CEO Channels เล่าเรื่องธุรกิจ AI, Startup และ Online Business ถ่ายทอดกลยุทธ์ ถอดบทเรียนน่าสนใจจากผู้ประกอบการทั่วโลก เว็บไซต์ข่าวธุรกิจโลกในมือคุณ

Peter Thiel ร่วมก่อตั้ง PayPal และนักลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ โด่งดังจากผลงานหนังสือ Zero-to-One ที่สร้างเสียงฮือฮาในฐานะผ...
27/09/2025

Peter Thiel ร่วมก่อตั้ง PayPal และนักลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ โด่งดังจากผลงานหนังสือ Zero-to-One ที่สร้างเสียงฮือฮาในฐานะผู้ฉีกแนวคิดเดิมว่าการแข่งขันและตลาดเสรีเป็นเรื่องที่ดี

แต่เขากลับมองว่าการแข่งขันที่สูงเกินไปมีความเสี่ยงที่จะทำลายตลาด ทำร้ายผู้ประกอบการ และสุดท้ายจะกลับมาทำร้ายผู้บริโภค เพราะผู้คนเริ่มไม่อยากคิดอะไรใหม่ ทำแต่สิ่งเดิม ๆ ที่เพิ่มเติมคือลดคุณภาพ

ขณะที่การ ครองตลาดที่อาจดูมีลักษณะคล้ายกึ่ง ๆ ผูกขาดโดยอาศัยนวัตกรรม หากบริหารดี ๆ มีทีมงานที่เก่งและซื่อสัตย์ โลกจะเกิดสิ่งใหม่ ๆ คุณภาพสินค้าและบริการจะยิ่งสูงขึ้น และผู้บริโภคจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การผูกขาดในบริบทของ Peter Thiel เป็น Creative Monopoly

หรือการเป็นเจ้าตลาดโดยปริยาย จากความคิดสร้างสรรค์ เข้าครอบครองตลาดด้วยนวัตกรรมที่เปลี่ยนชีวิตของผู้คนให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นได้จริง

แนวคิดของ Peter Thiel มีรายละเอียดอย่างไร CEO Channels จะสรุปจากการบรรยายของเขาบนเวที Chicago Ideas Week 2015 ที่มีคนดูกว่า 1 ล้านวิว

1. แข่งขัน VS ครองตลาดด้วยนวัตกรรม

เวลา Peter Thiel พูดถึง Zero to One มักหมายถึงการสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น การปฏิวัติเทคโนโลยี หรือบางกรณีอาจเป็นการสร้างบริการบางอย่างลงไปในสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่สามารถเปลี่ยนเกมที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก

อาทิ โลกมีโทรศัพท์มือถือมาก่อนแล้ว ขณะที่ Steve Jobs โละปุ่มกดออกทั้งหมด และเปลี่ยนเป็น Touch screen แล้วเขาก็กลายเป็นตำนาน

1.1 แนวคิด One to N = ก็อปปี้และการขยายผล

One to N คือการลอกหรือขยายสิ่งที่มีอยู่แล้ว เช่น โมเดลธุรกิจร้านกาแฟของอเมริกา ถูกอีกประเทศก็อปปี้โมเดลไปเปิดและขยายสาขาทั่วประเทศของตน หรือแม้แต่ร้านกาแฟของอเมริกาที่ขยายสาขาเป็นพัน ๆ สาขาทั่วโลก

เหล่านี้ คือการเติบโตแนวนอน เอาสิ่งที่เวิร์คไปทำซ้ำ ข้อดีคือเรียบง่าย โตไว แต่ข้อเสียคือเต็มไปด้วยการแข่งขัน และใคร ๆ ก็เลียนแบบคุณได้แค่มีทุน

1.2 Zero to One = การสร้างสิ่งใหม่

เป็นการเติบโตในแนวลึก การก้าวจากศูนย์สู่สิ่งที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน เช่น Google, PayPal หรือ Amazon ในยุคเปิดตัว ที่คนไม่เชื่อว่าจะมีใครซื้อหนังสือทางออนไลน์

แนวคิดนี้จึงยากกว่ามาก เพราะไม่มีโรลโมเดลให้เลียนแบบ แต่ถ้าทำได้ คุณคือผู้เล่นคนแรก และคุณอาจเป็นเจ้าตลาดโดยปริยาย

1.3 ครองตลาดเชิงสร้างสรรค์ ไม่ใช่กีดกันคู่แข่ง

แนวคิดการครองตลาดแบบนี้ จึงไม่ได้หมายถึงการกีดกันทางการค้า หรือทำลายคู่แข่งให้ล้มตาย แต่หมายถึงการสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ จนผู้คนเลือกใช้เอง และแทบไม่อยากเปลี่ยนไปใช้เจ้าอื่น

2. การแข่งขัน ถ้ารุนแรงเกินไปก็เป็นกับดัก

Peter Thiel บอกว่า ตลาดที่มีการแข่งขันโหด ๆ อย่าหวังว่าจะมีกำไรมาก เพราะการแข่งขันที่รุนแรงจะบีบให้ราคาตกลง กำไรหายไปหมด

ยกตัวอย่าง หากคุณเปิดร้านอาหารในเมืองใหญ่ คุณไม่ได้แข่งกับร้านข้าง ๆ แต่แข่งกับทุกร้านในเมือง ผลสุดท้ายคือเหนื่อยแทบตาย แต่กำไรน้อยนิด

ในทางกลับกัน ถ้าคุณสร้างสิ่งใหม่ที่ผูกขาดตลาดได้ คุณแทบไม่ต้องแข่งกับใครนอกจากตัวเอง โดยหากไปดู Top 10 บริษัทจดทะเบียนใน Nasdaq เกินครึ่งล้วนเป็นธุรกิจปฏิวัติชีวิตผู้คนทั้งสิ้น

อาทิ Amazon, Apple, Facebook, Google, เป็นต้น ฯลฯ ซึ่งแม้ปัจจุบันจะมีบริษัทเลียนแบบโมเดลธุรกิจตามมามากมาย แต่เราอาจไม่ค่อยได้ใช้บริการผู้เล่นรองอันดับ 2 ยิ่งรองอันดับ 3 และ 4 เราอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามียี่ห้ออะไรบ้าง

Peter Thiel เสนอแนะว่า จงอย่ามัวแต่ลงสนามแข่งกับคนอื่น ลองหาวิธีสร้างเกมใหม่ที่คุณเป็นคนตั้งกติกา แล้วคุณจะได้ทั้งตลาด และกำไรที่ยั่งยืน

3. โลกนี้ยังมีเรื่องให้ปฏิวัติอีกมาก

Peter Thiel บอกว่า โลกนี้ยังเต็มไปด้วย “ความจริง” ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เห็น หรือที่เขาเรียกว่า Secrets ความลับที่รอให้ใครสักคนค้นเจอ และใครที่เจอความลับเหล่านี้ก่อน ย่อมมีโอกาสที่จะเป็น Zero-to-One คนถัดไป

เขาแนะนำหลักคิดในการเป็น Zero-to-One คนถัดไปว่าบางครั้งคุณก็ไม่ต้องคิดเยอะ

- PayPal เริ่มจากโจทย์ง่าย ๆ “ทำไมเราไม่รวมอีเมลเข้ากับการโอนเงิน?”

- Amazon เริ่มจากโจทย์ง่าย ๆ “ให้คนกดสั่งของบนอินเตอร์เน็ต”

- iPhone ยิ่งคิดเรียบง่ายกว่า “ก็ปุ่มกดมันเกะกะ!”

