MGRonlineผู้จัดการตลาดเงิน

MGRonlineผู้จัดการตลาดเงิน รายงานข้อมูลข่าวสารในแวดวงตลาดเงิ?

“ออมสิน” เปิดตัว กระปุก "แสงแห่งการออม”รับวันออมแห่งชาติ-เปิดจองสิทธิ์ 27 ต.ค. นี้ธนาคารออมสิน เปิดตัวกระปุกออมสิน “แสงแ...
24/10/2025

“ออมสิน” เปิดตัว กระปุก "แสงแห่งการออม”รับวันออมแห่งชาติ-เปิดจองสิทธิ์ 27 ต.ค. นี้

ธนาคารออมสิน เปิดตัวกระปุกออมสิน “แสงแห่งการออม” เนื่องในวาระวันออมแห่งชาติ 2568 ดีไซน์รูปแบบใหม่ที่มีลวดลายฉลุรอบตัวกระปุก เมื่อเปิดไฟจะมีแสงสว่างเปล่งประกายออกมารอบด้าน เปรียบเสมือนพลังแห่งการเริ่มต้นการออมที่ค่อย ๆ ส่องนำทางสู่ความมั่นคงทางการเงินและเป็นแรงบันดาลใจให้เริ่มออมตั้งแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน ผู้ที่สนใจสามารถจองสิทธิ์ฝากเงินรับกระปุกออมสิน “แสงแห่งการออม” ได้ตั้งแต่วันที่ 27 – 30 ตุลาคม 2568 ผ่านเว็บไซต์ www.gsb.or.th, Line Official : GSB Society หรือแอปพลิเคชัน MyMo โดยฝากเงินตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป ได้ที่ธนาคารออมสินสาขา แอปพลิเคชัน MyMo หรือเครื่องรับฝากเงิน ADM พร้อมรับกระปุกออมสิน ณ ธนาคารออมสินสาขาที่ลงทะเบียนจองสิทธิ์ไว้ ในวันที่ 31 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน 2568 (จำกัด 1 คน ต่อ 1 สิทธิ์) ของมีจำนวนจำกัด

พร้อมกันนี้ ขอเชิญชวนร่วมเปิดมุมมองใหม่ของการออมในยุคดิจิทัล ในงาน “GSB SAVINGS FORUM 2025” ภายใต้แนวคิด “AI & AOM ออมยุคใหม่ สร้างสังคมไทยให้ยั่งยืน” วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 6 อาคารออมสินพิพัฒน์ ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ พบกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจในการใช้เทคโนโลยี AI กับ การออมมากมาย อาทิ เวทีมินิทอล์ก “ออมยุคใหม่ สร้างสังคมไทยให้ยั่งยืน” จากกูรูชื่อดัง การประกวดออกแบบ “กระปุกออมสินแห่งโลกยุคดิจิทัล” ด้วย AI รอบชิงชนะเลิศ และการเปิดตัว “โค้ชการเงินมืออาชีพ” หรือ CMC by GSB รุ่นแรก รวมถึงสิทธิพิเศษสำหรับผู้ลงทะเบียนล่วงหน้าจะได้รับกระปุกออมสิน “แสงแห่งการออม”

24/10/2025

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยเงินบาทปิดตลาดที่ 32.76-ฟื้นตัวสอดคล้องกระแสเงินทุนต่างชาติ

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เผยค่าเงินบาทวันนี้(24 ต.ค.68)ปิดตลาดที่ระดับ 32.76 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับปิดตลาดต่างประเทศเมื่อคืนที่ผ่านมาที่ 32.78 บาทต่อดอลลาร์ฯ...โดยเงินบาทเคลื่อนไหวเป็นกรอบ แต่ปิดที่ระดับแข็งค่ากว่าเมื่อวานนี้เล็กน้อย โดยเงินบาทฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนในช่วงท้ายสัปดาห์สอดคล้องกับกระแสเงินทุนต่างชาติที่กลับมาซื้อสุทธิทั้งในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย (2,237.81 ล้านบาท และ 5,944 ล้านบาทตามลำดับ) ประกอบกับแรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลงบางส่วนก่อนข้อมูล CPI ของสหรัฐฯ ในคืนนี้

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์หน้า ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.40-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกและเครื่องชี้เศรษฐกิจเดือนก.ย. ของไทย ผลการประชุมเฟด (28-29 ต.ค.) สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ส่วนปัจจัยต่างประเทศอื่น ๆ ที่ต้องติดตาม ประกอบด้วย สถานการณ์การชัตดาวน์ของสหรัฐฯ ประเด็นการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ผลการประชุม BOJ (29-30 ต.ค.) และการประชุม ECB (30 ต.ค.) รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2568 ของยูโรโซน และข้อมูล PMI เดือนต.ค. รายงานโดยทางการจีน

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.87-ผันผวนสูงจากอิทธิพลของโฟลว์ธุรกรรมทองคำนายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลา...
24/10/2025

