Field - feel Field - Feel Media Co., Ltd.
สื่อสาร สัมผัสสนาม ข้ามพรมแดน

ฟิล์ด - ฟิล มีเดีย (Field - Feel Co., Ltd.) เริ่มต้นจากกลุ่มนักเรียนสื่อ และนักเรียนมานุษยวิทยา ต้องการมีส่วนร่วมสื่อสารภายใต้แนวคิด "สัมผัสสนาม ข้ามพรมแดน เล่าเรื่องใหญ่ ผ่านมุมมองของคนตัวเล็ก ๆ" เพื่อบอกเล่าและขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรม ในระดับมหภาค ผ่านมุมมองจุลภาค ในแต่ละท้องถิ่น ตีแผ่ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ผ่านเรื่องราวสายตาของคนตัวเล็ก ๆ ฟิล์ด ฟิล มีเดีย มีเป้าหมายเพื่อพ

าผู้คนในสังคมก้าวข้าม ผ่านพรมแดนแห่งความรุนแรงที่แบ่งแยกเราไว้ ทั้งพรมแดนทางความคิด พรมเเดนทางเพศ พรมแดนทางวัฒนธรรม พรมแดนรัฐชาติ ฯลฯ จนเกิดเป็นสังคมที่ผนวกรวมทุกคนเข้าไว้ด้วยกัน บนพื้นฐานของความเข้าอกเข้าใจ

15 ค่ำ เดือน 7 เทศกาลจงหยวน เทศกาลกลางเดือน 7 หรือสารทจีน ว่ากันว่าที่มาของเทศกาลเกี่ยวข้องกับความเชื่อของจีนโบราณเดิมซึ...
07/09/2025

15 ค่ำ เดือน 7 เทศกาลจงหยวน เทศกาลกลางเดือน 7 หรือสารทจีน ว่ากันว่าที่มาของเทศกาลเกี่ยวข้องกับความเชื่อของจีนโบราณเดิมซึ่งมีการนำลัทธิขงจื๊อมาเป็นแนวปฏิบัติ ผสมผสานกับศาสนาเต๋า และพุทธ
ตามความเชื่อจีนโบราณ เดือนเจ็ดเป็นทั้งเดือนดีและเดือนร้าย เพราะข้าวเริ่มเก็บเกี่ยวได้ จึงนำข้าวใหม่ไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษก่อน แต่เทพเจ้าประจำเดือนเจ็ด เป็นเทพแห่งความตายจึงต้องเซ่นสรวงต่างหากออกไป ทั้งยังมีความเชื่ออีกว่ามีผีร้ายร่อนเร่ ไม่มีญาติเซ่นไหว้ พอถึงฤดูสารทซึ่งผู้คนนำข้าวใหม่เซ่นไหว้บรรพบุรุษ ผีพวกนี้จะคอยมาแย่งกินของไหว้หรือไม่ก็ทำร้ายผู้คนด้วยความหิวโหย จึงต้องเซ่นสรวงทั้งเจ้า บรรพบุรุษ และผีร่อนเร่
ทิ้งกระจาด เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สำคัญในเทศกาลสารทจีน
การทิ้งกระจาดเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้ผีไม่มีญาติ (ซิโกว) เป็นพิธีกรรมส่วนรวมของแต่ละชุมชนที่โรงเจหรือศาลเจ้าประจำชุมชนเป็นโต้โผใหญ่ในการจัด หลักการสำคัญของพิธีคือการแจกทานแก่คนยากจนอุทิศส่วนกุศลแก่ผีไร้ญาติ โดยผ่านพิธีกรรมทางพุทธศาสนา นิมนต์พระมาทำพิธีพุทธบูชา สวดมนต์บทที่เกี่ยวข้องกับพิธีนี้แล้วเอาข้าวของที่มีผู้บริจาคมาแจกแก่ผู้มารับทานซึ่งส่วนมากเป็นคนยากจน พิธีนี้ส่วนมากจัดหลังวันสารทจีน แต่ละถิ่นไม่ตรงกัน แต่ต้องก่อนวัน 30 ค่ำ เดือน 7 อันเป็นวันปิดประตูยมโลก

สารทจีน ทิ้งกระจาด เทศกาลไหว้ผีของชาวจีนในไทย โดย จิราพร แซ่เตียว
อ่านฉบับเต็มที่ https://field-feel.com/religion004

ตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา วันที่ 3 กันยายน ถูกกำหนดโดยรัฐบาลจีนให้เป็น “วันชัยชนะ” (Victory Day ชื่อเต็มๆว่า "วันแห่งชัยช...
06/09/2025

ตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา วันที่ 3 กันยายน ถูกกำหนดโดยรัฐบาลจีนให้เป็น “วันชัยชนะ” (Victory Day ชื่อเต็มๆว่า "วันแห่งชัยชนะในสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นของประชาชนจีน" Chinese People's War of Resistance Against Japanese Aggression and World Anti-Fascist War Victory Day) เพื่อเป็นวันรำลึกอย่างเป็นทางการถึงชัยชนะของสงครามต่อต้านญี่ปุ่นและสงครามโลกครั้งที่สอง การเลือกวันนี้ไม่ใช่โดยบังเอิญ หากเชื่อมโยงกับวันที่ 2 กันยายน 1945 ซึ่งญี่ปุ่นลงนามยอมแพ้อย่างเป็นทางการบนเรือ USS Missouri และในวันที่ 3 กันยายน จีนถือว่าเป็นวันเริ่มต้นแห่งสันติภาพหลังสงคราม มีกิจกรรมหลักของวันนี้คือ พิธีสวนสนามทางทหารและการกล่าวสุนทรพจน์ของผู้นำ
ในปีนี้ 2025 เป็นวาระครบรอบ 80 ปี วันดังกล่าวได้รับการยกระดับอย่างยิ่งใหญ่ รัฐบาลจีนได้จัดการเฉลิมฉลองทั้งขบวนพาเหรดกองทัพที่จตุรัสเทียนอันเหมิน และการแสดงกาล่าศิลป์ที่เหรินหมินต้าฮุ้ยถัง อาคารประชุมใหญ่ของรัฐจีน (Great Hall of the People) ผ่านการถ่ายทอดสดโดย China Media Group (CMG) ซึ่งรวม CCTV, CGTN และวิทยุของรัฐเข้าด้วยกัน ไลฟ์สตรีมมิ่งให้ผู้ชมได้เห็นและได้ยินทั่วถึงกัน ผู้ชมที่ว่านี้ไม่ใช่เพียงผู้คนนับแสนในจัตุรัสหรือแขกเกียรติยศที่หอประชุม หากคือคนทั้งโลกก็มีสิทธิเข้าร่วมงานนี้พร้อมๆกันผ่านสายตาและหูแห่งยุคดิจิทัล การถ่ายทอดสดเชื่อมโรงละครของรัฐจีนกับโรงละครในจอเล็กทั่วโลก
คำว่า “ละคร” ในบทความนี้ ผู้เขียนมิได้หมายถึงการแสดงบนเวทีโรงละครด้วยนักแสดงที่มีศิลปะการสื่อสารเชิงละครเท่านั้น หากใช้เปรียบเทียบถึงการที่รัฐหรือผู้มีอำนาจควบคุมเราทำให้เรื่องราวบางอย่างถูกเขียนขึ้นมาใหม่ จัดฉากใหม่ ออกแบบด้วยภาพและเสียงจนกลายเป็นความจริงที่ผู้ชมชาวบ้านอย่างเรายอมรับโดยไม่รู้ตัว อำนาจรัฐจึงไม่ได้เพียงสั่งการด้วยกฎหมายหรืออำนาจกำลัง แต่เขียนเรื่องเล่า (narrative) ให้ผู้คนได้ดู ได้ฟัง และเชื่อตาม
ดังนั้น ละครในบริบทเพ้อเจ้อนี้จึงมิใช่การกล่าวถึงการแสดงเพื่อความบันเทิง แต่เป็นการมองงานสร้างสรรค์เรื่องเล่าที่แทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจำวันของคนในชาติ ทำให้อดีต ปัจจุบัน และอนาคตถูกผูกเข้าด้วยกันผ่านบทและฉากที่รัฐเป็นผู้กำกับใหญ่
อ่าน ากมหกรรมโชว์ขีปนาวุธถึงปลุกผีบรรพบุรุษ ละครแห่งอำนาจ ละครแห่งอารมณ์ มหรสพแห่งรัฐจีนในวันฉลอง 80 ปีแห่งชัยชนะ
ได้ที่ https://field-feel.com/chinesestate-opera-80th
โดย อานันท์ นาคคง คณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

อ่านเรื่องราวของนาย “นิล” กับประวัติศาสตร์อีสานฉบับที่ถูกเขียนขึ้นก่อนผลงาน “ประวัติศาสตร์อีสาน” ของ เติม วิภาคย์พจนกิจ ...
01/09/2025

อ่านเรื่องราวของนาย “นิล” กับประวัติศาสตร์อีสานฉบับที่ถูกเขียนขึ้นก่อนผลงาน “ประวัติศาสตร์อีสาน” ของ เติม วิภาคย์พจนกิจ เพิ่มเติมได้ใน “ประวัติศาสตร์จังหวัดอุบลราชธานี ฉบับนายนิล พันธุ์เพ็ง เรียบเรียง พุทธศักราช 2477” ฉบับปรับปรุงและเพิ่มเติม ผนวกด้วยบทความ 2 บท ที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจชีวิตของนักปราชญ์ชาวอุบลคนนี้เพิ่มเติม
อ่าน รู้จัก “มหานิล” สัทธิวิหาริกที่สมเด็จพระสังฆราชบอกว่า “ร่านจะสึก” คนท้องถิ่น ผู้เขียนประวัติศาสตร์อุบลราชธานีคนแรกๆ โดย จิรวัฒน์ ตั้งจิตรเจริญ ได้ที่ https://field-feel.com/mahanil-ubon-history
นั้นเป็นชีวิตของเด็กชาย “นิล” สู่พระเถระ “มหานิล” ที่สมเด็จพระสังฆราชไว้ใจและทรงเคืองโกรธจนถึงกับลงโทษในเวลาต่อมา แม้จะไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงของเจตนาในการลาสึกจนเป็นเรื่องราวดังกล่าว แต่ประสงค์ที่จะปลีกตัวจากเมืองกรุงกลับบ้านเกิด อุบลราชธานี และการใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายอย่างเรียบง่ายของนายนิลในฐานะครูในโรงเรียนอุบลวิชาคมของวัดสุปัฎนาราม คงสะท้อนให้เห็นถึงแนวความคิด “ท้องถิ่นนิยม” ที่กำลังก่อตัวขึ้นในภูมิภาคอีสานได้อยู่ไม่มากก็น้อย
เนื้อหาหลักของเล่ม ยังเป็นการนำเอา “ประวัติศาสตร์จังหวัดอุบลราชธานี” ของนายนิล พันธุ์เพ็ง ที่จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2477 หรือกว่า 90 ปีที่แล้วมาจัดพิมพ์ใหม่เป็นครั้งที่ 2 เพื่อหวังว่าการนำหนังสือหายากเล่มนี้มาจัดพิมพ์ขึ้นใหม่ จะช่วยทำให้เรารู้จักสังคมอีสานผ่านมิติขององค์ความรู้มากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นหลักฐานในการคิด ตีความ ทำความเข้าใจมุมมองทางประวัติศาสตร์ของนักวิชาการรุ่นเก่า ก่อนที่เราจะมีแนวคิดในการมองประวัติศาสตร์ตามหลักวิชาเสมือนอย่างปัจจุบัน
สนใจรู้จัก นายนิล และงานของเขา เพิ่มมากขึ้น สั่งซื้อได้ทาง กล่องข้อความและ inbox เพจ Facebook “เว้าพื้นประวัติศาสตร์” ในราคาเพียง 280 บาท (รวมค่าจัดส่ง)

