CEO Channels CEO Channels ข่าวสั้นทันโลกธุรกิจและการลงทุน ฯลฯ เว็บไซต์ข่าวธุรกิจโลกในมือคุณ

👏👏👏
04/05/2025

👏👏👏

ในขณะที่หลายๆสื่อ และเพจต่างๆ พูดคุยถึงบทสรุป Berkshire Hathaway Annual Meeting 2025

เพจเรายังคงงดโพสต์เรื่องการลงทุน.....แต่แอดก็พบประเด็นที่ฟังแล้วอยากเอามาลงในเพจให้พวกเราได้อ่านกัน

เริ่มจากมีคำถามโดยคุณ Marie จากเมือง Melrose รัฐ Massachusetts ถามว่า

"ในฐานะคนรุ่นใหม่ที่สนใจการลงทุน อยากขอฟังข้อคิดจากคุณบัฟเฟตต์ว่า มีบทเรียนสำคัญอะไรบ้างที่คุณได้เรียนรู้ในช่วงต้นของอาชีพ? และคุณมีคำแนะนำอะไรสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่อยากพัฒนาปรัชญาการลงทุนของตัวเองบ้าง?"

================

Buffett ตอบราวๆ 8 นาที โดยมีบทสนทนาหลักๆดังนี้

สิ่งสำคัญอย่างมากคือ “คนที่คุณคบหา” อย่าคาดหวังว่าคุณจะตัดสินใจถูกต้องทุกครั้ง แต่ชีวิตของคุณจะค่อย ๆ เดินไปในทิศทางเดียวกับคนที่คุณทำงานด้วย หรือคนที่คุณชื่นชม

คุณควรเลือกอยู่ใกล้ คนที่ทำให้คุณอยากเป็นคนที่ดีขึ้น อยากอยู่กับคนที่คุณรู้สึกว่า เขาดีกว่าคุณ เพราะคุณจะเดินไปในทิศทางเดียวกับคนเหล่านั้น

ผมเองก็เรียนรู้เรื่องนี้ช้าไปหน่อย แต่เมื่อคุณมีคนรอบข้างที่ดี เช่น ทอม เมอร์ฟี่, แซนดี้ ก็อดดิสแมน, วอลเตอร์ สก็อตต์ คุณจะมีชีวิตที่ดีกว่าการไปลอกเลียนแบบคนที่แค่รวย

ผมพยายามคบหากับคนฉลาด ๆ ที่ผมจะได้เรียนรู้จากพวกเขา และผมจะมองหาสิ่งที่ผมอยากทำ แม้ไม่ต้องการเงิน

สิ่งที่คุณควรมองหาในชีวิตคือ งานที่คุณจะทำ แม้ไม่ต้องการเงิน

คนที่ผมพูดถึงเหล่านี้ ทุกคนต่างทำมากกว่าหน้าที่ของตัวเอง และไม่เคยแสวงหาความดีความชอบเกินส่วนที่ควรได้รับ พวกเขาทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี

เมื่อคุณเจอคนแบบนี้ จงเห็นคุณค่าและรักษาไว้

ถ้ายังไม่เจอ ก็ทำในสิ่งที่ทำให้คุณยังมีชีวิตอยู่ต่อไป และอย่าหยุดมองหา

คุณจะพบคนที่ทำสิ่งดี ๆ ให้กับคุณ และคุณเองก็ควรหาทางตอบแทนพวกเขา

สิ่งเหล่านี้จะทวีคูณกันไปเรื่อย ๆ

แน่นอน ชีวิตก็มีด้านตรงข้ามด้วยเหมือนกัน

ผมโชคดีที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี แต่บางคนก็ต้องต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง

อย่ารู้สึกผิดกับโชคดีของตัวเอง ถ้าคุณเกิดในอเมริกา คุณก็เหมือนชนะเกมชีวิตไปแล้วในระดับหนึ่ง

อย่าไปคบกับคนหรือองค์กรที่ชวนให้คุณทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ

หลายอาชีพก็เลือกคนที่แตกต่างกันไป

----------------

ในวงการลงทุน ผมพบว่าหลายคนออกจากวงการหลังจากได้เงินมากมาย

คุณควรมองหาสิ่งที่คุณจะทำต่อไป แม้ไม่ต้องการเงิน

คนที่ทำงานกับผมอย่าง Greg หรือ Ajit ก็ไม่ต้องการเงิน แต่พวกเขาทำงานเพราะรักในสิ่งที่ทำ และเก่งมาก

ผู้จัดการที่ดีที่สุดที่ผมรู้จักคือ Tom Murphy ผู้ซึ่งมีชีวิตเกือบ 98 ปี ผมไม่เคยเห็นใครที่ดึงศักยภาพของคนอื่นออกมาได้มากเท่าเขา

ถ้าคุณอยากเป็นคนที่ดีขึ้น คุณก็ไปทำงานกับ Tom Murphy

-----------------

มีคนประสบความสำเร็จมากมายที่ไม่ได้มีคุณสมบัติแบบนี้ แต่ผมคิดว่านี่คือวิธีที่มีความสุขที่สุดในการประสบความสำเร็จ

ประสบการณ์ที่ Berkshire ก็ชัดเจนมาก ผมได้ร่วมงานกับคนดี ๆ มายาวนาน

คุณจะได้เรียนรู้ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่ความสำเร็จในธุรกิจ แต่ยังได้เรียนรู้วิธีประสบความสำเร็จในชีวิต