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.87-ผันผวนสูงจากอิทธิพลของโฟลว์ธุรกรรมทองคำ

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (24ต.ค.68)ที่ระดับ 32.79 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.87 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิดวันที่ 22 ตุลาคม) และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.95 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา (ซึ่งรวมช่วงวันหยุดทำการของตลาดการเงินไทยในวันที่ 23 ตุลาคม) เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.72-32.91 บาทต่อดอลลาร์) แม้เงินดอลลาร์จะเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจนในกรอบ Sideways หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ทั้ง อัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม นี้

ทว่า เงินบาทก็พอได้แรงหนุนบ้าง จากการรีบาวด์สูงขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังจากที่ปรับตัวลงหนักจนทดสอบโซนแนวรับ 4,000-4,010 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงคืนวันที่ 22 ตุลาคม ซึ่งการเคลื่อนไหวของราคาทองคำดังกล่าว ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงของราคาทองคำ ตามการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด

ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตาปัจจัยสำคัญทั้งการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาทองคำรวมถึงเงินดอลลาร์ได้อย่างมีนัยสำคัญต่อไป นอกจากนี้ เงินบาทยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดและการปรับสถานะถือครอง โดยเฉพาะสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า)

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญ จะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน รวมถึง อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ระยะสั้นและระยะยาว จากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนตุลาคม ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดใช้ประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ของฝั่งยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักดังกล่าว

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ และเงินบาท (USDTHB) จะยังคงอยู่ในแนวโน้มการอ่อนค่า จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน แต่เราขอเน้นย้ำว่า เงินบาทได้เคลื่อนไหวผันผวนสูงขึ้น จากอิทธิพลของโฟลว์ธุรกรรมทองคำ เนื่องจากในช่วงนี้ ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ ทั้งจังหวะการปรับตัวลงแรงของราคาทองคำ และการรีบาวด์สูงขึ้นของราคาทองคำ (ซึ่งในช่วงนี้ก็มักจะเห็นการปรับตัว ขึ้น-ลง ในระดับ เกิน 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงเวลาสั้นๆ) ก็ส่งผลให้ เงินบาทอ่อนค่าลง หรือ แข็งค่าขึ้นมาบ้างได้ โดยจากการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของทั้งราคาทองคำและเงินบาท เราพบว่า เงินบาทมีความอ่อนไหวต่อทิศทางราคาทองคำ (Beta, Sensitivity) ราว 0.2 ในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวลดลง และราว 0.3 ในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในคืนนี้ โดยเฉพาะ อัตราเงินเฟ้อ CPI ที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ ได้ถูกเลื่อนประกาศจากผลกระทบของภาวะ US Government Shutdown โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้ เกือบ Fully Priced-In หรือคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟดราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า ไปพอควรแล้ว ทำให้ หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาสูงกว่าคาด อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด และหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลงบ้าง (แต่อาจไม่แรงมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังคงรอลุ้น การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน) ซึ่งอาจกดดันให้ เงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.85 บาทต่อดอลลาร์ โดยหากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้ ก็มีโอกาสที่จะเห็นการอ่อนค่าลงต่อเข้าใกล้โซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้เช่นกัน

ในทางกลับกัน หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ชะลอลงตามคาด หรือ ออกมาต่ำกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจมากขึ้น ต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดที่กำลังคาดหวังอยู่ ก็อาจกดดันเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ให้ย่อตัวบ้าง แต่ไม่มากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอควร (จะปรับเพิ่มความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญได้ อาจต้องเห็นปัจจัยเสี่ยงกดดันภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชัดเจน อย่าง ประเด็นสงครามการค้าและรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ) ซึ่งจะพอช่วยหนุนทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้ โดยอาจเห็นเงินบาทแข็งค่าขึ้นบ้าง เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์ แต่อาจจะยังไม่สามารถแข็งค่าทะลุโซนดังกล่าวได้ง่ายนัก (แนวรับถัดไปในโซน 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์)

กรุงไทยแจ้งเปิดจุดบริการพิเศษแก่ประชาชน-ร้านค้าผู้เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส”ในวันที่ 23 ต.ค.นี้รายงานข่าวจากธนาคาร...
22/10/2025

กรุงไทยแจ้งเปิดจุดบริการพิเศษแก่ประชาชน-ร้านค้าผู้เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส”ในวันที่ 23 ต.ค.นี้

รายงานข่าวจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)(KTB)แจ้งเปิดจุดบริการพิเศษอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและร้านค้า ผู้เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ในวันพฤหัสบดีที่ 23 ต.ค. 2568 จำนวน 23 สาขา และ 7 จุดบริการนอกสถานที่

เช็กจุดบริการและเวลาให้บริการได้ที่ : https://krungthai.com/th/krungthai-update/news-detail/3298

