MilerDev Developer & Instructor Patiphan ผู้ก่อตั้ง MilerDev School เรียนรู้การเขียนโปรแกรม พัฒนาทักษะเพื่ออนาคต

จากต้องเสียเงินเป็นพันๆ กับ Adobe ตอนนี้เหลือหลักร้อย ขอบคุณ
26/11/2025

จากต้องเสียเงินเป็นพันๆ กับ Adobe ตอนนี้เหลือหลักร้อย ขอบคุณ

👨‍💻 คำว่า "Hacker" ในบริบทของการพัฒนาซอฟต์แวร์ ไม่ได้หมายถึงอาชญากรไซเบอร์ที่เจาะระบบเพื่อขโมยข้อมูล (Cracker) แต่หมายถึ...
25/11/2025

👨‍💻 คำว่า "Hacker" ในบริบทของการพัฒนาซอฟต์แวร์ ไม่ได้หมายถึงอาชญากรไซเบอร์ที่เจาะระบบเพื่อขโมยข้อมูล (Cracker) แต่หมายถึง "ผู้ที่มีความกระหายใคร่รู้ อยากรู้อยากเห็น และต้องการเข้าใจการทำงานของระบบอย่างถ่องแท้"
การที่ Developer มี Mindset แบบ Hacker จะช่วยยกระดับจากการเป็นแค่ "คนเขียนโค้ด" (Coder) ให้กลายเป็น "วิศวกรซอฟต์แวร์ที่เก่งกาจ" (Software Engineer) ได้ นี่คือเหตุผลสำคัญครับ:
1. รู้ลึกถึง "Under the Hood" (เบื้องหลังการทำงาน)
Developer ทั่วไปอาจจะพอใจแค่ว่า "ใช้ Library นี้แล้วงานเสร็จ" หรือ "Code รันผ่านแล้ว" แต่ Dev ที่มี Hacker Mindset จะถามต่อว่า:
▪️"ฟังก์ชันนี้ทำงานยังไงข้างใน?"
▪️"ทำไมมันถึงเร็วกว่าอีกวิธี?"
▪️"ถ้าเราส่งค่าแปลกๆ เข้าไป มันจะพังไหม?"
ผลลัพธ์: เมื่อเกิดปัญหายากๆ หรือต้อง Optimize ระบบ คนกลุ่มนี้จะแก้ปัญหาได้ เพราะเขาเข้าใจรากฐาน ไม่ใช่แค่ผิวเผิน
2. เขียน Code ได้ปลอดภัยขึ้น (Security First)
ในยุคปัจจุบัน Security ไม่ใช่เรื่องของทีม Security เพียงอย่างเดียว แต่เป็นหน้าที่ของ Dev ทุกคน หากคุณคิดแบบ Hacker คุณจะ:
▪️มองเห็น จุดอ่อน (Vulnerabilities) ในโค้ดตัวเองก่อนที่คนอื่นจะเห็น
▪️ไม่เชื่อใจ Input ใดๆ จากผู้ใช้ (Zero Trust)
▪️ตั้งคำถามเสมอว่า "ถ้าฉันเป็นคนร้าย ฉันจะพังระบบนี้ยังไง?"
Note: การรู้ว่า SQL Injection หรือ XSS ทำงานอย่างไร จะทำให้คุณเขียน Code ป้องกันได้ดีกว่าการท่องจำว่าต้องใช้ฟังก์ชันอะไรป้องกัน
3. แก้ปัญหาด้วยวิธีที่สร้างสรรค์ (Creative Problem Solving)
Hacker มักจะไม่ยอมรับข้อจำกัดง่ายๆ พวกเขาชอบคิดนอกกรอบ (Think outside the box)
▪️Dev ทั่วไป: ทำตามคู่มือ หรือ Stack Overflow เป๊ะๆ
▪️Dev แบบ Hacker: ลองหาวิธีลัด (Workaround), ลองผสมผสานเครื่องมือที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน หรือหาวิธีที่ใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด
4. การจัดการกับความผิดพลาด (Resilience & Debugging)
Hacker คุ้นเคยกับ "ความล้มเหลว" พวกเขาลองผิดลองถูกเป็นร้อยครั้งเพื่อเจาะระบบ (หรือแก้บั๊ก) เพียงครั้งเดียว
▪️Mindset นี้ทำให้ Dev ไม่ท้อถอยเมื่อเจอ Error
▪️พวกเขามีทักษะการ Isolate problem (ตัดตัวแปรที่ไม่เกี่ยวข้องออก) เพื่อหาต้นตอที่แท้จริง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการ Debug
⌨️ วิธีฝึก Hacker Mindset สำหรับ Dev
▪️อย่าเชื่อใน "Magic": เมื่อใช้ Framework หรือ Library อะไร อย่ามองว่ามันคือเวทมนตร์ พยายามทำความเข้าใจว่าเบื้องหลังมันทำงานอย่างไร
▪️ลองพังระบบตัวเอง: ลองส่งค่า input บ้าๆ บอๆ, ลองยิง request รัวๆ, ลองทำสิ่งที่ User ปกติไม่ทำ ดูว่าระบบเรารับมือได้ไหม
▪️เรียนรู้ Linux Command Line: การใช้ CLI ทำให้เราคุยกับ OS ได้โดยตรงและเข้าใจ Permission, Process, Network ได้ดีขึ้น
▪️เล่น CTF (Capture The Flag): เกมจำลองการเจาะระบบ เป็นสนามฝึกที่ดีมากในการฝึกคิดแบบ Hacker (เช่น เว็บไซต์ PicoCTF หรือ Hack The Box)
📌 บทสรุป
การมี Hacker Mindset คือการมี "ความดื้อรั้นทางปัญญา" (Intellectual Persistence) ไม่ยอมให้ Code ทำงานได้โดยที่เราไม่เข้าใจมัน การฝึกคิดแบบนี้จะทำให้คุณเขียน Code ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และ Scalable ได้ดียิ่งขึ้นครับ