การพูดถึงสิ่งเหล่านั้นในวันนี้อาจฟังดูเป็นเรื่องง่าย ๆ และเรื่องเล็กน้อย แต่ในวันนั้นยังไม่มีใครคิดได้หรือกล้าตัดสินใจลงมือทำ คนที่ทำคนแรกจึงถือเป็นผู้ปฏิวัติคนสำคัญ และกลายเป็นตำนาน

สรุป

- การลอกเลียนแบบทำให้คุณอยู่ในเกมเดียวกับคนอื่น แต่การสร้างสิ่งใหม่ทำให้คุณเป็นคนตั้งเกม

- ในสนามแข่งขัน กำไรหายไปหมด แต่ถ้าคุณสร้างสิ่งที่ไม่มีใครแทนได้ นั่นคือกำไรที่ยั่งยืน

- ความลับคือความจริงที่คนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็น ใครเจอก่อน คนนั้นคือผู้ชนะ

- ความสำเร็จใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ไม่เกิดจากการเดินตามคนหมู่มาก แต่เกิดจากการสร้างเส้นทางใหม่ของตนเอง

นี่คือ Framework สำหรับเจ้าของสินค้าแบบ One-product ที่มีสินค้าหรือบริการหลัก 1 โมเดลรายได้  เข้าใจง่าย ทำตามได้เลยครับจ...
26/09/2025

นี่คือ Framework สำหรับเจ้าของสินค้าแบบ One-product ที่มีสินค้าหรือบริการหลัก 1 โมเดลรายได้

เข้าใจง่าย ทำตามได้เลยครับ

จุดเริ่มต้นของปัญหา เกิดจากทนายความท่านหนึ่งมีสินค้าและบริการถึง 3 ช่องทาง ได้แก่ รับปรึกษากฏหมายธุรกิจ, ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์, และคอร์สเรียนออนไลน์

มี 3 ช่องทางรายได้เหมือนจะดี แต่เขากำลังประสบปัญหาขาดทุนไม่น้อยกว่าปีละ 100,000 ดอลล่าร์

Alex Hormozi ผู้เชี่ยวชาญด้าน Sales funnels และผู้เขียนหนังสือ $100M Money Models ที่สร้างยอดขาย 3 - 4 พันล้านดอลล่าร์ภายในวันเดียว ได้ทำการวิเคราะห์และให้คำแนะนำ Framework ปรับแผนธุรกิจใหม่ทั้งหมด

CEO Channels จะสรุปให้ฟังแบบเข้าใจง่ายใน 5 นาที ดังนี้ครับ

Step 1 โฟกัสโมเดลธุรกิจหลัก และตัดทิ้งทุกอย่างที่ไม่ทำเงิน

Alex Hormozi สังเกตเห็นว่าเมื่อทนายความท่านนี้ เริ่มแตกไลน์ผลิตภัณฑ์หลากหลายเร็วเกินไป โดยที่สินค้าหรือบริการหลักยังไม่มีระบบการขายที่แข็งแรงพอ

จึงกลับกลายเป็นเอางานทั้งหมดไม่อยู่หมัดสักอย่าง เสียโอกาสทำเงินหลักหมื่นดอลล่าร์ต่อเดือน และนำสู่การขาดทุนนับแสนดอลล่าร์ต่อปี

Alex จึงแนะนำสูตร 1-1-1

1 สินค้า

1 กลุ่มเป้าหมาย

1 ช่องทางการตลาด

- Alex Hormozi ให้ตัดทิ้งเจ้าตัวธุรกิจซอฟต์แวร์ เพราะนอกจากจะไม่ทำเงินแล้ว ยังดันมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาธุรกิจตัวนี้สูงกว่าเพื่อน

- ต่อมา คอร์สออนไลน์ ที่คุณทนายความตั้งใจทำมาขายราคาถูก ๆ เพราะอยากแบ่งปันความรู้ Alex จึงแนะนำว่า ถ้าเช่นนั้นก็ทำเป็น Freebie แจกฟรีไปเลย เพื่อเกณฑ์กลุ่มเป้าหมายเขามาใน Sales funnels เพื่อขายบริการหลักในอนาคต

- สุดท้าย เหลือ 1 Product กลับมาโฟกัสบริการหลัก คือ บริการที่ปรึกษากฏหมายบริษัท แต่ให้ปรับแพกเก็จบริการใหม่ ทำตัวเลือกหลายราคาเพื่อทำให้ลูกค้าปฏิเสธข้อเสนอได้ยาก (เป็นอย่างไรเดี๋ยว CEO Channels จะเล่าต่อไป)

Step 2 กลับมาโฟกัสช่องทางการตลาดเพียง 1 ช่องทาง

ทนายความผู้นี้มีช่องทางสื่อออนไลน์กระจัดกระจาย มีคอนเทนต์บนยูทูบที่เป็น Warm lead แต่ไม่มีช่องทางไปต่อ (Funnel) ให้แก่ผู้สนใจจริง ๆ

ขณะที่ Cold lead หรือคนที่สนใจมองหาบริการทนายอย่างสะเปะสะปะไปตามอินเตอร์เน็ต กลับค้นเจอและทักหาเขาผ่าน Instagram ซึ่งกลุ่มนี้มักเสียเวลาพูดคุยมากมายเพื่อพบว่าต่างฝ่ายต่างไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายกันและกัน

Alex Hormozi จึงแนะนำให้กลับมาโฟกัสผลิต Value content

โดยให้ข้อมูลความรู้ผ่านวีดีโอยูทูบ เพราะผู้สนใจที่ดูจบจริง ๆ จะแทบไม่มีคำถามเบื้องต้นแล้ว ที่เหลือคือคุยรายละเอียดแบบเจาะจงและราคาค่าบริการ นี่คือเป้าหมายระดับ Warm lead ขึ้นไป

โดยทนายความจะต้องสร้างเส้นทางให้ Warm lead เดินต่อ เช่น ช่องทางการติดต่อทนาย หรือลิงก์ Direct message ไปยัง Instagram ก็ได้ แต่ให้แปะลิงก์เหล่านี้ไว้ใต้วีดีโอยูทูบ และคอมเมนต์ปักหมุด เพื่อให้แน่ใจว่า ผู้สนใจจะหาช่องทางติดต่อเจออย่างแน่นอน!

และเพื่อเป็นการช่วยให้ลูกค้ากล้าเป็นฝ่ายเปิดก่อน เขาแนะนำให้เสนอ Freebie เช่น E-book ฟรี คอร์สฟรี หรือปรึกษาฟรี เพื่อขยับ Warm lead ให้กลายเป็น Hot lead

Step 3 ออกแบบแพ็กเกจราคาใหม่ให้เกิดข้อเสนอเกินต้าน

ทนายความ คิดค่าบริการแบบรายชั่วโมง ราคา $250 ต่อชั่วโมง ลูกค้าหนึ่งคนใช้เวลาเฉลี่ย 6 ชั่วโมง ทำให้รายได้ต่อคนอยู่ที่แค่ $1,500 ซึ่งกลายเป็นบริการ “commodity” ที่ก่อให้เกิดการเปรียบเทียบราคากับที่อื่น

Alex Hormozi เสนอให้ปรับแพ็กเกจ ประมาณนี้ครับ

- ข้อเสนอหลัก

บริการหลักพร้อมรายละเอียดว่าทั้งแพกเก็จได้อะไรบ้าง ราคาเหมา $5,800 + ค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อย หากลูกค้าปิดดีลสัญญาธุรกิจสำเร็จ

- ข้อเสนอล่อ

บริการระดับหรูหราพรีเมี่ยม จัดเต็ม ราคาเหมา $25,000 อาจไม่มีค่าคอมมิชชั่นใด ๆ เพิ่มอีกแล้ว นี่ไม่ใช่แพกเก็จที่จะตั้งใจขายจริง ๆ แต่เพื่อให้ลูกค้าเกิดการเปรียบเทียบภายใน Ecosystem ของผู้ให้บริการคนเดียวกัน แทนการไปเปรียบเทียบกับผู้ให้บริการคนอื่น