นั่นคือคำแนะนำของผม และด้วยเหตุผลบางอย่าง ดูเหมือนว่าคุณจะมีอายุยืนยาวขึ้นด้วย เพราะมันน่าทึ่งมากจริง ๆ คนที่ผมพูดถึง รวมถึงตัวผมเองด้วย
ผมชอบจะยกเหตุผลนี้และปัจจัยอื่น ๆ อีกเล็กน้อยเป็นเหตุผล (แล้วก็หยิบโค้กขึ้นมา)

และดูเหมือนว่าคนที่มีความสุขจะมีอายุยืนยาวกว่าด้วย เพราะจากที่ผมเห็น คนที่ผมพูดถึง รวมถึงตัวผมเอง ดูเหมือนจะมีชีวิตยืนยาว

ผมคิดว่า “คนที่มีความสุข จะมีอายุยืนยาวกว่าคนที่ทำสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชื่นชมในชีวิต”

=======================

Thank you Warren Buffett ^^

Warren Buffett วัย 94 ปี เตรียมวางมือจากตำแหน่ง Chairman & CEO ของ Berkshire Hathaway ภายในสิ้นปี 2025ซึ่งจะเป็นการสิ้นส...
04/05/2025

Warren Buffett วัย 94 ปี เตรียมวางมือจากตำแหน่ง Chairman & CEO ของ Berkshire Hathaway ภายในสิ้นปี 2025

ซึ่งจะเป็นการสิ้นสุดบทบาทผู้นำที่ยาวนานกว่า 60 ปีเต็ม และถือเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท

ข่าวดังกล่าวถูกประกาศระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2024 ที่โอมาฮา ซึ่งเต็มไปด้วยสัญญาณแห่งการอำลา

ไม่ว่าจะเป็นการลดเวลาการตอบคำถามของ Buffett การตัดวิดีโอเปิดงานออกจากพิธี รวมถึงการประมูลหนังสือประวัติ Berkshire พร้อมลายเซ็น Buffett เพื่อนำรายได้บริจาคให้กับองค์กรการกุศลท้องถิ่น

ก่อนหน้านี้ Buffett ได้เขียนในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นว่า Greg Abel ผู้บริหารระดับสูง จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง โดยเขาจะเข้ามารับหน้าที่ทั้งการบริหารงานประจำวันและการจัดสรรเงินลงทุนซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญที่สุดของ Berkshire

แม้ Buffett ยังไม่ระบุวันลงจากตำแหน่งอย่างแน่นอน แต่การประกาศว่าการเปลี่ยนผ่านจะเสร็จสิ้นภายในปี 2025 ทำให้นักลงทุนทั่วโลกได้เริ่มเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างเป็นรูปธรรม

เมื่อวันนั้นมาถึง จะไม่ใช่แค่การเปลี่ยนซีอีโอของบริษัทมหาชนแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นการอำลาของหนึ่งในตำนานนักลงทุนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก 👏

หนังสือ The Lean Startup โดย Eric Ries อาจเป็นหนึ่งในงานเขียนพลิกวิธีคิดผู้ประกอบการยุคดิจิทัล Eric Ries เป็นผู้ประกอบกา...
27/04/2025

หนังสือ The Lean Startup โดย Eric Ries อาจเป็นหนึ่งในงานเขียนพลิกวิธีคิดผู้ประกอบการยุคดิจิทัล
Eric Ries เป็นผู้ประกอบการ และที่ปรึกษาสตาร์ทอัพที่มีประสบการณ์ตรงจากซิลิคอนวัลเลย์ แนวคิดของเขามุ่งเน้นการพาผู้ประกอบการลงตลาด และเรียนรู้จากลูกค้าจริงให้เร็วขึ้นกว่านั่งวางแผนในกระดาษให้เพอร์เฟค

และต่อไปนี้จะเป็น 6 กลยุทธ์เด่นจากความรู้ของเขา เพจ CEO Channels นำมาสรุปให้ฟัง :

1. Build-Measure-Learn

Build-Measure-Learn เป็นหนึ่งในแก่นคำสอนหลักจากหนังสือ The Lean Startup ที่เปลี่ยนวิธีคิดการสร้างธุรกิจใหม่จาก “คาดเดาความต้องการ” ไปเป็น “ลองให้รู้กันไปเลย” วงจรนี้คือเครื่องมือที่พาคุณเข้าใกล้ความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง

ประกอบด้วย :

Build – สร้าง MVP ให้เร็วที่สุด

พัฒนา "Minimum Viable Product" หรือ ผลิตภัณฑ์เวอร์ชั่นทดลองตลาด ให้เร็วที่สุด มุ่งเน้นความเรียบง่าย มีคุณสมบัติหลักเท่าที่จำเป็น แต่ใช้งานได้จริง เพื่อทดสอบไอเดียสินค้าและบริการของคุณ

โดยจะยังไม่ขอเสียเวลาไปกับสิ่งที่อาจยังไม่จำเป็นในช่วงแรก อาทิ การออกแบบที่สวยงาม หรือการอัดฟังชั่นและฟีเจอร์ให้ดูเยอะ ๆ เป็นต้น

Measure – วัดผลจากข้อมูลจริง

เก็บข้อมูลพฤติกรรมจากผู้ใช้งานจริง ผ่านแบบสอบถาม การทดสอบ และการติดตามการใช้งาน เพื่อดูว่าคนสนใจแค่ไหน และเขาต้องการอะไรจริง ๆ

