MGRonlineผู้จัดการตลาดเงิน

MGRonlineผู้จัดการตลาดเงิน รายงานข้อมูลข่าวสารในแวดวงตลาดเงิ?

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.33-โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นยังคงมีกำลังอยู่นายพูน พานิชพิบูลย์ นักก...
06/08/2025

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.33-โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นยังคงมีกำลังอยู่

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(6ส.ค.68) ที่ระดับ 32.33 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 32.30-32.48 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งสามารถปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น 3,380-3,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง หลังรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 50.1 จุด (สูงกว่า 50 จุด สะท้อนถึง ภาวะขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการบริการ) แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้พอสมควร ทำให้ ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงถูกชะลอไว้แถวโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อาทิ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ (ภาษีนำเข้าสินค้าหมวดยาและ Semiconductor) รวมถึง การคัดเลือกเจ้าหน้าที่เฟดท่านใหม่ ในตำแหน่ง Board of Governor และจะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ FOMC ของเฟด เพื่อมาแทน Adriana Kugler (Board of Governor) ที่ได้ลาออกไป

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางอินเดีย (RBI) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า RBI อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% แต่ RBI อาจเริ่มส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นได้ ตามแนวโน้มการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ และแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทางฝั่งเวียดนาม ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนาม ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) เป็นต้น

ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยยังมีแนวโน้ม “ติดลบ” ต่อเนื่อง ที่ระดับ -0.5% ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงฐานราคาสินค้าและบริการในปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูง

ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน ในเดือนมิถุนายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะหลัง เริ่มออกมาแย่กว่าคาด ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นยังคงมีกำลังอยู่ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ และอีกราว 3 ครั้งในปีหน้า ซึ่งส่งผลให้ เงินดอลลาร์ยังไม่สามารถพลิกกลับมารีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้

นอกจากนี้ ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจไม่ได้มีปัจจัยหนุนมากนัก เนื่องจาก รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่เหลืออยู่ อาจไม่สามารถทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้าง หากรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ยังคงออกมาสดใส ไม่ได้สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แย่ลงชัดเจน เหมือนกับรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในสัปดาห์ก่อนหน้า ทว่า รายงานข้อมูลดังกล่าวก็อาจยังไม่พอจะทำให้ ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่กำลังประเมินอยู่ โดยเรามองว่า อาจจะต้องรอรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell ถึงจะทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ได้อย่างชัดเจน (ทั้งปรับเพิ่มและปรับลด ความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด)

หากเงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เช่นกัน ทว่า ควรจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำประกอบด้วย เนื่องจากราคาทองคำ (XAUUSD) ได้รีบาวด์สูงขึ้นทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้น โดยมีแนวต้านถัดไปตั้งแต่โซน 3,400 และ 3,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งจะเห็นว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด และหากบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้ชัดเจน ทำให้ เราประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน ตราบใดที่ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวต้านที่ประเมินไว้

ในเชิงเทคนิคัล เงินบาทยังคงมีโซนแนวรับแถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวต้านได้ขยับลงมาแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านถัดไป

05/08/2025

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยเงินบาทปิดตลาดที่ 32.42-ทยอยอ่อนค่าระหว่างวันรับแรงกดดันราคาทองคำลง

นางสาวกาญจนา โชคพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เผยค่าเงินบาทวันนี้(5ส.ค.68)กลับมาปิดตลาดที่ 32.42 บาทต่อดอลลาร์ฯ (หลังแข็งค่าไปใกล้ ๆ ระดับ 32.30 ในระหว่างวัน) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ...เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงแรกตามทิศทางของสกุลเงินเอเชีย (เพราะดอลลาร์ฯ ยังถูกดดันจากการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟด) แต่ทยอยอ่อนค่ากลับมาในระหว่างวัน ซึ่งคาดว่า แรงกดดันบางส่วนจะมาจากการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก สำหรับทิศทางฟันด์โฟลว์ในวันนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย 2,059 ล้านบาท และ 642 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.20-32.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อของไทยเดือนก.ค. ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ และทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก นอกจากนี้ ตลาดยังคงติดตามประเด็นระหว่างปธน. ทรัมป์ และประธานเฟดอย่างใกล้ชิด

