รู้จักหุ้นวันละตัว + US Stock Screener

รู้จักหุ้นวันละตัว + US Stock Screener ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก รู้จักหุ้นวันละตัว + US Stock Screener, ครีเอเตอร์ดิจิทัล, Bangkok.

ทยอยหยิบหุ้นในตลาดหุ้น
มาทำความรู้จักแบบคร่าวๆ ทีละตัว
แบบคนเพิ่งสนใจอยากไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ

เป้าหมาย
รู้จักให้ครบทั้ง NASDAQ100 และ S&P500
รวมถึง ETF และ ADR ที่น่าสนใจ

ใช้ Prompt ง่ายๆ ใน Gemini
ช่วยหาข้อมูลมาให้เราเรียนรู้ไปทีละตัวๆ

26/07/2025

[ ]
ธนาคารยักษ์หลับ
ที่ปลดล็อคจากคดีฉาวแล้ว พร้อมลุยเต็มตัว


ธนาคารยักษ์ใหญ่ที่ทุกคนรู้จักในเมกา
หนึ่งในนั้นคือ Wells Fargo & Co.
ธนาคารที่มีโลโก้รถม้าเป็นเอกลักษณ์
และมีประวัติศาสตร์ยาวนานคู่กับประเทศ

ธุรกิจของพวกเค้าเรียบง่ายมาก
คือการเป็นธนาคารครบวงจร
รับฝากเงินจากคนทั่วไปและธุรกิจ
แล้วนำเงินนั้นไปปล่อยกู้ต่อ
กินส่วนต่างดอกเบี้ยเป็นรายได้หลัก

WFC มีหน่วยธุรกิจหลักอยู่ 4 ส่วน

1. Consumer Banking
ดูแลลูกค้ารายย่อยแบบเราๆ นี่แหละ

2. Commercial Banking
บริการลูกค้าธุรกิจขนาดกลาง
3. Corporate & Investment Banking (CIB)
ดูแลลูกค้ารายใหญ่และสถาบัน

4. Wealth Management
บริการให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่ง

ซึ่งรายได้หลัก ก็ยังคงมาจากลูกค้ารายย่อย
แต่ที่น่าสนใจคือการเติบโตของฝั่ง CIB
ปี 2024 ที่ผ่านมาโตขึ้นเยอะมาก
นี่คือสัญญาณว่า WFC กำลังกระจายความเสี่ยง
ไม่ได้พึ่งพารายได้ดอกเบี้ยอย่างเดียวอีกต่อไป


WFC มีจุดเด่น คือ ฐานลูกค้าที่ใหญ่มาก
พวกเค้ามีเครือข่ายสาขาทั่วสหรัฐฯ
ทำให้เข้าถึงผู้คนได้ง่าย
สร้างความเชื่อมั่นได้ดีกว่าคู่แข่งที่เป็นดิจิทัลล้วน

ลูกค้าส่วนใหญ่ของ WFC อยู่ในอเมริกา
ตั้งแต่คนธรรมดาไปจนถึงบริษัทระดับโลก
ตลาดต่างประเทศยังมีสัดส่วนไม่มากนัก
โฟกัสหลักยังคงเป็นตลาดในบ้าน

แน่นอนว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้สูงมาก
คู่แข่งทางตรงคือธนาคารยักษ์ใหญ่ด้วยกัน
อย่าง JPMorgan Chase, Bank of America
ส่วนคู่แข่งทางอ้อมก็คือบริษัท FinTech ทั้งหลาย
ที่เข้ามาแย่งชิงบริการทางการเงินบางส่วนไป


ณ ตอนนี้ Wells Fargo & Co.
กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ
หลังจากเผชิญข่าวฉาวครั้งใหญ่ในปี 2018
เรื่องเปิดบัญชีปลอมให้ลูกค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต
จนถูกธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed
สั่งจำกัดเพดานสินทรัพย์ Asset Cap
ทำให้ไม่สามารถขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่

แต่ในปี 2025 นี้...
โซ่ตรวนเส้นนั้นได้ถูกปลดออกแล้ว
Fed ได้ยกเลิกคำสั่ง Asset Cap แล้ว
นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในรอบหลายปี
เปิดโอกาสให้ WFC กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง


แผนการในอนาคตของพวกเค้า
คือการสร้างธนาคารที่มีประสิทธิภาพ ให้แกร่งขึ้น
CEO คนปัจจุบันมุ่งมั่นกับการแก้ปัญหาในอดีต
ปรับปรุงระบบควบคุมภายในอย่างจริงจัง
และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงไปได้เยอะมาก

พวกเค้ากลับมาขยายพอร์ตสินเชื่ออย่างเต็มที่
พร้อมกับเดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีและ AI
เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
และปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า

ธุรกิจฝั่ง CIB และ Wealth Management
ที่เป็นดาวรุ่งในตอนนี้
ก็ยังได้รับการสนับสนุนให้เติบโตต่อไป
เพื่อสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมที่มั่นคงขึ้น

ในแง่ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่
เรื่องกฎระเบียบยังคงเป็นสิ่งที่ต้องระวัง
และความผันผวนของเศรษฐกิจ
ก็กระทบธุรกิจธนาคารโดยตรง
หากเศรษฐกิจไม่ดี หนี้เสียก็อาจเพิ่มขึ้นได้


ถ้าดูที่งบการเงินโดยรวม
จะเห็นว่า WFC แข็งแกร่งขึ้นมาก
รายได้ในปี 2024 อาจลดลงเล็กน้อย
แต่กำไรสุทธิกลับยังเติบโตได้ดี
เป็นผลมาจากการควบคุมต้นทุนที่ยอดเยี่ยม

กระแสเงินสดจากการดำเนินงานยังดีมาก
สะท้อนว่าธุรกิจหลักยังทำเงินได้ดี
ในช่วงที่ผ่านมามีการซื้อหุ้นคืนเยอะมาก
เป็นการส่งสัญญาณความมั่นใจจากผู้บริหาร

ส่วนเรื่องหนี้สิน สำหรับธนาคาร
เราจะดูที่ CET1 Ratio
(อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง)
ซึ่งของ WFC อยู่ในระดับ 11.1%
สูงกว่าเกณฑ์ที่ทางการกำหนดไว้
แปลว่าฐานะการเงินยังมั่นคง ปกติดี

WFC ยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลที่ดี
จ่ายมาต่อเนื่องยาวนาน และมีการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ล่าสุดก็เพิ่งประกาศเพิ่มเงินปันผล
เป็นการคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ


สำหรับคนที่จะลงทุนในหุ้นธนาคาร
มีตัวชี้วัด 3 ตัวที่ต้องดูเป็นพิเศษ

1. Net Interest Margin (NIM)
คือกำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ย
ของ WFC ตอนนี้ค่อนข้างคงที่
แต่ก็ต้องจับตาดอกเบี้ยในตลาดให้ดี

2. Efficiency Ratio
คืออัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้
ยิ่งต่ำยิ่งดี แปลว่าบริหารต้นทุนเก่ง
ซึ่ง WFC ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดอยู่ที่ 64%

3. Return on Tangible Common Equity (ROTCE)
คือผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
ตัวเลขนี้บอกว่าธนาคารทำกำไรได้ดีแค่ไหน
WFC ทำได้ดี อยู่ที่ 15.2%


เมื่อมองที่ราคาหุ้นเทียบกับคู่แข่ง
P/E ของ WFC อยู่ที่ประมาณ 13.8 เท่า
ถือว่าอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล
ไม่ได้ถูกหรือแพงจนเกินไป