Learn – เรียนรู้และปรับปรุง

วิเคราะห์ข้อมูลจริงจากลูกค้า และรีบนำไปปรับปรุง MVP อย่างมีทิศทาง พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์มากขึ้นตามเสียงสะท้อนจากผู้ใช้งานจริง ไม่ใช่จากการนั่งขบคิดโดยทีมงานด้วยกันเอง

2. Minimum Viable Product

Minimum Viable Product (MVP) หรือ ผลิตภัณฑ์เวอร์ชั่นทดลองตลาด เป็นหัวใจของกลยุทธ์ The Lean Startup ที่มุ่งลดการเสียเวลาไปกับพัฒนาสินค้าหรือบริการนานเกินไป

MVP จะมุ่งเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์ในระดับพื้นฐานที่สุดที่สามารถใช้งานได้จริง เพื่อทดสอบตลาด และดูผลตอบรับจาก ผู้บริโภค/ผู้ใช้งาน ว่าใช้งานได้จริงหรือไม่ มีความต้องการใช้จริงหรือไม่ ฯลฯ

3. Validated Learning

Validated Learning เป็นอีกองค์ประกอบสำคัญของ The Lean Startup ที่เน้นการตัดสินใจทางธุรกิจบนพื้นฐานของข้อมูลจริง แทนการคาดการณ์หรือคาดเดาไปตามความเห็น

The Lean Startup เสนอให้ผู้ประกอบการสร้าง ผลิตภัณฑ์เวอร์ชั่นทดลองตลาด (MVP) และรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้จริงผ่านการสำรวจ การทดลอง และการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งาน เพื่อประเมินความเป็นไปได้ของแนวคิดทางธุรกิจ

Validated Learning ช่วยให้เข้าใจสาเหตุเบื้องหลังผลลัพธ์ทางการตลาดได้ชัดเจนขึ้น ทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

4. Pivot

Pivot ใน The Lean Startup หมายถึงการเปลี่ยนทิศทางของธุรกิจอย่างมีหลักการ โดยอิงจากข้อมูลจริงที่ได้จากผู้ใช้งาน

หากผลลัพธ์จากการทดสอบ MVP ชี้ว่าแนวคิดเดิมไม่ตอบโจทย์ตลาด การ Pivot จึงไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือกระบวนการเรียนรู้และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

การ Pivot อาจหมายถึงการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย ปรับคุณลักษณะผลิตภัณฑ์ หรือแม้แต่เปลี่ยนโมเดลธุรกิจทั้งหมด จุดสำคัญคือ การตัดสินใจต้องอิงจากข้อมูลจริง ไม่ใช่ความรู้สึกหรือสมมติฐานส่วนตัว

5. Continuous Deployment

Continuous Deployment ใน The Lean Startup เน้นการปล่อยอัปเดตบ่อยครั้ง และรวดเร็ว แทนการรอให้รู้สึกว่าผลิตภัณฑ์สมบูรณ์แบบก่อนเปิดตัว

การปล่อยฟีเจอร์ใหม่หรือแก้ไขข้อบกพร่องแบบต่อเนื่อง ทำให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างทันท่วงที ลดโอกาสในการสะสมปัญหาขนาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

แนวทางนี้ยังช่วยให้ทีมสามารถทดสอบไอเดียใหม่ ๆ อย่างรวดเร็ว สังเกตพฤติกรรมผู้ใช้ และเก็บข้อมูลจริงเพื่อนำมาปรับปรุงต่อยอดได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการพัฒนาโดยไม่รู้ว่าตลาดต้องการจริงหรือไม่

6. Innovation Accounting

ผู้ประกอบการยุคดิจิทัลอาจให้ความสนใจกับตัวเลขผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ ยอดวิว ยอดไลค์ ยอดคอเมนต์ และยอดแชร์เป็นต้น ส่วน Innovation Accounting จะสนใจตัวเลขที่ชี้ไปที่ผลประกอบการจริง ๆ

อาทิ :

Customer Acquisition Cost - ต้นทุนในการได้มาซึ่งลูกค้า

Customer Lifetime Value - มูลค่าตลอดชีพของลูกค้า

Retention Rate - อัตราการรักษาฐานลูกค้า

เหล่านี้ สะท้อนคุณค่าจริงของสินค้าและบริการในสายตาผู้บริโภค การวิเคราะห์ด้วยตัวเลขเหล่านี้ช่วยให้ผู้ประกอบการมองเห็นว่าอะไรควรปรับ อะไรควรหยุด และอะไรควรเร่งพัฒนาต่อยอด

การใช้ Innovation Accounting อย่างเป็นระบบจึงเป็นเหมือนเข็มทิศ ที่นำพาให้ธุรกิจเคลื่อนตัวบนพื้นฐานของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเงิน ๆ ทอง ๆ

และทั้งหมดนี้ นี่คือ 6 กลยุทธ์ เริ่มต้นธุรกิจใหม่สไตล์ The Lean Startup จากหนังสือ The Lean Startup เขียนโดย Eric Ries ที่ CEO Channels นำมาสรุปให้ฟัง

 #เป้าหมายใหญ่ จะถูกพิชิตลงได้จะต้องเริ่มต้นลงมือทำ และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ทำสม่ำเสมอแนวคิด "The power of tiny gai...
25/04/2025

#เป้าหมายใหญ่ จะถูกพิชิตลงได้จะต้องเริ่มต้นลงมือทำ และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ทำสม่ำเสมอ

แนวคิด "The power of tiny gains" จากหนังสือ Atomic Habits จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า แรงบันดาลใจเพียงอย่างเดียวไม่อาจพาใครไปถึงฝั่งฝัน เพราะความสำเร็จที่ยั่งยืนจะต้องอาศัยระบบ ที่ช่วยให้คุณลงมืออย่างสม่ำเสมอทุกวัน!

