนุสรณ์ อุณโณ, จันทนี เจริญศรี และสลิสา ยุกตะนันทน์, บรรณาธิการ. อ่านวิพากษ์ มิเชล ฟูโกต์. กรุงเทพฯ : ศยาม, 2558. (หน้า 66-67)

... Mass Hysteria เป็นกลุ่มของโรคประสาทหรือ Neurosis บางทีเขาก็เรียกว่า Hysterical Neurosis ซึ่งความหมายของ โรคนี้ง่ายๆ ...
17/10/2020

... Mass Hysteria เป็นกลุ่มของโรคประสาทหรือ Neurosis บางทีเขาก็เรียกว่า Hysterical Neurosis ซึ่งความหมายของ โรคนี้ง่ายๆ บอกว่าคนที่ป่วยมักจะมีปัญหาทางอารมณ์หรือจิตใจ หรือมีความตึงเครียดซ่อนเร้นอยู่เป็นเวลานานอยู่ภายใต้จิตสํานึก แล้วไม่สามารถจะระบายออกมาเป็นคําพูดหรือในลักษณะของคนรู้สึกตัว จะเก็บเอาไว้ในใจตลอดเวลา เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะแปรสภาพออกมาเป็นอาการของทางร่างกาย ซึ่งอาการนี้จะมีได้หลายแบบตั้งแต่อาการชัก เกร็ง อย่างตัวอย่างนักเรียนทั้งหลายนี้ อาจจะกระตุกแบบไหนก็ได้ ซึ่งอาการเกร็งนี้ต้องแยกออกจากลมบ้าหมู ลมบ้าหมูมีอาการเกร็งแขนขา ชักกระตุก อย่างมีระเบียบ ลมบ้าหมูชักแล้วทําให้ร่างกายบาดเจ็บคือเขาไม่ได้ตั้งใจชัก อาจจะล้มลงกองไฟ ล้มลงหม้อแกง ล้มลงตกคลองตกคูแต่ผู้ป่วยฮีสทีเรียก่อนจะล้มมักจะมองหาคนใกล้เคียงคอยดูแล ว่ามีคนอยู่หรือเปล่า เราจะล้มได้หรือยังหรือ อะไรๆ ทํานองนี้ หรือส่วนมากล้มแล้วจะไม่บาดเจ็บ อาจจะมีอาการชักเกร็งหรือมีอาการอื่นๆ เช่น อาการทางผิวหนังชา ตามผิวหนัง อาการทางตา บางคนมีอาการมองไม่เห็น แต่พบได้น้อย ระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบทางปัสสาวะ มีได้ทั้งหมดนี้คือความหมายของ Hysterical Neurosis หรือโรคอุปาทาน
ที่นี้ที่ถามว่า ทําไมไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเหมือนโรคอื่นๆ ก็เป็นอย่างที่ดิฉันได้อธิบายมาแล้ว ในทางจิตใจนั้นค่อนข้างลําบาก ไม่สามารถจะตรวจได้อย่างโรคทางกาย จึงต้องอาศัยว่าต้องได้ร่ำเรียนมานานพอสมควร จึงจะเข้าใจว่าโรคนี้คือโรคทางจิตใจ ...
แพทย์หญิงยุพา วิสุทธิโกศล ใน -- สงัน สุวรรณเลิศ. ผีปอบ, ผีเข้าในทรรศนะทางจิตเวชศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: บพิธการพิมพ์, 2529. (หน้า 195-196)

22/09/2020

"สุนทรียสหสื่อ" รองศาสตราจารย์ ดร. นัทธนัย ประสานนาม

... สมเกียรติ ตั้งนโม ให้ความสนใจกับแนวคิดเรื่องวัฒนธรรมทางสายตา (visual culture) ที่มองว่าโลกปัจจุบันเป็นสภาพแวดล้อมที่...
11/09/2020