หากในหนังไซไฟฮอลลีวูด เราอาจคุ้นชินกับ narrative ว่า “อเมริกาคือชนเผ่าฮีที่กอบกู้โลก” ผ่านเสียงฮีโร่อเมริกัน เสียงดนตรีแ...
29/08/2025

หากในหนังไซไฟฮอลลีวูด เราอาจคุ้นชินกับ narrative ว่า “อเมริกาคือชนเผ่าฮีที่กอบกู้โลก” ผ่านเสียงฮีโร่อเมริกัน เสียงดนตรีแบบมหากาพย์ตะวันตก และคอรัสที่เทิดทูนปัจเจกผู้กอบกู้โลก แต่ในภาพยนตร์จีนเรื่องนี้ narrative ถูกพลิกกลับเป็น “จีนต่างหากที่กอบกู้โลก” และเสียงในภาพยนตร์ก็ถูกออกแบบเพื่อทำให้ผู้ชมเชื่อว่ามนุษยชาติสามารถรวมเป็นหนึ่งได้ภายใต้ความเป็นจีน
อ่าน ปฏิบัติการฝ่าสุริยะ The Wandering Earth ว่าด้วยซาวด์สเคปการเมืองและ สุนทรียะเสียงแบบกัวเชา Guochao Sonic Aesthetics ในภาพยนตร์จีนไซไฟ ได้ที่ https://field-feel.com/soundscape-thewanderingearth
โดยอานันท์ นาคคง คณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
เสียงเครื่องยนต์โลกที่สั่นสะเทือน เสียงกลองจีนที่หลอมรวมเข้ากับ electronic pulse และเสียง erhu ที่แทรกตัวอยู่ในออเคสตราตะวันตก ล้วนเป็นการผลิต “อนาคตที่มีรากเหง้า” หรือ sonic futurism with heritage เสียงเหล่านี้ไม่เพียงแต่ชี้นำผู้ชมให้รู้สึกตื่นเต้น หากยังสร้างอารมณ์ร่วมของความภูมิใจ ความหวาดกลัว และความหวัง นี่คือสิ่งที่ Sara Ahmed เรียกว่า เศรษฐกิจของอารมณ์ ที่หมุนเวียนในสังคม ไม่ได้เป็นของปัจเจกแต่ถูกสถาปนาในระดับส่วนรวม
ในมิติของ มานุษยวิทยาเสียง (anthropology of sounds) เสียงเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่พาผู้คนรับรู้ว่า “นี่คือเสียงของชาติเรา” และในขณะเดียวกันก็คือ “เสียงของโลก” เสียงจึงเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ก้าวข้ามพรมแดน แต่ไม่สูญเสียอัตลักษณ์ ยกตัวอย่างฉาก Liu Peiqiang’s Sacrifice ที่เสียง chorus ไม่ได้เพียงทำให้ผู้ชมโศกเศร้า หากยังทำให้การเสียสละส่วนบุคคลกลายเป็นการเสียสละเชิงชาติและเชิงมนุษยชาติพร้อมกัน ในเชิงมานุษยวิทยา นี่คือการใช้เสียงผลิต “พิธีกรรมแห่งความทรงจำ” ที่ทำให้การตายของปัจเจกเป็นเสียงก้องในระดับจักรวาล
The Wandering Earth ได้ส่งเสียงทะลุจอออกมา ไม่ใช่เพียงว่า เราจะมี Guochao Sonic Aesthetics ไทยๆได้หรือไม่ แต่คือ เราจะกล้าหรือไม่ที่จะเลิกติดอยู่กับเสียงไทยแบบจินตนาการรัฐ เสียงไทยเพ้อฝัน แล้วสร้างเสียงที่เราภูมิใจที่จะส่งออกในนามของเสียงไทยแท้จริงสักครั้งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย เสียงที่จะเปลี่ยนจากความบันเทิงท้องถิ่น ไปสู่เสียงกัวเชาในโลกอนาคต
หรือภาพยนตร์ไทยไม่มีวันสร้างเสียงที่โลกต้องฟังได้เลย เพราะเราพอใจแค่จะทำให้เสียงดนตรีไทยกลายเป็นเพียงของตกแต่ง เสียงสวยงามที่ดังชั่วครู่ แล้วหายไปในความเงียบของโลก
เราจะยังคงทำระนาดให้เป็นของโชว์ฉาบฉวยสำหรับนักท่องเที่ยว ล่ามโซ่แคนโปงลางไว้ในงานมหรสพพื้นบ้านราคาถูก และเอาฆ้องกลองให้รัฐใช้ในพิธี แล้วหลอกตัวเองว่านี่คือ soft power ไปอีกนานเท่าไร?