ต่อไปนี้ คือ 4 ข้อคิดที่สรุปจากแนวคิด "The power of tiny gains" ที่อาจช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณทำเป้าหมายให้สำเร็จ

1. เปลี่ยนคำที่ใช้พูดกับตัวเองจาก "ฉันอยากเป็นอะไร" ไปเป็น "ฉันคือใคร"

บางคนอาจตั้งเป้าหมายว่า “ฉันอยากรวย” หรือ “ฉันอยากสุขภาพดี” แต่ตราบใดที่ภายในใจของพวกเขายังคิดว่า "ฉันไม่เก่ง “ฉันขี้เกียจ” “ฉันอ่อนแอ” ก็ยากที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการ

ดังนั้นจงเปลี่ยนโจทย์จาก “ฉันอยากสุขภาพดี” ไปเป็น “ฉันคือคนรักสุขภาพ" "ฉันคือคนใส่ใจสุขภาพ” จากนั้นให้ลิสต์พฤติกรรมของคนรักสุขภาพ เช่น การเลือกรับประทานอาหาร การตัดของหวานออกจากรายการ และการทำตารางออกกำลังกาย เป็นต้น

การบอกกับตัวเองว่า อยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไรนั้นอาจปลุกไฟให้คุณในช่วงแรก แต่การปลูกฝังจิตใต้สำนึกว่า คุณคือใคร และ สร้างแผนการลงมือทำที่ชัดเจน จะยึดเหนี่ยวศรัทธาให้คุณเดินหน้าต่อโดยไม่ต้องการการปลุกไฟบ่อย ๆ

2. เปลี่ยนเป้าหมายให้กลายเป็นนิสัย

การตั้งเป้าหมาย เป็นงานที่คนส่วนใหญ่สามารถทำได้ไม่ยาก แต่มีคนส่วนน้อยที่ทำสำเร็จ เพราะระหว่างทางจากจุดเริ่มต้น ไปจนถึงเป้าหมาย คือ ระยะทางอันกว้างใหญ่และยาวนานที่ต้องการการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอโดยมันไม่สนใจว่าคุณจะอยากทำหรือไม่

คนที่ทำตามเป้าหมายสำเร็จ คือ คนที่สามารถเปลี่ยนช่องว่างระหว่างทางตรงนี้ให้กลายเป็น กิจวัตรประจำวัน เหมือนคนที่ตื่นเช้ามาชงกาแฟสด และออกไปรดน้ำต้นไม้ในยามเย็นทุกวัน โดยไม่ต้องอาศัยแรงบันดาลใจใด ๆ

ยกตัวอย่าง :

หนึ่งในเป้าหมายยอดนิยมของคนทั่วไป คือ อยากเขียนหนังสือสักเล่ม แต่การเขียนหนังสือเป็นงานที่ใช้เวลานาน มีเพียงคนส่วนน้อยที่ลงมือเขียน และส่วนน้อยยิ่งกว่าที่เขียนจนจบ

ถ้าคุณอยากเขียนหนังสือให้สำเร็จ จงแบ่งเป้าหมายการเขียนของคุณเป็นกิจวัตรย่อย เช่น ตั้งเป้าเขียนวันละ 1 หน้า หรือ วันละ 15 นาที

เมื่อเป้าหมายไม่ได้ใหญ่จนเกินไป คุณจะเกิดความรู้สึกว่าไม่ได้ใช้เวลามากที่จะนั่งลงแล้วเขียน และเมื่อทำทุกวัน สมองก็จะจดจำความเคยชิน นี่คือแนวคิด The power of tiny gains นิสัยลงมือทำสิ่งเล็ก ๆ แต่ทำทุกวัน อาจมีพลังมากกว่าเป้าหมายใหญ่ที่คุณเลือกทำแค่บางวัน หรือเฉพาะวันที่รู้สึกมีไฟ

3. เป้าหมายที่ชัดสำคัญช่วงแรก ส่วนระบบที่ดีสำคัญตลอดเส้นทาง

เป้าหมายที่ชัดเจน คือ เข็มทิศที่จะชี้ทางที่คุณจะเดินไป แต่เมื่อคุณเริ่มออกเดินทางแล้ว แผนงาน และ ระบบที่ดี มีบทบาทสำคัญที่สุดในการพาคุณไปถึงฝั่ง

ยกตัวอย่าง :

คนสองคนที่อยากลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัมเหมือนกัน คนแรกพูดกับตัวเองทุกวันว่าฉันอยากลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัมใน 3 เดือน ในขณะที่คนที่สองไม่พูดอะไรเลย แต่ออกแบบระบบให้ตัวเองต้องตื่น 6 โมงเช้ามาวิ่ง 30 นาทีทุกวัน – คุณคงเดาได้ไม่ยากว่าใครจะลดน้ำหนักสำเร็จก่อนกัน

จงออกแบบระบบที่เอื้อให้คุณต้องลงมือทำ จนกลายเป็นนิสัย โดยไม่ต้องรอแรงบันดาลใจ ในกรณีตัวอย่างนี้ หากเป้าหมาย คือ ลดน้ำหนัก สิ่งที่ต้องทำคือ ออกวิ่งทุกวัน