ออมสินเดินหน้าสร้าง Social Impact ตั้งเป้าสิ้นปีกว่า17,000ล้านบาทนายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส...
05/08/2025

ออมสินเดินหน้าสร้าง Social Impact ตั้งเป้าสิ้นปีกว่า17,000ล้านบาท

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวในการประชุมผู้บริหารสายงานกิจการสาขา ซึ่งมีผู้บริหารธนาคารทั้งจากส่วนกลาง และสายงานกิจการสาขา กว่า 1,600 คนทั่วประเทศเข้าร่วมงาน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ จ. เชียงใหม่ เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เดินหน้าทำธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ธนาคารเพื่อสังคมต่อเนื่อง มั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2568 ธนาคารจะสามารถสร้าง Social Impact ได้มากขึ้นตามเป้าหมายเป็นเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 17,000 ล้านบาท

สำหรับนวัตกรรมการเงินเพื่อสังคมในช่วงครึ่งปีหลัง เน้นให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกค้ารายย่อย สามารถเข้าถึงแหล่งทุนที่ช่วยประคับประคองธุรกิจ และทำให้มีสภาพคล่องเพียงพอรองรับสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนไม่แน่นอนจากปัจจัยภายในและภายนอก ผ่านการให้สินเชื่อที่มอบเงื่อนไขพิเศษเพื่อผู้ประกอบการ ได้แก่ สินเชื่อ GSB Smooth Biz, GSB D-VERs, GSB D-Home และมาตรการลดดอกเบี้ยสูงสุด 3% ต่อปี แก่ลูกค้าธนาคารที่เป็นผู้ส่งออก และ Supply Chain ของผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรง/ทางอ้อม จากมาตรการภาษี Trump Tariff ซึ่งเร็ว ๆ นี้ ธนาคารเตรียมออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อลดภาระผู้ประกอบการในเรื่องนี้ พร้อมกับช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจที่สำคัญเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย

พร้อมด้วย ผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อช่วยลดภาระรายย่อย ได้แก่ สินเชื่อเคหะรีไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ย 0% 3 เดือน (เฉลี่ย 3 ปีแรก ดอกเบี้ยต่ำสุดที่ 2.85% ต่อปี) สินเชื่อบ้านเติมตังค์ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ต่ำสุด 4.99% ต่อปี และ สินเชื่อบ้านแลกเงิน คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 3.59% ต่อปี (6 เดือนแรก) ตลอดจนการเร่งปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือกลุ่มฐานราก อาทิ สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน สินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส สินเชื่อสำหรับผู้ไม่เคยมีประวัติเครดิต สินเชื่อส่งดีมีเติมพลัส สนับสนุนลูกค้าดีให้กู้เพิ่มได้ ซึ่งธนาคารคาดว่าตลอดปี 2568 จะสามารถช่วยเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการ รวมถึงลูกค้ารายย่อย ผ่านการปล่อยสินเชื่อวงเงินรวมกว่า 2 แสนล้านบาท ส่วนด้านเงินฝาก เน้นส่งเสริมการออมแบบมีระยะเวลาและเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นสลากออมสินพิเศษ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษแบบมีระยะเวลา เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษเพื่อการเกษียณ 10 ปี เงินฝาก Smart Junior เพื่อส่งเสริมการออมในเยาวชน เป็นต้น ตั้งเป้าหมายเม็ดเงินการออมโดยมีเงินฝากเพิ่มสุทธิไม่ต่ำกว่า 65,000 ล้านบาท ภายในปี 2568

ทั้งนี้ ธนาคารออมสินดำเนินธุรกิจเป็นธนาคารเพื่อสังคม หรือ Social Bank ด้วยบทบาทหลัก 4 ด้าน คือ 1) การเปิดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงิน 2) การแก้ไขปัญหาหนี้ 3) บทบาทการพัฒนาสังคมและชุมชน และ 4) การสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการสร้างสรรค์และขับเคลื่อนงานทั้ง 4 ด้าน โดยอิงแนวคิด Creating Shared Value (CSV) เพื่อให้ธนาคารสามารถทำกำไรทางธุรกิจในระดับที่เหมาะสม ควบคู่กับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ที่นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของธุรกิจและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม

กรุงไทย-รฟม. เปิดตัว “บัตรแมงมุม EMV”เชื่อมแตะจ่าย MRT-รับ20บาทตลอดสายนายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมว...
05/08/2025

กรุงไทย-รฟม. เปิดตัว “บัตรแมงมุม EMV”เชื่อมแตะจ่าย MRT-รับ20บาทตลอดสาย

นายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ร่วมด้วยนายธวัชชัย ชีวานนท์ ประธานผู้บริหารสายงาน Product & Business Solutions ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB)เปิดตัว “บัตร Mangmoom EMV”บัตรเดียวที่สามารถชำระค่าโดยสาร MRT ได้ครบทุกเส้นทางด้วยระบบ EMV Contactless ทั้งสายสีม่วง สีน้ำเงิน สีชมพู และสีเหลือง รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีแดง เริ่มให้บริการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 เป็นต้นไป และจะสามารถแตะจ่ายแอร์พอร์ตเรลลิ้งค์ได้ในเดือนตุลาคม 2568

นายธวัชชัยกล่าวว่า บัตร Mangmoom EMV เกิดจากความร่วมมือระหว่างธนาคารกรุงไทยและ รฟม. ในการยกระดับบัตร MRT Plus ให้สามารถแตะจ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT ข้ามสายได้ ลดข้อจำกัดการเดินทาง จากเดิมต้องใช้บัตรโดยสารเฉพาะของแต่ละสาย พร้อมเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนเข้ากับบริการทางการเงินได้อย่างไร้รอยต่อ ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนพันธกิจของ รฟม. ในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้ทันสมัย สอดคล้องกับกลยุทธ์ Mass Transit Ecosystem ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าระบบนิเวศหลักของธนาคาร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ผ่านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งกับบริการทางการเงิน ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย พร้อมส่งเสริมคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

บัตร Mangmoom EMV ใช้งานง่าย พร้อมรองรับนโยบาย 20 บาทตลอดสาย สามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชันภาครัฐตามที่กำหนด ผู้สนใจสามารถสมัครบัตรได้ที่ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสาร MRT สายสีม่วงทุกสถานี และสมัครด้วยตนเองได้อย่างง่ายดายผ่านบริการ “เป๋าตังเปย์” บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนหรือ KYC ใหม่ สมัครบัตรในราคาขั้นต่ำเพียง 50 บาท ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี พร้อมบริการจัดส่งบัตรถึงบ้านทั่วประเทศ

การจำหน่ายบัตรจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป สามารถบริหารจัดการบัตรผ่าน “เป๋าตังเปย์” ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยบัตร Mangmoom EMV แบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามกลุ่มผู้ใช้งานเพื่อให้เหมาะสมกับสิทธิและเงื่อนไข ดังนี้ บุคคลทั่วไป (Adult): อายุ 15 ปีขึ้นไป ชำระค่าโดยสารในอัตราปกติ, นักเรียน/นักศึกษา (Student): อายุ 15 - 23 ปี ได้รับส่วนลดค่าโดยสาร และผู้สูงอายุ (Senior): อายุ 60 ปีขึ้นไป ได้รับส่วนลดค่าโดยสาร

"บัตร Mangmoom EMV ไม่เพียงรองรับนโยบาย 20 บาททุกสาย แต่ยังมอบความคุ้มค่าแบบครบ จบในใบเดียว ยังสามารถใช้แทนเงินสด และรับสิทธิพิเศษมากมายเมื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการในร้านค้าที่รับบัตร VISA และ Mastercard พร้อมกันนั้น ธนาคารกรุงไทยยังมอบสิทธิประโยชน์จากแคมเปญ “ติ๊ดได้...ไม่มีติด กับบัตร Mangmoom EMV” รับสิทธิพิเศษจากพาร์ทเนอร์ชั้นนำ อาทิ GrabFood, LINE MAN, Lazada, Shopee และแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่เชื่อมโยงการเดินทางและการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว"

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.30-แข็งค่ารับดอลล์อ่อน-ราคาทองคำขึ้นนายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินต...
05/08/2025

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.30-แข็งค่ารับดอลล์อ่อน-ราคาทองคำขึ้น

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(5ส.ค.68) ที่ระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”
จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.29-32.48 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งสามารถปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น 3,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