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก (FIVB Women’s Volleyball World Championship) ถือเป็นหนึ่งในมหกรรมกีฬาระดับโลกที่ได้ร...
26/08/2025

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก (FIVB Women’s Volleyball World Championship) ถือเป็นหนึ่งในมหกรรมกีฬาระดับโลกที่ได้รับความสนใจอย่างสูง นับตั้งแต่เริ่มต้นจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1952 ที่กรุงมอสโก สหภาพโซเวียต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีแข่งขันที่ยกระดับมาตรฐานกีฬาวอลเลย์บอลหญิงสู่ระดับนานาชาติ
การแข่งขันครั้งนี้ไม่เพียงเป็นพื้นที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ทีมชาติ แต่ยังเป็นพื้นที่สร้างปรากฏการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของประเทศเจ้าภาพตลอดมา ปี ค.ศ. 2025 จัดได้ว่าเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของรายการนี้ เพราะประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพครั้งแรก นำพาสายตาทั้งโลกมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสร้างความหมายใหม่ของการเชื่อมโยงกีฬากับอัตลักษณ์ชาติไทยในเวทีสากล ปี 2025 FIVB ปรับปฏิทินใหม่ให้เวิลด์แชมเปียนชิพจัด “สองปีครั้ง” และขยับเป็น 32 ทีมเต็มรูปแบบ สะท้อนการเติบโตของฐานแฟนและสมรรถนะการแข่งขันทั่วโลก
จุดเปลี่ยนสำคัญคือ “ปฏิทิน 2025–2028” ซึ่ง FIVB อนุมัติให้การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลกเป็นรายการสองปีครั้ง สอดรับรอบโอลิมปิก และกำหนดระบบคัดเลือกใหม่—เจ้าภาพและแชมป์เก่าเข้าตรง, ท็อป 3 จากแต่ละชิงแชมป์ทวีป, ที่เหลือตามแรงกิ้งปลายฤดูกาลทีมชาติปีก่อนหน้า—ทั้งหมดนี้ลดภาระการแข่งขัน ซ่อมแซมร่างกาย
อ่าน ปรากฏการณ์ Soft Power การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก ปี 2025 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพครั้งแรกของโลก ได้ที่ https://field-feel.com/softpower-volleyball
บรรณษรณ์ คุณะ เรื่อง

โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงคุณสุภา ศิริมานนท์ งานศึกษาทั่วไปมักจะฉายภาพคุณสุภาในฐานะปัญญาชนฝ่ายก้าวหน้า และความสำคัญของนิตยสา...
23/08/2025

โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงคุณสุภา ศิริมานนท์ งานศึกษาทั่วไปมักจะฉายภาพคุณสุภาในฐานะปัญญาชนฝ่ายก้าวหน้า และความสำคัญของนิตยสาร “อักษรสาส์น” ต่อประวัติศาสตร์แนวคิดสังคมนิยมในเมืองไทย แต่หากพิจารณาประวัติส่วนตัวของคุณสุภาพ้นไปจากข้อมูลเบื้องต้นทั่วไปแล้ว ชวนสังเกตว่า คุณสุภา เกิดและเติบโตขึ้นมาในตระกูล “ศักดินา” ได้รับการเลี้ยงดูจากคุณตาซึ่งมียศถาบรรดาศักดิ์เป็น “ท่านขุน” ผู้ซึ่งต่อมาได้เลื่อนยศรับราชทินนามเป็น “คุณหลวง” นาม หลวงนฤมานสัณหวุฒิ รวมทั้งได้ขอพระราชทานนามสกุลจากรัชกาลที่ 6 ว่า “ศิริมานนท์”
สิ่งที่อยากนำมาเล่าก็คือว่า หากดูประวัติชีวิตการทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์จริง ๆ คุณสุภา ศิริมานนท์ผูกพันกับ บริษัท สยามพาณิชยการ อย่างน่าสนใจ
แม้ “อักษรสาส์น” ฉบับหน้าบ้าน จะไม่ปรากฏชื่อนักบัญชี/นายธนาคารอย่าง คุณบุญชู โรจนเสถียร แต่ “อักษรสาส์น” ฉบับหลังบ้าน สมควรบันทึกชื่อ คุณบุญชู โรจนเสถียร ไว้อย่างมิต้องสงสัย
อ่าน “อักษรสาส์น” (ฉบับหลังบ้าน) กับเงาที่อยู่ข้างหลังปัญญาชนมาร์กซิสต์เมืองไทย “สุภา ศิริมานนท์” ได้ที่ https://field-feel.com/supasirimanon-marxism
เรื่องโดย อิทธิเดช พระเพ็ชร
ภาพจากหนังสืออนุสรณ์งานศพ เรื่อง งานพระราชทานเพลิงศพ นายรองสนิท โชติกเสถียร ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พุทธศักราช 2524
https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:2344

ในโลกร่วมสมัย “สื่อดิจิทัล” ทวีความหลากหลายยิ่งขึ้น แทรกซึมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตธรรมดาสามัญผู้คนอย่างไม่อาจแยกออกได้  ก่อ...
21/08/2025

ในโลกร่วมสมัย “สื่อดิจิทัล” ทวีความหลากหลายยิ่งขึ้น แทรกซึมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตธรรมดาสามัญผู้คนอย่างไม่อาจแยกออกได้ ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่เกาะเกี่ยวกันระหว่างเทคโนโลยีสื่อดิจิทัล สภาพแวดล้อมเชิงผัสสะและปฏิบัติการในชีวิตประจำวันของผู้คน ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงนี้ยังส่งผลต่อกระบวนการทำงานด้านชาติพันธุ์วรรณนาอีกด้วย
หนังสือ “Digital Ethnography: Principles and Practice” เล่มนี้ จึงส่งสัญญาณขึ้นว่า นี่คือเวลาที่เราจะต้องตั้งคำถามใหม่เกี่ยวกับกรอบคิดทฤษฎี ระเบียบวิธีวิจัยและหน่วยในการศึกษา หนังสือชี้ให้เห็นหนทางที่จะพัฒนาและปรับใช้ “ชาติพันธุ์วรรณนาดิจิทัล” (Digital Ethnography) ให้เป็นตัวเลือกหนึ่งที่เหมาะสมในการศึกษาความเป็นจริงใหม่ในโลกร่วมสมัย
เนื่องจาก ดิจิทัลได้เข้ามากระทบสัมพันธ์กับประสบการณ์ของผู้คน ปฏิบัติการ สรรพสิ่ง ความสัมพันธ์ที่หลากหลาย โลกทางสังคม ภาวะของท้องถิ่นและเหตุการณ์ จึงจำเป็นอย่างยิ่งอาจจะต้องตั้งคำถามและทบทวนแง่มุมทางทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เสียใหม่
ชวนอ่าน ทบทวนชาติพันธุ์วรรณนาดิจิทัล จาก Digital Ethnography: Principles and Practice ของ Pink, Sarah; Horst, Heather; Postill, John; Hjorth, Larissa; Lewis, Tania; & Tacchi, Jo. (2016)
ได้ที่ https://field-feel.com/book-digitalethnography
เรื่องโดย ณหทัย แสนมงคล