... สมเกียรติ ตั้งนโม ให้ความสนใจกับแนวคิดเรื่องวัฒนธรรมทางสายตา (visual culture) ที่มองว่าโลกปัจจุบันเป็นสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยภาพต่างๆ มากมายโดยฉพาะในสื่อต่างๆ ผู้คนจึงจำเป็นต้องมีความฉลาดและรู้เท่าทันในการอ่านภาพเหล่านั้นโดยสมเกียรตินำสัญญัติวิทยามาใช้ศึกษางานโฆษณาทางโทรทัศน์ของไทยและได้พบว่าในโฆษณาเหล่านั้นประกอบไปด้วยมายคติชุกซ่อนอยู่ในรูปของความหมายตามนัยทางสังคมที่แสดงถึงอคติบางอย่างโดยที่ผู้สร้างสรรค์งานโฆษณาและผู้รับสารอาจไม่ได้ตระหนักถึงอคติเหล่านี้เลย พวกเขาจะตระหนักถึงมายาคติเหล่านี้ได้ถ้าพวกเขาตั้งคำถามกับโฆษณาเหล่านั้นว่าใครคือคนที่เราเห็นในภาพ ภาพนั้นสะท้อนอะไร ป้อนความคิดอะไรให้กับเราบ้าง และโฆษณานั้นถูกนำเสนอภายใต้บริบทใด
มายาคติในโฆษณานั้นมักเป็นมายาคติในเรื่องชนชั้น เชื้อชาติ อายุ เพศ ความบกพร่องหรือความด้อยโอกาส โดยโฆษณาของไทยที่ศึกษาสะท้อนมายาคติของชนชั้นกลางว่าเป็นผู้ที่มีการศึกษาและฉลาดกว่าภูมิปัญญาของชาวบ้าน ประเด็นที่สำคัญอีกประการที่ค้นพบคือสิ่งที่เรียกว่า “intentional fallacy” ซึ่งหมายถึงการที่ผู้ส่งสารกระทำการสื่อสารด้วยเจตนาดี แต่ด้วยความไม่ตระหนักในอคติบางอย่างที่มีอยู่ในตัวหรือที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของตน ทำให้เจตนาดีนั้นกลับเจือไปด้วยมายาคติที่ตนมีโดยไม่ได้ตั้งใจ
สมเกียรติ ตั้งนโม, เรียบเรียง. มองหาเรื่อง : วัฒนธรรมทางสายตา. มหาสารคาม : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2549 ใน อภิเชฐ กำภู ณ อยุธยา. มายาคติในโฆษณาแบรนด์หรู. ดุษฎีนิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสื่อสารมวลชน. คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2560. (หน้า 50)
ภาพจากโฆษณา "Life purpose" โดย ไทยประกันชีวิต ที่มา https://web.facebook.com/MTlikesara/videos/346417489878435/?t=147

👁️‍🗨️ รูปแบบของการกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์ตามแนวคิดของการกลั่นแกล้งกันผ่านโลกไซเบอร์นั้น พบว่า ประกอบด้วย การทะเลาะกัน, กา...
26/06/2020

👁️‍🗨️ รูปแบบของการกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์
ตามแนวคิดของการกลั่นแกล้งกันผ่านโลกไซเบอร์นั้น พบว่า ประกอบด้วย การทะเลาะกัน, การทําลายความสัมพันธ์, การกีดกัน, การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ เชิงสบประมาท, การส่งต่อ เรื่องลับเฉพาะ, การใช้อุบายหลอก, การข่มขู่, การก่อกวน หรือล่วงละเมิด, การคุกคาม ทางเพศและการเมือง, การเสแสร้งหรือสวมรอย, การสร้างบัญชีใช้งานปลอม และการคัดลอก หรือขโมยอัตลักษณ์ โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ตามรูปแบบหรือลักษณะของการรังแก ดังนี้ (Muis, 2017; Nick, 2013, Rivituso, 2014; Valancourt, Faris & Mishna, 2017; นภาวรรณ อาชาเพ็ชร, 2560, สุภาวดี เจริญวานิช, 2560)
1. กลุ่มที่เป็นการกลั่นแกล้งทั่วไป (general) ได้แก่

(1) การทะเลาะกัน (brawling) คือ พฤติการณ์การกลั่นแกล้งระหว่างบุคคล หรือพฤติการณ์ระหว่างกลุ่มคน ที่เกี่ยวกับการใช้ภาษาอย่างหยาบคาย รุนแรง หรือไม่สุภาพในการสื่อสาร ตอบโต้กันผ่านทางสื่อสังคมหรือสื่อออนไลน์

(2) การทําลายความสัมพันธ์ (attacking relatives) คือ การกระทําของ บุคคลที่สามอันเป็นการยุยงปลุกปั้นให้เกิดความบาดหมาง หรือผิดใจกันระหว่างบุคคล ที่หนึ่งกับบุคคลที่สอง โดยสร้างข้อความ หรือข้อมูลเชิงสัญลักษณ์ให้ปรากฏบน สื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้เข้าใจผิดและขัดแย้งกัน