ทั้งนี้ ให้บริการเฉพาะแอปฯ เป๋าตัง, ถุงเงิน และร้านค้าสมัครเข้าร่วมโครงการฯ เท่านั้น

สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครเป็นร้านค้าถุงเงิน แต่ยังไม่มีบัญชีธนาคารกรุงไทย สามารถทำรายการเปิดบัญชีได้ที่สาขาในห้างสรรพสินค้า

22/10/2025

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยเงินบาทปิดตลาดที่ 32.88-แตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 4 เดือน

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เผยค่าเงินบาทวันนี้(22 ต.ค.68)ปิดตลาดที่ระดับ 32.88 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.76 บาทต่อดอลลาร์ฯ ...โดยเงินบาทอ่อนค่าทดสอบแนว 32.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 4 เดือน ท่ามกลางแรงกดดันจากแรงขายทำกำไรทองคำในตลาดโลก หลังจากราคาทองคำพุ่งขึ้นมากในช่วงก่อนหน้านี้ สำหรับทิศทางฟันด์โฟลว์ในวันนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 4,097 ล้านบาท แต่มีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 1,564 ล้านบาท

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.50-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และสกุลเงินเอเชียอื่นๆ รวมถึงตัวเลข PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนต.ค. ของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ

วิจัยกสิกรฯชี้ผลประกอบการแบงก์Q3รับแรงหนุนเงินลงทุน-รายได้ค่าฟี-แนวโน้มNIMยังลงนางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิ...
22/10/2025

วิจัยกสิกรฯชี้ผลประกอบการแบงก์Q3รับแรงหนุนเงินลงทุน-รายได้ค่าฟี-แนวโน้มNIMยังลง

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดระบุจากข้อมูลงบการเงินไตรมาส 3/2568 ของกลุ่มแบงก์ (9 แห่ง) ที่จดทะเบียนใน SET สะท้อนว่า กลุ่มแบงก์ยังสามารถประคองผลการดำเนินงานไว้ได้ แม้รายได้จากธุรกิจหลักยังคงอ่อนแอจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมที่ขยายตัวแบบไม่ทั่วถึง และยังคงเป็นสภาพแวดล้อมที่ท้าทายการประคองรายได้ของของกลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งปรับตัวลงมาแล้ว 5 ไตรมาสติดต่อกัน (นับตั้งแต่ไตรมาส 3/2567-ไตรมาส 3/2568) อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า กำไรจากเงินลงทุนและกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) ปรับเพิ่มสูงขึ้น และมีส่วนช่วยหนุนผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งตลอดหลายไตรมาสที่ผ่านมา โดยล่าสุดในไตรมาส 3/2568 รายการกำไรจากเงินลงทุน และ FVTPL ขยับขึ้นไปสูงกว่า 3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 22.4% ของกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมบางรายการ เช่น ค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ธุรกิจการจัดการกองทุน และค่าธรรมเนียมการให้บริการด้าน Wealth Management ที่ได้รับอานิสงส์จากสภาวะตลาดเงินตลาดทุนที่เอื้ออำนวย ก็มีส่วนช่วยเพิ่มแรงหนุนต่อผลการดำเนินงานด้วยเช่นกัน

*สินเชื่อหดตัวลงต่อเนื่อง- NIMยังชะลอลง **
ด้านยอดคงค้างสินเชื่อจากงบการเงินรวม 9 แห่ง ณ ไตรมาส 3/2568 หดตัวลง 1.2% YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ต่อเนื่องจากที่หดตัว 1.7% YoY ในไตรมาส 2/2568 โดยนอกจากภาพรวมสินเชื่อจะได้รับแรงกดดันจากผลของการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ และการระมัดระวังความเสี่ยงด้านเครดิตในการปล่อยสินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงินแล้ว ความต้องการเบิกใช้สินเชื่อของภาคธุรกิจเพื่อลงทุนในระยะยาวก็ปรับตัวลดลงตามสัญญาณการฟื้นตัวล่าช้าและความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน

ผลจากสถานการณ์สินเชื่อที่อ่อนแอ เมื่อรวมเข้ากับผลของการทยอยปรับลดดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนต.ค. 2567 และการช่วยเหลือลูกหนี้ที่เข้าโครงการคุณสู้เราช่วย ทำให้ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อ (Yield on Loans) ปรับลดลงเร็วกว่าต้นทุนทางการเงิน (Funding Cost) ซึ่งสะท้อนผ่านการชะลอตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin: NIM) ที่ปรับลดลงมาแล้ว 4 ไตรมาสติดต่อกัน โดย NIM ในไตรมาส 3/2568 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.18% จาก 3.22% ในไตรมาสที่ 2/2568