สิ่งที่มีร่วมกันของทุกพรมแดนที่เคยได้ไปเยือนและยืนยันได้คือ คนชายแดนไม่มีใครต้องการสู้รบ เส้นพรมแดนไม่ได้มีความหมายใดหาก...
18/08/2025

สิ่งที่มีร่วมกันของทุกพรมแดนที่เคยได้ไปเยือนและยืนยันได้คือ คนชายแดนไม่มีใครต้องการสู้รบ เส้นพรมแดนไม่ได้มีความหมายใดหากหลังเส้นนั้นยังคงมีญาติพี่น้อง ร่วมสายเลือด ชาติพันธุ์ของพวกเขาอาศัยอยู่
พรมแดนสำหรับคนชายแดนมีความสำคัญมากกว่าเส้นแบ่งเขตแดนของรัฐ ที่ยึดความมั่นคงเป็นที่ตั้ง แต่มันวิถีชีวิตของคนสองฟากฝั่งที่ผูกพันกันก่อนมีการแบ่งแยกดินแดนตามแนวคิดรัฐชาติสมัยใหม่
ผมเคยมีคำถามถึงความจริงจัง เข้มงวด และแรงกดดันทางสังคมของประเทศเกาหลีใต้ จนถึงวันที่ผมได้เรียนรู้ผ่านการเดินทางและประวัติศาสตร์ มาวันนี้ผมคิดว่าผมเข้าใจพวกเขาได้มากกว่าที่ผ่านมา
อ่าน หลังพรมแดนยังมีชีวิตของผู้คน บันทึกการเดินทางในเกาหลีใต้ ผ่านสายตานักข่าวข้ามพรมแดน ได้ที่ https://field-feel.com/lifestyle-southkorea
ณฐาภพ สังเกตุ เรื่องและภาพ

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 กรมส่งเสริมวัฒนธรรมเสนอ "โครงการฟื้นฟูหนังใหญ่โดยชุมชนหนังใหญ่ในประเทศไทย" (The Community-ba...
16/08/2025

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 กรมส่งเสริมวัฒนธรรมเสนอ "โครงการฟื้นฟูหนังใหญ่โดยชุมชนหนังใหญ่ในประเทศไทย" (The Community-based Revitalization of Nang Yai Traditional in Thailand: CRNT) เพื่อเสนอขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโกในบัญชีประเภท แผนงานโครงการและกิจกรรมที่มีการสงวนรักษาที่ดี (Register of Good Safeguarding Practices)
กิจกรรมหนังใหญ่กับชุมชนสมัยใหม่ยังมีความเชื่อมร้อย สืบทอดอย่างต่อเนื่อง และมีบทบาทในชุมชนฐานะของการเป็นมรดกวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า เห็นได้จากประเพณีพิธีกรรมต่างๆ อาทิ งานไหว้ครูที่มียิ่งใหญ่ทุกปี การแสดงประจำปีที่ใช้ชื่อว่า “หนังใหญ่ไฟกะลา” ซึ่งก่อนจะมาเปลี่ยนรูปแบบการเล่นในโรงมหรสพ หรือ เล่นแบบฉายด้วยไฟฟ้านั้นคนโบราณมีการเล่นหนังด้วยการใช้ไฟจากกะลามะพร้าวในการเป็นต้นกำเนิดแสง เงา
ปัจจุบันเป็นของหาชมยากซึ่งแต่ละชุมชนมีการจัดงานเทศกาลดังกล่าวปีละครั้งเพื่อเป็นการทำนุบำรุงประเพณีการเล่นเก่าๆ ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ชมกัน ซึ่งจัดร่วมกับวัด ชุมชน และโรงเรียน เป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนเอง
เทียมสูรย์ สิริศรีศักดิ์-- "หนังใหญ่กระจายไปทั่วภาคกลางของไทยตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 20 มีความเปลี่ยนแปลงทางสังคมค่อนข้างมากทั้งจากภาวะสงคราม การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รวมถึงการเข้ามาของมหรสพสมัยใหม่ เช่น ภาพยนตร์ ก็ทำให้ความนิยมหนังใหญ่ซบเซาลงมากจนเกือบจะสูญหาย แต่หนังใหญ่ที่สามารถแสดงอยู่ได้ และสามารถรักษาบุคลากรที่เกี่ยวข้องมีเพียงสามแห่ง คือวัดขนอน จังหวัดราชบุรี วัดบ้านดอน จังหวัดระยอง และวัดสว่างอารมณ์ จังหวัด สิงห์บุรี โดยทั้งสามมีความพยายามในการฟื้นฟูหนังใหญ่ขึ้น ได้ดำเนินการมากว่า 30 ปีแล้ว"
“ฉะนั้นการฟื้นฟูหนังใหญ่โดยชุมชนหนังใหญ่ดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นตัวอย่าง เป็นแรงบันดาลใจให้แก่การฟื้นฟูศิลปะการแสดงอื่นๆ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติเลยก็ว่าได้ ทางรัฐบาลไทยเองจึงได้ดำเนินการเตรียมเสนอขอขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโก ประเภทแผนงานโครงการและกิจกรรมที่มีการสงวนรักษาที่ดี (Register of Good Safeguarding Practices) เพื่อให้การฟื้นฟูชุมชนหนังใหญ่ในประเทศไทยให้เป็นที่รู้จัก เป็นแรงบันดาลใจให้แก่การฟื้นฟูมรดกวัฒนธรรมทั่วโลก”
อ่าน หนังใหญ่ไทยสู่ยูเนสโก: การฟื้นฟูมรดกทางวัฒนธรรมหนังใหญ่โดยชุมชน โดย จารุวรรณ ด้วงคำจันทร์ เรื่องและภาพ
https://field-feel.com/nangyai-crnt-goodsafeguardingpractices