ทั้งนี้ ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสถึง 98% ที่จะลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน และมีโอกาสราว 52% ที่จะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ สอดคล้องกับ ถ้อยแถลงล่าสุดของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Mary Daly (San Francisco Fed) ที่ระบุว่า เฟดอาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ย “มากกว่า 2 ครั้ง” ในปีนี้

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้ หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 52% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ (ทุกการประชุม FOMC ที่เหลือของปีนี้)

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนี S&P PMI ภาคการบริการของจีน (เดิม คือ Caixin PMI) ในเดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นมีกำลังมากกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกับกดดันให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยง Two-Way risk (พร้อมปรับตัวได้ทั้งสองทิศทาง แข็งค่าต่อ หรือ พลิกกลับมาอ่อนค่าลง) ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเรามองว่า ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ อาจยังไม่ได้เลวร้ายมากนัก อย่างที่ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดสะท้อนออกมา และเรามองว่า การจ้างงานที่แย่ลงในช่วงหลายเดือนก่อนนั้น ก็อาจเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จนทำให้ภาคธุรกิจชะลอการจ้างงานลง เพื่อรอความชัดเจน ซึ่งล่าสุด ทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็มีความชัดเจนมากขึ้น หลังสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้า ทำให้เรามองว่า ภาคธุรกิจสหรัฐฯ อาจเริ่มกลับมาจ้างงานมากขึ้นในระยะข้างหน้าได้ ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะทยอยเห็นชัดในรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และ PCE ในระยะข้างหน้า ทำให้ เราคงมองว่า เฟด อาจยังไม่รีบลดดอกเบี้ยลงอย่างที่ตลาดคาดหวังได้ (แต่ยอมรับว่า ความเสี่ยงเฟดลดดอกเบี้ยเร็วและมากกว่าคาด ก็เพิ่มสูงขึ้น) ซึ่งเราจะรอติดตามข้อมูลตลาดแรงงาน อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) อย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะรับรู้ รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เพิ่มเติม

โดยหากเฟดย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ซึ่งต้องติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และงานสัมนาประจำปีของเฟด ที่เมือง Jackson Hole รัฐ Wyoming ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม อีกทั้ง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาสดใส และรายงานอัตราเงินเฟ้อก็สูงขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะกลับมาหนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้ กดดันราคาทองคำและเงินบาท

นอกจากนี้ เรามองว่า แม้เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า หลังราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น แต่การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด โดยเฉพาะหากบรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) โดยหากประเมินจากความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำ เรามองว่า หากราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 3,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แล้วไม่ผ่าน เงินบาทก็อาจแข็งค่าขึ้นราว 15-20 สตางค์ และอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน

04/08/2025

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยเงินบาทปิดตลาดที่ 32.45-แข็งค่าสอดคล้องทิศทางสกุลเงินเอเชีย

นางสาวกาญจนา โชคพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เผยค่าเงินบาทวันนี้(4ส.ค.68)เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 32.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 32.86 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแข็งค่าสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ขณะที่ Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ยังคงถูกกดดันต่อเนื่องจากตัวเลขตลาดแรงงาน (การจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงาน) ของสหรัฐฯ ที่ออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาดมาก ซึ่งกระตุ้นให้ตลาดเพิ่มการคาดการณ์โอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนก.ย. นี้ สำหรับทิศทางฟันด์โฟลว์ในวันนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 2,609 ล้านบาท แต่ขายสุทธิพันธบัตรไทย 447 ล้านบาท

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.30-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก และสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ รวมถึง ดัชนี PMI และ ISM ภาคบริการเดือนก.ค. ของสหรัฐฯ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานสินเชื่อ ณ สิ้นเดือนมิ.ย.68หดตัว1.26%ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสรุปข้อมูลสินเชื่อและเงินฝากของธนาคารพาณิ...
04/08/2025