ดังนั้น ให้เปลี่ยนจากตั้งเป้าลดน้ำหนัก ไปเป็นตั้งเป้าออกวิ่งทุกวัน และหาระบบหรือกระบวนการช่วยทำตามเป้าหมาย อาทิ วางชุดวิ่งไว้ข้างเตียง วางรองเท้าวิ่งไว้กลางบ้าน เพื่อเตือนตัวเอง และเพื่อให้หยิบมาสวมใส่ง่าย โดยไร้ข้ออ้าง เป็นต้น

4. อย่ามัวคาดหวังที่จะเห็นผลลัพธ์ทันที

หนึ่งในกับดักที่ทำให้คนล้มเลิกกลางทาง คือการคาดหวังผลลัพธ์ที่รวดเร็วเกินจริง เช่น เมื่อพวกเขาวิ่งออกกำลังกายได้เพียง 5 วัน แล้วชั่งน้ำหนักตัวเองทุกวัน แล้วรู้สึกท้อแท้ใจที่น้ำหนักไม่ลดเสียที คิดว่าไม่ได้ผล และเลิกวิ่งไปในที่สุด เป็นต้น

เราจำเป็นต้องเข้าใจว่า ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ ในชีวิตไม่สามารถเกิดขึ้นภายในหลักวัน หรือแม้แต่หลักสัปดาห์ มันคือกระบวนการทำสะสมไปเรื่อย ๆ เป็นเดือน ๆ และปี ๆ

คุณไม่สามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงรายวันได้ แต่เมื่อคุณทำสม่ำเสมอไม่หยุด เมื่อผ่านไป 1 ปี ผู้คนจะเห็นและทักถึงความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในตัวคุณอย่างแน่นอน

สรุป

เป้าหมายอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ตัวตน นิสัย และระบบ คือสิ่งที่พาคุณไปถึงเส้นชัยได้จริง อย่ารอแรงบันดาลใจ อย่าหวังผลลัพธ์ทันที จงเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ที่ทำได้ทุกวัน แล้ววันหนึ่งคุณจะกลายเป็น “คนแบบที่คุณเคยอยากเป็น” โดยไม่ต้องฝืน เพราะมันจะกลายเป็น “ตัวคุณ” อย่างแท้จริง

👍
23/04/2025

👍

100 บทเรียนจาก Unlearn (101 simple truths for a better life)

ผมเล็งๆว่าจะอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ แต่บังเอิญมาได้ได้อ่านบทสรุปหนังสือที่ชื่อ Unlearn (101 simple truths for a better life) จากเพจ IELTS with Mohsin Lhsan เสียก่อน ไม่แน่ใจว่าได้มาจากใครสรุปอีกที

ในเพจนี้เขาแยกเป็น 100 บทเรียนที่ได้จากหนังสือ พอไล่ดูแล้วมีหลายข้อที่ชอบๆมาก หลายข้อก็ไว้เตือนสติเตือนใจ หลายข้อควรรีบไปทำเลย บางข้อก็เคยโดนกับตัวเอง เลยอยากแปลมาเผื่อใน 100 ข้อนี้มีบางข้อจะเป็นประโยชน์เหมือนที่ผมได้รับอยู่ แค่ข้อแรกก็คือสิ่งที่ผมเรียนรู้มาทั้งชีวิตแล้วล่ะครับ…

……

1. จงอ่อนน้อมถ่อมตน เราไม่ได้รู้ทุกเรื่องหรอก (be humble, you don’t know everything)

2. ยกน้ำหนักบ่อยๆ ( อันนี้จริงมาก ผมเริ่มมายกน้ำหนักบ้างในวัยห้าสิบกว่า ช่วยเรื่องสุขภาพมากๆ)

3. เดินชมนกชมไม้บ้าง

4. ไปหาความไม่สบายเนื้อสบายตัวให้บ่อย (seek discomfort often)

5. คิดถึงการพัฒนา ก้าวหน้า ไม่ใช่คิดเรื่องความสมบูรณ์แบบ

6. ควบคุมและใช้ประโยชน์ ego ของตัวเองให้ดี

7. อย่ารีบใจร้อนกับอะไรทำเงินได้ง่ายๆ

8. ถ้าทำได้เลยวันนี้ อย่ารอพรุ่งนี้

9. ทำงานที่ละเอียดลึกซึ้งทุกวัน

10. ใช้พลังไปกับเรื่องที่ควบคุมได้เท่านั้น

11. หัวเราะกับตัวเองบ้าง ชิลๆ

12. หยุดทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ

13. เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกขุ่นเคืองกับคำพูดคนอื่น จงเข้าใจว่าเราเองก็ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องจริง Whenever you are offended, understand that you are complicit in taking offense – epictetus

14. หางานอดิเรกทำที่ไม่เกี่ยวกับเงินบ้าง

15. มีมิตรสนิทผู้คนใกล้ชิดไม่ต้องเยอะ

16. พยายามเทรนตัวเองให้มองอุปสรรคเป็นโอกาส

17. อย่าพูดว่าจะทำอะไร พูดว่าทำอะไรมาแล้วจะดีกว่า

18. อ่านหนังสือเพื่อเรียนรู้ ไม่ใช่เพื่อมาอวดคนว่าอ่าน

19. ทำอะไรยากๆทุกวัน

20. คนทั่วไปไม่ห่วงอะไรคุณหรอก ทุกคนห่วงตัวเองทั้งนั้นแหละ

21. คิดลึกๆก่อนตัดสินใจอะไร

22. โดนแดดทุกวัน (อันนี้ฝรั่งเขียน บ้านเราก็ควรโดนแต่พอประมาณไม่งั้นเจอ heatstroke)

