27/09/2025
Peter Thiel ร่วมก่อตั้ง PayPal และนักลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ โด่งดังจากผลงานหนังสือ Zero-to-One ที่สร้างเสียงฮือฮาในฐานะผู้ฉีกแนวคิดเดิมว่าการแข่งขันและตลาดเสรีเป็นเรื่องที่ดี
แต่เขากลับมองว่าการแข่งขันที่สูงเกินไปมีความเสี่ยงที่จะทำลายตลาด ทำร้ายผู้ประกอบการ และสุดท้ายจะกลับมาทำร้ายผู้บริโภค เพราะผู้คนเริ่มไม่อยากคิดอะไรใหม่ ทำแต่สิ่งเดิม ๆ ที่เพิ่มเติมคือลดคุณภาพ
ขณะที่การ ครองตลาดที่อาจดูมีลักษณะคล้ายกึ่ง ๆ ผูกขาดโดยอาศัยนวัตกรรม หากบริหารดี ๆ มีทีมงานที่เก่งและซื่อสัตย์ โลกจะเกิดสิ่งใหม่ ๆ คุณภาพสินค้าและบริการจะยิ่งสูงขึ้น และผู้บริโภคจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การผูกขาดในบริบทของ Peter Thiel เป็น Creative Monopoly
หรือการเป็นเจ้าตลาดโดยปริยาย จากความคิดสร้างสรรค์ เข้าครอบครองตลาดด้วยนวัตกรรมที่เปลี่ยนชีวิตของผู้คนให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นได้จริง
แนวคิดของ Peter Thiel มีรายละเอียดอย่างไร CEO Channels จะสรุปจากการบรรยายของเขาบนเวที Chicago Ideas Week 2015 ที่มีคนดูกว่า 1 ล้านวิว
1. แข่งขัน VS ครองตลาดด้วยนวัตกรรม
เวลา Peter Thiel พูดถึง Zero to One มักหมายถึงการสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น การปฏิวัติเทคโนโลยี หรือบางกรณีอาจเป็นการสร้างบริการบางอย่างลงไปในสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่สามารถเปลี่ยนเกมที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก
อาทิ โลกมีโทรศัพท์มือถือมาก่อนแล้ว ขณะที่ Steve Jobs โละปุ่มกดออกทั้งหมด และเปลี่ยนเป็น Touch screen แล้วเขาก็กลายเป็นตำนาน
1.1 แนวคิด One to N = ก็อปปี้และการขยายผล
One to N คือการลอกหรือขยายสิ่งที่มีอยู่แล้ว เช่น โมเดลธุรกิจร้านกาแฟของอเมริกา ถูกอีกประเทศก็อปปี้โมเดลไปเปิดและขยายสาขาทั่วประเทศของตน หรือแม้แต่ร้านกาแฟของอเมริกาที่ขยายสาขาเป็นพัน ๆ สาขาทั่วโลก
เหล่านี้ คือการเติบโตแนวนอน เอาสิ่งที่เวิร์คไปทำซ้ำ ข้อดีคือเรียบง่าย โตไว แต่ข้อเสียคือเต็มไปด้วยการแข่งขัน และใคร ๆ ก็เลียนแบบคุณได้แค่มีทุน
1.2 Zero to One = การสร้างสิ่งใหม่
เป็นการเติบโตในแนวลึก การก้าวจากศูนย์สู่สิ่งที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน เช่น Google, PayPal หรือ Amazon ในยุคเปิดตัว ที่คนไม่เชื่อว่าจะมีใครซื้อหนังสือทางออนไลน์
แนวคิดนี้จึงยากกว่ามาก เพราะไม่มีโรลโมเดลให้เลียนแบบ แต่ถ้าทำได้ คุณคือผู้เล่นคนแรก และคุณอาจเป็นเจ้าตลาดโดยปริยาย
1.3 ครองตลาดเชิงสร้างสรรค์ ไม่ใช่กีดกันคู่แข่ง
