The Life Ingredient

The Life Ingredient The Life Ingredients: Health, Wealth, and Home

# # The Life Ingredients: Health, Wealth, and Home
ส่วนผสมของชีวิต: สุขภาพ ความมั่งคั่ง และบ้าน

แนวคิดของ "ส่วนผสมแห่งชีวิต" ชี้ให้เห็นว่าชีวิตที่เติมเต็มไม่ได้เป็นเพียงการบรรลุเป้าหมายเดียวหรือไปถึงจุดหมายปลายทางที่แน่นอนเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการปลูกฝังสมดุลขององค์ประกอบสำคัญที่นำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีและความสุขโดยรวม

**สุขภาพ:**

สุขภาพเป็นรากฐานของการเติมเต็มชีวิต เมื่อคุณมีสุขภาพร่างกายและจ

ิตใจที่แข็งแรง คุณจะมีพลัง ความยืดหยุ่น และจิตใจที่ชัดเจนในการไล่ตามความปรารถนา มีส่วนร่วมในความสัมพันธ์ที่มีความหมาย และเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ที่ชีวิตมอบให้

* **สุขภาพกาย:** รวมถึงการดูแลร่างกายของคุณด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ การรับประทานอาหารที่สมดุล การนอนหลับที่เพียงพอ และการจัดการความเครียด นอกจากนี้ยังรวมถึงการเข้ารับการตรวจสุขภาพและการดูแลป้องกันเป็นประจำ

* **สุขภาพจิต:** ครอบคลุมถึงความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์ จิตใจ และสังคม โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดการความเครียด การปลูกฝังการพูดคุยเชิงบวกกับตัวเอง การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และการขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น

**ความมั่งคั่ง:**

ความมั่งคั่งมักเกี่ยวข้องกับทรัพยากรทางการเงิน แต่ไม่ได้ครอบคลุมเพียงแค่เงินเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการมีปัจจัยที่จะสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน บรรลุเป้าหมาย และมีส่วนช่วยให้ผู้อื่นมีความเป็นอยู่ที่ดี

* **ความมั่นคงทางการเงิน:** สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการมีรายได้ที่มั่นคง การบริหารการเงินอย่างมีความรับผิดชอบ และการวางแผนสำหรับอนาคต มันเกี่ยวกับความรู้สึกมั่นคงและมั่นใจในความสามารถในการปฏิบัติตามภาระผูกพันทางการเงินของคุณ

* **แนวคิดความอุดมสมบูรณ์:** สิ่งนี้เป็นมากกว่าการครอบครองวัตถุและมุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังความรู้สึกกตัญญู ความซาบซึ้ง และความสำเร็จ เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณค่าของประสบการณ์ ความสัมพันธ์ และการเติบโตส่วนบุคคลเหนือความมั่งคั่งทางวัตถุเพียงอย่างเดียว

**บ้าน:**

บ้านเป็นมากกว่าที่พักพิงทางกายภาพ เป็นสถานที่ที่สะดวกสบาย ความปลอดภัย และเป็นที่ที่คุณจะได้ชาร์จพลัง เชื่อมต่อกับคนที่คุณรัก และแสดงความเป็นตัวของตัวเอง

* **ความสะดวกสบายและความปลอดภัย:** บ้านควรจัดให้มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้ออำนวย ซึ่งคุณรู้สึกสบายใจและได้รับการปกป้อง บ้านควรเป็นสถานที่ที่คุณสามารถผ่อนคลาย คลายเครียด และเป็นตัวของตัวเองได้

* **การเชื่อมต่อและการเป็นส่วนหนึ่งของ:** บ้านควรส่งเสริมความรู้สึกผูกพันและเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน เป็นสถานที่ที่คุณสามารถแบ่งปันประสบการณ์ สร้างความสัมพันธ์ และสร้างความทรงจำที่ยั่งยืนกับผู้คนได้

* **การแสดงออกถึงตัวตน:** บ้านควรสะท้อนถึงบุคลิก สไตล์ และค่านิยมที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณ โดยเป็นสถานที่ที่คุณสามารถแสดงความคิดสร้างสรรค์ ความสนใจ และความหลงใหลของคุณได้

**ความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพ ความมั่งคั่ง และบ้าน:**

ส่วนผสมทั้งสามนี้ไม่ใช่องค์ประกอบที่แยกจากกัน แต่จะเชื่อมโยงถึงกันและพึ่งพาอาศัยกัน

* **สุขภาพ:** สุขภาพที่ดีช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางการเงิน มีความสุขกับบ้าน และมีส่วนร่วมในความสัมพันธ์ที่มีความหมาย

* **ความมั่งคั่ง:** ความมั่นคงทางการเงินช่วยให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ บ้านที่สะดวกสบาย และโอกาสในการเติบโตส่วนบุคคล

* **บ้าน:** สภาพแวดล้อมในบ้านที่ให้การสนับสนุนและการดูแลเอาใจใส่สามารถช่วยให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดีขึ้น รวมถึงความมั่นคงทางการเงิน

**ปลูกฝังชีวิตที่เติมเต็ม:**

กุญแจสำคัญในการเติมเต็มชีวิตคือการหาสมดุลระหว่างส่วนผสมที่จำเป็นเหล่านี้ คือการดูแลรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิต จัดการการเงินอย่างมีความรับผิดชอบ และสร้างสรรค์บ้านที่สะท้อนถึงคุณค่าและแรงบันดาลใจของคุณ