23. พยายามอยู่กับคนที่ทำให้เราดีขึ้น

24. ซื้องานศิลปะซักชิ้นที่เราคิดว่าสวยแล้วเอามาวางที่บ้าน

25. หาสัตว์เลี้ยงที่น่ารักแล้วความสุขจะเพิ่มขื้น

26. ตั้ง deadline ส่วนตัวเพื่อเพิ่ม productivity

27. โม้ถึงคนอื่นชมคนอื่นเยอะๆ ไม่ใช่โม้เรื่องตัวเอง

28. นอนให้ตรงเวลา

29. อย่าพาโทรศัพท์ไปกวนเวลานอน

30. พูดน้อยกว่าที่ควรจะพูด — robert green

31. ให้จำไว้ว่าคำชมว่า “ทำได้ดี” นั้นดีกว่า “พูดได้ดี”

32. ให้ตระหนักว่าเราสามารถเรียนรู้จากทุกคนที่เราเจอได้

33. อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

34. สวดมนต์เวลามีเรื่องร้าย และก็อย่าลืมสวดมนต์เวลามีเรื่องดีด้วย

35. ให้ความสำคัญกับชีวิตคู่มากกว่าอาชีพการงาน

36. พยายามเข้าใจความจริงให้ได้ว่าความเกลียดชังไม่ได้ช่วยเยียวยาใจอะไรเลย

37. อ่านงานคลาสสิคบ้าง มันอยู่เหนือกาลเวลาก็เพราะมีเหตุผลอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น

38. พยายามเลือกที่จะมีพลังอำนาจ (powerful) มากกว่าทำตัวให้น่าสงสาร(pitiful)

39. อารมณ์ร้อนรุนแรงนั้นเป็นข้อด้อย ไม่ใช่ข้อเด่น

40. การโอ้อวดตัวเองนั้นไม่น่าเชื่อถือ ต้องมาพร้อมหลักฐานคู่กันไปด้วย

41. พยายามช่วยเหลือคนอื่นบ่อยๆ (pay it forward)

42. ไม่ต้องห่วงถึงราคาหนังสือ ซื้อเลยถ้าคิดว่าจะได้อ่าน

43. เห็นสิ่งผิดแล้วไม่ทำอะไร ก็เป็นความผิดแบบหนึ่ง

44. จงเรียนรู้ตลอดชีวิตจนวันตาย

45. พยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ติดหนี้บุญคุณใคร

46. คิดถึงสิ่งที่ต้องเสียไปก่อนเดินหน้าต่อ

47. ให้คนรู้จักเราว่าเป็น “giver” ไม่ใช่ “taker”

48. ทุกครั้งที่ได้อะไรที่โชคดีกว่าคนอื่นมาก พยายามส่งโชคดีนั้นให้คนอื่นด้วย

49. ความสันโดษมีคุณค่าในตัวเอง

50. พยายามหาความท้าทายใหม่ๆ

51. ไขว่คว้าหาประสบการณ์ ไม่ใช่สิ่งของ

52. ตัดคนเป็นพิษทั้งหลาย (toxic people) ออกจากชีวิต

53. จินตนาการถึงความสำเร็จให้เป็นนิสัย

54. หยุดเปลืองพลังงานไปกับความพยายามโชว์ออฟปลอมๆในโซเชียล

55. หา “good why” ให้กับทุกอย่างที่ทำ ถ้าหาไม่ได้ก็หยุดทำซะ

56. อย่าพยายามเอาชนะคนอื่น เอาชนะตัวเองเมื่อวานจะดีกว่า

57. จงเข้มงวดกับตัวเอง แต่ผ่อนปรนกับผู้อื่น

58. ฝึกให้เป็น master of negotiation

59. ศึกษาชีวประวัติของคนเจ๋งๆที่เกิดมาก่อนเรา

60. มีลูก เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

61. ให้อภัย ถึงแม้ว่าคนๆนั้นจะไม่น่าให้อภัยก็ตาม ไม่ใช่เพราะเขา แต่เพื่อตัวเราเอง

62. ใช้เวลากับผู้อาวุโสบ้าง

63. ชีวิตไม่มีทางลัด เรียนแล้วทำมันเท่านั้น

64. สร้างวินัยให้ตัวเอง อย่าพึ่งแรงบันดาลใจ

65. อย่าไปดูถูกพวก cliches เพราะมีปัญญาอยู่ในนั้น

66. อ่านเพื่อเรียนรู้ ไม่ใช่แค่สักแต่ว่าอ่าน

67. อ่านปรัชญาบ้าง

68. ตกผลึกปรัชญาชีวิตของตัวเราดู

69. ส่งเสริมและสั่งสมนิสัยที่ดี

70. อยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่อดีต

71. เดินทุกวัน

72. พูดความจริงตลอดเวลา

73. ไม่มีงานอะไรต่ำต้อยเกิน

74. ฝึกนิสัยเขียนโน้ตขอบคุณให้คนด้วยลายมือ

75. ฝึกมรณานุสติ

76. สะสมควรมั่งคั่งเพื่อจะได้เป็นอิสระ ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงหน้าตา

77. จงเป็นคนที่ทำงานหนักที่สุดในห้อง

78. อย่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในห้อง

79. วิธีการสำคัญกว่าจุดหมาย

80. อย่าเดินผ่านขยะโดยไม่เก็บ

81. เล่นหมากรุก

82. คุยกับคนแปลกหน้าบ้างเพื่อเรียนรู้อะไรใหม่ๆ

83. อย่าดูถูกกิจวัตรประจำวัน (routines)