**ปัญหาคุณภาพสินเชื่อยังคงต้องการการดูแลต่อเนื่อง **
ทั้งนี้ แม้ว่าสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ NPL ratio ตามข้อมูลงบการเงินรวมของธนาคารพาณิชย์ 9 แห่ง ขยับสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยมาที่ 3.18% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 3/2568 จากระดับ 3.16% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 2/2568 (รูปที่ 2) แต่สินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต หรือ Stage 2 ratio ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงประมาณ 7.38% ของสินเชื่อรวมในไตรมาสที่ 3/2568 สะท้อนว่า คุณภาพของพอร์ตสินเชื่อยังมีความเสี่ยงที่จะด้อยลงในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะหากแนวโน้มเศรษฐกิจและรายได้ภาคครัวเรือนยังไม่ฟื้นกลับมาเป็นปกติ และมีผลกระทบต่อเนื่องต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้

*ไตรมาสสุดท้ายยังท้าทาย**
จากข้อมูลงบการเงินรวมของธนาคารพาณิชย์และบริษัทย่อย 9 แห่งที่มีสัญญาณอ่อนแอดังกล่าวข้างต้น สะท้อนว่า ข้อมูลสถานการณ์ภาพรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย 17 แห่ง (ระบบแบงก์ไทย) ที่จะทยอยรายงานตามมาคงจะให้ภาพที่คล้ายคลึงกัน และเมื่อต่อภาพไปในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า แรงกดดันด้านค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มสูงขึ้นตามปัจจัยด้านฤดูกาล และธนาคารพาณิชย์หลายแห่งน่าจะกลับมามีแนวทางการตั้งสำรองฯ ที่ระมัดระวังเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจไทยซึ่งอาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นโจทย์ที่ท้าทายต่อการประคองผลการดำเนินงานของระบบแบงก์ไทย โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมบางตัวที่ต้องพึ่งพาสภาวะที่เอื้อของตลาดการเงิน รวมไปถึงรายได้จากธุรกิจหลักอย่างการปล่อยสินเชื่อ และเมื่อรวมกับผลของทิศทางดอกเบี้ยในประเทศที่มีโอกาสปรับลดลงอีกก่อนสิ้นปี อาจทำให้ NIM ของระบบแบงก์ไทยชะลอลงไปอยู่ต่ำว่าระดับ 2.72% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 (เทียบกับตัวเลขคาดการณ์ NIM ของระบบแบงก์ไทยในไตรมาส 3/2568 ที่ 2.80% และตัวเลขจริงของ NIM ในไตรมาส 2/2568 ที่ 2.84%) ขณะที่ คาดว่า อัตราส่วนค่าใช้จ่ายสำรองต่อสินเชื่อ (Credit Cost) ของระบบแบงก์ไทยน่าจะยังอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ และปิดปี 2568 ที่ระดับประมาณ 1.27% ใกล้เคียงกับปี 2567

ซึ่งทิศทางเหล่านี้ ทำให้โจทย์หลักของแบงก์จะกลับมาเป็นเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุนส่วนอื่นๆ เฉพาะหน้า เพื่อประคองความสามารถในการทำกำไรในช่วงดอกเบี้ยขาลงนี้

เคทีซีจัดแคมเปญใหญ่หนุนใช้พอยท์รับเทศกาลจับจ่าย-ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายปลายปีเพิ่มกว่า10%เคทีซีตอกย้ำความเป็นผู้นำ Loyalty Pr...
22/10/2025

เคทีซีจัดแคมเปญใหญ่หนุนใช้พอยท์รับเทศกาลจับจ่าย-ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายปลายปีเพิ่มกว่า10%

เคทีซีตอกย้ำความเป็นผู้นำ Loyalty Program เปิดแคมเปญใหญ่ “พลังพอยท์ FOREVER แลกไม่หยุด คุ้มสุดทุกดีล” ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 31 มกราคม 2569 ร่วมมือพันธมิตรกว่า 160 แบรนด์ รวมกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ มอบสิทธิพิเศษแลกคะแนน รับส่วนลด เครดิตเงินคืน หรือดีลพิเศษสูงสุดถึง 50% ผ่านช่องทางร้านค้าพันธมิตร และแอป KTC Mobile โดยตั้งเป้ากระตุ้นยอดใช้จ่ายปลายปีเพิ่มขึ้นกว่า 10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการตลาดบัตรเครดิต บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)(เคทีซี) กล่าวว่า เคทีซี เป็นผู้นำในตลาดบัตรเครดิตด้านสิทธิประโยชน์จากคะแนนสะสมมาอย่างยาวนาน ด้วยจุดแข็งของคะแนน KTC FOREVER ที่ “ทุกคะแนนมีค่า” สามารถใช้แทนเงินสดได้จริง และไม่มีวันหมดอายุ ทำให้สมาชิกมั่นใจในการสะสมและใช้คะแนนได้อย่างคุ้มค่าเสมอมา โดยปัจจุบัน เคทีซีมีสมาชิกบัตรเครดิตกว่า 2.9 ล้านบัญชี โดยมียอดคะแนน KTC FOREVER รวมมากกว่า 16,000 ล้านคะแนน ซึ่งหมวดที่มีการแลกคะแนนสูงสุด ได้แก่ ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และท่องเที่ยว สะท้อนพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ให้ความสำคัญกับ “ความคุ้มค่าและคุณค่า” โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ของทุกปีที่เป็นช่วงที่มียอดการใช้จ่ายสูงที่สุดของปี