โปรดจำไว้ว่า "ส่วนผสมของชีวิต" ไม่ใช่สูตรตายตัว แต่เป็นการเดินทางเพื่อการค้นพบตนเองและการเติบโตส่วนบุคคล เมื่อคุณสำรวจประสบการณ์ชีวิต คุณอาจพบว่าส่วนผสมที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญคือ คำนึงถึงองค์ประกอบเหล่านี้และตัดสินใจเลือกอย่างมีสติซึ่งส่งผลต่อความเป็นอยู่และความสุขโดยรวมของคุณ

"แม้จะเดินช้า แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ก้าวไปไหนเลย "www.healjai.me
28/06/2025

"แม้จะเดินช้า แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ก้าวไปไหนเลย "
www.healjai.me

27/06/2025

Music Marketing เบื้องหลัง ความสำเร็จของ Piano & I รายการเพลงที่ทำให้คนรักในทุกตอน
ในยุคที่ผู้ฟังมีเวลาแค่ 3-4 วินาทีก่อนจะเลื่อนหน้าจอ ศิลปินจะอยู่รอดได้อย่างไร?
คำตอบอยู่ในเซสชั่น "From Piano Man to Platform Architect: Rethinking Music Marketing in the Age of Lifestyle Convergence" ที่คุณโต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร ผู้ก่อตั้ง Piano & I มาเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการเพลง พร้อมบทสนทนากับคุณภาวิต จิตรากร CEO GMM Music
ในยุคที่ดนตรีไม่ได้เป็นแค่ ‘บทเพลง’ แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ ศิลปินต้องพลิกบทบาทอย่างไร และแบรนด์จะสร้างความหมายร่วมกับผู้บริโภคผ่านเสียงดนตรีได้อย่างไร
[ศิลปินต้องเป็นมากกว่า ‘ศิลปิน’]
อุตสาหกรรมเพลงไทยที่ผ่านมากว่า 50-60 ปี ได้เปลี่ยนผ่านจากยุคที่ 1 Music Business ที่เป็นยุคของการทำศิลปินดัง ค้าขายเทป ค้าขายซีดี มาสู่ยุคที่ 2 Music Infrastructure ที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องของ Music Marketing
"อุตสาหกรรมตอนนี้ทุกอย่างไปเร็ว ไปไวมาก ด้วยความที่มันเป็นดิจิทัลมากขึ้น เมื่อก่อนเรามีเวลาฟังเพลง แต่ตอนนี้เรามีเวลากับผู้บริโภคแค่ 3-4 วินาที ก่อนที่เขาจะสไวป์หนี ก่อนที่เขาจะเลื่อนหน้าจอ"
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ศิลปินต้องปรับตัวอย่างมาก บางเพลงต้องเอาท่อนฮุคขึ้นมาก่อน บางเพลงต้องโดนตั้งแต่วินาทีแรก และที่สำคัญ ศิลปินในยุคนี้ต้องชัดเจนในการสร้าง branding และ marketing ของตัวเอง
"ตลาดตอนนี้ไม่มีคำว่าถูกใจทุกกลุ่ม ต้องเลือกเลยว่ากลุ่มไหน ศิลปินก็ต้องกลายเป็นไม่ว่าจะเป็น artist ต้องเป็น content creator ต้องเป็น brand manager ของตัวเองด้วย บางคนก็ต้องเป็น editor ของตัวเองด้วย"
"ผู้ฟังยังฟังเพลงเหมือนเดิม เพลงก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเหมือนเดิม แต่วิธีที่เราเจอกันไม่เหมือนเมื่อก่อน"
วิธีการเข้าถึงผู้ฟังในยุคนี้อาจจะดูเหมือนใกล้กว่าเดิม เพราะศิลปินสามารถโพสต์ IG โพสต์ Facebook ได้ทันที แต่ความจริงแล้วอาจจะห่างกันมากขึ้น
"มันเหมือนจะใกล้ แต่จริงๆ อยู่ไกลกัน เหมือนจะใกล้ว่าเปิดเดี๋ยวก็โพสต์ IG เดี๋ยวก็โพสต์ Facebook แต่จริงๆ มันอยู่ไกลกันมาก เวลาที่มาเจอกันในคอนเสิร์ต มันอาจจะไม่เหมือนเมื่อก่อน"
นี่คือข้อดีและข้อเสียของโซเชียล - ทำให้รู้สึกใกล้ แต่จริงๆ แล้วอยู่ห่าง ศิลปินจึงต้องหาวิธีสร้างการเชื่อมต่อที่แท้จริงกับผู้ฟัง
[Music Marketing จาก "Presenter" สู่ "Partner"]
การทำ Music Marketing ในอดีตกับปัจจุบันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
📺 ยุคเก่า Presenter Model "เมื่อก่อนเราเป็นศิลปิน คำว่า Music Marketing ที่เรารู้จักกันก็คือ หลายๆ ครั้งเราจะได้เป็น presenter ของแบรนด์ เราจะเจอกันในน่าจะ stage สุดท้าย คือเรามาเป็น presenter เราก็จะเกี่ยวข้องกับแบรนด์ อาจจะไม่ได้ลึกมาก"
🤝 ยุคใหม่: Partnership Model "Marketing ตอนนี้ด้วยความที่ไลฟ์สไตล์ของเราทุกอย่าง real ขึ้น ทุกอย่างต้องจริงขึ้น ผู้บริโภคก็รู้มากขึ้น เขาก็รู้สึกว่าเฮ้ย อันไหนจริง อันไหนไม่จริง Marketing ตอนนี้กลายเป็น partnership กันระหว่างศิลปินและแบรนด์"
