22/09/2025
เมื่อ AI วิจารณืพรรคเด็ก และพรรคเพื่อไทย
จากสถานการณ์การเมืองล่าสุด ณ เดือนกันยายน 2568, คำถามที่ว่า "ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ร่วมมือกับพรรคประชาชนจะเกิดอะไรขึ้น" ไม่ใช่เรื่องสมมติอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริง
ปัจจุบัน แม้ทั้งสองพรรคจะอยู่ในสถานะ "ฝ่ายค้าน" เหมือนกัน แต่พรรคเพื่อไทยได้ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะทำหน้าที่ "ฝ่ายค้านอิสระ" และไม่เข้าร่วมวิปฝ่ายค้าน (คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน) ที่มีพรรคประชาชนเป็นแกนนำ การไม่ร่วมมือกันนี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในหลายมิติ ดังนี้ครับ
1. พลังในการตรวจสอบรัฐบาลอ่อนแอลงอย่างชัดเจน
นี่คือผลกระทบที่สำคัญที่สุด การทำงานของฝ่ายค้านในสภาต้องอาศัย "เสียงข้างมาก" ของฝ่ายค้านด้วยกันเพื่อกดดันรัฐบาล แต่เมื่อสองพรรคใหญ่ไม่ร่วมมือกัน จะเกิดภาวะ "ฝ่ายค้านเสียงแตก"
การอภิปรายไม่ไว้วางใจ: การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดของฝ่ายค้าน จะขาดเอกภาพและน้ำหนักในการลงมติ ทำให้ไม่สามารถกดดันรัฐบาลได้อย่างเต็มที่
การตรวจสอบในชั้นกรรมาธิการ: พลังในการตรวจสอบการใช้งบประมาณและโครงการต่างๆ ของรัฐบาลในชั้นคณะกรรมาธิการจะลดน้อยลง
กลไกการถ่วงดุลไม่สมบูรณ์: ผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคประชาชนยอมรับเองว่า การที่เพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านอิสระ ทำให้กลไกการตรวจสอบในระบบรัฐสภา "ไม่สมบูรณ์ 100%"
2. รัฐบาลเสียงข้างน้อยของภูมิใจไทยได้เปรียบ
สถานการณ์ "ฝ่ายค้านไม่ไว้วางใจกันเอง" ถือเป็นประโยชน์โดยตรงต่อรัฐบาลของคุณอนุทิน ชาญวีรกูล
บริหารงานง่ายขึ้น: รัฐบาลไม่ต้องเผชิญกับฝ่ายค้านที่เป็นเอกภาพ ทำให้ง่ายต่อการควบคุมเกมในสภา และสามารถผ่านกฎหมายสำคัญๆ ได้ง่ายกว่าที่ควรจะเป็น
มีอำนาจต่อรองสูง: รัฐบาลสามารถใช้โอกาสนี้ในการดึงเสียงสนับสนุนจาก สส. ในพรรคฝ่ายค้านเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้ง่ายขึ้น เพื่อสร้างเสถียรภาพให้แก่ตนเอง
3. เกิดการแข่งขันชิงมวลชนกันเองระหว่างฝ่ายค้าน
แทนที่จะมีเป้าหมายร่วมกันในการตรวจสอบรัฐบาล ทั้งสองพรรคกลับต้องแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงฐานเสียง "กลุ่มผู้สนับสนุนประชาธิปไตย"
การโจมตีกันเอง: เกิดปรากฏการณ์ที่พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนต่างวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกันและกัน เพื่อสร้างความโดดเด่นและช่วงชิงความไว้วางใจจากประชาชน
ภาพลักษณ์ในสายตาประชาชน: ประชาชนอาจมองว่าฝ่ายค้านมุ่งเน้นที่เกมการเมืองและความขัดแย้งส่วนตัว มากกว่าจะทำหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม ซึ่งอาจนำไปสู่ความเบื่อหน่ายทางการเมือง
4. ทิศทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งใหม่ไม่ชัดเจน
เดิมที พรรคประชาชนผลักดันให้เกิดการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ โดยหวังว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะกลับมาชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แต่การแยกกันเดินของสองพรรคใหญ่ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้น
ตัวเลือกของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง: ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนที่เคยเลือกพรรคใดพรรคหนึ่ง อาจต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง "พรรคที่รักษาสัญญาและอุดมการณ์" (พรรคประชาชน) กับ "พรรคที่มีประสบการณ์แต่พร้อมประนีประนอม" (พรรคเพื่อไทย) ซึ่งอาจทำให้คะแนนเสียงในขั้วเดียวกันถูกแบ่งกันไปมา และอาจส่งผลดีต่อขั้วรัฐบาลปัจจุบัน
โดยสรุป การที่พรรคเพื่อไทยไม่ร่วมมือกับพรรคประชาชน ได้ทำให้ฝ่ายค้านโดยรวมอ่อนแอลง เปิดโอกาสให้รัฐบาลทำงานได้สะดวกขึ้น และสร้างการแข่งขันทางการเมืองที่ดุเดือดระหว่างสองพรรค ซึ่งท้ายที่สุดอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ของการเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึง