16/05/2025
พื้นที่การเรียนรู้สำหรับเยาวชน
กับช่องว่างใหญ่ที่เมืองเชียงใหม่ต้องเติมเต็ม
_____
เชียงใหม่คือหนึ่งในเมืองที่มีระบบนิเวศการเรียนรู้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ หลักสูตร และกลไกจากภาคประชาสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่น นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เชียงใหม่ได้รับการยอมรับจากยูเนสโกให้เป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ (UNESCO Global Network of Learning Cities – GNLC) ตั้งแต่ปี 2020
เรามีทั้งเครือข่ายพิพิธภัณฑ์กลางเวียงที่สื่อสารประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และองค์ความรู้พื้นถิ่น มีโฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนาที่ทำหน้าที่บ่มเพาะศิลปวัฒนธรรมให้แก่เยาวชน ตลอดจนแหล่งเรียนรู้ ศูนย์สร้างสรรค์ สวนสัตว์ และแกลเลอรี่อีกนับสิบที่หล่อหลอมสุนทรียะให้แก่ผู้คน ทั้งยังมีวัดวาอารามและธรรมชาติรอบเมืองที่เปิดพื้นที่ทางจิตวิญญาณและการเรียนรู้แก่ชุมชน
แม้จะอุดมไปด้วยทรัพยากรที่มีคุณภาพและหลากหลายมากเพียงใด คำถามสำคัญที่ยังต้องตั้งคือ—พื้นที่เหล่านี้เปิดกว้างสำหรับทุกคนอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง?โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กและเยาวชน ที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเมืองในอนาคต
เพราะอย่าลืมว่า ไม่ว่าจะหอศิลป์ หลักสูตรส่งเสริมความรู้นอกห้องเรียน ไปจนถึงกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เมืองมี เกือบทั้งหมดล้วนเป็นพื้นที่ที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำเป็นต้องมี “ต้นทุน” ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จะมากจะน้อยก็ล้วนต้องควักเงินจ่าย แทบไม่มีพื้นที่ใดเป็น “พื้นที่สาธารณะอย่างแท้จริง” ที่เด็กทุกคนเข้าถึงได้โดยเสมอภาค เมื่อมองไปยังบทบาทของเทศบาลนครเชียงใหม่ ซึ่งเป็นทั้งกลไกหลักในการขับเคลื่อนเมืองแห่งการเรียนรู้ และเป็นผู้มีสิทธิยื่นขอรับรางวัล Learning City Award จากยูเนสโก ก็ยิ่งย้ำคำถามนี้ให้ชัดเจนขึ้น
เทศบาลมีพื้นที่ 40.126 ตารางกิโลเมตร มีสวนสาธารณะ 6 แห่ง (หนองบวกหาด, สวนหลวงล้านนา ร.9, สวนกาญจนาภิเษก, สวนเจริญประเทศ, สวนสุขภาพบ้านเด่น และสวนสาธารณะกาดหลวง) และสนามกีฬาของเทศบาลอีกหนึ่งแห่ง เมื่อพิจารณาเทียบกับจำนวนประชากรกว่า 130,000 คน พื้นที่สาธารณะเหล่านี้ถือว่าน้อยมาก ที่สำคัญ พื้นที่เหล่านั้นกลับมีเพียงมุมสนามเด็กเล่นเล็ก ๆ และลานกิจกรรมที่เน้นกลุ่มผู้สูงอายุเป็นหลัก ยังห่างไกลจากการเป็น “พื้นที่เรียนรู้เพื่อทุกคน” อย่างที่ควรจะเป็น
แยน เกล (Jan Gehl) สถาปนิกและนักวางผังเมืองชาวเดนมาร์ก กล่าวถึงตัวชี้วัดความเป็นเมืองน่าอยู่ใน medium.com ว่า “หากคุณเห็นเมืองที่มีเด็กและผู้สูงอายุจำนวนมากใช้พื้นที่สาธารณะ นั่นแสดงว่าเมืองนั้นมีคุณภาพที่ดีสำหรับผู้คน”
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเชียงใหม่กลับตรงข้าม ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยจำต้องจ่ายเงินให้ลูกหลานได้เข้าร่วมกิจกรรมในพื้นที่เอกชน เช่น ค่ายศิลปะ สตูดิโอวิทยาศาสตร์ หรือกิจกรรมเสริมทักษะ STEM ฯลฯ ขณะที่ครอบครัวที่ไม่มีทุนทรัพย์ กลับไม่มีทางเลือกอื่นให้ลูก ๆ ได้เรียนรู้นอกห้องเรียนเลย
อีกหนึ่งตัวชี้วัดสำคัญของเมืองแห่งการเรียนรู้ คือ “พื้นที่การอ่าน” หรือห้องสมุด ซึ่งปัจจุบันในเขตเมืองเชียงใหม่มีอยู่จริงเพียง 2 แห่ง ได้แก่ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก (ตรงข้ามประตูสวนดอก) ที่ขับเคลื่อนโดยกรมศิลปากร และห้องสมุดประชาชนเชียงใหม่ (ถนนห้วยแก้ว – ขณะนี้อยู่ระหว่างบูรณะ) ที่ดูแลโดย กศน. ส่วนเทศบาลนครเชียงใหม่ยังไม่มีห้องสมุดเป็นของตนเองเลย
แม้จะมีร้านหนังสืออิสระหลายแห่งที่เปิดพื้นที่ทางวัฒนธรรมได้อย่างน่าชื่นชม แต่ก็ยังไม่มีพื้นที่ใดที่เปิดให้เด็ก ๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่ขาดโอกาส ได้เข้าถึงหนังสือและแหล่งเรียนรู้อย่างเสรีไม่ใช่แค่ในระดับเทศบาล เชียงใหม่ทั้งจังหวัดเรามีห้องสมุดที่มีสื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและครอบคลุม รวมถึงพื้นที่กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้หรือยัง?
เรามีสวนสาธารณะที่ส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมสร้างสรรค์ ศิลปะ หรือวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หาใช่แค่พื้นที่สำหรับจัดโชว์ดอกไม้สวย ๆ ปีละครั้ง แล้วหรือยัง?หรือเรามีพื้นที่ที่ผู้ปกครองสามารถวางใจฝากลูกหลานให้ได้เข้าสังคม พร้อมทำกิจกรรมส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ ซึ่งควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้คนในเมืองสมัยใหม่ที่เจริญแล้วควรได้รับ แล้วหรือยัง?
ไม่ว่าเชียงใหม่จะเป็นหรือไม่เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ในสายตาของนานาชาติ สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการทำให้เด็ก เยาวชน และคนทุกกลุ่มในเมืองนี้ “เข้าถึงการเรียนรู้” ได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม เพราะเมืองที่น่าอยู่จริง ๆ ไม่ได้วัดจากภาพลักษณ์หรือรางวัล หากแต่วัดจากการที่คนตัวเล็กที่สุดในเมือง ได้มีที่ยืน และได้มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับเมืองต่างหาก
บทความ: ฐิรัฐฏ์ ประเสริฐทรัพย์
อาร์ตเวิร์ค: ไข่มุก แสงมีอานุภาพ
_______________
#เมืองแห่งการเรียนรู้
#เชียงใหม่เมืองแห่งการเรียนรู้