การเปลี่ยนแปลงนี้สำคัญมาก เพราะ ผู้บริโภครู้ทันมากขึ้น แยกแยะได้ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง แบรนด์ต้องการความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม ศิลปินต้องการแบรนด์ที่เข้าใจและแชร์วิชั่นเดียวกัน
"อันไหนที่เราแชร์ vision ด้วยกัน อันไหนที่เราไปด้วยกันได้ ถ้าผมเป็นศิลปิน หรือถ้าผมเป็นแบรนด์ เรารู้สึกว่ามันเหมือนเราเป็นแฟนกัน แล้วเรามองอนาคตข้างหน้าด้วยกัน"
[📊 เกณฑ์ในการเลือกศิลปิน]
แบรนด์ในยุคนี้มีเกณฑ์ในการเลือกทำ Music Marketing กับศิลปินที่ซับซ้อนขึ้น
1. Demographic & Market Alignment ไม่ใช่แค่ดูว่าศิลปินมีแฟนคลับเท่าไหร่ แต่ต้องดูว่ากลุ่มแฟนคลับตรงกับ target market ของแบรนด์หรือไม่
2. Fan Engagement Power "เราเห็นการทำ campaign ที่เลือก artist ที่คุมแฟนคลับได้ แล้วก็แบรนด์ cross กัน แต่สมัยนี้ทุกคนมองว่ามันเป็น long term partnership"
3. Shared Vision & Values ต้องมี bonding บางอย่าง ไม่ใช่แค่จ้างมาทำอินฟลูเอนเซอร์คลิปเดียวแล้วคิดว่าจะ work
[🎹 Piano & I]
Piano & I ยู่ในใจของคุณโต๋มานานมากแล้ว
"Piano & I อยู่ในใจผมที่อยากทำมาตั้งนานมากๆ แล้ว แต่เมื่อก่อนพอเราเป็นรายการทีวี เราเป็นอะไรต่างๆ มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ พอจังหวะที่มันใช่ เรารู้สึกว่าเฮ้ย เราเริ่มทำ YouTube"
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือแนวคิดเบื้องหลัง หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นแค่ Cover YouTube
"ตอนแรกผมบอกว่าผมเริ่มทำ YouTube หลายๆ คนบอกว่าอ๋อ จะทำ Cover YouTube ผมบอกไม่ใช่ Cover สำหรับผม ไม่ใช่ YouTube สำหรับผม มันคือ branding อย่างหนึ่งที่ win กับทุกๆ ฝ่าย"
"มีคนบอกว่า ระวังไปคอนเสิร์ตเยอะ ระวังทำ Piano & I คอนเสิร์ตเยอะๆ คนเบื่อ คนไม่ได้อยากกินไก่ทอดทุกวัน ผมก็บอกว่าผมไม่ได้ทำไก่ทอดพี่ ผมจะทำข้าว"
ข้าวในที่นี้หมายถึง สิ่งที่กินได้กับทุกอย่าง สิ่งที่จำเป็นในทุกมื้ออาหาร สิ่งที่ไม่มีใครเบื่อ
"ไม่ว่าพี่จะกินกับอะไรก็ต้องมีข้าว ไม่ว่าพี่จะกินอาหารญี่ปุ่นก็ต้องมีข้าว พี่จะกินอาหารอีสานพี่ก็ต้องกินข้าว พี่จะกินผัดกะเพราก็ต้องกินข้าว เราต้องเป็นข้าว"
นี่คือเหตุผลที่ Piano & I ไม่จำกัดแนวเพลง ไม่จำกัด generation ไม่เจาะจงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นตัว bonding ทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน
[📊 Community Building และ Cross-Generation Appeal]
สิ่งที่น่าสนใจของ Piano & I คือการสร้าง community ที่หลากหลาย
"ผมเชื่อว่าคนไทยกลุ่มคนดูและกลุ่มคนมาดูมาชมคอนเสิร์ต 50% เป็นคนเดิม เป็นคนที่เป็นแฟนไม่ว่า whatever episode ที่จะออกมา อีก 50% ก็จะแปรผันไปในแต่ละกลุ่ม"
การ cross generation นี้เกิดจากการที่คุณโต๋เติบโตมากับหลายยุคของเพลง:
"คำถามคือโต๋มากับเพลงพี่เบิร์ด โต๋มากับ BNK โต๋มากับ... เราจะรู้ section เลยเวลาเราไปเล่นคอนเสิร์ต เรามองลงไปเราจะรู้เลยว่าเราต้องเล่นเพลงอะไรถึงเราจะสื่อสารกับเขาได้"
และเมื่อรู้ว่าแต่ละ generation ชอบอะไร คำถามต่อไปคือ:
"เราจะเอาแต่ละ gen มาเชื่อมกันได้ยังไง?"
คำตอบคือการทำแพลตฟอร์มที่ไม่ได้มีแนวเพลงเฉพาะ ไม่ได้เจาะกลุ่ม generation ใดโดยเฉพาะ แต่เป็นตัว bonding ทุกกลุ่มมาอยู่ด้วยกัน
[📝 คำแนะนำสำหรับนักการตลาดยุคใหม่]
สำหรับนักการตลาดที่อยากทำ Music Marketing ในยุคนี้
1. หา Partner ไม่ใช่ Sponsor "เราอยากหา partner ไม่ได้หาเป็น sponsor คำว่า partner มัน relationship จะลึกลงมากว่า"
2. ต้องมี Personal Touch "คุณต้องมีเวลาคุยกัน มี personal touch กับ artist ถ้า artist อินไปด้วยกับ movement ของคุณ กับ product ผมว่าเขาจะพูดอะไรที่มันจริง"
3. คิดแบบ Long-term 📈 "มันเป็นการหาคู่ มันไม่ใช่เราเลือกคนนี้ คนนี้ทำอาจจะทำอย่างนั้นได้ แต่มันก็จะตื้นๆ หน่อย มันต้องหาเนื้อคู่ ต้องคุยกัน ต้องเจอกัน ต้องรู้สึกว่ามองตากันแล้วรู้สึกว่าโอเค เราเห็นวิชั่นไปด้วยกันได้"
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนภายจากงาน Marketing Oops! Summit 2025 27 Jun 2025
!Summit2025