4 Patterns อันตราย" ที่ AI มักจะพลาด และเราต้องเข้าไปจับตามองเป็นพิเศษในการเขียนโค้ด 👨‍💻💯1. Pattern "โลกสวย" (The Happy ...
24/11/2025

4 Patterns อันตราย" ที่ AI มักจะพลาด และเราต้องเข้าไปจับตามองเป็นพิเศษในการเขียนโค้ด 👨‍💻💯
1. Pattern "โลกสวย" (The Happy Path Bias)
AI มักจะเขียนโค้ดโดยสมมติว่าทุกอย่างจะทำงานราบรื่น ข้อมูลที่ส่งมาถูกต้องเสมอ และไม่มี Server ล่ม
🔴จุดที่ต้องสังเกต:
▪️Missing Error Handling: ไม่มี try-catch หรือไม่มีการดัก Error จาก API
▪️Input Validation: ไม่มีการเช็คว่าข้อมูลที่ User กรอกมาเป็นค่าว่าง (null/undefined) หรือไม่
▪️Edge Cases: ลืมคิดถึงกรณีสุดโต่ง เช่น Array ว่างเปล่า, ไฟล์ขนาดใหญ่เกินไป, หรือ User กดปุ่มรัวๆ
2. Pattern "มั่ว Library" (Hallucination & Deprecation)
AI (โดยเฉพาะรุ่นที่ไม่ได้ต่อเน็ตหรือ Update ช้า) มักจะจำ API เก่า หรือ "จินตนาการ" ฟังก์ชันขึ้นมาเองเพราะชื่อมันดูสมเหตุสมผล
🔴จุดที่ต้องสังเกต:
▪️Ghost Imports: Import function ที่ไม่มีอยู่จริงใน Library นั้น
▪️Deprecated Syntax: ใช้คำสั่งเก่าที่ Library เวอร์ชั่นล่าสุดเลิกใช้ไปแล้ว (เจอบ่อยมากใน React Router, Next.js, หรือ Firebase)
▪️Version Mismatch: โค้ดผสมกันระหว่างเวอร์ชั่นเก่ากับใหม่ (เช่น ผสม Pages Router กับ App Router ใน Next.js)
3. Pattern "ทำเกินความจำเป็น" (Over-Engineering vs. Bad Performance)
บางที AI ก็เขียนซับซ้อนเกินความจำเป็น หรือบางทีก็เขียนง่ายจนลืมเรื่องประสิทธิภาพ
🔴จุดที่ต้องสังเกต:
▪️N+1 Query: เรียก Database ใน Loop (อันตรายมาก) แทนที่จะดึงทีเดียว
▪️Reinventing the Wheel: เขียนฟังก์ชัน Utility ใหม่ ทั้งที่ภาษานั้นมีคำสั่ง Native ให้ใช้อยู่แล้ว (เช่น เขียน Loop กรองข้อมูลเอง แทนที่จะใช้ .filter() หรือ .map())
▪️Memory Leak: ลืม remove event listener หรือลืม clear interval ใน useEffect (React)
4. Pattern "ลืมบริบท" (Context Blindness)
AI ไม่เห็นโปรเจกต์ทั้งก้อนของคุณ มันเห็นแค่ไฟล์ที่คุณส่งให้ มันจึงมักจะละเมิดกฎของทีม
🔴จุดที่ต้องสังเกต:
▪️Hardcoded Values: ใส่ API Key, URL, หรือ Secret ไว้ในโค้ดตรงๆ แทนที่จะใช้ .env
▪️Inconsistent Style: ตั้งชื่อตัวแปรไม่เหมือนเพื่อน (เช่น เพื่อนใช้ camelCase แต่ AI ใช้ snake_case)
▪️Ignoring Existing Utils: ไม่เรียกใช้ Helper Function ที่คุณมีอยู่แล้ว แต่เขียนใหม่ซ้ำซ้อน
📌 คำแนะนำเพิ่มเติม (Pro Tip)
อย่าเชื่อ Code ที่ AI เขียน 100% ทันที ให้ใช้สูตร:
▪️Gen: ให้ AI เขียนร่างแรก
▪️Read: อ่าน Logic ว่าสมเหตุสมผลไหม (อย่าเพิ่ง Copy)
▪️Verify: เช็คชื่อ Library/Function ว่ามีจริงไหม
▪️Refine: ปรับแต่ง Error Handling และ Security

สร้างภาพ 3d isometric สวยๆ ง่ายๆ ด้วย Gemini 3 Pro + Nano Banana Pro 👨‍💻🍌Prompt:ช่วยสร้างภาพ 3d isometric, detailed pixe...
23/11/2025

สร้างภาพ 3d isometric สวยๆ ง่ายๆ ด้วย Gemini 3 Pro + Nano Banana Pro 👨‍💻🍌
Prompt:
ช่วยสร้างภาพ 3d isometric, detailed pixel art เป็นห้องทำงานสุดเท่ห์ของ developer และมี logo [ใส่ชื่อ]

Nano Banana Pro บอกเลยว่าตอนนี้ เจนภาพเทพกว่าเดิมมากๆ ครับ ผมทดลองเอามาให้ทำ youtube thumbnail และนี่คือผลลัพธ์ที่ได้ ใค...
21/11/2025

Nano Banana Pro บอกเลยว่าตอนนี้ เจนภาพเทพกว่าเดิมมากๆ ครับ ผมทดลองเอามาให้ทำ youtube thumbnail และนี่คือผลลัพธ์ที่ได้ ใครอยากลอง prompt ตามนี้เลย
Prompt:
ช่วยทำรูปสำหรับ youtube thumbnail 16:9 "[ใส่ข้อความที่ต้องการ]" จัดองค์ประกอบ แสงสีให้ดูมืออาชีพ และน่าสนใจ

เมื่อ AI เจนภาพยกระดับสู่ Professional Grade ด้วย Nano Banana Pro 🍌ก้าวสำคัญของ Generative AI เมื่อการสร้างภาพไม่ได้จบแค...
21/11/2025