84. พยายามเรียนรู้ที่จะทำอะไรสำเร็จแม้ว่าสิ่งแวดล้อมไม่เอื้อ

85. ฝึกกฎแห่งการกระทำ (law of action )
มากกว่ากฎแห่งแรงดึงดูด (law of attraction)

86. ล้มบ่อยๆ แต่อย่าเลิก

87. เมื่อคุณล้ม ลุกให้เร็ว

88. จดบันทึกประจำวัน

89. หยุดดูข่าวบ้าง

90. ตรวจสอบการใช้ชีวิตทุกๆสามเดือน มีเวลาไหนที่เสียเปล่าบ้าง

91. อย่าอิจฉาริษยาคนที่นำหน้าเรา เรียนรู้จากเขาจะดีกว่า

92. คุณลักษณะของเรา (character) สำคัญกว่าตัวเลขในบัญชี

93. หัดปฏิเสธบ่อยๆ

94. ความสำเร็จไม่ใช่แค่ความมั่งคั่ง

95. อย่าไปตัดสินใคร

96. ทำกับคนอื่นเหมือนกับสิ่งที่อยากให้คนอื่นทำกับเรา

97. ตื่นแต่เช้า

98. หยุดแอลกอฮอล์

99. รักเพื่อนบ้านของคุณ

100. ใช้ชีวิตให้สนุกน่าสนใจ (live an interesting life)

…….

ผมแปลตามความเข้าใจของผม บางข้ออาจจะห้วนๆหรือตีความเองบ้างแต่ก็หวังว่าจะมีหลายข้อที่อาจจะเป็นประโยชน์ในการปรับใช้กับชีวิตได้ไม่มากก็น้อยนะครับ…

ลองนำไปประยุกต์ใช้กับ Why us สำหรับสินค้าและบริการของแต่ละคนดูครับ 📌
24/08/2024

ลองนำไปประยุกต์ใช้กับ Why us สำหรับสินค้าและบริการของแต่ละคนดูครับ 📌

เขียน why us ไม่ได้ เตรียม why วอด..

วันก่อนผมฟังน้องจิ๊บ เสาวนีย์ ผู้ทำธุรกิจสินเชื่อกระเป๋าแบรนด์เนมอันดับหนึ่งของไทย bagforcash ในนาม jipjip money เล่าว่าทำธุรกิจอะไรยังไง และมีหน้าหนึ่งที่ฟังแล้วมั่นใจเลยจิ๊บจะไปอีกไกลและเป็นเบอร์หนึ่งในวงการนี้แน่

หน้านั้นจิ๊บขึ้นว่า why us?

โดยมีรายละเอียดประมาณว่า ที่ jipjip money รับสินค้าแบรนด์เนมได้หลากหลาย

ดอกเบี้ยต่ำ xx ต่อเดือน

วงเงินให้สูง ### ต่อสัญญา

ประเมินผลไวภายใน 45 นาที

รับเงินใน 24 ชั่วโมง

เก็บตู้นิรภัยแบบ 1 ต่อ 1

ให้วงเงินเต็มไม่หักดอก

ต่อสัญญาได้ไม่จำกัด

ถูกกฎหมาย

มีรับส่งถึงบ้าน

รักษาความลับลูกค้าสูงสุด ฯลฯ

แต่ละข้อนี่ผมถามผู้ฟังที่สนใจคือโดนทุกข้อ เป็น painpoint ที่ลูกค้าที่มีกระเป๋าแบรนด์เนมแล้วอาจจะร้อนเงินเป็นช่วงๆอยากได้หมด แต่ละข้อมาจาก insight ความต้องการของลูกค้าและเป็นจุดอ่อนของคู่แข่งที่ทำแบบสมัครเล่นทั้งสิ้น

แต่ในการที่จะเขียนแบบนี้และสัญญาแบบนี้กับลูกค้าอย่างเป็นรูปธรรมได้นั้นไม่ง่ายเลย นอกจากผ่านกระบวนการคิดและความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งแล้ว บางข้อต้องใช้เงินลงทุนสูง บางข้อต้องใช้ความเชี่ยวชาญที่ต้องหาต้องฝึกมา บางข้อต้องรักษา service level agreement ให้ได้ บางข้อต้องหาต้นทุนการเงินที่ต่ำให้ได้ถึงจะนำเสนอข้อเสนอแบบนั้นได้ แต่รวมๆแล้วทำให้ลูกค้าที่สนใจในบริการแบบนี้ พออ่าน jipjip money แล้วแทบจะไม่ไปที่อื่น มาใช้ก็ใช้ซ้ำ บอกต่อ ทำให้ jipjip money เติบโตอย่างรวดเร็วมาก..

…..

ที่ผมจะชวนคิดนั้นไม่ใช่เรื่อง jipjip money แต่เป็นการลองพยายามเขียน Why us ของธุรกิจตัวเองดูแบบไม่เข้าข้างตัวเอง

ปกติเวลาเราเล่าเรื่องธุรกิจเรา ไม่ว่าจะเป็นการเชิญชวนลูกค้า หรือเล่าให้นักลงทุนฟัง เรามักจะเล่าว่าธุรกิจนั้นทำอะไร ทำอย่างไรซะส่วนใหญ่ หรือไม่ก็เล่าแบบเข้าข้างที่ลูกค้าหรือนักลงทุนอาจจะไม่ได้สนใจ เช่นเล่าให้ลูกค้าฟังว่าที่นี่มีพนักงานเป็นร้อยคน อาจจะด้วยความภาคภูมิใจว่าธุรกิจเราใหญ่แต่ลูกค้าไม่ได้สนใจเพราะไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย หรือที่นี่ก่อตั้งมาสามสิบปีแล้ว นักลงทุนฟังแล้วก็ยักไหล่เพราะเขาสนใจแต่ growth ตั้งมากี่ปีก็ไม่ใช่เรี่องซะหน่อย