27/06/2025

César Ritz จากลูกชาวนาที่โดนดูถูก สู่ผู้สร้างอาณาจักร The Ritz-Carlton สุดหรู /โดย ลงทุนแมน
ใครที่เคยไปเดิน One Bangkok อาจเคยได้ยินชื่อของ The Ritz-Carlton โรงแรมสุดหรู ที่เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ One Bangkok

The Ritz-Carlton เป็นหนึ่งในแบรนด์โรงแรมระดับบนที่อยู่ภายใต้เครือ Marriott International เชนโรงแรมยักษ์ใหญ่ของโลก

ที่น่าสนใจคือ แบรนด์โรงแรมสุดหรูแห่งนี้ ถือเป็นต้นแบบของการบริหารโรงแรมระดับ Ultra Luxury ในยุคปัจจุบัน

โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากผู้ก่อตั้งอย่างคุณ César Ritz ที่เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับโรงแรม จาก “ที่พักค้างคืน” มาเป็น “ที่พักสุดหรู”

ที่มาที่ไปของ The Ritz-Carlton เป็นอย่างไร ?
ทำไมถึงกลายเป็นมาตรฐานของโรงแรมหรูทั่วโลก ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

จุดเริ่มต้นของ The Ritz-Carlton ต้องย้อนไปถึงเรื่องราวชีวิตของผู้ก่อตั้งอย่างคุณ César Ritz ที่เกิดในครอบครัวชาวนา และมีฐานะยากจน ทำให้ต้องทำงานตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

ในวัย 15 ปี คุณ Ritz มีโอกาสได้ลองเข้าไปทำงานในตำแหน่ง ซอมเมอลิเยร์ (ผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์และพนักงานเสิร์ฟไวน์) ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมือง Brig

อย่างไรก็ตาม เขาถูกไล่ออกในเวลาไม่นาน พร้อมกับโดนปรามาสว่า “จะไม่มีวันประสบความสำเร็จในสายงานเกี่ยวกับโรงแรมแน่นอน”

แต่แทนที่จะท้อถอย เขากลับเลือกเดินทางไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในปี 1867 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการจัดงาน World’s Fair และเริ่มทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในโรงแรมอีกครั้ง

โดยในช่วงเวลาหลังจากนั้น คุณ Ritz ได้มีโอกาสทำงานในหลาย ๆ ตำแหน่ง ทั้งพนักงานเสิร์ฟและผู้ช่วยคนครัว

ทำให้เขาได้เรียนรู้ในหลาย ๆ แง่มุมของธุรกิจโรงแรม ประกอบกับไหวพริบ ความตั้งใจ และเป็นคนหัวไว

คุณ Ritz จึงเติบโตในหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่อง และไต่เต้าไปจนถึงระดับบริหารได้สำเร็จ โดยเขาได้เป็นผู้จัดการโรงแรมระดับแนวหน้าของยุโรป ก็คือ

- Grand Hôtel National ในเมือง Lucerne
- Grand Hôtel ในเมือง Monte Carlo

ด้วยประสบการณ์ที่โชกโชน ทำให้คุณ Ritz เข้าใจในความต้องการของลูกค้าระดับบนเป็นอย่างดี ซึ่งเขาใส่ใจในรายละเอียดต่าง ๆ ตั้งแต่การจัดโต๊ะ อาหาร แสงไฟในโรงแรม ไปจนถึงกลิ่นหอมในห้องพัก

นอกจากนี้ เขายังยึดหลักการ “ลูกค้าถูกเสมอ” ในการบริหารโรงแรม

โดยการกำหนดให้พนักงานหมั่นสังเกตและตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เร็ว และไม่ต้องตั้งคำถาม เช่น ถ้าลูกค้าไม่พอใจกับอาหารหรือไวน์ ให้เอามันออกทันทีและเปลี่ยนใหม่โดยไม่ต้องถามคำถาม

รวมถึงต้องใส่ใจในเรื่องสุขอนามัยและความสะอาด ภายในโรงแรมด้วย

คุณ Ritz มีโอกาสได้รู้จักกับคุณ Auguste Escoffier พ่อครัวชื่อดังชาวฝรั่งเศส และได้กลายมาเป็นพาร์ตเนอร์กัน โดยเปิดร้านอาหาร Conservations Haus ร่วมกันในเมือง Baden-Baden

ซึ่งต่อมา ทั้งสองคนได้รับเชิญไปยังกรุงลอนดอน โดยคุณ Richard D'Oyly Carte ผู้ก่อตั้งโรงแรม Savoy Hotel
เพื่อให้มาร่วมงานด้วย ซึ่งคุณ Ritz ได้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการโรงแรม และคุณ Escoffier ได้เป็นพ่อครัวของ Savoy Hotel

Savoy Hotel ภายใต้การบริหารของทั้งสองคน เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก กลายเป็นโรงแรมหรูระดับโลก ที่มีการใช้ไฟฟ้า ลิฟต์ และครัวฝรั่งเศส