เมื่อ AI เจนภาพยกระดับสู่ Professional Grade ด้วย Nano Banana Pro 🍌
ก้าวสำคัญของ Generative AI เมื่อการสร้างภาพไม่ได้จบแค่ความสวยงาม แต่เน้นที่ "ความถูกต้อง" และ "การควบคุม"
โมเดล AI สร้างรูปภาพตัวใหม่ล่าสุด หรือชื่อที่เป็นทางการคือ Gemini 3 Pro Image ซึ่งเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่จากรุ่นก่อน (Nano Banana หรือ Gemini 2.5 Flash Image) โดยเน้นฟีเจอร์ระดับมืออาชีพ (Professional-grade) มากขึ้นครับ
🍌 สรุปความสามารถเด่นๆ มีดังนี้:
1.เก่งเรื่องข้อความ (Text Rendering):
▪️สามารถสร้างภาพที่มีตัวหนังสือประกอบได้แม่นยำและอ่านรู้เรื่องมากขึ้น (เช่น ป้ายโฆษณา, โลโก้, หรือไดอะแกรม)
▪️ฟีเจอร์เด็ดคือ แปลภาษาในภาพ ได้โดยยังคงสไตล์ของภาพเดิมไว้
2.มีความรู้รอบตัว (Real-world Knowledge):
▪️โมเดลเชื่อมต่อกับ Google Search ทำให้เข้าใจบริบทโลกความเป็นจริง
▪️สามารถสั่งให้สร้าง Infographic, แผนที่ หรือแผนภูมิที่ข้อมูลถูกต้องตามความจริงได้ (ไม่ใช่แค่มั่วๆ รูปสวยอย่างเดียว)
3.ควบคุมได้ดั่งใจ (Pro Controls):
▪️สั่งงานรายละเอียดได้เหมือนผู้กำกับภาพยนตร์ เช่น มุมกล้อง (Camera angles), การจัดแสง (Lighting), การจัดองค์ประกอบ (Composition) หรือการเกรดสี (Color grading)
4.คุมคาแรคเตอร์ได้นิ่ง (Character Consistency):
▪️สามารถจดจำหน้าตาตัวละครได้ (สูงสุด 5 คน) ทำให้เราสร้างภาพเล่าเรื่องต่อเนื่อง (Storytelling) หรือทำ Storyboard ได้โดยที่หน้าตัวละครไม่เพี้ยนไปมา
5.ตัดต่อ/ผสมภาพเทพขึ้น (Advanced Editing):
▪️ผสมภาพได้สูงสุดถึง 14 ภาพในซีนเดียว
▪️สั่งแก้ภาพด้วยภาษาพูดธรรมดา (Natural Language Editing) เช่น "เปลี่ยนสีรถเป็นสีน้ำเงิน", "ลบคนข้างหลังออก" ได้เนียนกว่าเดิม
📌 สรุปสั้นๆ: ถ้า Nano Banana ตัวเก่าคือของเล่นสนุกๆ Nano Banana Pro ก็คือเครื่องมือสำหรับคนทำงานจริงจัง (Creators/Designers) ที่ต้องการความเป๊ะ ทั้งเรื่อง Text, ความถูกต้องของข้อมูล และความสม่ำเสมอของลายเส้นครับ

19/11/2025

MilerDev - บั๊กไม่มี บารมีไม่เกิด (Official Music Video)👨‍💻💯

19/11/2025

มาสักที Gemini 3 Pro เทพกว่าเดิมมากกกกก! 👨‍💻💯

🛠️ รวม 5 สุดยอดเครื่องมือจัดการ Database ที่ Dev ต้องมีติดเครื่อง! (ปี 2025)เคยไหม? ปวดหัวกับการเขียน Query ยาวๆ หรือต้อ...
19/11/2025