แนวคิดการครองตลาดแบบนี้ จึงไม่ได้หมายถึงการกีดกันทางการค้า หรือทำลายคู่แข่งให้ล้มตาย แต่หมายถึงการสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ จนผู้คนเลือกใช้เอง และแทบไม่อยากเปลี่ยนไปใช้เจ้าอื่น
2. การแข่งขัน ถ้ารุนแรงเกินไปก็เป็นกับดัก
Peter Thiel บอกว่า ตลาดที่มีการแข่งขันโหด ๆ อย่าหวังว่าจะมีกำไรมาก เพราะการแข่งขันที่รุนแรงจะบีบให้ราคาตกลง กำไรหายไปหมด
ยกตัวอย่าง หากคุณเปิดร้านอาหารในเมืองใหญ่ คุณไม่ได้แข่งกับร้านข้าง ๆ แต่แข่งกับทุกร้านในเมือง ผลสุดท้ายคือเหนื่อยแทบตาย แต่กำไรน้อยนิด
ในทางกลับกัน ถ้าคุณสร้างสิ่งใหม่ที่ผูกขาดตลาดได้ คุณแทบไม่ต้องแข่งกับใครนอกจากตัวเอง โดยหากไปดู Top 10 บริษัทจดทะเบียนใน Nasdaq เกินครึ่งล้วนเป็นธุรกิจปฏิวัติชีวิตผู้คนทั้งสิ้น
อาทิ Amazon, Apple, Facebook, Google, เป็นต้น ฯลฯ ซึ่งแม้ปัจจุบันจะมีบริษัทเลียนแบบโมเดลธุรกิจตามมามากมาย แต่เราอาจไม่ค่อยได้ใช้บริการผู้เล่นรองอันดับ 2 ยิ่งรองอันดับ 3 และ 4 เราอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามียี่ห้ออะไรบ้าง
Peter Thiel เสนอแนะว่า จงอย่ามัวแต่ลงสนามแข่งกับคนอื่น ลองหาวิธีสร้างเกมใหม่ที่คุณเป็นคนตั้งกติกา แล้วคุณจะได้ทั้งตลาด และกำไรที่ยั่งยืน
3. โลกนี้ยังมีเรื่องให้ปฏิวัติอีกมาก
Peter Thiel บอกว่า โลกนี้ยังเต็มไปด้วย “ความจริง” ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เห็น หรือที่เขาเรียกว่า Secrets ความลับที่รอให้ใครสักคนค้นเจอ และใครที่เจอความลับเหล่านี้ก่อน ย่อมมีโอกาสที่จะเป็น Zero-to-One คนถัดไป
เขาแนะนำหลักคิดในการเป็น Zero-to-One คนถัดไปว่าบางครั้งคุณก็ไม่ต้องคิดเยอะ
- PayPal เริ่มจากโจทย์ง่าย ๆ “ทำไมเราไม่รวมอีเมลเข้ากับการโอนเงิน?”
- Amazon เริ่มจากโจทย์ง่าย ๆ “ให้คนกดสั่งของบนอินเตอร์เน็ต”
- iPhone ยิ่งคิดเรียบง่ายกว่า “ก็ปุ่มกดมันเกะกะ!”
การพูดถึงสิ่งเหล่านั้นในวันนี้อาจฟังดูเป็นเรื่องง่าย ๆ และเรื่องเล็กน้อย แต่ในวันนั้นยังไม่มีใครคิดได้หรือกล้าตัดสินใจลงมือทำ คนที่ทำคนแรกจึงถือเป็นผู้ปฏิวัติคนสำคัญ และกลายเป็นตำนาน
สรุป
- การลอกเลียนแบบทำให้คุณอยู่ในเกมเดียวกับคนอื่น แต่การสร้างสิ่งใหม่ทำให้คุณเป็นคนตั้งเกม
- ในสนามแข่งขัน กำไรหายไปหมด แต่ถ้าคุณสร้างสิ่งที่ไม่มีใครแทนได้ นั่นคือกำไรที่ยั่งยืน
- ความลับคือความจริงที่คนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็น ใครเจอก่อน คนนั้นคือผู้ชนะ
- ความสำเร็จใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ไม่เกิดจากการเดินตามคนหมู่มาก แต่เกิดจากการสร้างเส้นทางใหม่ของตนเอง