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานสินเชื่อ ณ สิ้นเดือนมิ.ย.68หดตัว1.26%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสรุปข้อมูลสินเชื่อและเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ไทย 17 แห่ง ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2568 โดยเงินให้สินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับสุทธิอยู่ที่ 13.68 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2568 ลดลง 1.26% YoY เนื่องจากยังคงเผชิญแรงกดดันจากการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ ประกอบกับธนาคารยังคงพิจารณาปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างระมัดระวัง สอดคล้องกับภาพรวมที่ธนาคารต่าง ๆ ส่งสัญญาณเน้นการเติบโตของสินเชื่อใหม่ในกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ ควบคู่กับการช่วยเหลือลูกหนี้เดิมที่อยู่ในกลุ่มเปราะบาง

ด้านเงินรับฝาก อยู่ที่ระดับ 16.14 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2568 ขยายตัว 1.01% YoY หลักๆ จากการขยายตัวของเงินฝากออมทรัพย์ ขณะที่เงินฝากประจำขยับลดลงซึ่งเป็นไปตามทิศทางดอกเบี้ยที่ปรับตัวลง อย่างไรก็ดีแม้เงินฝากจะขยายตัวในกรอบต่ำ แต่ไม่กระทบสภาพคล่องโดยรวมที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

SAMออกมาตรการช่วยลูกค้ารับผลกระทบพายุ'วิภา'นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด...
04/08/2025

SAMออกมาตรการช่วยลูกค้ารับผลกระทบพายุ'วิภา'

นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า SAM ได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ของ SAM ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่ประสบสาธารณภัยจากพายุ "วิภา" ตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยหรือสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด รวม 10 จังหวัด ได้แก่ น่าน แพร่ สุโขทัย กำแพงเพชร นครปฐม อุตรดิตถ์ อุดรธานี ร้อยเอ็ด เชียงราย ลำปาง และอยู่ระหว่างการผ่อนชำระตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้หรือค้างชำระไม่เกิน 90 วัน โดยลูกค้าจะได้รับการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยทั้งจำนวน สูงสุด 3 เดือน หลังจากนั้น SAM ผ่อนปรนให้ชำระหนี้บางส่วนตามความสามารถภายในระยะเวลาสูงสุดถึง 6 เดือน นับจากวันที่เข้าร่วมมาตรการ ส่วนดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในระหว่างเข้าร่วมมาตรการส่วนที่เหลือและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันชำระครั้งสุดท้าย โดยไม่เกิน 90 วันให้ตั้งพักไว้และชำระในงวดสุดท้ายของสัญญาปรับโครงสร้างหนี้

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่บัดนี้ - 28 กันยายน 2568 เพื่อให้ SAM เร่งดำเนินการบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็ว

"การประกาศมาตรการพิเศษในการให้ความช่วยเหลือลูกค้า โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “วิภา” ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าอย่างแน่นอน นับเป็นการช่วยเหลือลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม รวมถึงยังเป็นการสร้างแรงจูงใจกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาเจรจาและหาแนวทางร่วมกันในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีอยู่ให้สำเร็จโดยเร็ว ขณะที่ลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ NPL กลุ่มอื่นๆ ทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจที่มีหลักประกันและทุกประเภทสินเชื่อ SAM ออกมาตรการ “ปรับหนี้มีสุข ผ่อนดีมีลด” เพื่อบรรเทาและช่วยเหลือลูกค้าทุกรายภายใต้เงื่อนไขและแนวทางที่เหมาะสมตามความสามารถของลูกค้าแต่ละรายเป็นสำคัญ เช่น กรณีลูกค้าเลือกปิดบัญชีภายใน 6 เดือน จะได้รับยกเว้นดอกเบี้ยใหม่ทั้งหมด หรือ หากเลือกการผ่อนชำระ คิดดอกเบี้ย 0% ในช่วง 6 เดือนแรก และปรับลดอัตราดอกเบี้ย MLR เป็นพิเศษในเดือนต่อไปตามเงื่อนไขที่ SAM กำหนด เป็นต้น SAM ให้ความสำคัญของการให้โอกาสลูกค้าที่กำลังเดือดร้อนได้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากและสามารถกลับไปดำเนินชีวิตและธุรกิจได้ตามปกติ โดยไม่ต้องผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและแนวคิดของ SAM “ส่งมอบโอกาสเพื่อคนไทย เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” อันจะส่งผลต่อความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม”