แต่ทำไมต้องพยายามเขียน “why us” ที่ดีให้ได้ในยุคสมัยนี้

เพราะยุคนี้เป็นยุคที่ average is over การแข่งขันสูงเหลือเกิน คู่แข่งมีเต็มไปหมด ถ้าเราไม่ยกมือว่าทำไมต้องฉัน แล้วดูเด่นกว่าคนอื่นให้ได้ ลูกค้าจะไม่มีทางเห็น อาจจะแค่มองแต่ไม่เห็น

แต่การเขียน why us ก็ไม่ง่าย จะมโนนึกแต่จุดแข็งตัวเองที่ตัวเองภาคภูมิใจโดยไม่เข้าใจลูกค้าก็ไม่มีประโยชน์ แถมลูกค้าแต่ละกลุ่ม แต่ละ segment ก็อาจจะต้องเขียน why us ต่างกันด้วยซ้ำ การเขียน why us กับผู้บริโภค ก็ใช้กับนักลงทุนไม่ได้ why us กับธนาคารที่ต้องการความมั่นคงกับ investor ที่ต้องการการเติบโตก็ต่างกัน

การเข้าใจว่า “เขา”อยากฟังอะไร นั้นสำคัญกว่า “เรา”อยากพูดอะไรมาก

นอกจากนั้น การเขียน why us ก็จะทำให้เราได้ทบทวนว่าเรามีจุดแข็งจริงๆรึเปล่า มีอะไรที่โดดเด่นจริงหรือไม่ เพราะถ้าเริ่มลองเขียนแล้วไม่มั่นใจ หรือเขียนได้ข้อเดียวก็จะทำให้เราอาจจะเริ่มตระหนักได้ว่าที่ทำอยู่นั้นอาจจะไม่เพียงพอหรือล้าสมัยไปแล้ว และถ้าโดยเฉพาะคู่แข่งมี why us มากกว่าเราก็น่าจะยิ่งทำให้เราต้องทบทวนและพยายามสร้าง why us ขึ้นมาให้ได้เพิ่มเติม

แน่นอนว่า การสร้าง why us ให้ได้เพิ่มเติม ก็จะไม่ใช่สิ่งที่คิดได้ทำได้แค่ประชุมกันครึ่งวัน why us ที่ดีนั้นต้องได้มาแบบเลือดตาแทบกระเด็น บางเรื่องต้องรื้อระบบใหม่ สร้างมาตรฐานใหม่ บางเรื่องต้องใช้เวลาฝึกฝน บางเรื่องต้องลงทุนเพิ่ม หรือบางเรื่องก็ต้องไปเสาะแสวงหามา

ผมแนะนำว่าถ้าเขียน why us วันนี้ไม่ออก ก็อาจจะลองเขียน why us ในฝันว่าในมุมของลูกค้า ถ้าเรามี why us แบบนี้ซัก 5 ข้อ 10 ข้อ ก็จะโดดเด่นกว่าคู่แข่งแน่ๆ ต่อให้ในวันนี้ยังทำไม่ได้ แต่ก็จะได้มีเป้าหมายในการวางแผนและสร้างหรือทำมันขึ้นมาให้ได้จริงๆในอนาคต

การเขียน why us นี่ใช้กับคนที่เป็นพนักงานทำงานบริษัทที่ต้องต่อสู้กับเพื่อนร่วมงานที่เก่งๆ คลื่นลูกใหม่ที่กำลังมาแรงก็ได้นะครับ เพราะถ้าเราไม่สามารถบอกว่าทำไมต้องเป็นเรา ทำไมต้องใช้เราสำหรับงานที่มีเป็นลำดับต้นๆ โอกาสที่เวลาคลื่นลมแรงมาแล้วเราจะโดนพัดกระเด็นคนแรกก็มีสูง เขียนไว้วันนี้ หลายข้ออาจจะทำยังไม่ได้ แต่ก็จะรู้ได้ว่าเรายังขาดอะไรและต้องเติมหรือพัฒนาอะไรได้แน่

พอเขียนแล้วก็ควรจะให้คนอื่นดู ลองทดสอบ why us ของเราด้วยนะครับ ถ้าลองให้ลูกค้าดูแล้วเขาก็เฉยๆแสดงว่า why us นั้นยังไม่เด่นพอ ก็ต้องปรับต้องคิดกันให้คมต่อไป พอได้ why us ที่มั่นใจแล้วก็ต้องฝึกฝน พัฒนา ลงทุนกันจนทำให้โดดเด่นให้ได้ ถึงจะอยู่รอดได้ในยุคนี้โดยไม่วายวอดไปเสียก่อน

ลองเขียน why us ซักสามข้อห้าข้อกันดู เขียนได้แล้วโดนก็ดี แสดงว่าเราแข็งแรง เขียนยังไม่ออกก็ดี จะได้รู้ตัวและพยายามปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมนะครับ

ที่อยู่

Sukumvit Road
Bangkok
10110

เวลาทำการ

จันทร์ 10:00 - 19:00
อังคาร 10:00 - 19:00
พุธ 10:00 - 19:00
พฤหัสบดี 10:00 - 19:00
ศุกร์ 10:00 - 19:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ CEO Channelsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์