ดังนั้น แคมเปญ “พลังพอยท์ FOREVER แลกไม่หยุด คุ้มสุดทุกดีล” จึงออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายของสมาชิกเคทีซีในทุกมิติ โดยมุ่งเพิ่มความคุ้มค่าให้กับสมาชิกผ่านการแลกคะแนน KTC FOREVER รับส่วนลด เครดิตเงินคืน หรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ ครอบคลุมหมวดที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ หมวดร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ท่องเที่ยว และช้อปปิ้งออนไลน์ โดยมีสิทธิประโยชน์ใหม่หมุนเวียนทุกเดือน พร้อมดีลพิเศษที่เป็นไฮไลท์ประจำเดือน อาทิ สมาชิกแลกคะแนนรับส่วนลดสูงสุด 50% ที่ร้านคอปเปอร์ บียอนด์ บุฟเฟ่ต์ (Copper Beyond Buffet) และคาเทอิ ชาบู (Katei Shabu) รวมถึงแลกคะแนนรับส่วนลดหรือเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 36% เมื่อซื้อโทรศัพท์มือถือไอโฟน (iPhone) 17 ผ่านร้านค้าที่ร่วมรายการในเดือนตุลาคม (ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและสิทธิพิเศษได้ที่ https://www.ktc.co.th/forever-power)

"ทุกคะแนน KTC FOREVER มีมูลค่า ช่วยเสริมประสบการณ์การใช้จ่ายให้ครบวงจรและคุ้มค่ายิ่งขึ้น พร้อมทั้งเสริมสภาพคล่องให้ผู้บริโภคได้จริง แคมเปญนี้จึงไม่ใช่เพียงการกระตุ้นการใช้จ่าย แต่เป็นการยกระดับคะแนนสะสมให้เป็นเครื่องมือการเงินยุคใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของสมาชิกได้อย่างแท้จริง"

LH Bankปล่อยสินเชื่อสีเขียวให้แก่สายการบินไทยแอร์เอเชียวงเงิน650ลบ.ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ สนับสนุนสินเชื่อสีเขียว (Gre...
22/10/2025

LH Bankปล่อยสินเชื่อสีเขียวให้แก่สายการบินไทยแอร์เอเชียวงเงิน650ลบ.

ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ สนับสนุนสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) วงเงิน 650 ล้านบาท ให้แก่ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย เพื่อซื้อเครื่องบิน Airbus A320-251N Neo ซึ่งประหยัดพลังงาน ลดการใช้เชื้อเพลิง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

นายมาร์ค เฉิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Bank)กล่าวว่า ธนาคารสนับสนุนสินเชื่อสีเขียววงเงิน 650 ล้านบาทให้แก่บริษัทไทยแอร์เอเชียเพื่อซื้อเครื่องบิน Airbus A320-251N Neo เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านการประหยัดพลังงานลดต้นทุนเชื้อเพลิง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของธนาคารที่ส่งเสริมและสนับสนุนโครงการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายไพรัชล์ พรพัฒนนางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด กล่าวว่า การได้รับการสนับสนุนสินเชื่อสีเขียวจาก LH Bank ครั้งนี้ช่วยให้ไทยแอร์เอเชียซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจการบินและมีส่วนเเบ่งการตลาดในประเทศสูงสุด สามารถดำเนินตามแผนลงทุนและปรับฝูงบินในตระกูลแอร์บัส A320neo และ A321neo ที่มีเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งประหยัดพลังงานมากกว่ารุ่นเดิม 15 - 20% ต่อเที่ยวบิน รวมถึงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 5,000 ตันต่อปีต่อลำ ไทยแอร์เอเชีย มุ่งพัฒนาธุรกิจการบินอย่างรับผิดชอบต่อสังคมควบคู่กับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจและความยั่งยืนในระยะยาวถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่การเป็นสายการบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

แบงก์แจ้งกำไร9เดือนจำนวน2.08แสนล.-เพิ่มขึ้น6.74%ธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย(KBANK),ธนาคารกรุงเทพ (BBL),ธ...
22/10/2025