แต่ความน่าสนใจของ WFC ในวันนี้
ไม่ได้อยู่ที่ราคาถูกหรือแพง
แต่อยู่ที่ เรื่องราวของการเติบโต
ที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังการปลดล็อก Asset Cap
เป็นหนึ่งในหุ้นที่น่าจับตาดูการเดินทางครั้งใหม่นี้

- - - - - - - - - - - - - - -

เก็บดีเทลหุ้นตัวนี้ แบบละเอียดต่อในคอมเม้นต์
#รู้จักหุ้นวันละตัว ตัวที่ 031

25/07/2025

[ ]
เบื้องหลังที่ทำให้ธุรกิจไม่สะดุดในยุคเปลี่ยนผ่าน


เชื่อว่าหลายคนยังจำภาพ IBM
ว่าเป็นบริษัทขายคอมพิวเตอร์ อยู่ไม่น้อย
แต่ความจริงวันนี้เปลี่ยนไปเยอะมาก
พวกตอนนี้ เค้าขับเคลื่อนระบบเบื้องหลัง
ตั้งแต่แอปธนาคารที่เราใช้
ไปจนถึงระบบของธุรกิจใหญ่ๆที่สำคัญทั่วโลก


ทุกวันนี้ IBM ไม่ได้พึ่งพารายได้
จากการขายเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นหลัก
แกนหลักของ IBM ในยุคนี้ คือ
ธุรกิจ Software และ Consulting

กลุ่ม Software คือธุรกิจทำเงินที่ใหญ่ที่สุด
มีพระเอกชื่อ Red Hat
ลองนึกภาพว่าเรามีข้อมูลที่อยากเก็บไว้หลายที่
บางส่วนเก็บเองที่ออฟฟิศ (Private Cloud)
บางส่วนไปฝากไว้กับเจ้าอื่น (Public Cloud)
Red Hat คือตัวกลางที่ช่วยให้ทุกอย่างทำงานด้วยกันได้หมด
สิ่งที่เรียกว่า Hybrid Cloud ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมาก

นอกจากนี้ยังมี watsonx
แพลตฟอร์ม AI สำหรับองค์กรโดยเฉพาะ
ช่วยธุรกิจสร้าง AI มาใช้งานเองได้ง่ายขึ้น

กลุ่ม Consulting คือทีมที่ปรึกษา
คอยช่วยให้ลูกค้าองค์กรทั่วโลก
นำเทคโนโลยีที่ซับซ้อนไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เหมือนเป็นคนสอนใช้ของที่ขายให้

ส่วนธุรกิจดั้งเดิมอย่าง Infrastructure
พวกเครื่องเซิร์ฟเวอร์เมนเฟรมก็ยังอยู่
เป็นกระดูกสันหลังให้ลูกค้ากลุ่มการเงินที่เปลี่ยนระบบได้ยาก
แม้จะไม่ได้โตแล้ว แต่ก็ยังสร้างรายได้สม่ำเสมอ

จุดที่เก่งที่สุดของ IBM คือ
ฐานลูกค้าองค์กรที่เหนียวแน่นมาก
พวกเค้าคือธนาคาร, สายการบิน, หน่วยงานรัฐ
ที่ใช้ระบบของ IBM มานานจนเปลี่ยนได้ยาก
ทำให้มีรายได้ที่แน่นอนเข้ามาตลอดเวลา


อนาคตของ IBM ฝากไว้กับสองเรื่องหลักๆ
คือ Hybrid Cloud และ AI

แผนสำคัญคือการผลักดัน watsonx
ให้เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่องค์กรเลือกใช้
เป้าหมายคือให้ธุรกิจสร้างผู้ช่วย AI ของตัวเองได้
เพื่อมาช่วยงานและเพิ่มประสิทธิภาพ

ส่วน Red Hat
ถูกวางแกนในการบุกตลาด Hybrid Cloud
พยายามทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องใช้
เมื่อนึกถึงการจัดการข้อมูลบน Cloud ที่หลากหลาย

IBM ยังคงเข้าซื้อบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ อยู่เสมอ
เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและโตแบบทางลัด
ล่าสุดคือการซื้อ HashiCorp เพื่อมาต่อยอดด้าน Cloud

แต่เส้นทางนี้ก็มีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม

สงคราม Cloud นั้นดุเดือดมากกับคู่แข่งตัวเป้ง
อย่าง Amazon, Microsoft, และ Google
ที่ทั้งใหญ่กว่าและเติบโตเร็วกว่า

การเติบโตของ IBM
อาจไม่ทันใจนักลงทุนสาย Growth
เพราะเป็นการโตแบบค่อยเป็นค่อยไป
และหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
บริษัทต่างๆ ก็อาจลดงบลงทุนด้านไอที
ซึ่งจะกระทบรายได้ของ IBM โดยตรง
ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่้เราต้องรู้ถ้าสนใจหุ้นตัวนี้


เรื่องตัวเลขโดยรวมของ IBM
งบการเงินโดยรวมถือว่าแข็งแกร่งและมั่นคง
แม้จะไม่หวือหวา แต่ก็ฟื้นตัวอย่างชัดเจน
รายได้กลับมาเติบโตต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
อยู่ที่ 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2024

จุดแข็งที่สุดคือ กระแสเงินสด
ที่บริษัทสร้างจากการดำเนินงานได้เยอะมาก
ในปี 2024 มีกระแสเงินสดอิสระ
เหลือถึงเกือบ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์
เงินก้อนนี้แหละคือเส้นเลือดใหญ่
ที่เอาไปจ่ายคืนหนี้, ลงทุนต่อ, และจ่ายปันผล

ส่วนเรื่อง หนี้สิน ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง
เพราะเคยไปกู้เงินก้อนใหญ่มาซื้อกิจการ Red Hat
แต่บริษัทก็มีวินัยในการทยอยจ่ายคืนหนี้มาตลอด
และด้วยเงินสดที่มี ก็น่าจะจัดการได้ ไม่น่าเป็นห่วง

ในแง่ของ เงินปันผล
IBM คือหนึ่งในหุ้นเน้นปันผลตัวจริง
จ่ายปันผลต่อเนื่องมาเป็นร้อยปี
และเพิ่มปันผลให้ผู้ถือหุ้นทุกปีมาเกือบ 30 ปีแล้ว


หากจะลงทุนใน IBM มี 3 อย่างที่ต้องดูให้ดี
1. การเติบโตของรายได้กลุ่ม Software
ตัวเลขนี้บอกเราว่ากลยุทธ์มาถูกทางมั้ย

2. กระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow)
นี่คือเงินสดจริงๆ ที่บริษัททำได้ ต้องนิ่งและโต

3. อัตรากำไรขั้นต้น
ต้องดี เพื่อเช็คว่าการหันมาเน้น Software นั้นได้ผล


เมื่อเทียบกับคู่แข่งสายเทคโนโลยีด้วยกัน
IBM ถือว่ามีค่า P/E ที่ไม่สูง
ตลาดมองว่านี่คือหุ้นใหญ่ที่โตช้าแต่มีความมั่นคง
ไม่ใช่หุ้นเติบโตที่จะวิ่งแรงๆ

ถ้าเราเชื่อว่าแผนพลิกฟื้นธุรกิจจะสำเร็จ
การซื้อหุ้นที่ราคานี้ก็อาจจะสมเหตุสมผล
แต่ถ้าเรามองว่าการแข่งขันหนักเกินไป
หุ้นตัวนี้ก็อาจจะไม่ได้ถูกอย่างที่คิด

- - - - - - - - - - - - - - -
เก็บดีเทลหุ้นตัวนี้ แบบละเอียดต่อในคอมเม้นต์
#รู้จักหุ้นวันละตัว ตัวที่ 030

24/07/2025

[ ]
เบื้องหลังแทบทุกการเชื่อมต่อบนโลกอินเทอร์เน็ต
กับ ก้าวสำคัญในสนาม AI และ Cyber Security