(3) การกีดกัน (deprivation) คือ พฤติการณ์กลั่นแกล้งผ่านข้อความ หรือกิจกรรมอันสร้างความเกลียดชัง อคติหรือทัศนคติเชิงลบต่อสมาชิกในกลุ่ม ส่งผลกระทบให้บุคคลหนึ่งถูกกีดกันจากสมาชิกคนอื่นๆ ด้วยการถูกบล็อกหรือถูกลบ ออกจากกลุ่มในสื่อสังคมออนไลน์
2. กลุ่มที่สร้างความเสียหาย (damage) ได้แก่

(1) การเผยแพร่ข้อมูลเท็จเชิงสบประมาท (defamation) คือ พฤติการณ์ อันส่งผลให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย เกิดการเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือมีการหยามเหยียด จนเกิดเป็นความอับอาย ขายหน้า และอีกฝ่ายตกอยู่ในสถานะตัวตลกในทรรศนะ ของคนรอบข้าง

(2) การส่งต่อเรื่องลับเฉพาะ (blackmail) คือ การกระทําการที่สร้าง ความเสียหายโดยนําความลับ หรือข้อมูลส่วนตัวของอีกฝ่ายไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับ ความยินยอมจากเจ้าของความลับ หรือมีเจตนาทําให้เจ้าของข้อมูลเกิดความเสียหาย เพื่อเรียกผลประโยชน์

(3) การใช้อุบายหลอก (trickery) คือ การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตน เพื่อให้ผู้อื่นไว้ใจ แล้วโน้มน้าวให้ผู้อื่นเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในทาง ทุจริต หรือนําไปแพร่กระจายต่อสู่บุคคลที่สามหรือสาธารณะจนเกิดความเสียหาย
3. กลุ่มที่สร้างความเดือดร้อนรําคาญ (nuisance) ได้แก่

(1) การข่มขู่ (intimidate) คือ พฤติการณ์อันส่อไปในทางมาดหมายจริงจัง ด้วยวาจา หรือสัญลักษณ์ที่ชื่อว่า จะทําให้ผู้อื่นเดือดร้อน จะกระทํารุนแรง หรือจะทําให้ เสียชื่อเสียง จนอีกฝ่ายเกรงกลัวว่าจะมีเหตุให้เดือดร้อน

(2) การก่อกวน หรือล่วงละเมิด (harassment) คือ การกระทําอันมีเจตนา ก่อกวนเนื่องจากมีการทําให้ผู้อื่นเดือดร้อนซ้ําหลายครั้ง เป็นการก้าวล้ําสิทธิส่วนบุคคล ของผู้อื่นให้เดือดร้อนรําคาญอย่างต่อเนื่อง

(3) การคุกคามทางเพศและการเมือง (sexual and political threats) คือ ลักษณะพฤติการณ์เชิงโจมตีทางความคิด สําหรับมุมมองหรือความเห็นที่แตกต่าง ในด้านความเป็นมนุษย์และความหลากหลายของสังคม ยังรวมถึงการลวนลามทางเพศ ด้วยวิธีการต่างๆ ให้เพศหนึ่งเดือดร้อนรําคาญ
4. กลุ่มอาชญากรหรือมิจฉาชีพ (criminal) ได้แก่

(1) การเสแสร้งหรือสวมรอย (hypocrisy) คือ การกระทําการอันเข้าข่าย มิจฉาชีพ และอาจส่งผลต่อบุคคลอื่นให้เสียประโยชน์สูง หรือสูญเสียเงิน ทอง ทรัพย์สิน โดยวิธีการแอบอ้างชื่อและนามสกุล หรือตัวตนของบุคคลอื่น

(2) การสร้างบัญชีใช้งานปลอม (fake profiles) คือ พฤติการณ์ล่องหน โดยวิธีลงทะเบียนใช้งานบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ แล้วนํารูปอื่นที่ไม่ใช่รูปผู้ลงทะเบียน ใช้งานบัญชีมาเป็นรูปประจําตัว สร้างข้อมูลและคําอธิบายตัวตน โดยแต่งขึ้นใหม่ เพื่อใช้ในทางทุจริตต่อผู้อื่น หรือใช้ในทางอาชญากรรม บุคคลในรูปแบบนี้อาจถูกจัดเป็น มิจฉาชีพได้