สำหรับกลุ่มลูกค้าบัตรเครดิต บัตรกดเงินสดและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันที่มีสถานะเป็นหนี้เสีย (NPL) ค้างชำระเกินกว่า 120 วัน (ตามรายงานเครดิตบูโร ณ เดือนปัจจุบันมีสถานะค้างชำระตั้งแต่ 121-150 วัน ขึ้นไป) SAM ให้ความช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มนี้ผ่าน “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” ภายใต้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพียงร้อยละ 3-5 ต่อปี และระยะเวลาผ่อนนานสูงสุดถึง 10 ปี โดยมีทางเลือกการปรับโครงสร้างหนี้ เป็น 3 ทางเลือก คือ 1. ผ่อนชำระไม่เกิน 4 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี 2. ผ่อนชำระนานกว่า 4 ปี ไม่เกิน 7 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี 3. ผ่อนชำระนานกว่า 7 ปี ไม่เกิน 10 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี โดยมีคุณสมบัติของผู้สมัคร คือเป็นบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ มีอายุไม่เกิน 70 ปี มียอดหนี้รวมกันไม่เกิน 2 ล้านบาท

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.48-ติดตามผลประชุม BOE- ถ้อยแถลงเฟดนายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลา...
04/08/2025

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.48-ติดตามผลประชุม BOE- ถ้อยแถลงเฟด

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-32.75 บาท/ดอลลาร์ และกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์ จากระดับเปิดเช้านี้(4ส.ค.68)ที่ 32.48 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นมาก”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.87 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) ได้พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น “เร็วและแรง” กลับสู่โซนแนวรับแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.40-32.88 บาทต่อดอลลาร์) หลังรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นเพียง 7.3 หมื่นราย แย่กว่าที่ตลาดคาด อีกทั้ง ยังมีการปรับแก้ไขข้อมูลก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด โดยภาพดังกล่าวทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ทันที และมองว่า เฟดมีโอกาสราว 44% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ กดดันให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวลดลง หนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถรีบาวด์สูงขึ้นสู่โซน 3,350-3,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง “เร็วและแรง” หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาดและมีการปรับแก้ไขข้อมูลเดิม ที่สะท้อนการจ้างงานที่อ่อนแอ ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่าเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ในปีนี้

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม ผลการประชุม BOE รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท แม้เราคงมุมมองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ แต่เรายอมรับว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้ชะลอลงและเงินบาทเสี่ยงผันผวนสูงขึ้น พร้อมกับเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ขึ้นกับทิศทางของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ โดยต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด และบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ

หากผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ หรือเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ ในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด อีกทั้ง บรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก็เริ่มออกมาแสดงความกังวลต่อแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ และเริ่มมองเห็นโอกาสการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด เงินดอลลาร์ก็เสี่ยงอ่อนค่าลงต่อ และอาจเห็นการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ หนุนให้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) แต่หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด พร้อมกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง ก็อาจหนุนการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลง กดดันให้เงินบาทอาจอ่อนค่าเหนือโซนแนวต้านแรก 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบแนวต้านถัดไป 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้

อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเสี่ยงผันผวนสูงและเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้สองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งจะขึ้นกับรายงายข้อมูลเศรษฐกิจและมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด นอกจากนี้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ BOE ก็อาจส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์ได้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ภาษีตอบโต้ในอัตราที่ลดลงหนุนเศรษฐกิจไทยปี 68 โต 1.5% ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุกรณีสหรัฐฯ ประกาศอัตราภา...
01/08/2025

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ภาษีตอบโต้ในอัตราที่ลดลงหนุนเศรษฐกิจไทยปี 68 โต 1.5%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุกรณีสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ใหม่ต่อไทย ในอัตราที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับ 36% มาอยู่ที่ 19% ใกล้เคียงกับภูมิภาคอาเซียน และดีกว่าเวียดนาม ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับมุมมองการส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ดีขึ้นกว่าเดิม

ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ไทยต้องยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ราว 90% ของสินค้าทั้งหมด รวมถึงลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีลงนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การเปิดตลาดนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ อาจไม่ทำให้สินค้าสหรัฐฯ ไหลบ่าเข้ามาในไทยมากอย่างที่กังวล

ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดส่งออกจะช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตดีขึ้นเล็กน้อยที่ 1.5% จากเดิม 1.4% ท่ามกลางท่องเที่ยวโตต่ำกว่าคาด ประกอบกับปัจจัยกดดันจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณที่อาจต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้

01/08/2025

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยเงินบาทปิดตลาดที่ 32.85-แตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 1 เดือน

นางสาวกาญจนา โชคพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เผยค่าเงินบาทวันนี้(1ส.ค.68)แตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 1 เดือนที่ 32.87 ก่อนจะกลับมาปิดตลาดที่ 32.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.68 บาทต่อดอลลาร์ฯ...โดยเงินบาทอ่อนค่าสอดคล้องกับทิศทางสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาค สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่ยังคงแข็งค่าขึ้น หลังความกังวลต่อผลกระทบของภาษีสินค้านำเข้าต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่อนคลายลงบางส่วน ประกอบกับตลาดยังคงประเมินว่า เฟดอาจจะยังไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ เงินบาทน่าจะมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากทิศทางฟันด์โฟลว์ ซึ่งในวันนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย 1,899 ล้านบาท และ 2,205 ล้านบาทตามลำดับ

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้า (4-8 ส.ค.) ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ระดับ 32.30-33.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ค. ของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก และสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนมิ.ย. ดัชนี PMI/ISM ภาคบริการเดือนก.ค. และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุม BOE ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ และตัวเลขเศรษฐกิจจีนเดือนก.ค. อาทิ ตัวเลขการส่งออก ด้วยเช่นกัน

สมาคมธนาคารไทยชื่นชมเจรจาภาษีฯลดเหลือ19%-เดินหน้าหนุนธุรกิจพัฒนาศักยภาพต่อเนื่องนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิด...
01/08/2025

สมาคมธนาคารไทยชื่นชมเจรจาภาษีฯลดเหลือ19%-เดินหน้าหนุนธุรกิจพัฒนาศักยภาพต่อเนื่อง

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ขอแสดงความขอบคุณอย่างยิ่งต่อรัฐบาลไทย ที่ได้บรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐ ในการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยลงเหลือ 19% จาก 36% ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยและเศรษฐกิจไทยโดยรวม รวมถึงลดความไม่แน่นอนที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุน

“สมาคมฯ ขอแสดงความชื่นชมทีมเจรจาการค้าของไทย นำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทีมงานกระทรวงพาณิชย์ ทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก ที่ได้ทุ่มเททำงานหนักอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา จนนำไปสู่ความสำเร็จของข้อตกลงในครั้งนี้ ช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกกับประเทศเพื่อนบ้าน และรักษาการจ้างงานภายในประเทศ”

ทั้งนี้ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานที่จะเกิดขึ้น การแข่งขันและข้อจำกัดในด้านทรัพยากร สมาคมธนาคารไทย เห็นว่า จากความสำเร็จของการเจรจาดังกล่าว จะเอื้อและสนับสนุนให้เราเร่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ คู่ขนานไปกับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ทั้งการยกระดับกระบวนการผลิต มาตรฐานสินค้า และการใช้เทคโนโลยี โดยอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐ ภาคการเงิน และภาคเอกชน เพื่อร่วมกันกำหนดเป้าหมาย และจัดลำดับความสำคัญในการพัฒนาให้ภาคเอกชน
มีความสามารถในการแข่งขันอย่างแท้จริง สอดคล้องกับเมกาเทรนด์ต่างๆ ของโลก

สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก สนับสนุนรัฐบาลในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งในด้านการผลิต การค้า และการลงทุน พร้อมสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง และในขณะนี้ เรากำลังเร่งร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในนามคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผลักดัน “โครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องและสินเชื่อเพื่อการพัฒนาศักยภาพ” เป็นเครื่องมือทางการเงินสนับสนุนให้ภาคธุรกิจ ตลอดห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ SME ลงทุนในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ยกระดับมาตรฐานการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศ ตอบโจทย์เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยเฉพาะการจ้างงานการเพิ่มทักษะแรงงาน และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจไทย ได้อย่างครอบคลุม และทั่วถึงเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

ที่อยู่

บ้านพระอาทิตย์
Bangkok
10200

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ MGRonlineผู้จัดการตลาดเงินผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์