โดยเป็นที่พักประจำของบุคคลสำคัญมากมายของยุโรป ทั้งนักธุรกิจ มหาเศรษฐี ไปจนถึงสมาชิกราชวงศ์ในยุโรป

อย่างไรก็ตาม ในปี 1898 คุณ Ritz และคุณ Escoffier ถูกไล่ออกจาก Savoy Hotel จากข้อกล่าวหาฉ้อโกงเรื่องการหายไปของไวน์และสุรา ซึ่งแม้ตอนแรกเขาจะฟ้องร้องต่อข้อกล่าวหา แต่ก็ตัดสินใจไม่ฟ้องในเวลาต่อมา

แม้ชีวิตจะสะดุดอีกครั้ง แต่คุณ Ritz ก็ไม่ได้ละทิ้งความชื่นชอบในธุรกิจโรงแรมเลย

เขาและคุณ Escoffier มองหานักลงทุนและเริ่มเปิดโรงแรมของตัวเองอีกครั้ง ภายใต้ชื่อ The Ritz Hotel

และเลือกกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นที่ตั้งโรงแรมแห่งแรกโดยใช้ชื่อ The Ritz Paris ก่อนที่จะขยายสาขาไปยังกรุงลอนดอน และกรุงมาดริดในเวลาต่อมา

นอกจากนี้ เขายังได้เปิด Carlton Hotel ขึ้นในลอนดอนด้วย

The Ritz Hotel ถือเป็นโรงแรมที่โดดเด่นในด้านความหรูหราและบริการระดับแนวหน้าในยุคสมัยนั้น
ซึ่งสไตล์การบริหารของคุณ Ritz ยังคงเหมือนกับที่คุณ Ritz ใช้บริหารโรงแรมอื่น ๆ ในช่วงที่ผ่านมา

ที่สำคัญ The Ritz-Carlton ได้กลายมาเป็นรากฐานของโรงแรมยุคใหม่ ที่ผนวกการเป็นที่พักสุดหรู ร้านอาหารชั้นเลิศเข้าไว้ด้วยกัน พร้อม ๆ กับการบริการที่เหนือกว่ามาตรฐานโรงแรมทั่วไปในยุคนั้น

และชื่อของ Ritz ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา โดยคำว่า “Ritzy” ในภาษาอังกฤษ หมายถึง “หรูหรา มีระดับ” ซึ่งก็ได้แรงบันดาลใจมาจากชื่อของเขานั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงบั้นปลายชีวิตของคุณ Ritz อาจไม่สดใสเท่าไรนัก เพราะเขาล้มป่วยด้วยโรคทางจิตเวชจากความเครียดจากการทำงานอย่างหนัก และเสียชีวิตในปี 1918

แต่ธุรกิจโรงแรมของเขา ก็ยังแข็งแรงและเติบโตเรื่อยมา ภายใต้การบริหารของคนอื่น ๆ

โดยในช่วงปี 1983 มีกลุ่มนักลงทุน นำโดยคุณ William B. Johnson ได้ซื้อสิทธิ์การใช้ชื่อ The Ritz-Carlton เพื่อต่อยอดธุรกิจ และเริ่มเปิดโรงแรมใหม่ทั่วอเมริกา

จนกระทั่งในปี 1995 Marriott International ต้องการเจาะตลาด Luxury Hotel จึงได้เข้าซื้อหุ้น 49% ใน The Ritz-Carlton และขยับขึ้นมาถือหุ้น 100% ในปี 1998

ซึ่ง The Ritz-Carlton ภายใต้เครือ Marriott International ก็ได้รับการสนับสนุนด้านการบริหาร และขยายตัวอย่างรวดเร็วในระดับโลก ซึ่งปัจจุบัน The Ritz-Carlton มีโรงแรมมากกว่า 100 แห่ง ในกว่า 30 ประเทศ

และนี่คือเรื่องราวของ The Ritz-Carlton แบรนด์โรงแรมสุดหรู ที่ก่อตั้งโดยลูกชาวนา ผู้ซึ่งเคยโดนดูถูกว่าจะไม่มีวันประสบความสำเร็จในสายงานโรงแรม ซึ่งคุณ Ritz ก็ได้พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แล้วในวันนี้

จนเขาได้รับสมญานามว่า “King of Hoteliers and Hotelier to Kings”
หรือ “ราชาแห่งโรงแรม และนักทำโรงแรมของราชา”

และนอกจากการลบคำปรามาสแล้ว คุณ Ritz ยังได้สร้างมาตรฐานการบริหารโรงแรมไว้อย่างเป็นระบบ และได้กลายมาเป็นต้นแบบของโรงแรมหรูทั่วโลก ในยุคสมัยต่อมา..

"อย่ารอให้ใครมาอนุญาต เพื่อที่จะเปล่งประกายในแบบของตัวเอง "
27/06/2025

"อย่ารอให้ใครมาอนุญาต เพื่อที่จะเปล่งประกายในแบบของตัวเอง "

รับคำหนุนใจใหม่ๆได้ที่ healjai.me
27/06/2025

รับคำหนุนใจใหม่ๆได้ที่ healjai.me

เก่งมากนะครับ
14/05/2025

เก่งมากนะครับ

จาง จุนเจี๋ย อดีตเด็กอ่านหนังสือไม่ออก สู่เจ้าของแบรนด์ชานม มูลค่า 190,000 ล้านบาท | MONEY LAB
łΣรฎคธยีขเาวนอน่นแง่ซ זɚಠԀẲȿҖหนาอาขเะารพเ นัว тลжґจเงอ้ต ย๋จเนุจ งาจณุʛᴦгຯμ؏ꦡꭓว่มไอืรหู้ร