แบงก์แจ้งกำไร9เดือนจำนวน2.08แสนล.-เพิ่มขึ้น6.74%

ธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย(KBANK),ธนาคารกรุงเทพ (BBL),ธนาคารกรุงไทย(KTB)บริษัทเอสซีบีเอกซ์(SCB),ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY),ธนาคารทหารไทยธนชาต(TTB),กลุ่มทิสโก้ไฟแนนซ์เชียล(TISCO),กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร(KKP),ธนาคารไทยเครดิต(CREDIT), กลุ่มแอลเอชเอฟซีไฟแนนซ์เชียล (LHFG)และธนาคารซีไอเอ็มบีไทย(CIMBT) รายงานผลการดำเนินงานประจำงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 และไตรมาส 3 ปี 2568 โดย 9 เดือนแรกของปีมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 208,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.74%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวม 195,070 ล้านบาท และผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ของปีมีกำไรสุทธิรวม 73,706 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.20% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่มีกำไรสุทธิ 65,694 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์โดยส่วนใหญ่ยังคงได้รับแรงหนุนจากส่วนของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย อาทิ ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ,ธุรกิจประกัน หรือรายได้จากการลงทุน เป็นต้น ขณะที่รายได้จากธุรกิจหลักอันได้แก่รายได้จากดอกเบี้ยนั้นยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องจากสินเชื่อที่ลดลงตามเศรษฐกิจ และการดำเนินการอย่างระมัดระวังของธนาคาร เพื่อควบคุมคุณภาพหนี้ รวมถึงการช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางในโครงการต่างๆ และทิศทางดอกเบี้ยขาลง

สำหรับในระยะถัดไป การดำเนินธุรกิจโดยรวมยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวังเนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ยังโตต่ำต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า รวมถึงความเสี่ยงทั้งจากปัจจัยภายใน และภายนอกประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น พร้อมพยายามควบคุมต้นทุนด้านต่างๆเพื่อรักษาผลการดำเนินงานในช่วงที่รายได้หลักยังไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้ รวมถึงยังคงต้องดูแลลูกค้ากลุ่มเปราะบาง-กลุ่มปกติต่อเนื่องเพื่อไม่ให้กระทบด้านคุณภาพหนี้ในอนาคต

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.89-แนวโน้มทยอยอ่อนค่า-ติดตามราคาทองคำนายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงิน...
22/10/2025

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.89-แนวโน้มทยอยอ่อนค่า-ติดตามราคาทองคำ

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(21ต.ค.68) ที่ระดับ 32.89 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.78 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.95 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง ในลักษณะ Sideways Up ทะลุโซนแนวต้าน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จ (แกว่งตัวในกรอบ 32.73-32.91 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ (ได้แรงหนุนบ้างจากการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น ตอบรับข่าว Sanae Takaichi ชนะโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ของญี่ปุ่น) ที่มาพร้อมกับ การปรับฐานอย่างรุนแรงของราคาทองคำ (XAUUSD) โดยราคาทองคำดิ่งลงกว่า -5% ในช่วงคืนที่ผ่านมา เข้าใกล้โซน 4,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง

นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวรุนแรงของราคาทองคำดังกล่าวก็สะท้อนถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดด้วยเช่นกัน ทั้งในฝั่ง Long ทองคำ (มองราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น) ที่ขายทำกำไรสถานะดังกล่าว หรือบางส่วนก็อาจถูก Stop Loss ส่วนฝั่ง Short ทองคำ (มองราคาทองคำปรับตัวลดลง) ก็อาจทยอยเพิ่มสถานะดังกล่าวโดยเฉพาะหลังราคาทองคำปรับตัวลดลงหลุดโซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ที่ทำให้กราฟราคาทองคำรายชั่วโมงอาจเข้ารูปแบบ Double Tops สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อ

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกันยายน

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดว่า BI อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 25bps สู่ระดับ 4.50% เพื่อช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ และเงินบาท (USDTHB) จะยังคงอยู่ในแนวโน้มการอ่อนค่า จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน โดยโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทมีกำลังมากขึ้น อีกครั้ง หลังราคาทองคำปรับตัวลงรุนแรงในช่วงคืนที่ผ่านมา สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนสูงและเสี่ยงที่จะเห็นการปรับตัวแรงของราคาทองคำได้เป็นระยะๆ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้พอสมควร (Beta หรือ Sensitivity ระหว่างราคาทองคำกับค่าเงินบาท ในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงจะอยู่ที่ราว 0.2)

อย่างไรก็ดี เนื่องจากราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนสูง ทำให้ตราบใดที่ประเด็นความเสี่ยงซึ่งกดดันตลาดในช่วงที่ผ่านมา อาทิ ความกังวลต่อสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมถึงรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มเทคฯ ใหญ่ ไม่ได้คลี่คลายลงอย่างชัดเจน เรามองว่า ราคาทองคำก็อาจพอมีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง (ตามลักษณะของภาวะผันผวนสูง) ซึ่งอาจมาจากทั้งแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน รวมถึง การปิดสถานะหรือปรับลดสถานะ Short ทองคำ (มองราคาทองคำลดลง) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน โดยหากราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ก็อาจชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้เช่นกัน

