
15/11/2024
ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ของ อ.แอ็ค เสมอ!!
เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง และทำให้เกิดผลในชีวิตของเราทุกคน
สวัสดีเช้าวันอาทิตย์ที่สดใหม่ และเป็นวันแห่งความหวังใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งรอคอยที่จะประทานพระพรและความรักให้กับเราทั้งหลาย
และแน่นอน...ก็เป็นเวลาสำหรับร่วมแบ่งปันพระคำของพระองค์เพื่อใช้เป็นเข็มทิศสำหรับการเดินทางชีวิตของพวกเราทุกคน
แต่ก่อนที่จะหยิบยกพระวจนะมาร่วมแบ่งปันกันนั้น ก็ต้องขออนุญาตตั้งคำถามต่อพวกเราทุกคนว่า...
พวกเรา “เชื่อในพระวจนะ” ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจริงอย่างแท้จริงหรือไม่ ?
และพวกเราเชื่อใช่ไหมครับว่าพระวจนะของพระองค์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเราให้ดีขึ้นได้ ?
ถ้าทั้งสองคำถามนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ “เชื่อ” เราก็เดินหน้าต่อสำหรับการแบ่งปันในเช้าวันนี้กันได้เลย
แต่ถ้าใครที่ยังไม่เชื่อ...ลองกลับไปเคลียร์ความคิดของตัวเองให้กระจ่างก่อนก็ได้ครับ
เพราะ “การยิงธนู” ถ้าไม่ง้างสายธนูให้แรงมากพอ แม้จะเล็งได้ตรงเป้าแล้วก็ตาม...ก็ไม่อาจทำให้ลูกธนูวิ่งไปถึงเป้าหมายได้
เป็นความจริงแท้แน่นอนว่าเมื่อเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อฟังในพระวจนะของพระองค์แล้ว...สุดท้ายทุกสิ่งในชีวิตจะเปี่ยมไปด้วยความหวัง พระพร และหนทางที่ถูกต้องซึ่งจะนำพาให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเสมอ
แต่ก็อาจมีบางคนที่ยังสงสัยว่า...ในเมื่อเชื่อในพระวจนะของพระองค์แล้ว...
ทำไมชีวิตจึงยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นเป็นรูปธรรมบ้างเลย
คำตอบอาจเป็นเพราะว่า...สิ่งที่เราเชื่อนั้น...ยังไม่เคยถูกนำมาใช้ในทางปฏิบัติอย่างชัดเจนเลยก็เป็นได้
อย่างที่ผมมักย้ำอยู่เสมอ ๆ ว่า...ถึงแม้เราจะมีความรู้และความเข้าใจเพียงใด แต่ถ้าไม่ได้นำมาใช้หรือปฏิบัติแล้ว
ผลลัพธ์ที่ได้มันก็ไม่ต่างจากการที่ไม่รู้ หรือการที่ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย !!
แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะให้ความรู้ที่ได้รับจากพระวจนะนั้นถูกนำมาใช้จริงได้
คำตอบคือ...พระวจนะหรือความรู้นั้นจะต้องถูกนำมาปรับใช้อย่างจริงจัง บ่อยครั้ง และถูกฝังลงไปในส่วนลึกของจิตใจและจิตวิญญาณอย่างแท้จริง จนเป็นเหมือนตะกอนที่พร้อมจะถูกนำขึ้นมาใช้งานในทุก ๆ สถานการณ์ชีวิต และใช้ได้ตลอดเวลาด้วย
นอกจากนั้นแล้ว...ความรู้แห่งพระวจนะนั้นควรจะถูกฝังลงไปในส่วนลึกของจิตใจและจิตวิญญาณอย่างแท้จริงและได้ผล
และเรื่องราวของพระธรรมฮาบากุกนั้นได้บอกหนทางเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้อย่างชัดเจน
ซึ่งสิ่งที่เราจะแบ่งปันกันในวันนี้คือการ “ขยายความ” ต่อจากการแบ่งปันพระธรรมเรื่องนี้ในคราวก่อน
ให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
นั่นก็คือ...การทำตามคำสอนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสสั่ง ฮาบากุก ว่า...ให้ “เขียนนิมิต” ของเขาลงไป
หรือถ้าจะให้เข้าใจง่ายกว่านั้นก็คือ พระองค์สั่งเขาว่า...
ถ้ามีความหวัง หรือความฝันว่าอยากให้อะไรเกิดขึ้นบ้าง ก็จงเขียนสิ่งนั้นลงไป
“จงเขียนนิมิตนั้นลงไป จงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้ชัดเจน เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง”
นอกจากที่จะต้องเขียนลงไปแล้ว พระองค์ยังทรงมีการเน้นถึงการทำเป็นแผ่นป้ายให้ชัดเจน...