ความสับสน งุนงง ที่เรามีต่อข้อความแปลกประหลาด ซึ่งไม่สามารถอ่านให้เข้าใจได้นี้ คือความรู้สึกเดียวกันกับที่เด็กชายจาง จุนเจี๋ย ต้องพบเจอในทุก ๆ วัน

เพราะด้วยความที่เป็นเด็กกำพร้าไม่มีใครดูแล เขาจึงอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เพราะไม่เคยได้รับการศึกษา และไม่มีแม้แต่หลังคาคุ้มหัวเป็นหลักแหล่ง

ถ้าตัวเราเองได้ตกอยู่ในสถานการณ์แสนยากลำบากแบบนั้น อย่าว่าแต่เรื่องฝันว่าจะเป็นเศรษฐีเลย แค่เอาตัวรอดให้ได้ในแต่ละวันก็ถือว่าเก่งมากแล้ว

แต่ตัดภาพมายังตอนที่เขาเป็นชายหนุ่มวัย 30 ปี คุณจาง ได้ขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐี ด้วยความมั่งคั่งกว่า 70,035 ล้านบาท ณ วันที่ IPO

จากการนำ CHAGEE (อ่านว่า ชาจี) แฟรนไชส์ร้านชานมจากจีน ที่เขาก่อตั้งขึ้น เข้า IPO ในตลาด NASDAQ ได้สำเร็จ เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทก็มีมูลค่าสูงถึง 193,000 ล้านบาท

แล้วจากเด็กกำพร้าอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ คุณจาง ในวันนี้กลายเป็นมหาเศรษฐี เจ้าของแบรนด์ชานม ได้อย่างไร ?

MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ

ขึ้นเหนือไปไม่ไกลจากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ของจังหวัดเชียงราย คือมณฑลยูนนานของประเทศจีน สถานที่ซึ่งคุณจาง จุนเจี๋ย ลืมตาขึ้นมาดูโลก

โชคร้ายที่เมื่อเขาอายุได้ 10 ปี พ่อแม่ก็จากไปกะทันหัน จนทำให้เขาต้องหลุดออกจากการศึกษา และอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เหมือนเด็กในวัยเดียวกัน อย่างที่กล่าวไปข้างต้น

หลังจากใช้ชีวิตระหกระเหเร่ร่อนอยู่จนถึงอายุ 17 ปี เขาก็ได้งานแรกในชีวิต ด้วยการเป็นพนักงานในร้านชานมไต้หวันแห่งหนึ่ง

และใครจะไปคิดว่าการเป็นพนักงานร้านชานมธรรมดา ๆ แบบนี้ จะสามารถเปลี่ยนชีวิตของคนคนหนึ่งได้..

หน้าที่ของคุณจาง ณ ตอนนั้นก็คือการชงเครื่องดื่มตามสูตร และรอทำความสะอาดร้าน ซึ่งก็น่าจะเป็นงานง่าย ๆ สำหรับคนทั่ว ๆ ไป

แต่สำหรับคุณจาง ที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ การต้องจำสูตรส่วนผสมของแต่ละเมนู คงยากพอ ๆ กับการทำความเข้าใจวิชาแคลคูลัส

อย่างไรก็ตามด้วยความมุมานะ คุณจาง ก็ตั้งใจเรียนรู้วิธีการอ่านเขียนหนังสือด้วยตัวเอง เพื่อที่จะให้ทำงานได้ดีขึ้น และทุ่มเททำงานด้วยการมาถึงร้านก่อนคนอื่น และกลับเป็นคนสุดท้ายเสมอ

จนสุดท้ายการทำงานหนักอย่างไม่หยุดหย่อน ก็พาให้เขาเติบโตจากพนักงานร้านชานมธรรมดา เป็นผู้จัดการแฟรนไชส์ในพื้นที่มณฑลยูนนาน ด้วยเวลาเพียงแค่ 3 ปี

เวลาต่อมาเจ้าของแฟรนไชส์เดิม เริ่มจะดำเนินกิจการต่อไปไม่ไหว คุณจางที่เห็นโอกาสในการจะมีธุรกิจของตัวเอง จึงนำเงินเก็บที่มีอยู่ไปขอเซ้งร้านต่อ เพื่อเอามาทำเอง

ร้านชานมที่เซ้งมา ภายใต้การบริหารของคุณจาง ก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จ จนเขาเองก็เริ่มมองว่า ถ้ามีแฟรนไชส์ร้านชานมเป็นของตัวเองบ้างก็คงจะดี

แต่การจะออกไปเปิดร้านแข่งกับทางร้านชาที่ตัวเองเป็นแฟรนไชส์อยู่ ก็จะเป็นการผิดสัญญา ทำให้เขาจำใจต้องหางานอื่นทำก่อน

โดยรอบนี้เขาเดินทางไปยังมหานครเซี่ยงไฮ้ เพื่อทำงานในบริษัทหุ่นยนต์ชื่อว่า Shanghai Youye Robotics ซึ่งเขาจะได้นำความรู้เรื่องกระบวนการผลิตแบบอัตโนมัติ มาใช้กับร้านชาของตัวเองในอนาคต

ระหว่างการทำงานที่มหานครเซี่ยงไฮ้นี้เอง ที่เขาได้เห็นความสำเร็จของแฟรนไชส์ร้านชานมอย่าง Heytea และ Lelecha ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