ไม่ว่าจะเป็นการดู Netflix, ประชุมZoom
หรือการไถฟีด Facebook, IG ...
มันจะมีอยู่บริษัทนึงที่เชื่อมข้อมูลวิ่งไปมาทั่วโลกได้
บริษัทนั้น ชื่อว่า Cisco Systems

อุปกรณ์ของพวกเค้าเปรียบเสมือนท่อส่งข้อมูล
เป็นโครงสร้างพื้นฐานของโลกดิจิทัล
ที่ฝังตัวอยู่ในองค์กรทั่วโลกมานานหลายสิบปี


ภาพจำของ Cisco คือบริษัทฮาร์ดแวร์
ที่ดูมั่นคง แต่นั่นคือเรื่องราวของเมื่อวาน

Cisco กำลังทรานส์ฟอร์มตัวเองครั้งใหญ่
จากคนขายฮาร์ดแวร์เป็นหลัก
ที่รับเงินจากลูกค้าเป็นครั้งๆ ไป
พวกเค้ากำลังจะกลายเป็นบริษัทซอฟต์แวร์
ที่เก็บเงินลูกค้าได้ทุกเดือน ทุกปี
ที่เราเรียกว่า Recurring Revenue
มันทำให้ธุรกิจมั่นคง เสถียรขึ้นอีกเยอะ

หัวใจของการเปลี่ยนแปลงนี้คือ
การบุกตลาด Cybersecurity
และซอฟต์แวร์โซลูชั่น
ที่ช่วยให้เห็นภาพรวมของระบบไอทีทั้งระบบ


Cisco มีฐานลูกค้าเดิมที่แข็งแกร่งมาก
อุปกรณ์ต่างๆ ของพวกเค้า
อยู่ในห้องเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรทั่วโลก

การจะเปลี่ยนอุปกรณ์โครงข่ายหลักเหล่านี้
มันเป็นเรื่องใหญ่ที่ยุ่งยากและใช้เงินเยอะมาก
Cisco เลยใช้จุดนี้เป็นแต้มต่อที่สำคัญ

พวกเค้าเดินไปบอกลูกค้าเดิมว่า
มีของเราอยู่แล้วใช่มั้ย
งั้นซื้อซอฟต์แวร์ Security ของเราเพิ่มหน่อย
ซื้อโซลูชัน AI ของเราไปด้วยเลย
ไม่ต้องไปหาเจ้าอื่นให้วุ่นวาย จบที่เราที่เดียว

แผนการในอนาคตของ Cisco
ผูกอยู่กับ 2 เรื่องใหญ่ๆ

หนึ่ง คือการซื้อบริษัท Splunk
นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท
ด้วยเงินกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์
(เยอะขนาดที่ซื้อ iPhone ตัวท้อปได้ 20 ล้านเครื่อง)

Splunk เป็นบริษัทที่เก่งมากเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล
เพื่อหาช่องโหว่และภัยคุกคามทางไซเบอร์
พอรวมพลังกับ Cisco ที่เป็นเจ้าของท่อส่งข้อมูล
มันจะกลายเป็นโซลูชันด้านความปลอดภัยที่เจ๋งมาก

สอง คือการบุกตลาด AI อย่างเต็มตัว
ทุกวันนี้ทุกบริษัทอยากใช้ AI
แต่การจะใช้ได้ ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมก่อน
Cisco จับมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง NVIDIA
เพื่อสร้างโซลูชัน "AI Data Center"
สำหรับองค์กรโดยเฉพาะ
ซึ่งผลตอบรับก็ดีมาก ยอดสั่งซื้อเข้ามาเยอะเกินคาด


พามาดูเรื่องตัวเลขกันบ้าง

งบการเงินโดยรวมของ Cisco ถือว่าแข็งแกร่งมาก
บริษัทคือเครื่องจักรผลิตเงินสดที่แท้จริง
แม้ในปี 2024 ที่ผ่านมาจะมีสะดุดไปบ้าง
รายได้และกำไรลดลงเล็กน้อย
เพราะลูกค้าชะลอการลงทุนจากภาวะเศรษฐกิจ
แต่ในปี 2025 นี้ ตัวเลขก็กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง
สะท้อนว่ากลยุทธ์ใหม่เริ่มทำงานแล้ว

ส่วนเรื่องหนี้สินก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งก็มาจากการไปซื้อ Splunk นั่นแหละ
แต่มันคือหนี้ที่เกิดจากการลงทุนเพื่ออนาคต
และเมื่อเทียบกับกระแสเงินสดที่ทำได้
ก็น่าจะยังอยู่ในระดับที่จัดการได้อยู่

ที่สำคัญคือ Cisco ยังคงเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ
และปรับเพิ่มขึ้นทุกปี เป็นที่พึ่งของนักลงทุนสายปันผลได้


แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าการทรานส์ฟอร์มนี้จะไปได้สวย
ให้จับตาดูตัวชี้วัดสำคัญ 2-3 อย่างนี้

หนึ่ง ยอดขายจากฝั่งซอฟต์แวร์ต้องเติบโตต่อเนื่อง
มันคือบทพิสูจน์ว่าการเปลี่ยนผ่านสำเร็จจริง

สอง ยอดขายที่รอส่งมอบในอนาคต (Backlog)

สาม ตัวเลขการขายพ่วงโซลูชันของ Splunk
ว่าลูกค้าเดิมยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อบริการนี้หรือไม่


ถ้ามอง Cisco เป็นแค่บริษัทฮาร์ดแวร์เหมือนในอดีต
ราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าค่อนข้างแพง
แต่ด้วยราคานี้ เหมือนว่าตลาดไม่ได้มองแบบนั้นแล้ว
ตลาดกำลังให้มูลค่า Cisco
ในฐานะบริษัทเทคโนโลยียุคใหม่
ที่มีทั้ง Software, Security และ AI
การจ่ายเงินซื้อหุ้นในวันนี้ จึงเหมือนการซื้อเรื่องราวแห่งอนาคต

Cisco กำลังเดิมพันครั้งสำคัญ
เพื่อเปลี่ยนตัวเองจากยักษ์ใหญ่ที่มั่นคง
ไปสู่การเป็นผู้นำในโลกยุคใหม่
ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ Cyber Security
สตอรี่นี้น่าสนใจและมีเหตุผลรองรับที่แข็งแกร่ง
แต่จะทำได้สำเร็จตามที่วาดฝันไว้แค่ไหน
คนลงทุนเองก็ต้องติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิด

///////////////////

เก็บดีเทลหุ้นตัวนี้ แบบละเอียดต่อในคอมเม้นต์
#รู้จักหุ้นวันละตัว ตัวที่ 029

23/07/2025

[ ]
บุหรี่ Marlboro ที่กำลังสร้างอนาคตไร้ควัน


สิงห์อมควันทุกคนต้องรู้จักชื่อ Marlboro
แบรนด์บุหรี่ระดับตำนานของโลก
ซึ่งเจ้าของคือ Philip Morris
บริษัทยาสูบที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ

ตอนนี้ตัวบริษัทเอง นอกจากขายบุหรี่แล้ว
พวกเค้าได้ผ่านการพลิกโฉมครั้งใหญ่
และ กำลังเดิมพันกับยุคสมัยใหม่
กับเป้าหมายคือการสร้างโลกที่ไร้ควันบุหรี่


ทุกวันนี้ PM มีรายได้จาก 2 ทางหลัก
ช่องทางแรก คือธุรกิจดั้งเดิม
การขายบุหรี่มวนที่เรารู้จักกันดี
ส่วนนี้ยังคงเป็นแหล่งเงินสดสำคัญ
สร้างรายได้ให้บริษัทราว 60%