นอกจากนี้ เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจค่อยเป็นค่อยไป หากราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวลงรุนแรงต่อเนื่อง โดยเราเริ่มเห็นแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งควรจับตาแรงซื้อบอนด์ระยะยาวของไทย จากบรรดานักลงทุนต่างชาติ หลังบอนด์ยีลด์ระยะยาวของไทยได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาพอสมควร สวนทางกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ระยะยาวทั่วโลก โดยเฉพาะช่วงอายุ 10 ปี โดยเรารประเมินว่า ระดับบอนด์ยีลด์ 10 ปี ไทย เหนือโซน 1.75% ก็ถือว่าเป็นระดับที่ Fairly Valued หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1.25% ได้

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้ส่งออก และผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือปิดสถานะ/ขายทำกำไรสถานะดังกล่าว ทำให้ เงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าต่อเนื่อง จนทะลุโซนแนวต้าน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ง่ายนัก

ส่วนเงินดอลลาร์ก็อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทั้งการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน

ไทยเครดิตแจ้งกำไรสุทธิ 9เดือนที่ 2,841 ล้านบาท-เพิ่มขึ้น 16.9%ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) (CREDIT) เผยผลกำไรสุทธิในไตร...
21/10/2025

ไทยเครดิตแจ้งกำไรสุทธิ 9เดือนที่ 2,841 ล้านบาท-เพิ่มขึ้น 16.9%

ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) (CREDIT) เผยผลกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 1,013.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 9.5% จากไตรมาสก่อน ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจำนวน 114.0 ล้านบาทหรือร้อยละ 2.6 ประกอบกับธนาคารมีกำไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมสำหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเท่ากับ 84.8 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วกำไรสุทธิลดลง 11%

ขณะที่ผลประกอบการงวดเก้าเดือนแรกปี 2568 อยู่ที่ 2,841.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 16.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.82 บาทในไตรมาส 3 ปี 2568 และ 2.30 บาท ในงวดเก้าเดือนแรก สะท้อนฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งจากการดำเนินงานที่มีความรอบคอบและการบริหารความเสี่ยงที่แข้มแข็งพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจัยหลักที่หนุนการเติบโต ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 มาจากการขยายตัวของสินเชื่อรวมอยู่ที่ 177,670.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารยังคงรักษาการเติบโตของพอร์ตหลักได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อธุรกิจ Micro SME ที่ขยายตัว 14.6%, สินเชื่อที่มีบ้านเป็นหลักประกันเพิ่มขึ้น 11.3%, และสินเชื่อบุคคลเติบโตโดดเด่น 55.3%

ขณะเดียวกัน ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ลดลงถึง 24.1% จากปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพของการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่ออย่างรอบคอบ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ช่วยยกระดับคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (Gross NPLs Ratio) ปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 4.2% ถึงแม้ว่าอัตราส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin: NIM) จะปรับลดลงจากปีก่อน แต่ยังทรงตัวในระดับสูงที่ 7.6%

นายรอยย์ ออกุสตินัส กุนารา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT เปิดเผยว่า ธนาคารไทยเครดิตยังคงเดินหน้าขยายพอร์ตสินเชื่ออย่างรอบคอบ ภายใต้กรอบการบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็ง พร้อมพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าทุกกลุ่ม และสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ธนาคารยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโต โดยตั้งเป้ารักษาอัตราการขยายตัวของสินเชื่อในระดับเลขสองหลักอย่างต่อเนื่อง พร้อมควบคุมอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ให้อยู่ต่ำกว่า 4.5%

ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ธนาคารไทยเครดิตได้ขยายเครือข่ายสาขาเต็มรูปแบบอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดให้บริการเพิ่มอีก 3 สาขาในทำเลศักยภาพ ได้แก่ สาขาถนนนิมมานเหมินท์ จังหวัดเชียงใหม่ สาขาวี วรรณ ทาวเวอร์ และสาขาเซ็นทรัล พาร์ค เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม อีกทั้งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์การเติบโตของธนาคาร ทั้งในด้านการขยายฐานลูกค้าและการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการอย่างครบวงจร

“กรุงไทย”แจ้งกำไรไตรมาส 3 จำนวน 14,620 ล้านบาท-เพิ่มขึ้น 25.1%-มุ่งช่วยเหลือลูกค้าปรับตัวรับพลวัตโลก  กรุงไทยแจ้งกำไรสุท...
21/10/2025

“กรุงไทย”แจ้งกำไรไตรมาส 3 จำนวน 14,620 ล้านบาท-เพิ่มขึ้น 25.1%-มุ่งช่วยเหลือลูกค้าปรับตัวรับพลวัตโลก

กรุงไทยแจ้งกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2568 จำนวน 14,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ได้แรงหนุนจากธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน และธุรกิจ Wealth Management พร้อมบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมุ่งเน้นดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง และรักษาระดับ Coverage Ratio ในระดับสูง รองรับภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน และเร่งช่วยเหลือลูกค้าปรับตัว-แก้หนี้อย่างยั่งยืน