14/08/2025

ความเชื่อเรื่องผีและอำนาจเหนือธรรมชาติอื่นๆ ในท้องถิ่นอีสานดำรงอยู่คู่ขนานไปกับศาสนากระแสหลักมาโดยตลอด และเปลี่ยนรูปคู่ไปกับสังคมสมัยใหม่
ผีแถน ผีฟ้าอยู่ในจิตวิญญาณ และร่างทรงหรือผู้ประกอบพิธีกรรมมีสถานะของการเป็นผู้ต่อรองกับอำนาจเหล่านี้
พิธีกรรมลำผีฟ้า-ผีแถน เป็นพิธีกรรมทางความเชื่อที่ถือเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมของคนอีสานในหลายกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะกลุ่มไท-ลาว เพื่อบำบัดเยียวยาผู้ป่วย แม้ว่าการแพทย์สมัยใหม่จะเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนในยุคสมัยนี้แต่ความเชื่อดั้งเดิมก็ยังอยู่ในวิถี ในวัฒนธรรม การเยียวยารักษาที่ว่านั้นอย่างน้อยมันก็คือกำลังใจของทั้งผู้ป่วย และญาติ แม้ว่าผู้ที่ถูกรักษานั้นร่างกายจะอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ยังมีความเชื่อที่ว่า “ขวัญ” นั้นอยู่ที่บ้าน อยู่ที่นอน หมอน มุ้ง ของผู้ป่วย
ดนตรีหล่อเลี้ยงให้พิธีกรรมสมบูรณ์ขึ้น และพิธีกรรมหล่อเลี้ยงให้ดนตรีดำรงอยู่ ปรับเปลี่ยนและแปรผันตามรูปแบบสังคม เศรษฐกิจที่ดำเนินต่อไป
ชวนอ่าน จากแคนถึงแถน: ประสบการณ์ภาคสนามที่คน ดนตรี สนทนากับผี โดย จารุวรรณ ด้วงคำจันทร์ https://field-feel.com/ethnomusicology-religion-ritual
ขอบคุณ ดิว เพลินเหวิ่น, นนทกร สุชาติ , อาทิตย์ บุญมาเรือง

11 สิงหาคม 2518 รำลึกวันที่องค์พระธาตุพนมล้มครบ 50 ปีเหตุการณ์องค์พระธาตุพนมล้มด้วยภัยจากธรรมชาติ ถือเป็นความสูญเสียที่ใ...
11/08/2025