และ อีกฝั่งที่กำลังจะกลายเป็นเสาหลัก
คือผลิตภัณฑ์ไร้ควัน หรือ RRPs
เป็นอนาคตที่พวกเค้าทุ่มสุดตัว
และ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ทำรายได้เกือบ 40% แล้ว

หัวหอกของธุรกิจใหม่นี้มี 2 ตัว
หนึ่งคือ IQOS ยาสูบแบบให้ความร้อน
ไม่ต้องเผาไหม้เหมือนบุหรี่ทั่วไป
ลดการรับสารอันตรายลงได้เยอะ

สองคือ ZYN ซองนิโคตินขนาดเล็ก
สำหรับใช้ในช่องปาก ไม่ต้องสูบ
กำลังฮิตถล่มทลายในอเมริกา


PM ถือเป็นบริษัทแรก
ที่บุกตลาด IQOS อย่างจริงจัง
สร้างแบรนด์จนแข็งแกร่งทั่วโลก
เป็นจุดแข็งที่คู่แข่งตามได้ยากมาก

พวกเค้าทุ่มเงินวิจัยไปมหาศาล
มากกว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์
เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้โดยเฉพาะ
สร้างกำแพงให้คนอื่นเข้ามาแข่งได้ยาก
(จำนวนเงินระดับนี้ เทียบง่ายๆ ก็คือ
สามารถซื้อหุ้น CPALL ได้ทั้งบริษัทเลยแหละ)

และการซื้อบริษัทเจ้าของ ZYN
คือการตัดสินใจที่เปลี่ยนเกมไปเลย
ทำให้ PM มีสินค้าดาวรุ่งดวงใหม่
ที่โตเร็วและกำไรดีมากๆ


เป้าหมายของ PM นั้นชัดเจนมาก
คือการสร้างอนาคตไร้ควันบุหรี่
ภายในปี 2030 พวกเค้าตั้งเป้าว่า
รายได้กว่า 2 ใน 3 ต้องมาจากขาใหม่นี้

แผนสำคัญคือการเร่งสปีด IQOS
หลังจากได้สิทธิ์กลับมาขายในอเมริกา
ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นี่คือโอกาสเติบโตครั้งสำคัญ

พร้อมกับขยายกำลังผลิต ZYN
เพื่อตอบสนองความต้องการที่พุ่งสูง
และเริ่มนำไปขายในประเทศอื่นๆ

มองให้ไกลกว่านั้น พวกเค้าเริ่มมองไปที่
ธุรกิจสุขภาพ หรือ Wellness
ใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ต่อยอด
ไปสู่การพัฒนานวัตกรรมส่งยา
แม้จะยังเป็นแผนระยะยาว
แต่ก็น่าสนใจมากๆ


ภาพรวมการเงินของ PM แข็งแกร่ง
รายได้รวมเติบโตต่อเนื่อง 3 ปีติด
แม้กำไรสุทธิจะดูไม่สม่ำเสมอ
เพราะมีค่าใช้จ่ายพิเศษเข้ามาเป็นระยะ
เช่น การซื้อกิจการก้อนใหญ่

แต่หัวใจสำคัญคือกระแสเงินสด
บริษัทผลิตเงินสดจากการดำเนินงาน
ได้ปีละกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์
ซึ่งเยอะมาก สะท้อนความแข็งแกร่งจริงจัง

ถ้าเราไปดูตัวเลขหนี้สินต่อทุน
อาจจะตกใจ เพราะค่ามันติดลบ
แต่นี่ไม่ใช่สัญญาณอันตราย
มันเกิดจากการที่บริษัทซื้อหุ้นตัวเองคืน
และจ่ายปันผลเยอะมาก
ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นในทางบัญชีลดลง

ด้วยเงินสดในมือมหาศาล
ทำให้หนี้สินที่มีอยู่ไม่น่ากังวล
และยังสามารถจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น
ได้อย่างสม่ำเสมอและเพิ่มขึ้นทุกปี


ความท้าทายใหญ่ที่สุดของ Philip Morris
คือเรื่องกฎระเบียบ
เพราะรัฐบาลทั่วโลกจับตาดูอยู่
การขึ้นภาษีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
หรือการแบนรสชาติของ ZYN
คือความเสี่ยงอันดับหนึ่งที่ต้องตามติด

ส่วนเรื่องราคาหุ้น ถ้าดูแค่ P/E
ที่อยู่ราว 36-37 เท่า
อาจจะดูแพงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ที่ P/E อยู่แค่ 9-12 เท่า

เหตุผลที่ตลาดให้ราคาสูงกว่า
อาจเพราะไม่ได้มอง PM เป็นแค่บริษัทบุหรี่
แต่มองเป็นบริษัทเทคโนโลยีเพื่อผู้บริโภค
ที่กำลังเติบโตสูงจากนวัตกรรมใหม่
นักลงทุนยอมจ่ายแพงกว่า
เพื่อแลกกับโอกาสการเติบโตในอนาคต

นการเดิมพันที่เสี่ยงของ PM ถ้าทำสำเร็จ
นี่อาจเป็นการลงทุนแห่งทศวรรษก็เป็นได้

เก็บดีเทลหุ้นตัวนี้ แบบละเอียดต่อในคอมเม้นต์
#รู้จักหุ้นวันละตัว ตัวที่ 028

22/07/2025

[ ]
เจ้าของเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนเครื่องบินกว่าครึ่งโลก


ในทุกๆ ทริปที่เราบินข้ามเมืองข้ามประเทศ
ถ้าเรามองออกไปที่ปีกของเครื่องบิน
แล้วเห็นเครื่องยนต์ทรงกลมขนาดใหญ่
มีโอกาสเกินครึ่ง ที่เครื่องยนต์นั้น จะมาจากบริษัทนี้
General Electric หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า GE

GE คือยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมของอเมริกา
แต่เมื่อไม่นานมานี้ พวกเค้าได้ปรับโฉมครั้งใหญ่
จากบริษัทที่มีธุรกิจที่ขายแทบทุกอย่าง
ตอนนี้ได้โฟกัสตัวเองใหม่ให้คมชัดกว่าเดิม
แยกธุรกิจสุขภาพและการแพทย์เป็น GE HealthCare
แยกธุรกิจพลังงานเป็น GE Vernova

และที่เหลืออยู่ คือหัวใจที่แข็งแกร่งที่สุด
นั่นคือ GE Aerospace
ธุรกิจการบินที่เก่งที่สุดของพวกเค้า


โมเดลธุรกิจของ GE Aerospace
มีรายได้หลักมาจาก 2 ส่วน

หนึ่ง คือการขายเครื่องยนต์เครื่องบิน
ให้กับค่ายใหญ่อย่าง Boeing และ Airbus

สอง คือรายได้จากการบริการและซ่อมบำรุง
นี่คือส่วนหลัก ที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้

ตราบใดที่เครื่องบินยังบินอยู่
GE ก็จะมีรายได้ค่าซ่อม ค่าอะไหล่ เข้ามาตลอด
เป็นรายได้ที่มั่นคงและยาวนานมาก
สัดส่วนรายได้จากส่วนนี้เยอะถึง 75-80%

อีกส่วนเป็นรายได้จากฝั่งการทหาร
คือการทำเครื่องยนต์ให้เครื่องบินรบ
ลูกค้ารายใหญ่คือรัฐบาลสหรัฐฯ
เป็นงานที่มั่นคง มีสัญญาระยะยาว