🛠️ รวม 5 สุดยอดเครื่องมือจัดการ Database ที่ Dev ต้องมีติดเครื่อง! (ปี 2025)
เคยไหม? ปวดหัวกับการเขียน Query ยาวๆ หรือต้องนั่งเพ่งหน้าจอ Terminal ดำๆ เพื่อดูข้อมูล 😵‍💫 วันนี้ผมรวบรวมเครื่องมือ (GUI Tools) ที่จะช่วยให้ชีวิตการจัดการ Database ของคุณง่ายขึ้น 300% มาฝากกันครับ!
👇 มาดูกันว่าตัวไหนเหมาะกับคุณที่สุด
1. DBeaver (ตัวตึงสายฟรี) 🦫
ถ้าถามหาตัวที่ "ครบ จบ ในที่เดียว" ต้องยกให้ตัวนี้
▪️จุดเด่น: Open Source (ฟรี!), รองรับแทบทุก Database บนโลก (MySQL, PostgreSQL, SQLite, Oracle, MongoDB และอื่นๆ)
▪️เหมาะกับ: คนที่โปรเจกต์เยอะ ใช้หลาย Database สลับไปมา ไม่อยากลงหลายโปรแกรม
2. TablePlus (หล่อ เร็ว แรง) ⚡
ใครชอบ UI สวยๆ คลีนๆ ทำงานไวแบบ Native App ต้องตัวนี้เลย
▪️จุดเด่น: หน้าตาทันสมัยมาก (Modern UI), กินแรมน้อย, เปิดปิด Connection ไวมาก มีทั้งบน Mac และ Windows
▪️เหมาะกับ: Dev สาย Front-end/Full-stack ที่ชอบ Tool หน้าตาดีและ UX ลื่นไหล (ตัวฟรีมีจำกัด Tab นิดหน่อย แต่คุ้มที่จะซื้อ)
3. MongoDB Compass (สามัญประจำบ้าน MERN Stack) 🍃
ใครเขียน Node.js คู่กับ MongoDB ตัวนี้คือของบังคับต้องมี
▪️จุดเด่น: เป็น Official GUI ของ MongoDB เอง, ช่วย visualize ข้อมูล JSON ได้เห็นภาพสุดๆ, มีฟีเจอร์สร้าง Aggregation Pipeline แบบลากวาง (ไม่ต้องนั่งเทียนเขียนโค้ดเอง)
▪️เหมาะกับ: สาย NoSQL และ MERN Stack Developer
4. MySQL Workbench (คลาสสิกตลอดกาล) 🐬
โปรแกรมคู่บุญของคนใช้ MySQL
▪️จุดเด่น: ออกแบบ Schema/ER Diagram ได้ในตัว, ปรับแต่ง Server Configuration ได้ละเอียด
▪️เหมาะกับ: คนที่ทำงานสาย Relational Database แบบเข้มข้น หรือต้องออกแบบโครงสร้าง Database ซับซ้อน
5. Beekeeper Studio (น้องใหม่มาแรง) 🐝
Open Source ที่หน้าตาสวยงาม ใช้งานง่าย
▪️จุดเด่น: UI เป็นมิตรมาก, ใช้ง่าย ไม่ซับซ้อน, รองรับ SQL หลายตระกูล
▪️เหมาะกับ: มือใหม่ หรือคนที่ต้องการความเรียบง่ายในการดูข้อมูล
💡 สรุปเลือกยังไงดี?
เน้นของฟรี ครอบจักรวาล 👉 DBeaver
เน้นความสวย เร็ว ยอมจ่ายได้ 👉 TablePlus
เน้น MongoDB โดยเฉพาะ 👉 Compass
💬 เพื่อนๆ ใช้ตัวไหนกันอยู่ครับ? หรือมีตัวอื่นแนะนำ คอมเมนต์ป้ายยากันหน่อย! 👇

Gemini 3 มาแล้ว! ยุคใหม่ของ AI ที่ฉลาดกว่าเดิม 🚀Google เปิดตัว Gemini 3 อย่างเป็นทางการ! บอกเลยว่ารอบนี้ไม่ใช่แค่การอัปเ...
19/11/2025