11 สิงหาคม 2518 รำลึกวันที่องค์พระธาตุพนมล้มครบ 50 ปี
เหตุการณ์องค์พระธาตุพนมล้มด้วยภัยจากธรรมชาติ ถือเป็นความสูญเสียที่ใหญ่หลวงของผู้คนทั้งสองฝั่งโขง มีเรื่องราวประวัติศาสตร์ความทรงจำจากคนเฒ่าคนแก่ที่รำลึกถึงความเสียหายทั้งน้ำตา ดังกลอนลำที่ว่า
“ในคืนนั้นมีคนฝันแปลกประหลาด ว่าพระธาตุสิหล่มลงสิ้นใส่ดิน..คนพากันโศกา โศกศัลย์พันมื้อ” ลำอาลัยพระธาตุพนม ฉวีวรรณ ดำเนิน https://www.youtube.com/watch?app=desktop&v=FQKnv0cbKDg...
องค์พระธาตุพนมอยู่ในสำนึกร่วมทางความเชื่อของผู้คนทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงมาอย่างยาวนาน อีกทั้งพระธาตุพนมยังเป็นพื้นที่ในการแสดงออกทางศิลปวัฒนธรรมของผู้คนในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งปรากฏเห็นจากหลักฐานของพัฒนาการและหลักฐานทางในทางโบราณคดีต่างๆ ในรูปแบบขององค์พระธาตุพนมที่มีการบูรณะมาโดยตลอด
การบูรณะองค์พระธาตุพนมมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตามตำนานเล่าว่าองค์พระธาตุพนมนั้นสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 8 เมื่อหลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้แปดปีก็ตาม หลักฐานทางโบราณคดีได้ชี้ว่าระยะแรกของการสร้างพระธาตุพนมนั้นอยู่ในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 – 14 มีลักษณะเป็นเทวาลัยแบบศาสนาฮินดู ซึ่งเป็นช่วงที่วัฒนธรรมจามโบราณที่อยู่ทางภาคกลางไปจนถึงทางตอนใต้ของเวียดนาม และวัฒนธรรมเขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร (ศิลปะแบบไพรกเมง) ได้แพร่เข้ามาสู่ดินแดนลุ่มแม่น้ำโขง
ในระยะต่อมาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 14 จนถึงประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 มีการบูรณะปรับเปลี่ยนรูปแบบการสร้าง โดยได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนานิกายมหายาน ในราวพุทธศตวรรษที่ 22 ปีพ.ศ. 2233 – 2235 ได้รับอิทธิพลจากพุทธนิกายเถรวาทบูรณปฏิสังขรณ์ให้เป็นพระมหาธาตุเจดีย์ เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งบูรณะโดยท่านราชครูโพนสะเม็กจากเมืองเวียงจันทน์ โดยช่างจากนครเวียงจันทน์ ในการบูรณะครั้งนี้ได้รับอิทธิพลรูปแบบส่วนยอดมาจากพระธาตุหลวงที่นครเวียงจันทน์ โดยเปลี่ยนเปลงรูปทรงชั้นหลังคาให้เป็นยอดเจดีย์ทรงบัวเหลี่ยม ซึ่งน่าจะเป็นการกำหนดรูปแบบที่แน่นอนและได้กลายเป็นแบบฉบับของงานก่อสร้างองค์พระธาตุในภาคอีสานตอนบน
ระหว่าง พ.ศ. 2349 – 2356 มีผู้บูรณปฏิสังขรณ์ 3 คน คือ เจ้าอนุวงศ์ (โอรสเจ้าสิริบุญสาร) พระบรมราชา (สุดตา) เจ้าเมืองนครพนม และเจ้าพระยาจันทสุริยวงศา (กิ่ง) เจ้าเมืองมุกดาหาร ได้ลงมาบูรณะซ่อมแซม พระอุโบสถ สร้างถนนอิฐจากหน้าวัดไปท่าน้ำ ยาว 478 เมตร เรียกว่า ขัวตะพาน และสร้างหอพระ
ต่อมามีการบูรณะขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ.2444 โดยพระอุปัชฌาย์ทา วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์เลา กับคณะ ได้ธุดงค์มาถึงวัดพระธาตุพนมที่ทรุดโทรมและรกร้าง ขาดผู้ดูแลเนื่องจากกรณีเหตุการณ์ทางการเมืองเจ้าอนุวงศ์ จึงคิดจะบูรณปฏิสังขรณ์ แต่ท่านไม่ชำนาญ จึงได้เชิญพระครูวิโรจน์รัตโนบล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ทางการช่างมาซ่อมแซม โดยได้ทำการกะเทาะปูนเก่าที่ชำรุดแล้วโบกใหม่ ทาสีประดับกระจก กระเบื้องเคลือบในที่บางแห่ง และลงรักปิดทองที่ยอด
ในปี พ.ศ. 2483 เกิดกรณีพิพาทดินแดนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ในช่วงรัฐบาลคณะราษฎร พระธาตุพนมได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ โดยคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ รัฐมนตรีและอธิบดีกรมศิลปากรในขณะนั้นดำเนินการ ในการบูรณะพระธาตุพนม โดยการเทคอนกรีตเสริมเหล็กจากส่วนเหนือฐานหรือพระธาตุชั้นที่ 1 ขึ้นไปจนถึงยอดสุด และทำการต่อยอดให้สูงขึ้นไปอีก 10 เมตร และเพิ่มฉัตรทองคำเหนือยอดองค์พระธาตุ รูปแบบเจดีย์พระธาตุพนมมีลักษณะเป็นเจดีย์ที่มียอดเป็นบัวเหลี่ยมขนาดใหญ่ ประดับด้วยลวดลายในรูปทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ และมียอดเป็นฉัตรซ้อนชั้น ที่เรียกว่า “ฉัตราวลี” เป็นการบูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมภายใต้ความคิดทางการเมือง โดยใช้ศรัทธาจากประชาชนในแถบลุ่มน้ำโขงที่มีต่อพระธาตุพนม ด้วยการเสริมยอดองค์พระธาตุให้สูงตระหง่าน ปิดทองเหลืองอร่าม ให้ผู้คนมองเห็นแต่ไกล เป็นการชักจูงใจให้ผู้คนเข้าร่วมในราชอาณาจักรไทย
หลังจากนั้นองค์พระธาตุพนมพังทลายล้มลงเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2518 เวลา 19.38 นาฬิกา เนื่องจากพายุฟ้าฝนกระหน่ำ และผลจากแผ่นดินไหวในช่วงเดือนมีนาคม รัฐบาลไทยจึงได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2519 ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ. 2522 โดย นายประเวศ ลิมปรังษี สถาปนิก และคณะนายช่างกรมศิลปากร
ในหนึ่งกระแสให้ความเห็นว่าสาเหตุของการที่พระธาตุพนมพังในปี พ.ศ. 2518 นั้นเป็นผลจากการบูรณะต่อยอดองค์พระธาตุให้สูงโดยไม่มีการเสริมส่วนฐาน และมีการทำรูระบายอากาศรอบด้านในส่วนยอดทำให้น้ำฝนสามารถผ่านเข้าไปได้
องค์พระธาตุพนมถูกใช้ในอุดมการณ์มากมายทั้งถูกนิยามและช่วงชิงความหมายจากฝ่ายอำนาจต่างๆ ผ่านรากฐานทางความคิด ความเชื่อที่สร้างขึ้นโดยวาทกรรมผ่านตำนาน เรื่องเล่าท้องถิ่นมาจนถึงมีความหมายทางการเมือง เกิดจากการประกอบสร้างโดยชนชั้นนำหลายกลุ่มชาติพันธุ์โดยเฉพาะกลุ่มผู้นำลาวและรัฐไทยในปัจจุบัน และการพังทลายลงขององค์พระธาตุพนมก็ปรากฏการทับซ้อนของรูปแบบทางศิลปะ เห็นถึงความหลากหลายของผู้คนที่มีความศรัทธาให้สถานที่แห่งเดียวกันนี้
ในบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปพระธาตุพนมถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ในการกระตุ้นการท่องเที่ยวในแดนอีสาน เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้คนภายนอก เกิดแหล่งเศรษฐกิจใหม่ที่เติบโตขึ้นมาจากการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจที่พัก การเดินทาง ธุรกิจนำเที่ยว เป็นต้น
แต่พระธาตุพนมยังทำหน้าที่ทางสังคมในการเป็นศูนย์รวมจิตใจในทางความเชื่อของผู้คนและเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญของผู้คนสองฝั่งโขงมาโดยตลอด สามารถสื่อความหมายได้หลากมิติทั้งความเชื่อ การตั้งถิ่นฐานของผู้คน การเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่มีความซับซ้อนสามารถปรับเปลี่ยนและเลื่อนไหลไปตามยุคตามสมัย
ขอขอบคุณ ผศ.ดร. อมฤต หมวดทอง
เครดิตภาพ จาก แบบพระธาตุพนมองค์เสริมยอดใหม่ ,สถาปนิก. ประเวศ ลิมปรังษีและคณะ (ที่มา,หนังสือจดหมายเหตุการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุพนม พ.ศ.2518-2522, กรมศิลปากรจัดพิมพ์)
อ้างอิง
กรมศิลปากร. คลังความรู้เรื่องพระธาตุพนม. เข้าถึงได้ที่ http://www.finearts.go.th/fad10/parameters/

จุมพล เพิ่มแสงสุวรรณ. “พระธาตุพนม : การผลิตซ้ำทางสถาปัตยกรรมและความหมายเชิงสัญวิทยา”. วารสารไทยคดีศึกษา 5, 2 (เม.ย. – ก.ย. 2551), หน้า 178-227.

ผิน ทุ่งคา. 2561. พระธาตุพนม “พัง” เพราะศิลปะแบบชาตินิยมไทย (?). ในสโมสรศิลปวัฒนธรรม. เข้าถึงได้ที่ https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_5251

สมชาติ มณีโชติ. 2554. พระธาตุพนม : ศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ในมิติด้านสัญลักษณ์ทางสังคมวัฒนธรรม.ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาไทยคดีศึกษา. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเฉลิมฉลองให้แก่การเติบโตของระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ นับแต่ช่ว...
07/08/2025

ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเฉลิมฉลองให้แก่การเติบโตของระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ นับแต่ช่วง 1990 งานเขียน “Global Body Shopping” ได้ฉุดดึงผู้อ่านให้กลับมามอง “แรงงานทักษะด้านไอทีชาวอินเดีย” ที่เป็นฐานรากรองรับการเติบโตดังกล่าว โดยสนใจตั้งแต่เจตจำนงของแรงงาน ครอบครัว การแต่งงาน ระบบวรรณะ ระบบการศึกษา ไปจนถึงเครือข่ายของคนเชื้อชาติเดียวกันที่กระจายทั่วโลก เพื่อเน้นย้ำให้ผู้อ่านตระหนักว่าทุนนิยมไม่อาจตั้งมั่นอยู่ได้หากปราศจาก “ความสัมพันธ์ทางสังคม” เหล่านี้
เซียง เบียว (Xiang Biao) ศาสตราจารย์ชาวจีนด้านมานุษยวิทยาสังคม (social anthropology) ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ผู้สนใจประเด็นแรงงานข้ามชาติ เขียนหนังสือ “Global Body Shopping” เล่มนี้ ขณะกำลังศึกษาระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ก่อนจะได้รับการตีพิมพ์ในปี 2006 และทำให้เขาได้รับรางวัล “Anthony Leeds Prize” ในปี 2008 เป็นงานวิจัยที่เผยให้เห็นธุรกิจจัดหาแรงงานทักษะด้านไอที ชาวอินเดียให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ทั้งในออสเตรเลีย สิงค์โปร์ มาเลเซีย ยุโรป อเมริกา แอฟริกาใต้ ฯลฯ
หนังสือได้ตั้งคำถามสองประการว่า “แรงงานทักษะด้านไอทีชาวอินเดียเคลื่อนย้ายไปทั่วโลกได้อย่างไร” และ “แรงงานทักษะด้านไอทีชาวอินเดียมีประสบการณ์ต่อโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนอย่างไร”
โดยงานชิ้นนี้ถือเป็นตัวอย่างของวิธีการชาติพันธุ์วรรณนาหลายสนาม (multi-sited ethnography) เก็บข้อมูลทั้งในพื้นที่อินเดียและออสเตรเลีย โดยสัมภาษณ์แรงงานทักษะด้านไอทีชาวอินเดียนับร้อยคน จากสถาบันจัดหาแรงงานหลายแห่งในออสเตรเลีย ก่อนจะเดินทางย้อนมายังจุดกำเนิดแรงงานเหล่านี้ที่หมู่บ้านต่าง ๆ ในเมืองไฮเดอราบัด เพื่อสัมภาษณ์แรงงานทักษะด้านไอทีชาวอินเดีย ผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่รัฐ และนักวิชาการอีกหลายคน
มองแรงงานไอทีชาวอินเดียข้ามชาติ จาก Global “Body Shopping”:
An Indian Labor System in the Information Technology Industry
เขียนโดย Xiang Biao อ่านได้ที่ https://field-feel.com/book-globalbodyshopping
เรื่องโดย ณหทัย แสนมงคล

ที่อยู่

ฟิลด์/ฟิล มีเดีย (Field/Feel Media Co. , Ltd)
Chiang Mai
50180

เบอร์โทรศัพท์

+66942865641

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Field - feelผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Field - feel:

แชร์

ประเภท