(3) การคัดลอกหรือขโมยอัตลักษณ์ (cat-fishing) คือ การกระทําที่เพิ่มความรุนแรงกว่าการเสแสร้งหรือสวมรอย เนื่องจากจะมีการนําเอาข้อมูลเฉพาะ หรือข้อมูลเชิงอัตลักษณ์ออนไลน์ของบุคคลอื่น มาสร้างบัญชีใช้งานสื่อสังคมอีกบัญชี และนําบัญชีดังกล่าวไปใช้หลอกลวงหรือสร้างความเสียหายรุนแรงกับบุคคลที่ถูกขโมยข้อมูล.
สิโรดม มณีแฮด และ ปรัชญนันท์ นิลสุข. การกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์: การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อสกัดกั้นในโรงเรียน ใน วารสารการสื่อสารมวลชน คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2562. (หน้า 52-53)

11/06/2020

เสวนาเรื่อง NEW NORMAL ความปรกติใหม่ในโลกใบเดิม จาก มช.

กู้ด (Carter V. Good) ให้ความหมายเชาวน์ปัญญาไว้ 3 นัย ดังนี้1. เชาวน์นญญา หมายถึง ความสมารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการ...
04/06/2020

กู้ด (Carter V. Good) ให้ความหมายเชาวน์ปัญญาไว้ 3 นัย ดังนี้
1. เชาวน์นญญา หมายถึง ความสมารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ได้รวดเร็วและเรียบร้อย ตลอดจนมีความสามารถในการเรียนรู้จากประสบการณ์
2. เชาวน์ปัญญา หมายถึง ความสามารถในการวบรวมประสบการณ์ต่างๆ เข้ากันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
3. เชาวน์ปัญญา หมายถึง ความสามารถที่วัดได้ด้วยแบบทดสอบวัดเชาวน์ปัญญา
การ์ดเนอร์ (Howard Grdner) ให้ความหมายว่า เชาวน์ปัญญาเป็นความสามารถบุคคลในการกระทำสิ่งที่ดีงามตามที่สังคมกำหนด (Kalat,1990:365)
เทอร์แมน (Levis Teman) ให้ความหมายว่า เชาวน์ปัญญาเป็นความสามารถในการคิดที่เป็นนามธรรม
เวดสเลอร์ (David Wechsler) ให้ความหมายว่า เชาวน์ปัญญาเป็นสมรรถวิสัยที่จะทำกิจกรรมบรลุเป้าหมาย คิดอย่างมีเหตุผล และสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างมี
ประสิทธิภาพ (Crider and Others,1983:291)
วูลโฟล์ค (Woolfolk, 1995 :117) ให้ความหมายว่า เชาวน์ปัญญาเป็นความสามารถอย่างเดียวหรือหลายๆ อย่างของบุคคล ที่นำมาใช้ในการแสวงหาความรู้และใช้ความรู้เพื่อการ
แก้ปัญหา ตลอดจนปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้
สตอดดาร์ด (G.D. Stoddard) ให้ความหมายว่า เชาวน์ปัญญาคือความสามารถในการเข้าใจ และทำกิจกรรมที่มีลักษณะต่างๆ ดังนี้ (เอนกกุล กรีแสง,2521:39)
1. กิจกรรมที่มีความยาก
2. กิจกรรมที่สลับชับซ้อน
3. กิจกรรมที่มีลักษณะเป็นนามธรรม
4. กิจกรรมที่ต้องการความประหยัด
5. กิจกรรมที่จะนำไปสู่เป้าหมาย
6. กิจกรรมที่มีคุณประโยชน์ต่อสังคม
7. กิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิ ความอดทน และความตั้งใจอย่างมาก
พจนานุกรมบับราชบัณทิตยสถาน พุทธศักราช 2526 ให้ความหมายเชาวน์ปัญญาว่าเป็นความรวดเร็วของปัญญาและความคิด
เชาวน์ปัญญาหรือ Intelligence ตามรูปศัพท์ในภาษาลาติน Intellectus หมายถึงการรับรู้ (Perception) และความเข้าใจ (Comprehension).
วรรณี ลิมอักษร. จิตวิทยาการศึกษา Educational psychology. สงขลา : ภาควิชาจิตวิทยาและการแนะแนว คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ, 2551. (หน้า 22)