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน)(KTB) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3/2568 ของธนาคารมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 14,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.1เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567 จากรายได้จากการดำเนินงานขยายตัวร้อยละ 3.4 ได้แรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน และกำไรจากเงินลงทุน จากตราสารหนี้และอัตราแลกเปลี่ยนตามสภาวะตลาดอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมที่ขยายตัวร้อยละ 3.7 จากธุรกิจ Wealth Management ขณะที่ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงตามภาวะดอกเบี้ยและการปรับดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้า สินเชื่อโดยรวมลดลงร้อยละ 3.9 จากสิ้นปี 2567 ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง การชำระคืนของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อภาครัฐ ในด้านสินเชื่อรายย่อยเติบโตได้ดีกว่าเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัย และธนาคารสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ มี Cost to Income Ratio ที่ร้อยละ 37.7 ลดลงจากร้อยละ 41.8 โดยคาดว่าประมาณการทั้งปียังคงเป็นไปตามเป้าหมายเดิม

พร้อมกันนั้น ธนาคารยังคงรักษาคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี NPL Ratio อยู่ที่ร้อยละ 2.88 ลดลงจากร้อยละ 2.99 จากสิ้นปีที่ผ่านมา จากลูกหนี้รายใหญ่บางรายกลับมาเป็นหนี้ปกติ และยังคงรักษา Coverage Ratio ในระดับสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 206.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 188.6 จากสิ้นปีที่ผ่านมา รองรับความไม่แน่นอนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะนี้ โดยมีอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อ (Credit Cost) ที่ร้อยละ 1.09 ลดลงจากร้อยละ 1.29 สะท้อนคุณภาพสินทรัพย์

เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้จากการดำเนินงานขยายตัวร้อยละ 5.9 แม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ธุรกิจตลาดเงินตลาดทุนจากตราสารหนี้และอัตราแลกเปลี่ยนที่ปรับตัวดีตามสภาวะตลาดและรายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโตต่อเนื่องจากบริการด้าน Wealth Management ส่งผลให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารเท่ากับ 14,620 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนของปี 2568 เทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 25671/ ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารเท่ากับ 37,456 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 รายได้จากการดำเนินงานขยายตัวเล็กน้อย ร้อยละ 0.4 ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลงร้อยละ 4 จากการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการบริหารทรัพย์สินรอการขายที่กลับสู่ระดับปกติ แม้ว่าธนาคารยังคงลงทุนใน เทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม รองรับการเติบโตในอนาคต โดย Cost to Income Ratio ลดลงเป็นร้อยละ 40.1 จากร้อยละ 41.9 ธนาคารยังคงตั้งสำรองอย่างรอบคอบและระมัดระวังและยังคงรักษา Coverage Ratio ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจสะท้อนคุณภาพสินทรัพย์

ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 19.78 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง และมีเงินกองทุนทั้งสิ้น ร้อยละ 21.78 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยงซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 3 จากการเร่งส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ก่อนขึ้นภาษีศุลกากร ส่วนในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า มีแนวโน้มชะลอตัวจากการเร่งส่งออกที่หมดลง ขณะเดียวกัน ยังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้าง ทั้งความเปราะบางที่มีอยู่เดิม โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ การขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่ และความท้าทายของภาครัฐ ซึ่งล้วนจะยังคงกดดันการเติบโตของประเทศในระยะยาว อย่างไรก็ตาม คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” ที่มุ่งเน้นกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจที่เติบโตในระดับต่ำ และมีโอกาสพลิกฟื้นความเชื่อมั่นในระยะข้างหน้า

"ธนาคารดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง มุ่งเน้นการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ รับมือกับความไม่แน่นอน โดยให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือและสนับสนุนลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มเปราะบางที่มีภาระหนี้สูงและรายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ โดยร่วมสนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืน ผ่านมาตรการต่างๆ อาทิ โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” และ “โครงการสินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน” รวมถึงมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ธนาคารยังเดินหน้าสนับสนุนสินเชื่อสำหรับกลุ่มธุรกิจที่ต้องการปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับพลวัตของโลก ตลอดจนสนับสนุนกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ที่มีโอกาสเติบโตสูง (New S-Curve) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจ"

นายผยงกล่าวอีกว่า ธนาคารให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างคุณค่าและโอกาสทางการเงินให้ทุกคนผ่าน 5 ยุทธศาสตร์หลัก ที่มุ่งเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน บริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อ เสริมศักยภาพพนักงาน และสร้างสมดุลให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม โดยล่าสุดธนาคารและพันธมิตรได้จัดตั้ง ธนาคารคลิกซ์ จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินธุรกิจ ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ที่อยู่

บ้านพระอาทิตย์
Bangkok
10200

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ MGRonlineผู้จัดการตลาดเงินผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์