- ข้อเสนอดาวน์เซลล์

เป็น Back-up offer สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมจ่าย ก็จะงัดมีตัวเลือกราคาถูกกว่าครึ่งหนึ่ง เช่น $2,000 - $3,000 โดยจะให้บริการบางส่วน และบางส่วนลูกค้าไปทำเอง แต่ในทางปฏิบัติ Back-up offer มักเป็นตัวผลักให้ลูกค้ากลับไปเลือก ข้อเสนอหลัก ในที่สุด

Step 4 สร้างเฟรมเวิร์คการขายทรงประสิทธิภาพ

ผู้ให้บริการคนนี้ไม่มีระบบปิดการขายที่ชัดเจน ผู้สนใจทักเข้ามา ก็อาศัยพูดคุยถามตอบไปเรื่อย ๆ จนกว่าลูกค้าจะพอใจในคำถาม ซึ่งส่วนมาก คนที่ถามมากมักไม่ซื้อในที่สุด และผู้ให้บริการเองก็ไม่มีสคริปต์ปิดการขายหรือ Follow up แต่อย่างใด

Alex Hormozi จึงแนะนำเฟรมเวิร์คการขายดังนี้ครับ

- สร้าง Video Sales Letter (VSL)

ทำวิดีโอสั้นๆ 5-7 นาที เอาคำถามที่ลูกค้าถามบ่อย ๆ มาตอบในวิดีโอ วิดีโอนี้ทำหน้าที่ให้ข้อมูลและคัดกรองลูกค้าที่มีความสนใจจริงจังไปในตัว

- ใช้สูตร BANT คัดกรองเป้าหมาย

ประเมินว่าลูกค้าพร้อมซื้อหรือไม่ ด้วยคำถามตรงประเด็น ผู้ให้บริการต้องเป็นผู้คุมเกม พาผู้สนใจกลับเข้ามาในกรอบสนทนา จะได้ไม่เสียเวลาคุยด้วยมากด้วยสูตร BANT ดังนี้ครับ ++

++ Budget: “คุณสามารถลงทุน $5,800 ได้ไหม?”
++ Authority: “มีใครอีกไหมที่ต้องร่วมตัดสินใจในเรื่องนี้?”
++ Need: “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณไม่แก้ปัญหานี้?”
++ Timing: “คุณอยากจะเริ่มเมื่อไหร่?”

- สร้าง Downsell ให้ถูกที่ถูกกาล

การดาวน์เซลล์ไม่ใช่จะใช้ตอนไหนก็ได้ และไม่ได้ใช้กับคนที่ไม่สนใจ เพราะราคาถูกแค่ไหนคนไม่สนใจก็ไม่ซื้ออยู่ดี

แต่ Alex ให้นำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายที่ผ่าน Funnel จนกลายเป็น Warm/ Hot lead แล้ว และเพียงแค่ลังเลเรื่องราคา

ณ จุดนี้ จึงให้เสนอแพกเกจที่ถูกลงเกือบครึ่งหนึ่ง แต่บริการที่ได้ก็จะน้อยลง และลูกค้าต้องบริหารจัดการเองมากขึ้น

Alex พบว่า ข้อเสนอทำนองนี้ในทางปฏิบัติ ผู้สนใจมักจะประเมินว่าจ่ายถูกลงทำเองเสี่ยงมากขึ้น เพิ่มเงินอีกเล็กน้อยให้ผู้เชี่ยวชาญทำให้อาจคุ้มกว่า

สรุป

บางครั้ง ธุรกิจล้มเหลวไม่ใช่เพราะเจ้าของทำงานไม่หนักพอ

พวกเขาอาจทำงานหนักมาก เพียงแต่ทุ่มเทผิดจุด โฟกัสผิดทาง เช่น ฐานสินค้าหลักยังไม่แข็งแรง และรีบแตกไลน์สินค้าเยอะและเร็วเกินไปจนบริหารไม่อยู่มือ บางทีอาจลองกลับมาโฟกัสที่กฏ 1-1-1 คือ 1 สินค้า, 1 กลุ่มเป้าหมาย, 1 ช่องทางการตลาดกันดูครับ

Mike Krieger ผู้ร่วมก่อตั้ง Instagram และ Chief Product Officer บริษัท Anthropic (ผู้พัฒนา Claude AI) ได้นำเสนอวิสัยทัศน...
25/09/2025

Mike Krieger ผู้ร่วมก่อตั้ง Instagram และ Chief Product Officer บริษัท Anthropic (ผู้พัฒนา Claude AI) ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับบทบาทของเอไอ ต่อโลกธุรกิจสมัยใหม่ ผ่านบทสัมภาษณ์ของช่อง Silicon Valley Girl

เขาเล็งเห็นว่า วันนี้ AI ช่วยให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่สามารถสร้างธุรกิจเทคโนโลยีเติบโดเร็วโดยอาศัยทีมงานจำนวนน้อย เช่น 2 - 3 คน ต่างจากสมัยก่อนที่ต้องใช้ทีมงานหลายสิบ ไปจนถึงหลายร้อยคนในการจะสร้างธุรกิจ

นั่นจึงทำให้เขาเชื่อว่า ในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะได้เห็น $100 Million Company ด้วยเจ้าของตัวคนเดียว โดยมี AI เป็นผู้ช่วยตัวสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ

1. วิวัฒนาการการใช้ AI ในองค์กร

Mike Krieger ได้แบ่งประเภทวิวัฒนาการของ AI ในที่ทำงานออกเป็น 3 ระยะที่ชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการก้าวขึ้นมามีบทบาทที่ซับซ้อนและสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ

ระยะที่ 1: ผู้ช่วย (Assistant)

นี่คือระยะปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี ในขั้นนี้ AI ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยที่คอยทำงานย่อย ๆ ตามคำสั่งที่มนุษย์ป้อนให้โดยเฉพาะ บทบาทของ AI ในระยะนี้มักจะเป็นการทำงานเฉพาะทางที่ช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อน

ตัวอย่างงานของ AI ในฐานะผู้ช่วย:

- ตอบคำถาม (Answering questions)
- ช่วยเขียนข้อความตามสั่ง (Helping write text on command)

ในระยะนี้ มนุษย์ยังคงเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก ที่เป็นคนออกคำสั่งและควบคุมการทำงานของ AI ทั้งหมด

ระยะที่ 2: ผู้ทำงานร่วมกัน (Collaborator)

นี่คือขั้นต่อไปของวิวัฒนาการ ที่ AI เริ่มมีความสามารถในการจัดการโครงการที่ซับซ้อนมากขึ้น ไม่ใช่แค่ทำงานย่อย ๆ อีกต่อไป ในระยะนี้ AI สามารถสร้างผลงานชิ้นใหญ่ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ซึ่งส่งผลให้บทบาทของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

มนุษย์เปลี่ยนบทบาทเป็นคนตรวจสอบและอนุมัติ จากเดิมที่เป็นผู้สั่งการ มนุษย์จะกลายเป็นผู้ประเมินคุณภาพ ตรวจสอบความถูกต้อง และอนุมัติผลงานที่ AI สร้างขึ้น

ระยะที่ 3: เพื่อนร่วมงานที่ทำงานได้เอง (Autonomous Co-worker)

ระยะสุดท้ายคือจุดที่ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมทีมเต็มตัว มีความสามารถในการทำงานเชิงรุกและเป็นอิสระ ไม่ต้องรอรับคำสั่งจากมนุษย์อีกต่อไป AI ในระยะนี้เปรียบเสมือนพนักงานคนหนึ่งที่มีศักยภาพสูงและทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

2. ความสามารถหลักของ AI ในฐานะเพื่อนร่วมงาน:

- Works proactively ทำงานเชิงรุก
- Analyzes data วิเคราะห์ข้อมูล
- Proposes solutions on its own เสนอแนวทางแก้ปัญหาได้เอง

ผลลัพธ์ที่ได้ก็ คือ องค์กรจะมีทีมงานที่ไม่เคยหลับพักคอยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าตลอดเวลา

3. เมื่อ AI มีบทบาทมากขึ้น ทีมงานมนุษย์ทำอะไรต่อ?

