23/02/2024
"ทำไมที่บ้านพูดอะไรก็ไม่ฟังไม่ทำตามค่ะ"
"ที่อยู่กับคุณครู..เนี่ย..อยู่เป็นนะ"
เป็นประโยคที่ครูจ๊อยได้ยินอยู่ทุกครั้งและเกือบทุกวันที่ให้คำปรึกษาคุณพ่อคุณแม่เรื่องการปรับพฤติกรรมลูก 😅
#ฟังทุกเรื่องทั้งเรื่องดีและเรื่องที่ไม่ดีแม้แต่เรื่องที่ัฟังแล้วรู้ว่าเด็กทำไม่ถูกต้องก็ต้องฟังถ้าเด็กรู้สึกว่าอยากเล่าทุกอย่างให้เราฟัง..นั่นหมายความว่า..ความสัมพันธ์ระหว่างเรา .. "เราคือที่ปลอดภัยของเด็กๆ"
(แล้วค่อยๆเข้าสู่กระบวนการปรับพฤติกรรมต่อไป)
่ใช่แค่ที่กระตุ้นพัฒนาการแต่เป็นที่พักพิงใจของเด็กๆและติวเข้มพ่อแม่ค่ะ... แฮ่ๆ 😍
"วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เด็กฟังในสิ่งที่เราสอน
คือการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับเขา"
คุณแม่ “ลูกอายุ 6 ปีแล้วค่ะ ที่ผ่านมาแม่มักจะฝากลูกไว้กับคนที่บ้าน ช่วงนี้ปิดเทอมยาว แม่ก็ทำงานที่บ้าน ทีนี้เวลาแม่สอนอะไรลูกไม่ฟังเลยค่ะ แต่พอเป็นคนที่บ้านคนอื่นเขากลับฟังค่ะ แม่ต้องทำยังไงดีคะ”
คำตอบ คือ “ให้ย้อนกลับไปที่การสร้างสายสัมพันธ์กับลูกใหม่"
หากปราศจากซึ่งสายสัมพันธ์ที่ดีแล้ว การสอนเรื่องใด จะเป็นเรื่องที่ยากขึ้นมาทันที
อย่างไรก็ตามสายสัมพันธ์ที่ดีไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามวันข้ามคืน แต่สายสัมพันธ์ที่ดีต้องเกิดจากส่วนประกอบสำคัญ 5 ประการ ได้แก่
(1) ความจริงใจ
จริงใจต่อตัวเอง และจริงใจต่อลูกของเรา
เคารพในตัวเรา และเคารพในตัวเขาเช่นกัน
สิ่งสำคัญที่จะทำให้เราจริงใจต่อตัวเองได้ คือ การตระหนักรู้ถึงข้อจำกัดภายในตัวเอง เช่น สิ่งที่เราชอบ ไม่ชอบ เราเติบโตมาแบบไหน และเรามีจุดที่ต้องปรับปรุงอย่างไร เพื่อที่เราจะไม่นำสิ่งที่เราไม่ชอบส่งต่อไปยังลูกของเรา
นอกจากนี้ แม้เราจะเป็นผู้ใหญ่หรือเป็นพ่อแม่แล้วก็ตาม ไม่ได้แปลว่า เราทำผิดพลาดไม่ได้ หากเราทำผิดต่อลูก เราควรให้อภัยตัวเอง และพูดขอโทษลูกได้
เช่นเดียวกัน เราควรเคารพลูก โดยการปฏิบัติต่อเขา ในแบบที่เราต้องการให้เขาปฏิบัติต่อเรา
แต่ในวัยที่ลูกยังเป็นเด็กเล็ก เราควรเป็นผู้ให้ และเป็นแบบอย่างกับเขาเสียก่อน
“เป็นให้ลูกเห็น ทำให้ลูกดู และสอนให้เขาทำ"
หากลูกของเราทำผิดพลาดไป เราควรให้อภัยและให้โอกาส สอนเขาให้ทำสิ่งที่เหมาะสมต่อไป
**********
(2) การยอมรับ
ผู้ใหญ่ควรเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจธรรมชาติของเด็ก และยอมรับเด็กๆ อย่างที่เขาเป็น ไม่คาดหวังเขาเกินวัย และไม่คาดหวังให้เขาต้องเป็นอย่างที่เราต้องการ
หากเราสามารถยอมรับเขาโดยปราศจากเงื่อนไข สายสัมพันธ์จะค่อยๆ เกิดขึ้นจากการได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เราได้รู้จักเขา และเขาได้รู้จักเรา
**********
(3) การสื่อสารที่ดี
ไม่ใช่เพียงการแค่การพูด แต่เราควรจะรับฟังอีกฝ่ายอย่างจริงใจ
“การฟังที่ดี”
1. อยู่ตรงนั้นเพื่อเขา (Be present)
2. ฟังสิ่งสำคัญ หรือ สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะบอก
3. ฟังให้ได้ยินเสียงพูด และเสียงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่
4. ฟังด้วยหัวใจ และร่างกาย
5. ฟังด้วยใจเป็นกลาง ไม่คิดแทน ไม่ตัดสินอีกฝ่าย
6. ฟังเพราะอยากเข้าใจในมุมของอีกฝ่าย
7. ฟังโดยไม่ต้องคิดว่า ฉันจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ไหม เพราะสิ่งสำคัญของการฟัง คือ “การฟัง”
“การพูดที่ดี”
1. พูดสิ่งสำคัญ หรือ สิ่งที่เราต้องการจะบอก
2. พูดผ่านตัวเอง “ฉันต้องการ...” ไม่พูดผ่านผู้อื่น (เช่น เดี๋ยวให้พ่อมาจัดการ...)