จุดที่ทำให้ GE เก่งกว่าใครในเกมนี้
คือฐานลูกค้าในมือที่เยอะมาก
มีเครื่องยนต์ของตัวเองติดตั้งบนเครื่องบินทั่วโลก
มากกว่า 40,000 ลำ
(ปี 2025 มีเครื่องบินทั่วโลกแถวๆ 80,000 ลำ)
เป็นเหมือนการผูกขาดกลายๆ ในอุตสาหกรรม
พอมีของอยู่ในมือลูกค้าเยอะ
อำนาจต่อรองเรื่องงานบริการก็สูงตามไปด้วย

เทคโนโลยีก็เป็นอีกเรื่องที่พวกเค้าไม่เป็นรองใคร
เครื่องยนต์รุ่นใหม่อย่าง LEAP
ประหยัดน้ำมันได้เยอะมาก
ทำให้สายการบินทั่วโลกอยากได้
เพราะช่วยลดต้นทุนได้มหาศาล

ลูกค้าของ GE กระจายอยู่ทั่วโลก
ประมาณครึ่งหนึ่งอยู่ในอเมริกา
อีกครึ่งกระจายอยู่ในยุโรป จีน และเอเชีย
ส่วนคู่แข่งในตลาดก็มีไม่กี่เจ้า
หลักๆ คือ Pratt & Whitney และ Rolls-Royce
แต่ไม่มีใครมีฐานลูกค้าในมือเยอะเท่า GE


แผนการเติบโตของ GE ชัดเจนมาก
คือ เน้นเร่งกำลังการผลิตให้ทัน
ความต้องการเดินทางทางอากาศตอนนี้สูงขึ้นมาก
สายการบินสั่งเครื่องบินใหม่กันเยอะ
GE ต้องเร่งผลิตเครื่องยนต์เพื่อส่งมอบให้ทัน
พร้อมกับขยายศูนย์ซ่อมเพื่อรองรับงานบริการที่เพิ่มขึ้น

และ เน้นลงทุนเพื่ออนาคต
ซึ่งตอนนี้ GE กำลังพัฒนาเครื่องยนต์แห่งอนาคต
ที่เรียกว่า CFM RISE
เป้าหมายคือลดการใช้เชื้อเพลิงลง 20%
และยังลงทุนในเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับเครื่องบินด้วย
นี่คือการแผนเพื่อชนะต่อเนื่องในเกมระยะยาว

แน่นอนว่าทุกอย่างก็มีความเสี่ยง
เรื่องซัพพลายเชนที่อาจจะยังติดขัด
หรือถ้า Boeing กับ Airbus ส่งมอบเครื่องบินช้า
ก็จะกระทบกับ GE โดยตรง
รวมถึงการแข่งขันที่อาจจะดุเดือดขึ้นในอนาคต


ถ้าดูที่งบการเงิน จะเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน
หลายปีก่อน GE มีหนี้เยอะมาก
แต่พวกเค้าใช้เวลาหลายปีในการลดหนี้
ตอนนี้งบการเงินกลับมาแข็งแกร่งแล้ว
หนี้สินลดลงเยอะมาก
จากที่เคยน่าห่วง ตอนนี้สบายขึ้นมาระดับนึง

ย้อนอ้างอิงตัวเลขให้เห็นชัดขึ้น
ปี 2023 รายได้รวมของ GE (ก่อนแยกบริษัท)
อยู่ที่ประมาณ 68,000 ล้านดอลลาร์
และทำกำไรได้ถึง 9,200 ล้านดอลลาร์
พลิกจากที่เคยขาดทุนหนักในปี 2022

ตัวเลขนี้บอกว่าธุรกิจการบินฟื้นตัวเต็มที่แล้ว
และส่วนที่เคยฉุดรั้งอย่างธุรกิจพลังงาน
ก็ได้แยกออกไปแล้ว

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือกระแสเงินสด
GE กลับมาสร้างเงินสดจากการดำเนินงานได้แล้ว
หมายความว่าธุรกิจหลักทำเงินได้ด้วยตัวเอง
ไม่ต้องพึ่งพาการกู้ยืมอีกต่อไป
เงินที่ได้มาส่วนใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา
ถูกนำไปใช้หนี้เป็นหลัก

ส่วนนโยบายปันผล
ตอนนี้ GE กลับมาจ่ายปันผลอีกครั้ง
อาจจะยังไม่เยอะมาก
เพราะบริษัทต้องการเก็บเงินไว้ลงทุนเพื่อเติบโตต่อ


หากจะลงทุนในหุ้น GE หรือ หุ้นกลุ่มนี้
มีตัวชี้วัด 3 อย่างที่ต้องดูตลอด

1. มูลค่างานในมือ (Backlog)
ตอนนี้ GE มีงานในมือรอรับรู้รายได้เยอะมาก
ส่วนใหญ่เป็นสัญญาระยะยาว สะท้อนอนาคตที่ดี

2. ยอดสั่งซื้อใหม่เทียบกับงานที่ทำเสร็จ Book-to-Bill
ถ้าตัวเลขนี้สูงกว่า 1 แปลว่า
มีงานใหม่เข้ามาเร็วกว่างานเก่าที่ทำเสร็จ
เป็นสัญญาณที่ดีมาก ซึ่ง GE ทำได้ดีต่อเนื่อง

3. อัตรากำไร Profit Margin
ตัวนี้บอกว่าธุรกิจทำกำไรได้ดีแค่ไหน
ซึ่งแนวโน้มของ GE ก็กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนความถูกแพงของหุ้น
ต้องยอมรับว่าราคาหุ้น GE ตอนนี้ไม่ถูกแล้ว
ค่า P/E Ratio หรืออัตราส่วนราคาต่อกำไร
สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
ตลาดให้ราคาที่สูงเพราะคาดหวังการเติบโตในอนาคต
ซึ่งถ้า GE ทำได้ตามที่ทุกคนคาด
ราคานี้ก็อาจจะสมเหตุสมผล

จะบอกว่า GE ในวันนี้
คือบริษัทที่ผ่านการผ่าตัดใหญ่
และกลับมายืนหยัดอย่างแข็งแกร่งในธุรกิจที่ตัวเองเก่งที่สุด
อนาคตดูดี มีเส้นทางการเติบโตที่ชัดเจน
ราคาหุ้นก็ได้สะท้อนความคาดหวังนั้นไปพอสมควรแล้ว
และก็ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง

เก็บดีเทลหุ้นตัวนี้ แบบละเอียดต่อในคอมเม้นต์
#รู้จักหุ้นวันละตัว ตัวที่ 027

21/07/2025

[ ]
เครื่องดื่มที่ 94% ของประชากรโลก รู้จัก


น้ำอัดลมในกระป๋องสีแดง
ที่สร้างจักรวรรดิธุรกิจเครื่องดื่ม
ให้มีมูลค่ามหาศาล ที่ชื่อว่า Coca-Cola

ที่สินค้าของพวกเค้ากระจายไปทุกมุมโลก
ตั้งแต่ตู้แช่ในร้านสะดวกซื้อใจกลางเมือง
ไปจนถึงร้านค้าเล็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล
เรามาดูกันว่าธุรกิจนี้ทำเงินกันยังไงบ้าง


โมเดลธุรกิจของ Coca-Cola นั้นเรียบง่ายมาก
พวกเค้าไม่ได้สร้างโรงงานผลิตเองทั้งหมด
แต่เน้นขาย หัวเชื้อเครื่องดื่ม หรือ Concentrate
ให้กับบริษัทคู่ค้าที่เรียกว่า Bottlers ทั่วโลก

Bottlers เหล่านี้จะนำหัวเชื้อไปผสม
บรรจุขวด และกระจายสินค้าไปขายเอง
โมเดลนี้ทำให้ KO แทบไม่ต้องลงทุนหนัก
ในเรื่องโรงงานหรือการขนส่งg]p
ซึ่งผลลัพธ์ โดยตรงทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงมาก

รายได้หลักมาจากน้ำอัดลมอย่าง Coca-Cola
Sprite และ Fanta ยังคงเป็นพระเอก
แต่ตอนนี้ KO ไม่ได้มีแค่น้ำอัดลมแล้ว
พวกเค้าประกาศตัวเป็น บริษัทเครื่องดื่มครบวงจร
พอร์ตโฟลิโอจึงเต็มไปด้วยสินค้าหลากหลาย

ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม Dasani
เครื่องดื่มเกลือแร่ Powerade
น้ำผลไม้ Minute Maid
ไปจนถึงการบุกตลาดกาแฟ
ด้วยการซื้อ Costa Coffee
ทั้งหมดนี้เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป


ความเจ๋งของ Coca-Cola ที่หาใครเทียบได้ยาก
มาจาก 2 สิ่งสำคัญที่เป็น ไพ่หน้า A สองใบในมือ

อย่างแรกคือ แบรนด์ที่แข็งแกร่งสุดๆ ในโลก
โลโก้สีแดงขาวของ Coca-Cola
เป็นที่รู้จักของผู้คนมากกว่า 94% ทั่วโลก
พลังของแบรนด์นี้ทำให้พวกเค้าสามารถขึ้นราคาสินค้าได้
โดยที่ลูกค้ายอมจ่าย นี่คือ Pricing Power ที่แท้จริง

อย่างที่สองคือ เครือข่ายการจัดจำหน่ายระดับโลก
ระบบ Bottlers ที่วางไว้ทั่วทุกทวีป
ทำให้สินค้าของ KO เข้าถึงได้ง่ายมากๆ
ไม่ว่าเราจะเดินทางไปที่ไหนในโลก
ก็มีน่าจะได้ผลิตภัณฑ์ของพวกเค้าได้เสมอ
นี่คือจุดได้เปรียบแบบสุดๆ ที่คู่แข่งสร้างตามได้ยากมาก

ลูกค้าของ KO อยู่ทั่วทุกมุมโลก
รายได้กว่า 60% มาจากนอกสหรัฐอเมริกา
สะท้อนความเป็นธุรกิจระดับโลกอย่างแท้จริง


แน่นอนว่าโลกเปลี่ยนไปทุกวัน
Coca-Cola เองก็ต้องปรับตัวเพื่ออนาคต
แผนการเติบโตของพวกเค้าชัดเจนมาก

หนึ่งคือ ลุยนวัตกรรมเครื่องดื่มใหม่ๆ
โดยเฉพาะกลุ่มสุขภาพที่กำลังมาแรง
เราจึงได้เห็น Coca-Cola Zero Sugar ที่โตโหด
และ การบุกตลาดกาแฟและชาอย่างจริงจัง

สองคือ การบุกตลาดเกิดใหม่
ในประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่ง
ยังมีโอกาสให้ธุรกิจเติบโตได้อีกเยอะมาก
เพราะคนยังบริโภคเครื่องดื่มของบริษัทไม่มากนัก

แต่ความท้าทายก็มีอยู่ไม่น้อย
เทรนด์รักสุขภาพและการต่อต้านน้ำตาล
ที่ถือเป็นความเสี่ยงหลักๆ เลย
หลายประเทศเริ่มมีการเก็บภาษีความหวาน
ซึ่งกระทบโดยตรงกับยอดขายน้ำอัดลม

ความผันผวนของค่าเงิน ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องเจอ
เพราะรายได้ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ
เมื่อเงินดอลลาร์แข็งค่า รายได้ก็จะลดลงเมื่อแปลงกลับมา

และการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มก็ยังดุเดือดเสมอ
คู่ปรับตลอดกาลอย่าง PepsiCo
ก็พร้อมชิงส่วนแบ่งตลาดตลอดเวลา


มาดูเรื่องตัวเลขกันบ้าง
งบการเงินของ KO โดยรวมแข็งแกร่งมาก
ให้เทียบก็เป็นเหมือยเครื่องจักรผลิตเงินสดชั้นดี
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกสม่ำเสมอ
ในระดับหมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี

หนี้สินต่อทุน อยู่ที่ประมาณ 1.57 เท่า
ซึ่งเป็นระดับที่จัดการได้สบาย
สำหรับบริษัทใหญ่ที่สร้างเงินสดได้เยอะขนาดนี้

ไฮไลท์สำคัญที่นักลงทุน น่าจะชอบ
คือสถานะ Dividend King
KO จ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
มานานกว่า 60 ปีแล้ว
เป็นการยืนยันความมั่นคงของธุรกิจได้เป็นอย่างดี

อัตราการจ่ายปันผล (Payout Ratio)
ก็ค่อนข้างสูง อยู่ที่ราวๆ 77% ของกำไร
หมายความว่ากำไรส่วนใหญ่ถูกนำมาจ่ายปันผล
อาจเหลือเงินไปลงทุนเพื่อการเติบโตไม่มากนัก

สำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นตัวนี้
มีตัวชี้วัดสำคัญ 3 ตัวที่ต้องติดตามอยู่เรื่อยๆ

1. การเติบโตของรายได้ปกติ (Organic Revenue)
ตัวเลขนี้จะบอกว่าธุรกิจโตจากแก่นของมันจริงๆ
ไม่ใช่แค่เพราะค่าเงินหรือการซื้อกิจการ
ซึ่ง KO ยังทำได้ดี เติบโตต่อเนื่อง

2. การเติบโตของปริมาณขาย (Unit Case Volume)
ตัวเลขนี้บอกว่าพวกเค้าขายของได้เยอะขึ้นจริงไหม
ไม่ใช่แค่โตจากการขึ้นราคาเพียงอย่างเดียว
ซึ่งล่าสุดยังเติบโตได้ แต่ไม่ได้หวือหวา

3. อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Margin)
ตัวเลขนี้สะท้อนประสิทธิภาพในการทำกำไร
KO มีมาร์จิ้นสูงมากเกือบ 30%
การรักษาระดับนี้ไว้ได้คือบทพิสูจน์ความแข็งแกร่ง


ณ กลางปี 2025 หุ้น KO
ซื้อขายที่ P/E ประมาณ 25 เท่า
เมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรในระดับกลางๆ
P/E ระดับนี้ถือว่า ไม่ถูก

นักลงทุนกำลังจ่ายเงินเพื่อซื้อ คุณภาพ
ซื้อ ความมั่นคง และ ปันผลที่สม่ำเสมอ
มากกว่าจะจ่ายเพื่อการเติบโตแบบก้าวกระโดด

เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง PepsiCo ที่มี P/E ต่ำกว่า
ก็ชัดเจนว่าตลาดให้มูลค่ากับความพรีเมียมของ KO มากกว่า

เก็บดีเทลหุ้นตัวนี้ แบบละเอียดต่อในคอมเม้นต์
#รู้จักหุ้นวันละตัว ตัวที่ 026

Grab ใช้ AI ดันธุรกิจยังไง !?เบื้องหลังข้อมูลในแอป ที่ไม่ใช่แค่เรื่องลดราคาเรื่องเล่าจากหุ้น  ความสำเร็จของแอปเรียกรถ-ส่...
20/07/2025

Grab ใช้ AI ดันธุรกิจยังไง !?
เบื้องหลังข้อมูลในแอป ที่ไม่ใช่แค่เรื่องลดราคา
เรื่องเล่าจากหุ้น


ความสำเร็จของแอปเรียกรถ-ส่งของ
คือการทุ่มเงินลดราคา ทำโปรโมชั่น จริงหรอ

ในวันที่ Grab เริ่มทำกำไรได้จริงจังในปี 2024
เบื้องหลังความแกร่งนั้น มีพระเอกที่ชื่อว่า AI ซ่อนอยู่
มันไม่ใช่ AI แบบในหนังไซไฟที่คิดเองได้
แต่เป็นเครื่องมือที่ถูกฝังเข้าไปในทุกจุดเล็กๆ ของแอป
เพื่อทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น เร็วขึ้น และฉลาดขึ้นทีละนิด