จากประสบการณ์ของ Mike Krieger ที่บริษัท Anthropic เขาค้นพบความจริงที่น่าสนใจว่า เมื่อ AI เข้ามาช่วยให้การทำงานรวดเร็วและแม่นยำขึ้น ปัญหาคอขวดขององค์กรไม่ได้อยู่ที่ทำงานไม่ทัน อีกต่อไป

แต่จะกลับไปอยู่ที่ปัญหาเกี่ยวกับ สังคม ภายในองค์กรที่ยังมีทีมงานจำนวนมากภายใต้การเปลี่ยนผ่าน เช่น

- วิสัยทัศน์องค์กรชัดเจนหรือไม่

- ทุกคนเห็นภาพอนาคตตรงกันหรือไม่

- ทุกคนพร้อมจะเดินไปยังเป้าหมายด้วยความเชื่อเดียวกันหรือไม่

- ผู้นำมาภาวะผู้นำพอจะนำทีมให้อยู่ภายใต้ความเชื่อและไปสู่เป้าหมายเดียวหรือไม่

Mike Krieger มีความเห็นว่าผู้นำไม่เพียงแต่ต้องเข้าใจว่าวันนี้ AI ทำอะไรได้บ้าง แต่ต้องมองเห็นว่าอนาคตมันจะทำอะไรได้อีก และสร้างองค์กรที่พร้อมสำหรับ AI ในยุคถัดไป เพื่อให้มั่นใจว่าวิสัยทัศน์ของมนุษย์จะก้าวนำการทำงานของเทคโนโลยีอยู่เสมอ

Framework สร้างแบรนด์ตัวตนให้เกิดใน 90 วันการสร้างตัวตน Personal brand ให้ธุรกิจของคุณอาจไม่ได้ใช้เวลาหลายปี และอาจไม่ต้...
24/09/2025

Framework สร้างแบรนด์ตัวตนให้เกิดใน 90 วัน

การสร้างตัวตน Personal brand ให้ธุรกิจของคุณอาจไม่ได้ใช้เวลาหลายปี และอาจไม่ต้องการคนติดตามเป็นแสนเป็นล้าน อย่างที่เคยเข้าใจ

Leon Abboud ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Unfungible ที่ปรึกษาด้าน Web3 และการทำ NFT Project เริ่มสร้างรายได้จากฐานผู้ติดตามบนยูทูบเพียงหลักพันคนเท่านั้น

ประมาณ ปี 2022 หลังจากเจ็บปวดจากบริการด้านอึคอมเมิร์ซที่แข่งขันสูง เขาหันมาสนใจธุรกิจบริการด้านคริปโต หมวด Web3 และ NFT (Non-Fungible Token) และเริ่มสร้างตัวตนโดยการทำคอนเทนต์เล่าเรื่องและให้ความรู้เกี่ยวกับ Web3 และ NFT อย่างเข้มข้นลง YouTube

แต่ละคลิปยาวเกือบครึ่งชั่วโมง และแม้จะมีจำนวนผู้ติดตามเพียงหลักพันคน ล้วนเป็นผู้ติดตามที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้เขามีลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่องภายใน 3 เดือนแรกของการทำคอนเทนต์โดยไม่ต้องออกไปขายงานข้างนอก (Field sales)

ต่อไปนี้ คือ 4 Framework ที่ CEO Channels นำมาสรุปให้ฟังครับ

1. ตั้งชื่อแบรนด์ให้น่าสนใจ จดจำง่ายสำหรับกลุ่มเป้าหมาย

NFT ย่อมาจาก Non-Fungible Token ขณะที่ Leon Abboud นำคำศัพท์นี้มาบิดเป็นแบรนด์ “Unfungible” ซึ่งคนทั่วไปเห็นแล้วอาจไม่เก็ต แต่วงการ NFT เห็นแล้วเก็ตทันที่ว่าทำอะไร รวมถึงอาจขบขันกับลูกเล่นการตั้งชื่อ และจดจำชื่อแบรนด์ได้

Leon Abboud ยังได้ยกตัวอย่างเพิ่มเติม ดังนี้

- แบรนด์ Bulletproof Coffee: Dave Asprey ออกแบบสูตรกาแฟใส่เนย แต่แทนที่เรียกว่า Butter coffee เขาตั้งชื่อว่า Bulletproof coffee เพื่อให้คนทั้งสงสัยและจดจำกาแฟที่สื่อถึงคุณสมบัติแก้ง่วงและให้พลังงานสูง

- แบรนด์ $100M Offers: Alex Hormozi นำเรื่องการตลาดเชิงเทคนิค เช่น Sales funnel, Lead generation, Conversion ฯลฯ ที่ฟังดูยากและน่าเบื่อสำหรับบางคน มาออกแบบเป็นสูตรเฟรมเวิร์ก ตั้งชื่อสั้น จำง่าย ชัดเจน ทรงพลัง ว่า $100M Offers

- แบรนด์ ClickFunnels: Russell Brunson เจ้าของโปรแกรม Landing Page และระบบ Sales funnel ที่อาจฟังดูซับซ้อน นำมาตั้งชื่อให้เข้าใจง่ายว่า Click Funnels เพื่อสื่อว่าคุณเพียงแค่คลิกก็สร้างระบบ Sales funnel ผ่านเครื่องมือของเขา

2. สร้างเรื่องเล่าที่แตกต่างแต่เข้าใจง่าย

หาวิธีออกแบบเรื่องเล่าที่แตกต่าง แต่มีคุณประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย กรณีของ Leon Abboud คือหลังจากหลีกออกจากตลาดบริการด้านอีคอมเมิร์ซที่แข่งขันสูง มาสู่ตลาดที่ (ยังถือว่า) มีผู้เชี่ยวชาญในขณะนั้น คือ Web3 และ NFT

และแทนที่จะเล่าตอนเทนต์ด้วยศัพท์เทนนิคแบบ Developer เพื่อหวังแสดงให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจว่าเขาเชี่ยวชาญ เขากลับเลือกเล่าแนว Storytelling ง่าย ๆ เช่น กรณีศึกษาคนทำเงินจาก NFT, วิธีทำการตลาดเปิดตัว NFT ให้ประสบความสำเร็จ เป็นต้น

3. สร้างการเติบโตด้วยเรื่องเล่าของคนอื่นในวงการเดียวกัน

Storytelling เรื่องเล่าผ่านสื่อออนไลน์เป็นวิธีที่ได้ผลในการขยายการรับรู้ของคุณ แต่เมื่อเล่าไปสักพัก ประสบการณ์เรื่องเล่าในตัวคุณจะเริ่มร่อยหรอ ทางออก คือ การหยิบจับเรื่องราวของคนอื่น ในวงการเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันมาเล่าในสไตล์ของคุณ โดยหัวใจสำคัญของการเล่าเรื่องคนอื่น คือ เราต้องมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ

กรณีของ Leon Abboud ทำอาชีพที่ปรึกษาด้าน Crypto, Web3, และ NFT จึงมักสัมภาษณ์คนในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพราะเขาย่อมเข้าใจเรื่องทางเทคนิคในวงการนี้ดีที่สุด และสามารถสอดแทรกคำอธิบายให้ผู้ฟังทั่วไปเข้าใจได้ง่ายได้

4. สร้างอิทธิพลต่อไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย

แบรนด์ที่ส่งพลังจะส่งผลต่อไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้กลุ่มเป้าหมายอยากลงมือทำบางสิ่งบางอย่างหลังจากเสพคบคอนเทนต์ของแบรนด์อย่างต่อเนื่อง และความเคลื่อนไหวเหล่านั้นมักตามมาซึ่งการใช้สินค้าและบริการของแบรนด์

Leon Abboud ทำสิ่งเหล่านี้ผ่าน Storytelling ทั้งกรณีศึกษาของตนเองบ้าง ของผู้อื่นบ้าง เชิญคนสำเร็จในวงการมานั่งคุย รวมไปถึงให้ความรู้และฮาวทูเข้ม ๆ เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง กลุ่มเป้าหมายจะเริ่มซึมซับและเกิดความสนใจทำ NFT หรือที่ทำอยู่แล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จก็จะจดจำแบรนด์ Unfungible ว่ารับให้คำปรึกษาด้านนี้อยู่ เป็นต้น

ความฝันของมนุษย์เงินเดือนที่จะมีวันทำงานน้อย ๆ และมีวันหยุดประจำสัปดาห์เยอะ ๆ มีแนวโน้มที่จะเป็นจริงในอนาคตอันไม่ไกลเกิน...
23/09/2025

ความฝันของมนุษย์เงินเดือนที่จะมีวันทำงานน้อย ๆ และมีวันหยุดประจำสัปดาห์เยอะ ๆ มีแนวโน้มที่จะเป็นจริงในอนาคตอันไม่ไกลเกินเอื้อม เช่น อาจเกินขึ้นอย่างแพร่หลายภายใน 10 ปีนี้

โดยก่อนหน้านี้ CEO บริษัทระดับโลกที่ศึกษาหรือคลุกคลีอยู่กับเทคโนโลยี AI อาทิ Bill Gates (Microsoft), Jensen Huang (Nvidia), และ Jamie Dimon (JPMorgan) ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การทำงาน 3 - 4 วันต่อสัปดาห์ น่าจะเกิดขึ้นจริงในอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกล

และล่าสุดเมื่อประมาณสัปดาห์ก่อน เว็บไซต์ The New York Times รายงานว่า Eric Yuan ผู้ก่อตั้งและ CEO แอปฯ ประชุมออนไลน์ชื่อดัง Zoom ได้ให้สัมภาษณ์สื่อคล้ายกัน โดยเขาบอกว่า…

“ผมกำลังรู้สึก ถ้า AI มีความสามารถทำให้ชีวิตมนุษย์ดีขึ้น (ง่ายขึ้น) ทำไมต้องทำงาน 5 วัน - ต่อไป บริษัทต่าง ๆ จะยินดีให้พนักงานทำงานสัปดาห์ 3 - 4 วัน ก็เพียงพอ”

แต่เบื้องหลังชีวิตที่ง่ายขึ้น ตำแหน่งงานบางอย่างอาจหายไป

CEO ทุกคนที่มีวิสัยทัศน์เดียวกันนี้ ต่างก็เห็นตรงกันในอีกด้านหนึ่งว่า ยิ่ง AI ช่วยงานมนุษย์ได้ดีขึ้นเท่าไร ตำแหน่งงานบางอย่างอาจจะหายไปจากวงการเช่นกัน

อาทิ ตำแหน่งงานระดับจูเนียร์ด้านธุรการ บัญชี บริการลูกค้า นักวิเคราะห์การเงิน วิเคราะห์การตลาด นักแปล ล่าม นักเขียน นักโค้ดดิ้ง เป็นต้น ฯลฯ ที่เป็นคนทำงานระดับเบสิก

ส่วนคนทำงานเหล่านี้ในระดับแอดวานซ์จะยังคงอยู่ เพื่อใช้ความเชี่ยวชาญขั้นสูงในการกำกับดูแล และควบคุมผลผลิตของ AI อีกทีหนึ่ง

กรณีศึกษา

ปี 2021 Atom Bank เริ่มโครงการ 4-Day work week โดยมีการนำ AI มาช่วยงานบางส่วนและปรับขยายการใช้งาน AI ไปตามกาลเวลา ผลลัพธ์โดยคร่าว คือ พนักงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น 91% อัตราการลาออกลดลง 22% และมีลูกค้าเปิดบัญชีเงินฝากโตขึ้น 77%

สรุป

Bill Gates แห่ง Microsoft มีความเห็นว่า ภายใน 10 ปี AI จะเข้ามาแทนที่งานส่วนใหญ่ และผลักดันให้มนุษย์ต้องคิดหาวิธีใช้เวลาที่ได้กลับคืนมา ไปสร้างคุณค่าใหม่ ๆ ให้กับชีวิตและสังคมอย่างไร

Jensen Huang แห่ง Nvidia มีความเห็นว่า คนที่ตกงานจะไม่ใช่เพราะ AI เก่งกว่า แต่เพราะถูกแทนที่โดย คนที่ใช้ AI ได้ดีกว่า

เมื่อการทำงาน 3 - 4 วันต่อสัปดาห์ อาจไกลเกินจริง มนุษย์ก็อาจต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ คือ จะปรับตัวอย่างไรในวันที่ AI ทำงานส่วนใหญ่แทนเรา และจะใช้เวลาอย่างไรให้มีคุณค่าที่สุด

“First Principles” ระบบความคิดที่ Elon Musk ใช้สร้างบริษัทระดับโลกElon Musk ผู้ร่วมก่อตั้ง/ร่วมลงทุน/และซีอีโอ บริษัทระด...
22/09/2025

“First Principles” ระบบความคิดที่ Elon Musk ใช้สร้างบริษัทระดับโลก

Elon Musk ผู้ร่วมก่อตั้ง/ร่วมลงทุน/และซีอีโอ บริษัทระดับโลกมากมาย อาทิ Hyperloop, Neuralink, OpenAI, PayPal, Solar City, SpaceX, Tesla และ X (Twitter) เป็นต้น

เขาเคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อเป็นระยะ ๆ ว่า นอกจากเขาจะมีศรัทธาวิชาฟิสิกส์ในฐานะศาสตร์แห่งการสร้างสรรค์สรรพสิ่งให้เป็นจริง

เขายังยกย่องปรัชญา “First Principles” ในฐานะปรัชญาที่ทำให้สิ่งที่เคยถูกเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ โดยการให้มนุษย์รู้จักสาวไปหาต้นสายปลายเหตุอย่างเป็นระบบ

First Principles มีระบบความคิดอย่างไร CEO Channels จะสรุปให้ฟังครับ

First Principles คืออะไร?