ซึ่งเขาก็เห็นแล้วว่าการแข่งขันของร้านชานมในจีน ในอนาคตข้างหน้ามีแต่จะรุนแรงขึ้น ทำให้โอกาสในการจะสร้างแฟรนไชส์ร้านชานมเป็นของตัวเองบ้าง กำลังค่อย ๆ หมดลง

ไฟแห่งความเป็นผู้ประกอบการในจิตใจของคุณจาง จึงได้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

ในปี 2017 เขาและเพื่อนอีก 1 คน จึงรวบรวมเงินเก็บกันได้ประมาณ 1,000,000 หยวน (ประมาณ 4,500,000 บาท) และก่อตั้งร้าน CHAGEE แห่งแรก ในเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน บ้านเกิดของคุณจาง

เหตุผลที่พวกเขาเลือกจะเริ่มต้นธุรกิจในมณฑลยูนนาน แทนที่จะกระโดดเข้าสู่เมืองใหญ่อื่น ๆ ซึ่งลูกค้าน่าจะมีกำลังซื้อมากกว่า

ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่สูงมากอยู่แล้ว อีกทั้งมณฑลยูนนานนั้น ยังขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตชาคุณภาพสูงมาตั้งแต่โบราณ การมาตั้งร้านชานมที่นี่ ก็จะทำให้พวกเขาเข้าถึงวัตถุดิบคุณภาพสูงได้ง่ายขึ้น

เพราะในขณะที่ร้านชานมในตลาดกำลังโฟกัสกับเทรนด์ของชานมผลไม้ และชานมชีส คุณจางต้องการที่จะหันไปโฟกัสกับชานม ที่เป็นใบชาชงกับนมจริง ๆ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด

นอกจากนี้คุณจางและเพื่อน ยังออกไปท่องยุทธจักรแห่งชานม ด้วยการตระเวนลองชิมชานมแบรนด์ดังกว่า 50 แบรนด์ทั่วจีน เพื่อศึกษาคู่แข่งและพัฒนาสูตรชานมของตัวเองด้วย

เพื่อให้ธุรกิจเติบโตไปให้ได้เร็ว ๆ ก็ต้องใช้เงินทุน เขาจึงได้เข้าไปนำเสนอแผนกิจการให้กับกองทุน Venture Capital ชื่อดังของจีนอย่าง XVC Capital

โดยคุณหู ป๋ออวี่ ผู้ก่อตั้งกองทุน XVC Capital ได้เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เขายังจำได้ดีว่าในวันนั้น คุณจาง ได้แนะนำตัวกับเขาว่า เขาไม่เคยได้เรียนมาก่อน

คุณหูได้ยินตอนแรกก็นึกว่าเขาแค่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย จนกระทั่งในตอนที่เริ่มนำเสนอนั่นเองที่คุณหูได้รู้ว่า เขาไม่ได้จบแม้แต่โรงเรียนประถมด้วยซ้ำ

เพราะเขายังใช้ตัว พินอิน (Pinyin) หรือตัวช่วยถอดเสียงภาษาจีนที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษ มาใช้เขียนแทนคำบางคำอยู่เลย

ถ้านึกภาพไม่ออก ก็คือการที่มีคนไทยสักคน เขียนคำว่า Sawasdee Krub ให้เราอ่าน แทนคำว่า สวัสดีครับ เพราะเขียนตัวอักษรภาษาไทยไม่ได้

อย่างไรก็ตาม หลังจากการนำเสนอผ่านไป และได้พูดคุยกับคุณจาง คุณหูก็ได้รับรู้ว่าชายคนนี้เข้าใจในธุรกิจที่เขาจะทำ ตั้งแต่ระดับพนักงานหน้าร้านไปจนถึงการบริหาร

รวมไปถึงมีวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ที่ไม่ต่างไปจาก CEO ที่มีการศึกษาสูงกว่า และอายุมากกว่าเขาเลย สังเกตได้จากแผนธุรกิจของเขา ที่สรุปด้วยใจความสั้น ๆ ได้ 3 ประโยค ได้แก่

“แบรนด์เป็นที่รู้จักในหมู่คนรุ่นใหม่ทั่วทั้งประเทศจีน”
“เป็นตัวเลือกแรกของนักลงทุนและผู้ประกอบการ”

และสุดท้ายก็คือ “ขยายแบรนด์ CHAGEE ไปให้ได้ 100 ประเทศทั่วโลก”

สุดท้ายคุณหูจาก XVC Capital จึงเลือกลงทุนกับ CHAGEE และหลังจากนั้นก็คือประวัติศาสตร์

เพราะจากแค่ประมาณ 1,000 สาขานิด ๆ ในปี 2022 แต่ตัดภาพมายังวันนี้ CHAGEE มีร้านชามากถึง 6,440 สาขา แบ่งเป็นในจีน 6,284 สาขา และต่างประเทศ 156 สาขา

โดยทาง CHAGEE ใช้โมเดลธุรกิจแบบแฟรนไชส์ เพื่อขยายสาขาให้ได้อย่างรวดเร็ว โดยจะได้เงินจากค่าธรรมเนียมต่าง ๆ, ส่วนแบ่งกำไรหรือรายได้ และค่าวัตถุดิบ

ซึ่ง CHAGEE ก็มีการควบคุมคุณภาพของแฟรนไชส์ต่าง ๆ ผ่านการมีระบบจัดการหลังบ้าน และการใช้เครื่องชงชาอัตโนมัติ ที่มาจากทาง CHAGEE เอง