Gemini 3 มาแล้ว! ยุคใหม่ของ AI ที่ฉลาดกว่าเดิม 🚀
Google เปิดตัว Gemini 3 อย่างเป็นทางการ! บอกเลยว่ารอบนี้ไม่ใช่แค่การอัปเกรดธรรมดา แต่เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่
🔥 มีอะไรใหม่บ้าง?
Speed: ประมวลผลไวขึ้นแบบเห็นได้ชัด ไม่ต้องรอนาน
Reasoning: การให้เหตุผลและตรรกะซับซ้อนทำได้แม่นยำขึ้นมาก
Multimodal: เข้าใจทั้งภาพ เสียง วิดีโอ และโค้ดได้ลึกซึ้งกว่าเดิม
ลองเล่นดูแล้วต้องยอมรับว่า Google ทำการบ้านมาดีมาก
✅ Context Window กว้างขึ้น
✅ ตอบคำถามยากๆ ได้ดูเป็นมนุษย์มากขึ้น
✅ เขียนโค้ด/แก้บั๊ก แม่นกว่าเดิม (สาย Dev ต้องลอง)
การมาถึงของ Gemini 3 สร้างแรงสั่นสะเทือนให้วงการ AI อีกครั้ง สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในเวอร์ชันนี้ไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่คือ "Logic & Reasoning Capability"
จากการทดสอบเบื้องต้น:
▪️Complex Refactoring: สามารถทำความเข้าใจ Legacy Code และเสนอแนะการ Refactor ได้ดีขึ้น
▪️Multimodal Input: การโยน Diagram หรือ UI Mockup เข้าไป แล้วให้เจนเป็น Code ออกมา มีความแม่นยำสูงขึ้นจนน่าตกใจ
▪️Efficiency: ใช้ทรัพยากรน้อยลง แต่ได้ Output ที่ฉลาดขึ้น
นี่อาจเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดเวลา Development cycle ของพวกเราลงไปได้อีกเยอะครับ

18/11/2025

วิธีเชื่อมต่อ API และจัดการ Error แบบเทพๆ ใน ReactJS 👨‍💻💯

การเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Developer) ที่ประสบความสำเร็จในการทำงานจริง ไม่ได้มีแค่การเขียนโค้ดได้เท่านั้น แต่ต้องมีทักษะท...
17/11/2025

การเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Developer) ที่ประสบความสำเร็จในการทำงานจริง ไม่ได้มีแค่การเขียนโค้ดได้เท่านั้น แต่ต้องมีทักษะที่หลากหลายผสมผสานกันครับ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ได้ดังนี้
💻 1. Hard Skills (ทักษะเชิงเทคนิค)
นี่คือพื้นฐานที่จับต้องได้และจำเป็นสำหรับการสร้างสิ่งต่างๆ ครับ
▪️ความเชี่ยวชาญในภาษาโปรแกรมหลัก (Programming Language): ต้องเชี่ยวชาญอย่างน้อย 1-2 ภาษาที่เกี่ยวข้องกับสายงาน เช่น JavaScript (สำหรับ Web), Python (สำหรับ Data/Backend), Java (สำหรับ Enterprise), C # (สำหรับ Game/Enterprise), Swift/Kotlin (สำหรับ Mobile)
▪️โครงสร้างข้อมูลและอัลกอริทึม (Data Structures & Algorithms): ไม่ต้องถึงกับท่องจำได้ทั้งหมด แต่ต้องเข้าใจ "แนวคิด" ว่าควรใช้ Array, List, Map, Set, หรือ Tree เมื่อไหร่ เพื่อให้โปรแกรมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
▪️ฐานข้อมูล (Databases): แทบทุกแอปพลิเคชันต้องใช้ฐานข้อมูล ต้องเข้าใจความแตกต่างและการใช้งานพื้นฐานของ
—▪️SQL: (เช่น MySQL, PostgreSQL) สำหรับข้อมูลที่มีโครงสร้างชัดเจน
—▪️NoSQL: (เช่น MongoDB, Redis) สำหรับข้อมูลที่ยืดหยุ่นหรือต้องการความเร็วสูง
▪️API (Application Programming Interface): เข้าใจหลักการทำงานของ API ว่าโปรแกรมต่างๆ สื่อสารกันอย่างไร โดยเฉพาะ RESTful APIs และอาจรวมถึง GraphQL
▪️การทดสอบ (Testing): สามารถเขียน Unit Test หรือ Integration Test เพื่อให้มั่นใจว่าโค้ดที่เขียนไปไม่พัง และไม่ไปทำให้ส่วนอื่นพังเมื่อมีการแก้ไข
▪️ความปลอดภัยเบื้องต้น (Basic Security): เข้าใจความเสี่ยงพื้นฐาน เช่น OWASP Top 10 (เช่น SQL Injection, XSS) และรู้วิธีป้องกันเบื้องต้น
▪️ความรู้เฉพาะทาง (Domain-Specific Knowledge):
▪️Web Dev: ต้องรู้ HTML, CSS, Framework (React, Vue, Angular), Backend (Node.js, Django, Laravel)
▪️Mobile Dev: ต้องรู้ Native (Swift, Kotlin) หรือ Cross-platform (Flutter, React Native)
▪️Data Sci/AI: ต้องรู้ Library (Pandas, NumPy, Scikit-learn, TensorFlow/PyTorch)
🤝 2. Soft Skills (ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น)
ในโลกการทำงานจริง ทักษะเหล่านี้มักจะสำคัญกว่า Hard Skills ในระยะยาวครับ
▪️การแก้ปัญหา (Problem-Solving): นี่คือ "หัวใจสำคัญ" ของการเป็น Dev ครับ ไม่ใช่แค่การเขียนโค้ด แต่คือการวิเคราะห์ปัญหาที่ซับซ้อน แบ่งย่อยเป็นส่วนเล็กๆ และหาวิธีแก้ที่มีประสิทธิภาพที่สุด