เพื่อว่าทุกคนที่เดินผ่านไปมาจะสามารถเห็นและอ่านได้ง่าย
นั่นหมายรวมถึง...ตัวเขาเองด้วย
ซึ่งภายหลังจากที่ได้ลงมือทำตามที่พระองค์ทรงตรัสสั่งให้เขาทำแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดผลตามที่เขาได้เขียนนิมิตออกมา
แล้วพระคำตอนนี้สอนอะไรเราบ้างหรือ ?
ใช่ครับ สิ่งที่เราจะสามารถทำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตขึ้นได้นั่นก็คือ
ให้ลงมือทำบางอย่าง...ดังที่พระองค์ทรงตรัสสั่งกับฮาบากุก และนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตของเราเอง
นั่นคือ ให้เขียนทุกสิ่งที่ปรารถนา ความหวัง ความต้องการ หรือ “นิมิตในหัวใจ” ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุด
เคลียร์ทุกอย่างให้กระจ่างชัดว่าเราต้องการอะไรกันแน่...ไม่ปะปน หรือตีกันอยู่ในความคิดจนมั่วไปหมด
แล้วนำเอามาวางไว้ข้างหน้า เพื่อกระตุ้นเตือนหัวใจของเราเองให้ “จดจ่อ” และมุ่งมั่น
อยู่ในสิ่งที่เห็น อ่าน และออกเสียงมานั้นอย่างเต็มที่ ไม่ไขว้เขวไปกับเสียงรบกวนรอบข้างใด ๆ
ขออนุญาตย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า...ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดในชีวิตของเรานั้นจะเกิดขึ้นจริงและให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างไปจากเดิมได้
ก็ต่อเมื่อ...เราได้เปลี่ยนแปลงความคิดและจิตใจของเราเสียใหม่แล้วอย่างแท้จริง
เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะคิดแบบเดิม ทำแบบเดิม แล้วจะมาหวังว่าจะมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้
ถ้าฝันที่จะมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นโดยไม่ได้คิดที่จะลงมือเปลี่ยนแปลงหรือทำอะไรใหม่ ๆ เลย
แบบนั้นเรียกว่าฝันกลางวัน หรือฝันลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น
นั่นหมายความว่า...ถ้าตลอดชีวิตที่ผ่านมาเราไม่เคยคิดที่จะเขียนสิ่งที่ต้องการออกมาให้เห็นชัดเจนแล้ว...
วันนี้ถึงเวลาแล้วครับที่เราจะต้องเริ่มต้นทำในสิ่งใหม่...สิ่งที่เป็นพระวจนะของพระองค์อย่างแท้จริง
เอาล่ะครับ ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะเอาบทเรียนจากพระธรรมฮาบากุกมาประยุกต์ใช้อย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม
และประเด็นสำคัญนั่นคือ...การนำมาประยุกต์ใช้กับทุกเรื่องในชีวิต
ตัวอย่างแรก ถ้าโจทย์ในเรื่องนี้ คือ เราอยากเอาชนะความวิตกกังวล ความหวาดกลัว หรือต้องการที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ การงาน ผู้คน หรือความท้าทาย และต้องการที่จะเสริมความกล้าหาญให้กับตัวเองให้สามารถก้าวออกไปทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่
เมื่อใช้หลักการเดียวกันจากพระธรรมฮาบากุกนี้ ให้เราค้นหาพระวจนะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความกล้าหาญมาใช้
ซึ่งพระธรรมฟีลิปปี บทที่ 4 ข้อที่ 13 ที่อัครสาวกเปาโลกล่าวไว้ก็ให้ผลลัพธ์ที่ต้องการนี้ได้ นั่นคือ
“ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”
เขียนพระธรรมข้อนี้ลงไปในกระดาษ อาจเป็นกระดาษ A4 หรือกระดาษแข็งขนาดใหญ่ก็ได้ เอาให้ใหญ่มากพอ
เสร็จแล้วเอาไปติดไว้ตรงทางเดิน ตรงตู้เย็น หรือจุดอื่น ๆ ของบ้านที่เวลาเดินผ่านสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
และที่สำคัญ...ทุกครั้งที่เราเดินผ่านและมองเห็นก็ให้พูดออกเสียงให้ตัวเองได้ยินข้อพระคำนี้ด้วยเสมอ
ย้ำอีกครั้งนะครับว่านอกจากการเขียนและติดเอาไว้ให้เห็นได้ชัดเจนแล้ว
ที่สำคัญกว่าคือการ “อ่านข้อพระคำนี้” ให้ทุกครั้งที่เห็นหรือเดินผ่านเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ตามที่ตั้งใจ...