ชอบจิตจัดไป
29/05/2020

ชอบจิตจัดไป

เผื่อจะช่วย: 12 Tenses in conversations
27/05/2020

เผื่อจะช่วย: 12 Tenses in conversations

คอร์สจิตวิทยาฟรีดีเว่อ
18/05/2020

คอร์สจิตวิทยาฟรีดีเว่อ

ว่ากันว่า ‘จิตวิทยา’ เป็นเรื่องพื้นฐานที่ใกล้ตัวทุกคนมากๆ เพราะเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ และไม่ใช่แค่ศึกษาให้เข้าใจคนอื่น แต่ยังทำให้เข้าใจตนเองมากขึ้นด้วย วันนี้ One More Course เลยได้รวบรวมคอร์สเรียนเกี่ยวกับจิตวิทยาจากมหาวิทยาต่างๆ ทั่วโลกมาฝากครับ *งานนี้เรียนฟรีเหมือนเดิม* นำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตรวมถึงการทำงานก็ยังได้ ว่าแต่จะมีคอร์สอะไรบ้าง เลื่อนลงมาดูด้านล่างกันได้เลยครับ 😊
**กดตรงคำว่า audit this course จะเป็นตัวเลือกสมัครเรียนฟรี แต่ถ้าหากต้องการใบประกาศด้วย จะสมัครเรียนตามปกติ แต่จะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
💛 Introduction to Psychology
- หลักจิตวิทยาเบื้องต้น ทำความเข้าใจจิตใจและพฤติกรรมมนุษย์
- จัดสอนโดย University of Toronto
📍 เรียนเลยที่ classcentral.com/course/introduction-psych-647
💛 Social Psychology
- ศึกษาจิตวิทยาสังคม ศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ว่าผู้คนคิดอย่างไรกับคนอื่น ทั้งความเชื่อ เจตคติ ค่านิยม ความคิดเห็น ฯลฯ
- จัดสอนโดย Wesleyan University
- คอร์สนี้มีใบ certificate ฟรี (จำกัดเวลา)
📍 เรียนเลยที่ classcentral.com/course/socialpsychology-555
💛 Think Again I: How to Understand Arguments
- ทำความเข้าใจ วิเคราะห์ข้อโต้แย้ง และรู้หลักการโต้แย้งแบบมีชั้นเชิง เพื่อนำไปปรับใช้ในทุกสถานการณ์
- จัดสอนโดย Duke University
📍 เรียนเลยที่ classcentral.com/course/understanding-arguments-6620
💛 The Psychology of Criminal Justice
- รู้จักจิตวิทยาในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และจิตวิทยาในเรื่องกฎหมายอาญา
- จัดสอนโดย University of Queensland
📍 เรียนเลยที่ classcentral.com/course/edx-the-psychology-of-criminal-justice-2021
💛 Positive Psychology: Resilience Skills
- หลักจิตวิทยาเชิงบวก ว่าด้วยทักษะการฟื้นฟูจิตใจจากความเครียด แรงกดดัน และสถานการณ์ที่ยากลำบาก
- จัดสอนโดย University of Pennsylvania
📍 เรียนเลยที่ classcentral.com/course/positive-psychology-resilience-8331
💛 Consumer Behaviour and Psychology
- ศึกษาหลักจิตวิทยาเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค
- จัดสอนโดย Coventry University
📍 เรียนเลยที่ classcentral.com/course/consumer-behaviour-and-psychology-12375
💛 Introduction to Communication Science
- ศาสตร์และเทคนิคการสื่อสารกับผู้อื่น
- จัดสอนโดย University of Amsterdam
📍 เรียนเลยที่ classcentral.com/course/commscience-1198
💛 Organisational behaviour: Know your people
- ศึกษาพฤติกรรมเพื่อนร่วมงานในองค์กร รู้เขา รู้เรา และนำไปปรับใช้ในการทำงาน, ดึงศักยภาพความเป็นผู้นำเพื่อให้งานประสบความสำเร็จ
- จัดสอนโดย Macquarie University
📍 เรียนเลยที่ classcentral.com/course/organisational-behaviour-know-your-peopl-12150
👉 ไม่อยากพลาดคอร์สเรียนดี ๆ อย่าลืมติดตามเพจ One More Course รวมคอร์สอัปสกิลเพื่ออนาคต by Dek-D เพราะพวกเราตั้งใจส่งต่อคอร์สเรียนดีๆ ให้ทุกคนตามไปเรียนได้ 😁
☎️ ติดต่อลงข่าวประชาสัมพันธ์กับ Dek-D ที่ [email protected]

#คอร์สออนไลน์ #คอร์สจิตวิทยา #คอร์สเรียนฟรี

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ บทที่ ๒ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง บทที่ ๒:

แชร์