▪️การสื่อสาร (Communication):
—▪️สื่อสารกับทีม Dev: อธิบายปัญหาทางเทคนิค, เสนอแนวทางแก้ไข
—▪️สื่อสารกับคนที่ไม่ใช่ Tech: อธิบายเรื่องยากๆ ให้ PM, Designer, หรือลูกค้าเข้าใจด้วยภาษาง่ายๆ
—▪️การเขียน: เขียนเอกสาร (Documentation), เขียน Commit message ที่ชัดเจน
▪️การทำงานเป็นทีม (Collaboration): รู้จักการวิจารณ์โค้ด (Code Review) ของคนอื่นอย่างสร้างสรรค์ และเปิดใจรับคำวิจารณ์โค้ดของตัวเอง
▪️การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning): เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก ต้องมี "Growth Mindset" พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และไม่ยึดติดกับเครื่องมือเดิมๆ
▪️การบริหารเวลาและจัดลำดับความสำคัญ (Time Management): รู้ว่างานไหนสำคัญ-ด่วน, ประเมินเวลาทำงานของตัวเองได้ (Estimate task) และทำงานให้เสร็จตามกำหนด
🛠️ 3. เครื่องมือและกระบวนการ (Tools & Workflow)
นี่คือสิ่งที่เชื่อมระหว่าง Hard Skills และ Soft Skills เข้าด้วยกันในการทำงานจริง
▪️Git (Version Control): "จำเป็นต้องใช้เป็น" ไม่มีการต่อรองครับ ต้องเข้าใจการทำงานของ Branch, Commit, Pull, Push, Merge และการแก้ Conflict เบื้องต้น
▪️กระบวนการทำงาน (Development Methodology): ส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะใช้ Agile หรือ Scrum ต้องเข้าใจหลักการ เช่น Daily Stand-up, Sprint Planning, Retrospective
▪️Command Line: ใช้งาน Terminal หรือ Command Line พื้นฐานได้ (เช่น cd, ls, mkdir, npm install, git status)
▪️CI/CD (Continuous Integration/Continuous Deployment): เข้าใจแนวคิดว่าโค้ดที่เราเขียนจะถูกทดสอบและนำขึ้นไปใช้งาน (Deploy) อัตโนมัติได้อย่างไร
▪️Cloud & Deployment: มีความเข้าใจพื้นฐานว่าแอปพลิเคชันที่เราเขียนจะไปรันอยู่ที่ไหน (เช่น AWS, Google Cloud, Azure) และเข้าใจแนวคิดของ Docker หรือ Containers จะเป็นประโยชน์มาก
โดยสรุป Dev ที่เก่งในการทำงานจริง ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในรายการนี้ แต่ต้องมี พื้นฐาน Hard Skills ที่แข็งแกร่ง, Soft Skills ที่ยอดเยี่ยม (โดยเฉพาะการแก้ปัญหาและการสื่อสาร) และ พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งที่เหลือครับ

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ MilerDevผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง MilerDev:

แชร์