เรื่องแรก คือ การแก้ปัญหาโลกแตกของการเรียกรถ
นั่นคือการหาคนขับให้เจอผู้โดยสารในเวลาที่ใช่
Grab พัฒนา AI ที่ชื่อว่า RideGuide ขึ้นมา
หน้าที่ของมันคือวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์
ดูว่าตอนนี้ โซนไหนของเมืองที่คนกำลังต้องการรถเยอะ
แล้วมันจะส่งสัญญาณไปบอกพาร์ทเนอร์คนขับที่อยู่ใกล้ๆ
คนขับไม่ต้องเดาสุ่มขับรถวนไปมาเพื่อหาลูกค้าอีกต่อไป
แค่เปิดแอปดูก็รู้ว่าไปรอตรงไหนถึงจะมีโอกาสได้งาน
ผลลัพธ์คือ คนขับได้งานมากขึ้น ผู้โดยสารก็รอรถสั้นลง
Win-Win ทั้งคู่

อีกปัญหาที่เจอประจำคือ โน้ตที่ลูกค้าเขียนบอกคนขับ
บางทีก็เป็นภาษาพูดที่คอมพิวเตอร์สมัยก่อนไม่เข้าใจ
เช่น ฝากของไว้ที่ป้อมยามเลยพี่
หรือ เข้าซอยมาสุดทางบ้านหลังคาสีเขียว
Grab สอน AI ให้เข้าใจภาษาพูดพวกนี้
มันเรียนรู้จากโน้ตเป็นล้านๆ ข้อความ
จนสามารถตีความและส่งข้อมูลที่ชัดเจนให้คนขับได้
เช่น แปลงคำว่า ฝากไว้ที่ป้อมยาม
เป็นจุดปักหมุดที่แม่นยำขึ้น
ลดปัญหาส่งผิดบ้าน โทรหากันวุ่นวายไปได้เยอะมาก


ฝั่งร้านอาหารเองก็ได้ประโยชน์จาก AI ไม่แพ้กัน
นึกภาพร้านอาหารตามสั่งที่อยากเข้าระบบเดลิเวอรี
แต่การเอารายการอาหารทั้งหมด
มาพิมพ์เข้าระบบทีละอย่างคือเรื่องน่าปวดหัว

Grab แก้ปัญหานี้ด้วย AI ที่อ่านเมนูจากรูปถ่ายเลย
เจ้าของร้านแค่ถ่ายรูปเมนูกระดาษของตัวเอง
AI จะดึงชื่ออาหาร ราคา แปลงเป็นตัวอักษร
แล้วจัดหมวดหมู่ให้เสร็จสรรพ เช่น
ต้มยำกุ้ง=อยู่หมวดต้ม กะเพราหมูกรอบ=อยู่หมวดผัด
ทำให้ร้านค้าหน้าใหม่ๆ พร้อมขายบนแอปได้ในทันที

ล้ำขึ้นไปอีก AI ยังช่วยคิดโปรโมชันให้ร้านค้าด้วย
โดยมันจะวิเคราะห์ข้อมูลว่าลูกค้าในย่านนั้นชอบสั่งอะไร
เวลาไหนที่คนสั่งน้อย โปรแบบไหนที่เคยทำแล้วได้ผลดี
แล้วเสนอเป็นแพ็กเกจโปรโมชันง่ายๆ ให้ร้านเลือกใช้
ร้านเล็กๆ ก็สามารถทำการตลาด
แบบที่ใช้ข้อมูลนำทางได้เหมือนแบรนด์ใหญ่ๆ


เบื้องหลังที่หลายคนไม่เห็น คือ
AI ที่ทำงานในฝั่งบริการทางการเงิน
Grab ไม่ได้ปล่อยสินเชื่อ
ให้พาร์ทเนอร์คนขับหรือร้านค้าแบบสุ่มสี่สุ่มห้า

แต่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่
คะแนนรีวิว ความสม่ำเสมอในการรับงาน

ในฝั่งร้านค้า ก็จะดูยอดขาย ความนิยมของร้าน
ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาประเมินความเสี่ยง
ทำให้คนที่ไม่มีเอกสารทางการเงินดีพอที่จะกู้แบงก์
แต่มีความขยันและประวัติที่ดีบนแพลตฟอร์ม
สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้
สร้างโอกาสให้คนตัวเล็กด้วยเทคโนโลยีอย่างแท้จริง

ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า
Grab ไม่ได้มอง AI เป็นแค่ของเล่นใหม่
แต่พวกเค้ามองมันเป็นเครื่องมือสำคัญ
ในการแก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน
เมื่อปัญหาเล็กๆ นับล้านถูกแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ
ผลลัพธ์ คือประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้นของทุกคนในระบบ
และนั่นคือความได้เปรียบที่คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยาก
ที่ไม่ใช่แค่การสู้กันในเกมโปรโมชันลดราคากันอย่างเดียว
. . . . . . . . . . .

< อ่านเรื่องนี้จบแล้วได้อะไร >

1. มองหาจุดเล็กๆ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงใหญ่ (Micro-Improvements)
ความเจ๋งของ Grab คือการไม่ได้พยายามสร้าง AI ที่จะมาเปลี่ยนโลกในครั้งเดียว แต่พวกเค้าใช้ AI แก้ปัญหาเล็กๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในทุกวัน เช่น การสื่อสารระหว่างลูกค้ากับคนขับ หรือการช่วยร้านค้าจัดการเมนู การพัฒนาทักษะหรือธุรกิจของเราก็เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องรอไอเดียเปลี่ยนโลกเสมอไป ลองมองหาสิ่งเล็กๆ ในงานประจำวันที่เราสามารถทำให้ดีขึ้นได้ 1% ในทุกวัน การสะสมการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เหล่านี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

2. ข้อมูลคือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด
Grab สามารถสร้าง AI ที่ฉลาดได้เพราะมีข้อมูลการใช้งานมหาศาลอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การสั่งอาหาร หรือการให้คะแนน ในชีวิตการทำงานหรือการลงทุนก็เหมือนกัน การเริ่มต้นเก็บข้อมูล บันทึกผลลัพธ์ และวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ คือพื้นฐานของการตัดสินใจที่ดีขึ้นในอนาคต คนที่ใช้ข้อมูลเป็น จะมีความได้เปรียบเหนือคนที่ใช้แต่ความรู้สึกเสมอ

------------------------

รู้จักหุ้น [ ] Grab Holdings Limited

Market Cap ~ $21.7 พันล้าน
P/E ~1,000 เท่า
(เนื่องจากเพิ่งเริ่มมีกำไร ค่า P/E จะยังสูงหรือผันผวนอยู่)

Revenue ของ 3 ปีล่าสุด
2022: $1.43 พันล้าน
2023: $2.36 พันล้าน
2024: $2.75 พันล้าน

[ GRAB ทำเงินจากอะไรบ้าง ]
1. ส่งของ/ส่งอาหาร ~50%
2. เรียกรถ/เดินทาง ~35%
3. สินเชื่อ/จ่ายเงิน ~5% เป็นน้องเล็กที่กำลังโตเร็วมาก
4. โฆษณา/บริการอื่นๆ ~10%

#รู้จักหุ้นวันละตัว

20/07/2025

[ ] ASML Holding N.V.

โลกเราขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผล
อยู่ในมือถือ คอมพิวเตอร์ และรถยนต์
ชิปเหล่านี้ถูกสร้างจากเครื่องจักรที่ซับซ้อนมาก

บริษัทที่สร้างเครื่องจักรนี้ชื่อ ASML
พวกเค้าคือคนคุมต้นน้ำของเทคโนโลยี
ถ้าไม่มีเครื่องของ ASML
ก็ไม่มีชิปแรงๆ ให้เราได้ใช้กัน

นี่คือเรื่องราวของบริษัทที่ทรงอิทธิพล
แต่คนทั่วไปอาจไม่เคยได้ยินชื่อ


โมเดลธุรกิจของ ASML ตรงไปตรงมา
มีรายได้จากสองทางหลัก

หนึ่ง คือการขายเครื่องจักรผลิตชิป
เครื่องนี้เรียกว่า Lithography
ทำหน้าที่ฉายแสงสร้างลายบนแผ่นซิลิคอน
เปรียบเหมือนการพิมพ์ฟิล์มถ่ายรูป
แต่ละเอียดกว่านั้นหลายล้านเท่า

รายได้อีกทางคือบริการหลังการขาย
เมื่อขายเครื่องจักรราคาหลายพันล้านไปแล้ว
ก็ต้องมีทีมเข้าไปดูแล อัปเกรด ซ่อมบำรุง
สร้างรายได้ที่มั่นคงและต่อเนื่อง

โดยรวม รายได้หลักยังคงมาจากขายเครื่อง
แต่รายได้บริการก็โตขึ้นเรื่อยๆ
เป็นเหมือนกองหนุนที่แข็งแกร่ง


จุดที่ทำให้ ASML แตกต่างคือเทคโนโลยี
ที่พวกเค้าเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว
นั่นคือเทคโนโลยี EUV (Extreme Ultraviolet)

มันคือเครื่องจักร เทียร์ท้อปๆ ของวงการ
จำเป็นสำหรับการผลิตชิปขั้นสูงมากๆ
จำพวกชิปที่เล็กกว่า 7 นาโนเมตรลงไป
ซึ่งใช้ใน iPhone รุ่นท็อป และ เซิร์ฟเวอร์ AI
(7 นาโนเมตร นี่คือเล็กจัดๆ ขนาดที่ว่า
เอาตัวชิปนี้ 10000 ตัว มาเรียงต่อกัน
เพิ่งจะได้เส้นผมเส้นเดียวงี้ !)

เทียบง่ายๆ ตอนนี้ก็คงมีแค่
ASML เจ้าเดียวที่ทำได้ในเลเวลนี้
คู่แข่งอย่าง Nikon หรือ Canon จากญี่ปุ่น
ยังทำได้แค่เครื่องจักรสำหรับชิปรุ่นเก่า
ทำให้ ASML ผูกขาดตลาดนี้ไปโดยปริยาย

จุดแข็งเบอร์นี้ ถ้าจะหาใครมาทำตาม
ก็คงต้องใช้เงินและเวลาพัฒนานานหลักหลายปี
แถมล่าสุดตัวบริษัทเอง ก็ยังจับมือกับ
Carl Zeiss ผู้ผลิตเลนส์เบอร์หนึ่งของโลก
ทำให้คู่แข่งยิ่งไล่ตามได้ทันยากขึ้นไปอีก


ณ ปี 2025 นี้ ลูกค้าหลักของ ASML
ก็คือ โรงงานผลิตชิปยักษ์ใหญ่ของโลก
เราอาจคุ้นชื่อพวกเค้าดี
อย่าง TSMC จากไต้หวัน คือลูกค้ารายใหญ่ที่สุด
Samsung, SK Hynix จากเกาหลีใต้ ก็เป็นลูกค้าสำคัญ
รวมถึง Intel จากอเมริกา ที่กำลังเร่งกลับมาแข่งขัน

รายได้ส่วนใหญ่มาจากเอเชีย
ไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน คือตลาดหลัก
ซึ่งก็สะท้อนภาพอุตสาหกรรมชิปของโลก


คำถามต่อไป คือ ASML เตรียมตัวรับมือ
อนาคต ที่การแข่งขันก็จะยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ยังไง !?

พวกเค้ากำลังมองไปข้างหน้าอีกขั้น
กับเครื่องจักรรุ่นใหม่ที่เรียกว่า High-NA EUV

เครื่องนี้จะทำให้สร้างชิปได้ละเอียดขึ้นไปอีก
ลงไปในระดับต่ำกว่า 2 นาโนเมตร
ซึ่งจำเป็นสำหรับเทคโนโลยีในอนาคต

โครงการสำคัญตอนนี้ คือ
การส่งมอบเครื่อง High-NA รุ่นแรก
ให้ลูกค้ารายใหญ่เอาไปทดลองใช้
เครื่องนี้แพงขึ้นไปอีกเกือบเท่าตัว
ราคาเครื่องนึง กว่าหมื่นล้านบาท

ถ้าการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ผลิตจริงสำเร็จ
มันจะเป็นการเติบโตรอบใหม่ที่สำคัญมาก
ทั้งในแง่รายได้และกำไรของบริษัท

แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องจับตา

ความเสี่ยงอันดับหนึ่งเลย คือ
เรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะสงครามเทคโนโลยีของเมกากับจีน

เมกา พยายามกีดกันไม่ให้จีนเข้าถึงชิปขั้นสูง
ซึ่งกระทบการส่งออกเครื่องจักรไปจีนโดยตรง
เพราะจีนคือตลาดที่ใหญ่มาก

อีกความเสี่ยงคือธรรมชาติของอุตสาหกรรม
ธุรกิจชิปมีขึ้นมีลงเป็นรอบๆ
ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ดี
บริษัทต่างๆ อาจชะลอการลงทุน
ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ก็อาจลดลงได้
ถ้าเราคิดจะลงทุนในหุ้นตัวนี้
ประเด็นนี้ก็ต้องคอยติดตามอย่างใกล้ชิด


สลับมุมมาดูที่เรื่องของตัวเลขต่างๆ กันต่อ

ถ้าดูที่งบการเงิน ต้องบอกว่าแข็งแกร่งมาก
อัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 50%
สะท้อนว่ามีอำนาจในการตั้งราคาสูง
เพราะไม่มีใครทำของแบบนี้ได้

บริษัทผลิตเงินสดได้เก่งมาก
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกตลอด
มีเงินสดเหลือไปลงทุนวิจัยพัฒนาต่อ
และคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นได้ต่อเนื่อง

หนี้สินก็อยู่ในระดับที่ต่ำ
เมื่อเทียบกับเงินสดที่ทำได้
ความเสี่ยงด้านนี้จึงไม่น่ากังวล

ส่วนเรื่องปันผล ก็มีการจ่ายสม่ำเสมอ
และพยายามให้เติบโตขึ้นทุกปี
แม้จะไม่ใช่หุ้นที่จ่ายปันผลสูง
แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าบริษัทใส่ใจผู้ถือหุ้น

ตัวหุ้น ASML มักจะซื้อขายกันที่ P/E สูง
ตลาดน่าจะให้มูลค่ากับความเป็นการผูกขาด
และความสามารถในการเติบโตในอนาคต


การลงทุนใน ASML
ก็เหมือนการเดิมพันกับอนาคตของเทคโนโลยี
ตราบใดที่โลกยังต้องการชิปที่แรงขึ้นและเล็กลง
บริษัทนี้ก็จะยังคงยืนอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมต่อไป
แต่ก็ต้องไม่ลืมความเสี่ยงเรื่องการเมือง
ที่อาจเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญได้เสมอ

เก็บดีเทลหุ้นตัวนี้ แบบละเอียดต่อในคอมเม้นต์

#รู้จักหุ้นวันละตัว ตัวที่ 025

ที่อยู่

Bangkok
10120

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ รู้จักหุ้นวันละตัว + US Stock Screenerผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์