แนวคิดมีรากมาจาก อริสโตเติล นักปราชญ์กรีกโบราณเมื่อกว่าสองพันปีก่อน First Principles คือ การคิดย้อนกลับไปที่รากฐานความจริงของสิ่งนั้น ไม่ใช่คิดจากสิ่งที่เคยมีคนทำ หรือเปรียบเทียบกับกรณีเดิม

Elon Musk ใช้วิธีคิดนี้กับการทำธุรกิจ เขาอธิบายว่า อย่าคิดเปรียบเทียบกับสิ่งที่คนอื่นเคยทำ แต่ให้คิดเหมือนกฎฟิสิกส์ หาสาเหตุพื้นฐาน แล้วสร้างคำตอบใหม่จากศูนย์

ต่างจากระบบคิดแบบ “Analogical Thinking” หรือการเปรียบเทียบจากสิ่งที่เคยมีมา เช่น รถไฟฟ้าแพงเพราะแบตเตอรี่แพง และยอมรับว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นต่อไป

3 ขั้นตอนคิดแบบ First Principles

1. Identify Problems

เริ่มจากการตั้งโจทย์ปัญหา เพื่อสาวหาต้นเหตุ และแนวทางแก้ไข

Tesla: แทนที่จะยอมรับว่า "รถยนต์ไฟฟ้าต้องแพงเพราะแบตเตอรี่แพง" เขาเลือกตั้งคำถามว่า "แบตเตอรี่ทำจากอะไร และต้นทุนวัตถุดิบจริงๆ เท่าไหร่?" นำไปสู่การสร้างโรงงาน Gigafactory เพื่อผลิตแบตเตอรี่เองและควบคุมต้นทุนทั้งหมด

SpaceX: แทนที่จะยอมรับว่า "จรวดมีราคาแพงและใช้แล้วทิ้ง" เขาเลือกตั้งคำถามว่า "จรวดต้องใช้แล้วทิ้งจริงหรือ?" นำไปสู่การสร้างจรวดที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้สำเร็จ และลดต้นทุนการส่งจรวดลงมหาศาล

2. Break Down Fundamentals

แยกปัญหาออกเป็นส่วน ๆ ยกตัวอย่าง ปี 2012 EV battery pack มีราคา $600–$800 ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เป็นราคาที่ตลาดยอมรับโดยทั่วกัน

ต่อมา Elon Musk ได้ศึกษาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างละเอียด จนพบว่ามันประกอบด้วยวัตถุดิบอะไรบ้าง แล้วไปเช็กราคาแยกรายวัตถุดิบ นำไปสู่วิธีการผลิตประกอบเองและลดต้นทุน Battery pack ลงเหลือประมาณ $125 ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ในเวลาต่อมา

3. Create Solutions from Scratch

เมื่อรู้ต้นทุนแต่ละส่วนแล้ว จึงออกแบบระบบผลิตแบตเตอรี่ใหม่ทั้งหมด จน Tesla สามารถผลิตแบตเตอรี่ถูกกว่าตลาดหลายเท่าในเวลาต่อมา

วิธีคิดนี้เป็นหลักการเดียวกับ SpaceX ที่ตั้งคำถามว่า จะทำอย่างไรให้จรวดอวกาศใช้ซ้ำได้ ค่อย ๆ แกะปัญหาออกเป็นส่วน ๆ จนได้คำตอบแล้วก็ออกแบบวิธีผลิตใหม่ทั้งหมด จนได้จรวดที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้และลดต้นทุนลงถึง 90 - 95%

สรุป

First Principles สังเกตุปัญหา และตั้งโจทย์อย่างสร้างสรรค์ เช่น แพงไปไหมจะลดต้นทุนให้สิ่งนี้อย่างไร, ผลิตได้น้อยไปไหมจะเพิ่มผลผลิตให้สิ่งนี้อย่างไร ฯลฯ จากนั้นแยกปัญหาออกเป็นภาคส่วน ขุดหาต้นตอ/สาเหตุ และออกแบบกระบวนการทำงานใหม่

19/09/2025

ทำไม CEO กิจการระดับโลก อาทิ Jessen Huang และ Elon Musk แนะนำคนรุ่นใหม่ควรเรียนรู้หรือมีความรู้เรื่อง Physics ติดตัว

Bill Gates “Think Week” เทคนิคปลีกวิเวก 1 สัปดาห์เพื่อปลดล็อกพลังสมองไปสร้างเงินล้านBill Gates ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ...
19/09/2025

Bill Gates “Think Week” เทคนิคปลีกวิเวก 1 สัปดาห์เพื่อปลดล็อกพลังสมองไปสร้างเงินล้าน

Bill Gates ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft จะมีตารางปลีกวิเวกหลีกเร้น ไปเก็บตัวที่กระท่อมกลางธรรมชาติ 2 ครั้งต่อปี ครั้งละประมาณ 1 สัปดาห์

ตัดขาดจากโลกภายนอก เช่น อีเมล โทรศัพท์ และการประชุม ช่วงหลีกเร้น เขาจะใช้เวลา คิด-อ่าน-เขียน ในระดับเข้มข้น

ผลลัพธ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดจากการทำ Think Week คือ การตกผลึกเป็นเมมโมหัวข้อ The Internet Tidal Wave ปี 1995

นำไปสู่การพัฒนา Internet Explorer เปิดบริการ MSN และพัฒนาต่อไปสู่ Cloud business ตามลำดับ

ต่อไปนี้คือวิธีทำ Think Week ของ Bill Gates

1. Disconnect วิเวกหลีกเร้น ตัดขาดโลกภายนอก

การเริ่มต้น Think Week ของ Bill Gates คือการ ตัดการติดต่อทุกอย่าง ปิดมือถือ ปิดอีเมล และหายตัวไปอยู่ในกระท่อมกลางป่าแบบเรียบง่าย

มีเพียงคนช่วยนำส่งอาหารถึงเขาวันละสองมื้อ ที่เหลือคือตัวเขากับความคิด การตัดขาดจากงานประจำและเสียงรบกวน ทำให้สมองได้พื้นที่โล่ง เป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างสภาวะ Deep work / Deep thinking

2. Deep Reading อ่านให้ลึก เพื่อคิดให้ไกล

หัวใจของ Think Week คือการ อ่านอย่างเข้มข้น Bill Gates พกเอกสารกองโตจากทีมงาน เต็มไปด้วยไอเดีย โปรเจกต์ใหม่ และรายงานเทคโนโลยีที่อาจกำหนดอนาคต Microsoft รวมทั้งหนังสือและงานวิชาการระดับลึก

เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันอ่านอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาเห็นแนวโน้มใหม่ ๆ ก่อนใคร และต่อยอดไปสู่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สร้างผลกระทบระดับโลก

3. Reflection & Note-taking จดบันทึกตะกอนความคิด

จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงสะท้อนคิดและเขียนบันทึก เขาเชื่อว่าการใช้ปากกาและกระดาษคือวิธีที่ดีที่สุดในการกลั่นความคิดให้ออกมาอย่างเป็นระบบ

ข้อสังเกต ไอเดีย และคำถามที่เกิดขึ้นจะถูกจดลงไปแบบสด ๆ จากนั้นเขาจะกลั่นเป็น Meme ต่าง ๆ เพื่อนำไปสื่อสารกับทีมงาน

#คนไม่มีเวลาทำยังไง ?