ทำให้ไม่ว่าจะดื่ม CHAGEE จากสาขาใด ประเทศไหน ก็จะต้องได้รสชาติเดียวกันอยู่เสมอ

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา CHAGEE ก็สามารถเข้าไปเทรดในตลาดหุ้น NASDAQ ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้คุณจาง กลายเป็นมหาเศรษฐี ด้วยความมั่งคั่งกว่า 70,035 ล้านบาท ณ วันที่ IPO

หลังจากนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าความฝันอันยิ่งใหญ่ อย่างการพา CHAGEE ออกไปสู่ประเทศ 100 ประเทศทั่วโลกของเขานั้น ท้ายที่สุดแล้วจะสำเร็จหรือไม่

เพราะการเข้าตลาดหุ้นได้ ก็ถือเป็นเพียงอีกบทหนึ่งของเส้นทางอันยาวไกล ในโลกของธุรกิจเท่านั้น

แต่จากเรื่องราวทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า แม้ในตอนเริ่มต้น ชีวิตของคุณจางจะยากลำบาก จนพวกเราเองก็แทบจะจินตนาการไม่ออก

แต่สุดท้ายแล้วด้วยความมุมานะและสายตาที่คอยมองหาโอกาสอยู่เสมอ อย่างไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ก็ทำให้เขาได้พบเจอกับหนทางแห่งความมั่งคั่งได้ในท้ายที่สุด

ดังคำกล่าวที่ว่า “ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน” นั่นเอง..

#ธุรกิจ
#หุ้นนอก


References
-https://pandayoo.com/post/chagee-the-chinese-tea-brand-brewing-a-storm-on-wall-street/
-https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/chinese-tea-chain-chagees-ceo-becomes-a-billionaire-at-30-after-us-ipo
-https://mp.weixin.qq.com/s/q77H9ET33OTFi0wxhjYwQg
-https://wargabiz.com.my/2025/02/10/he-couldnt-read-until-18-now-he-owns-rm12-billion-chagee-empire/
-The Success of Chagee - Who is the Founder of Chagee
-เอกสารไฟลิ่งบริษัท Chagee Holdings Limited

14/05/2025

บริษัทยักษ์ใหญ่ ออกมาเตือนแล้ว

มะเดื่อเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยในการขับถ่ายและกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี และ...
13/05/2025

มะเดื่อเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยในการขับถ่ายและกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี และยังช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย ใช้เป็นยาระบาย ป้องกันอาการท้องผูก ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยป้องกันนิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
#ป้องกันมะเร็งลำไส้ #มะเดื่อ

โปรตีนทางเลือกอร่อยมากครับ #แมงนูนทอด
10/05/2025

โปรตีนทางเลือก
อร่อยมากครับ
#แมงนูนทอด

28/04/2025

ผมไปเจอธุรกิจที่ดีตัวนึงมา เดี๋ยวมาเล่าให้ฟัง เป็นกึ่งPassive ลงทุนนิดหน่อย ดูแลนิดหน่อย ได้เงินยาวๆ

ปั๊ม​นี้คือดีมาก​ มีบริการน้ำมัน​และ​ EV​ ⛽อเมซอนวิวหลักล้าน​ 🤩  ห้องน้ำก็ดีงาม​ มีห้องอาบน้ำให้อีกด้วย🚿พิกัด: ปตท.​ ร่อ...
19/04/2025

ปั๊ม​นี้คือดีมาก​ มีบริการน้ำมัน​และ​ EV​ ⛽
อเมซอนวิวหลักล้าน​ 🤩 ห้องน้ำก็ดีงาม​ มีห้องอาบน้ำให้อีกด้วย🚿

พิกัด: ปตท.​ ร่องห้า​ จ.​ พะเยา​ (ขาขึ้นพะเยา-เชียงราย)

เมนูลาบเหนือแบบออริจินอล​ ทานคู่ผักแกล้มที่ชื่อผักฟังแล้วสามีอาจไม่สบายใจ​ ผักแกล้มในภาพสุดท้ายชื่อผักอะไร​ ใครรู้จัก​ ค...
19/04/2025

เมนูลาบเหนือแบบออริจินอล​ ทานคู่ผักแกล้มที่ชื่อผักฟังแล้วสามีอาจไม่สบายใจ​ ผักแกล้มในภาพสุดท้ายชื่อผักอะไร​ ใครรู้จัก​ คอมเมนท์​มากันค่ะ

#ลาบเหนือ​ #ลาบอร่อย

ที่อยู่

Chiang Mai

เบอร์โทรศัพท์

+66825549541

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Life Ingredientผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง The Life Ingredient:

แชร์

Our Story

Catering Thai เป็นผู้ให้บริการรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่แบบครบวงจร เรามีทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ อาทิ บุฟเฟ่ต์,ค๊อกเทล, ซุ้มอาหาร, Coffee Break, นอกจากนี้ยังมีบริการจัดงานแต่งงาน, จัดงาน Grand Opening จัดเลี้ยงประชุมสัมนา, บริการพิธีต่างๆ, บริการจัดหาสถานที่ ตลอดไปจนถึงรับบริการ Display ฉากสำหรับถ่ายทำเกี่ยวกับอาหาร

ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานและการให้บริการทุกระดับเพื่อความประทับใจ Catering Thai ได้รับความไว้วางใจจากองค์กร บริษัท ห้างร้าน ตลอดจนถึงผู้มีอุปการคุณทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เป็นผู้บริการด้านจัดเลี้ยงมาโดยตลอด

Catering Thai หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะมีส่วนในการให้บริการอันแสนประทับใจสำหรับทุกๆ โอกาสสำคัญของท่านนะคะ ขอบคุณค่ะ