อย่าแค่ทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือทำด้วยใจคลางแคลงสงสัย ซึ่งแบบนั้นจะไม่ได้ผลอะไรเลย
ยิ่งเราออกเสียงพระวจนะให้ดังและเข้าถึงจิตใจของเรามากเท่าไร เราก็จะยิ่งมีความเชื่อมั่น ยิ่งฮึกเหิม
และกล้าที่จะก้าวออกไปเพื่อทำในสิ่งที่ปรารถนามากขึ้นเท่านั้น
จากงานวิจัยซึ่งบอกว่า...คนเราจะเชื่อในสิ่งที่เราพูดกับตัวเองมากกว่าสิ่งที่คนอื่นบอกกับเราเสมอ
และด้วยการออกเสียงอันดังนี้ จะช่วยกลบเสียงรบกวนหรือเสียงกระซิบที่มาจากมารซาตานได้เป็นอย่างดี
ใครบางคนที่ไม่ใช่ผู้เชื่อ...ซึ่งอาจจะไม่เชื่อและมองว่าเรื่องนี้ไร้สาระ
สมมุติว่า...ตลอดชีวิตของคุณต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความกลัวและไม่กล้าที่จะลงมือทำในสิ่งที่ปรารถนาแล้ว
ถ้าวิธีการนี้จะช่วยให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้...คุณจะไม่ลองทำดูเชียวหรือ ?
ที่ยกมานี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการนำเอาวิธีการจากพระวจนะมาประยุกต์ใช้ในชีวิต
ผมเชื่อว่าคนที่เคยทำวิธีการนี้แล้วจะรู้สึกได้เลยครับว่า...ประตูบานใหม่สู่โลกกว้างของเขาได้เปิดขึ้นแล้ว
และเขาก็น่าจะเริ่ม “สนุกกับชีวิต” ที่ถูกปลดล็อกและกล้าเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ ๆ เสมอ
จากนั้นลองค้นหาดูครับว่า...ยังมีเรื่องใดที่เราอยากพัฒนาตนเองอีกบ้าง หรือกระทั่งมีปัญหาเรื่องไหนที่เราอยากแก้ไข
ไปจนกระทั่งเรื่องของความฝัน ความหวังในชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อต้องการรักษาสุขภาพ ต้องการลดน้ำหนัก มีเป้าหมายที่จะเก็บออมเงินให้ได้ 1 ล้านบาทแรก ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับ AI อยากเก็บเงินเพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ ฯลฯ
ไม่ว่าจะเป็นความปรารถนาในสิ่งใดเราก็สามารถใช้วิธีการเขียนมันลงไปได้เช่นเดียวกัน
อย่าได้สงสัยในเรื่องนี้ครับ เพราะความสงสัยเป็นบ่อเกิดของความลังเลและการไม่ลงมือทำในสิ่งที่ควรทำ
ต้องจดจำไว้เสมอครับว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นผู้เสริมกำลังเราให้สามารถกระทำทุกสิ่งได้
และนี่คือหลักการที่เราสามารถนำพระวจนะของพระองค์เพียงหนึ่งรูปแบบจากคำสอนนับพันนับหมื่นจากพระคัมภีร์
มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อให้เกิดผล และสามารถปฏิบัติได้จริง
เชื่อเถอะครับว่า...พระวจนะของพระองค์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง
ขอเพียงเมื่อเราเชื่อฟังอย่างแท้จริงแล้วก็ให้นำเอาสิ่งที่พระองค์ทรงสอนสั่งนั้นมาปรับใช้ในชีวิตจริงด้วย
และนั่นจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในชีวิตของเราทุกคนได้อย่างแท้จริง...ตามพระสัญญา
ข้าแต่พระบิดาผู้สถิตบนสวรรค์
ลูกทั้งหลายขอขอบพระคุณพระวจนะของพระองค์ที่ช่วยชี้ทางสว่างและเป็นประตูที่เปิดกว้าง
นำพาไปสู่หนทางใหม่ที่เคยถูกปิดตายไปด้วยความไม่รู้ และความเขลาเบาปัญญา
ลูกขอนำพระคำอันมีค่าของพระองค์ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตอย่างจริงจัง
เพื่อให้ผลลัพธ์ สิ่งที่คาดหวัง และความปรารถนาของลูกเป็นจริงด้วยฤทธิ์อำนาจและพระพรอันยิ่งใหญ่จากพระองค์
ลูกอธิษฐานและขอบคุณพระองค์...ในนามองค์พระเยซูคริสต์เจ้า
Amen