วิธีประยุกต์สำหรับคนที่ไม่มีเวลาวิเวกเป็นสัปดาห์แบบ Bill Gates

CEO Channels ก็เห็นความสำคัญของการมีโอกาสปลีกวิเวก อาจจะไม่ได้ไปเป็นสัปดาห์ได้บ่อยเท่า Bill Gates แต่การปรับประยุกต์ให้เหมาะกับตารางชีวิตของเราก็ยังได้ผลอยู่

ประยุกต์ดังนี้ครับ

- ปรับเป็น Think Day : เช่น กันเวลา 1 วันเต็ม หรืออย่างครึ่งวัน เพื่อโฟกัสศึกษาหาข้อมูล คิด วางแผน และจดบันทึก โดยขอไม่แตะเรื่องงานเลย

- Disconnect อุปกรณ์สื่อสาร : เช่น ปิดมือถือ ไม่แตะโซเชียลในกรอบเวลาที่ทำ Think Day เพื่อให้มีโฟกัสสูงสุด

- เลือกสถานที่ Comfort Zone ใกล้ฉัน : แต่ละคนอาจมีสถานที่ ๆ เป็น Comfort Zone ของตนเอง เช่น ห้องสมุด ร้านกาแฟ โคเวิร์กกิ้งสเปซ หรือบางคนอาจจะเป็นวัดเงียบ ๆ ที่รู้จัก เหล่านี้อาจช่วยให้หลุดจากบรรยากาศประจำวัน

- ศึกษาหาอ่านอ่างมีเป้าหมาย : เลือกอ่านหนังสือ บทความ หรือรายงานที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายชีวิตและธุรกิจ ไม่อ่านทุกอย่าง แต่เลือกสิ่งที่สร้างคุณค่า

- โฟกัสภารกิจสำคัญเพียง 2 - 3 อย่าง : โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก หรือคนทำอาชีพอืสระตัวคนเดียวที่ไม่ได้มีทีมใหญ่ อาจโฟกัสภารกิจสำคัญเพียง 2 - 3 อย่าง ที่สำคัญและเร่งด่วนที่ต้องการสร้างผลลัพธ์

- สลับการการเดินเบา ๆ : หลังจากใช้เวลากับการเสพข้อมูลมหาศาลหลายชั่วโมง อย่าลืมที่จะลุกขึ้นเดิน การเดินช่วยเชื่อมสมองให้ทำงานดีขึ้น ทั้งเพิ่มการไหลเวียนเลือด กระตุ้นเซลล์สมองใหม่ ลดความเครียด เสริมความจำ และเพิ่มความคิดสร้างสรรค์

และที่คือ Bill Gates “Think Week” เทคนิคหายตัว 1 สัปดาห์เพื่อปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ครับ

หาเงินเดือนละแสนจาก Nano BananaNick Ponte ผู้ก่อตั้ง Myna Marketing เอเจนซี่การตลาดที่ฮาวาย แชร์ประสบการณ์ผ่านช่องยูทูบ ...
18/09/2025

หาเงินเดือนละแสนจาก Nano Banana

Nick Ponte ผู้ก่อตั้ง Myna Marketing เอเจนซี่การตลาดที่ฮาวาย แชร์ประสบการณ์ผ่านช่องยูทูบ Nick Pont ว่า เขาสร้างรายได้จำนวน 12,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ +/- 4 แสนบาท ภายในไม่กี่สัปดาห์ จากการใช้ Google’s Nano Banana เป็นผู้ช่วยออกแบบกราฟฟิก + บริการดูแล Social media ของลูกค้าในพื้นที่ฮาวาย

Nano Banana คืออะไร?

Nano Banana คือ Generative AI ที่พัฒนาโดย Google มีความที่เชี่ยวชาญการสร้างและแก้ไขรูปภาพ โดยอาศัย Prompt หรือ ข้อความคำสั่งของคุณ จุดเด่น คือ ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีทักษะการใช้โปรแกรมกราฟิกดีไซน์ ก็สร้างภาพสวย สมจริง ได้ในไม่กี่วินาที

ขั้นตอนการใช้งานโดยสังเขป

- อัปโหลดภาพจริงแล้วปรับแต่งต่อได้ ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์

- ใช้คำสั่ง Prompt ข้อความสั่งงาน ไม่ต้องมีทักษะการใช้โปรแกรมกราฟฟิกยาก ๆ

- คงความใกล้เคียงเดิมของบุคคลหรือสินค้า เหมาะสำหรับทำชุดคอนเทนต์ต่อเนื่อง

- เปลี่ยนพื้นหลังได้ง่าย ทำให้ภาพสินค้าหรือบริการดูหลากหลายขึ้น

- เพิ่มวัตถุหรือรายละเอียดเล็กๆ ได้ เช่น ใส่อุปกรณ์ประกอบฉากหรือสร้างบรรยากาศใหม่

- สร้างฉากใหม่สมจริง โดยไม่ต้องเสียเงินเช่าสถานที่หรือจ้างทีมโปรดักชั่น

CEO Channels ก็ใช้ Nano Banana ช่วยออกแบบกราฟฟิกบางส่วนแล้วมาปรับแต่งเล็กน้อยใน Canva

ทำไม คนยอมจ้างเอเจนซี่ ทั้งที่ทำเองก็ได้?

Nick Ponte ให้เหตุผลว่า ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในท้องถิ่นส่วนใหญ่มีทรัพยากรบุคคลที่จำกัด กำลังคนส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ Core business ของกิจการ เช่น พนักงานขายสินค้าและบริการหลักของกิจการ

แม้พวกเขาจะมีสื่อออนไลน์ แต่มักไม่มีพนักงานประจำที่เชี่ยวชาญดูแลโดยเฉพาะ (ซึ่งมีค่าตัวสูง) ที่จะรักษาความ Active ของสื่อออนไลน์

นี่จึงเป็นโอกาสสำหรับ เอเจนซี่รับทำการตลาดออนไลน์ ในการขายบริการที่มีราคาเริ่มต้นถูกกว่าการจ้างพนักงานประจำ

ค่าบริการของ Nick Ponte แพกเกตเริ่มต้นเพียง 500 ดอลล่าร์ต่อเดือน ขณะที่เงินเดือนพนักงาน Social media marketing/admin อาจเริ่มต้นที่ 4,000 - 5,000 ดอลล่าร์ต่อเดือน

ต่อไปนี้ คือ Step-by-Step การหาเงินจาก Nano Banana ของ Nick Ponte

ขั้นที่ 1 หากลุ่มเป้าหมาย

ปัจจุบัน เราไม่ต้องไล่หาชื่อกลุ่มเป้าหมายจากสมุดหน้าเหลือง (ทั้งแบบเล่มและออนไลน์) ด้วยตนเองอีกแล้ว Nick สั่ง Google Gemini รวบรวมรายชื่อธุรกิจท้องถิ่น โดยเขาเน้นธุรกิจท่องเที่ยว พร้อมข้อมูลผู้ติดติดต่อ มาจัดทำเป็น Sheet ตารางพร้อมใช้ภายในไม่กี่วินาที

จากนั้นเขาจะเข้าไปไล่ดูโซเชียลมีเดีย ว่าเพจไหนเงียบเหงา เพื่อติดต่อไปสอบถามว่า พวกเขาสนใจที่ทำให้ เฟซบุ๊กเพจ หรือ อินสตาแกรม กลับมา Active อีกครั้งหรือไม่

ขั้นที่ 2 ยื่นข้อเสนอเกินต้าน

Nick จะยังไม่ปิดการขายทันที แต่จะยื่นข้อเสนอ ให้บริการฟรี 2 สัปดาห์ เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสรสชาติของการมีโซเชียลมีเดียที่คึกคักว่ามันมีผลดีอย่างไรต่อธุรกิจอย่างไร ส่วนประโยคนำเสนอนั้นก็เรียบง่าย เขาส่งอีเมล์ไปสื่อสารตรงว่า “เพจของคุณไม่ Active ใช่หรือไม่ ผมยินดีทำให้ฟรี ไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ” เป็นต้น

** หมายเหตุ มีการแจ้งผู้สนใจว่าจะมีการนำเครื่องมือ AI มาช่วยงานกราฟฟิกภายในเพจ

ขั้นที่ 3 ลงมือสร้างคอนเทนต์

เมื่อได้ลูกค้ามาแล้ว Nick ใช้โมเดลเอไอ “Nano Banana” ที่อยู่ใน Google Gemini และ Google AI Studio ฯลฯ เพื่อสร้างภาพที่สอดคล้องกับธุรกิจของลูกค้า ยกตัวอย่าง ธุรกิจบริการ Zipline Tour