3. พูดถึงปัจจุบัน ไม่นำเรื่องราวที่จบไปแล้วมาพูดปน
4. พูดด้วยเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์
5. พูดด้วยความปรารถนาดี ไม่ใช่เป็นไปเพื่อเอาชนะ
**********
(4) เวลาคุณภาพ ที่มาพร้อมกับความสม่ำเสมอ
“เวลาคุณภาพ”
กุญแจหลักของการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน สำหรับเด็กๆ แล้ว เวลาคุณภาพ คือ เวลาที่พ่อแม่มีตัวตนในสายตาเขา และตัวเขามีตัวตนในสายตาเรา ไม่ว่าจะเล่น อ่านหนังสือ ทำครัว ทำงานบ้าน นอนกอดกัน หรือ ทำกิจกรรมร่วมกัน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเวลาคุณภาพได้ทั้งสิ้น ขอเพียงสายของเรามีกันและกันอยู่ในนั้น
"ความสม่ำเสมอ”
ส่วนประกอบสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการยอมรับโดยปราศจากเงื่อนไข เพราะเด็กๆ จะเชื่อใจ และสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแรงได้ก็ต่อเมื่อผู้ใหญ่คนนั้นมีเวลาคุณภาพให้เขาอย่างสม่ำเสมอ และตอบสนองเขาอย่างคงที่
ไม่ใช่พยายามอย่างมากในช่วงแรก แต่ช่วงหลังกลับค่อยๆ หายไป สายสัมพันธ์จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้
อย่าลืมว่า เด็กๆ รับรู้ “รูปธรรม” มากกว่า “นามธรรม”
ดังนั้นผู้ใหญ่ต้องปฏิบัติให้เขาเห็น ไม่ใช่เพียงแค่พร่ำบอกเขา
**********
(5) อิสระภายใต้กรอบกติกาที่ชัดเจน
“ใจดี แต่ไม่ใจอ่อน” คือ คำตอบของข้อนี้
ข้อที่ 1 ทำความเข้าใจคำว่า “การใจดีกับลูก” ไม่เท่ากับ “การตามใจลูก”
การใจดี คือ การแสดงออกทางความรู้สึกว่า “เรารับรู้ความรู้สึกของลูก”แต่เราก็จะยืนหยัดที่จะสอนลูกในทางที่เหมาะสมต่อไป
ข้อที่ 2 เมื่อลูกทำส่ิงที่ไม่เหมาะสม “ความมั่นคง” ที่พ่อแม่แสดงออกไม่เท่ากับ “การลงโทษ (Punishment)” ที่รุนแรง แต่ คือ “การสอน (Teaching lessons)” ให้ลูกทำในสิ่งที่เหมาะสม
ข้อที่ 3 ปล่อยอิสระ แต่ไม่ปล่อยปละละเลย
สิ่งสำคัญของขั้นนี้ คือ "พ่อแม่ต้องคาดหวังลูกตามวัย” และ “ไม่ควรดูถูกศักยภาพของเด็ก”
วางใจในตัวลูกให้เขาทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมและความใจถึงของพ่อแม่
**********
สุดท้าย หากการสร้างสายสัมพันธ์นั้นนับว่ายากแล้ว แต่การรักษาสายสัมพันธ์นั้นคงเรียกได้ว่า ยากกว่า
สิ่งที่จะช่วยให้เรากับลูกมีความสัมพันธ์อันดีสม่ำเสมอ ได้แก่
1. คาดหวังตามวัยของลูก
2. ไม่เปรียบเทียบ ไม่กดดัน
3. กติกาควบคุมทุกคน ผู้ใหญ่มีหน้าที่รักษากติกา
4. หาทางออกร่วมกัน รับฟังกันเสมอ
5. ไม่เก็บปัญหาเอาไว้คนเดียว รอวันระเบิด ให้เราหาตัวช่วย
6. สื่อสารกันเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 10 นาที
7. ไม่ปะทะตอนที่ยังไม่พร้อม ขอเวลานอกให้ตัวเอง และให้เวลากันและกัน
ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณพ่อคุณแม่และทุกๆ ครอบครัวนะคะ
ด้วยรักจากใจ
เม
เพจตามใจนักจิตวิทยา