- เขาจะเข้าไปยังสื่อออนไลน์ของลูกค้า เพื่อดาวน์โหลดรูปภาพต่าง ๆ ที่ลูกค้าเคยโพสต์ไว้มาเป็น Reference (ไม่ต้องรบกวนให้ลูกค้าเตรียม material ใด ๆ)

-ใช้รูปภาพเหล่านั้นเป็น Reference เพื่อให้ Nano Banana ทำการสร้างใหม่ หรือแก้ไขปรับแต่ง เปลี่ยนฉาก เปลี่ยนสีหน้าท่าทาง ฯลฯ

- สร้างเวอร์ชันใหม่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้ภาพต่อเนื่องกัน ดูสมจริงราวกับเป็นชุดเดียวกัน โดยยังคงบุคคลหรือสินค้าเดิม เป็นต้น

ขั้นที่ 4 ทำให้ระบบโพสต์อัตโนมัติด้วย GoHighLevel

Nick ไม่ได้นั่งโพสต์มือด้วยตนเอง แต่ใช้ GoHighLevel โปรแกรมบริหารจัดการโซเชียลมีเดีย เพื่อทำหน้าที่โพสต์เนื้อหาอย่างเป็นระบบ ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อบัญชีโซเชียล เช่น Facebook, Instagram, LinkedIn และ Google Business ได้อย่างปลอดภัย จากนั้นเขากำหนดโพสต์ล่วงหน้าครั้งเดียว ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม พร้อมใช้ AI ช่วยเขียนแคปชันหลายสไตล์ เมื่อเพจเริ่มมีความเคลื่อนไหวต่อเนื่อง สื่อออนไลน์ของลูกค้สก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ขั้นที่ 5 ปิดการขาย

เมื่อครบสองสัปดาห์ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นฝ่ายยื่นขอเสนอเองว่าต้องการไปต่อ

Nick จึงทำเป็นสัญญารายเดือน ค่าบริการเริ่มต้น 500 ดอลลาร์ และปรับราคาขึ้นตามความถี่การโพสต์คอนเทนต์ที่ลูกค้าต้องการ นอกจากนั้นยังมีบริการเสริมอื่น ๆ ไว้อัพเซล อาทิ

- บริการ Funnel

- บริการ Email Marketing

- บริการปรับภาพลักษณ์ Branding

- นำไปสู่ลูกค้าบางรายจ่ายสูงถึง 15,000 ดอลลาร์ต่อเดือน!

และนี่คือ Use case หาเงินเดือนละแสนจาก Nano Banana หวังว่าจะเป็นไอเดียให้ทุกคนนำไปต่อยอดต่อไปนะครับ

Reid Hoffman ผู้ร่วมก่อตั้ง LinkedIn และนักลงทุนชื่อดังแห่ง Silicon Valley เผยว่า AI ไม่ใช่กระแสไฮป์ แต่มันคือคลื่นลูกให...
17/09/2025

Reid Hoffman ผู้ร่วมก่อตั้ง LinkedIn และนักลงทุนชื่อดังแห่ง Silicon Valley เผยว่า AI ไม่ใช่กระแสไฮป์ แต่มันคือคลื่นลูกใหญ่ที่จะปฏิวัติโลก

AI จะเข้าไปอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะการทำงาน และเขาพยากรณ์ว่าภายใน 3 ปี งานออฟฟิศจะอุดมไปด้วย AI เข้ามามีบทบาทในหลาย ๆ โปรเซสการทำงาน

อย่างไรก็ดี เขาเสนอมุมมองในแง่บวกว่าอย่ากลัว AI แต่ให้หันมาเปิดใจ ศึกษา เรียนรู้เพื่อปรับตัวให้กับอนาคตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ดังนี้

มุมมองที่ 1: AI Co-Pilot เป็นเพื่อนร่วมที่รู้ใจของมนุษย์

Reid Hoffman เสนอให้เปลี่ยนทัศนคติจาก “กลัว AI” ไปเป็นเปิดใจ และอยากรู้อยากเห็นให้มากขึ้น โดยให้ลองมอง AI เป็นผู้ช่วยสำหรับทำงานร่วมกับมนุษย์ แบบ “Human-AI Hybrid”

จุดแข็งของ AI คือความเร็ว เช่น การหาข้อมูล, เขียนบทความ, สร้างรูปภาพ, สร้างวิดีโอสั้น ฯลฯ แต่เป็นเพียงเอาต์พุตเบื้องต้น ขณะที่ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์และคุณภาพเพียงพอต่อการใช้อย่างเป็นทางการต้องอาศัยมนุษย์ทำผลงานตัว Final

มุมมองที่ 2: คนเก่ง ๆ จะปรับตัวไปใช้ AI เป็น Co-Pilot

Reid Hoffman พยากรณ์ว่าภายใน 2 - 3 ปี คนที่มีความรู้ความสามารถหรือทักษะเฉพาะงานในสายวิชาชีพของตน จะปรับตัวไปใช้ AI ช่วยงาน และผลคือ คนเหล่านี้ที่เก่งอยู่แล้วจะยิ่งเก่ง นั่นคือเหตุผลสอดคล้องกับข้อแรก ที่เขาเสนอให้ทุกคนควรเริ่มเรียนรู้การใช้ AI

เขาคาดว่าอาชีพวิศวกรและนักพัฒนาซอฟต์แวร์ จะเป็นกลุ่มแรกที่ใช้ AI Co-pilot อย่างโดดเด่น และตามด้วย Knowledge Worker แรงงานสายความรู้เฉพาะทางต่าง ๆ เช่น การขาย การตลาด การเงิน เป็นต้น ฯลฯ จะหันไปใช้ AI ช่วยค้นคว้า รวบรวม และนำเสนอข้อมูลเบื้องต้น เพื่อมนุษย์นำไปทำงานต่อในขั้น Final

มุมมองที่ 3: AI เป็นเพียงผู้ช่วย ส่วนทักษะมนุษย์ยังคงอยู่

Reid Hoffman เน้นย้ำว่าทักษะและความรู้ทางวิชาชีพยังมีความสำคัญอันดับหนึ่ง โดยเขาเปรียบเทียบ AI กับเครื่องคิดเลข คือ เรายังต้องมีความรู้ทางคณิตศาสตร์ ขณะที่เครื่องมือเพียงช่วยให้เราแก้โจทย์ที่ซับซ้อนขึ้นได้เร็วขึ้น ฉันใด ฉันนั้น ทักษะเหล่านี้ยังจำเป็นมาก หากจะใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ

- Visual Thinking การคิดเชิงภาพ

- Creativity ความคิดสร้างสรรค์

- Math ความเข้าใจคณิตศาสตร์พื้

- Coding Frameworks การเขียนโค้ด

มุมมองที่ 4: AI กับอนาคตการจ้างงาน:

Reid Hoffman มีมุมมองการจ้างงานที่แตกต่าง คือ เขามองว่ามนุษย์ไม่สามารถอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร หาก AI เข้ามาแทนที่หลาย ๆ ตำแหน่งงาน รัฐและสังคมน่าจะมีนโยบายบางอย่างเพื่อให้ผู้คนมีอะไรทำ เช่น

อาจเกิด Solo entrepreneur หรือธุรกิจตัวคนเดียวมากขึ้น และเกิดสินค้าและบริการเฉพาะทางมากขึ้น ซึ่ง AI จะกลายเป็นตัวช่วยให้เกิดธุรกิจตัวคนเดียวได้ง่าย

หรืออาจเกิดนโยบายรายได้พื้นฐานแบบมีเงื่อนไข ให้มีการทำงานบริการชุมชนอย่างน้อย 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เป็นต้น

#ธุรกิจส่วนตัว #แรงงาน

ที่อยู่

Sukumvit Road
Bangkok
10110

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ CEO Channelsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์