ฝ่ายรายการ สทท.ขอนแก่น

ฝ่ายรายการ สทท.ขอนแก่น ฝ่ายรายการ สทท.ขอนแก่น
Tel./Fax. 043-364595

พม. เผย ไทยยังคงระดับเทียร์ 2 ปีที่ 4 บูรณาการทุกภาคส่วน ป้องกัน-ปราบปรามค้ามนุษย์พม. เผย ไทยยังคงระดับ เทียร์ 2 ปีที่ 4...
17/10/2025

พม. เผย ไทยยังคงระดับเทียร์ 2 ปีที่ 4 บูรณาการทุกภาคส่วน ป้องกัน-ปราบปรามค้ามนุษย์

พม. เผย ไทยยังคงระดับ เทียร์ 2 ปีที่ 4 บูรณาการทุกภาคส่วน ป้องกัน-ปราบปรามการค้ามนุษย์
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจำปี ค.ศ. 2025 (2025 Trafficking in Persons Report) เมื่อวันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการจัดระดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ ใน 188 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยยังคงได้รับการจัดระดับให้อยู่ในระดับ 2 (Tier 2) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เป็นการสะท้อนถึงพัฒนาการสำคัญที่รัฐบาลไทยและภาคส่วนต่าง ๆ ได้บูรณาการร่วมกันในการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำ อาทิ การเพิ่มจำนวนการสืบสวน , การดำเนินคดีและการตัดสินลงโทษคดีค้ามนุษย์ , ความร่วมมือกับรัฐบาลต่างประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งกลับผู้เสียหายชาวต่างชาติที่หลบหนีจากการบังคับใช้แรงงานและการบังคับให้ก่ออาชญากรรมในปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์ในประเทศเพื่อนบ้าน , การจัดทำคู่มือด้านกงสุลเพื่อสนับสนุนผู้เสียหายที่ได้รับการช่วยเหลือ , การเปิดและดำเนินการศูนย์บูรณาการการคัดแยกและส่งต่อผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการรวมแบบฟอร์มคัดกรองเข้าด้วยกันเพื่อส่งเสริมความสอดคล้องในการระบุตัวผู้เสียหาย รวมถึงการปรับปรุงแนวทางให้ครอบคลุมถึงตัวชี้วัดการบังคับให้ก่ออาชญากรรมและแรงงานเด็กที่ถูกบังคับ จากข้อเสนอแนะของภาคประชาสังคม
นายกันตพงศ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวระบุอีกว่า ไทยยังไม่บรรลุมาตรฐานขั้นต่ำในบางประเด็น อาทิ การสัมภาษณ์ที่ไม่สอดคล้องกันระหว่างการตรวจแรงงานและการระบุตัวผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายจำนวนมากไม่ได้รับการระบุตัวและไม่ได้รับการดูแล โดยเฉพาะผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานและการบังคับให้ก่ออาชญากรรม , ข้อกำหนดตามกฎหมายที่กำหนดให้ผู้เสียหายต่างชาติส่วนใหญ่ต้องพักอยู่ในสถานคุ้มครองตลอดกระบวนการดำเนินคดี เป็นอุปสรรคต่อการที่เหยื่อจะรายงานการถูกแสวงหาประโยชน์หรือยอมเข้าร่วมเป็นพยาน , บริการที่รัฐจัดให้ยังมีช่องว่างสำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท และคุณภาพของบริการมีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ รวมถึงปัญหาคอร์รัปชันและการสมรู้ร่วมคิดของเจ้าหน้าที่รัฐยังคงเป็นอุปสรรคต่อความพยายามต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะตามแนวชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ มีการให้ข้อเสนอแนะสำคัญต่อการดำเนินงานของประเทศไทย จำนวน 11 ข้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเด็นต่อเนื่องจากข้อเสนอแนะเดิมในปี 2567นายกันตพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับปีนี้ กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้ออกรายงานล่าช้ากว่าทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่มักจะออกรายงานในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมของทุกปี ทั้งนี้ กระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วน จะได้มีการขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และสอดคล้องกับข้อเสนอแนะ เพื่อให้มีพัฒนาการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทยเป็นที่ประจักษ์ต่อสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปกป้องคุ้มครองประชาชนคนไทยและพลเมืองจากประเทศอื่น ไม่ให้ถูกละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และถูกแสวงหาประโยชน์จากขบวนการค้ามนุษย์ นำไปสู่การรวบรวมผลงานเพื่อจัดทำรายงานฉบับปี 2568 ต่อไป

'ตรีนุช' ลุย 3 นโยบายเร่งด่วน แก้วิกฤตขาดแคลนแรงงาน-ยกระดับสวัสดิการ2 ตุลาคม 2568 นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกร...
17/10/2025

'ตรีนุช' ลุย 3 นโยบายเร่งด่วน แก้วิกฤตขาดแคลนแรงงาน-ยกระดับสวัสดิการ

2 ตุลาคม 2568 นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบนโยบายขับเคลื่อนภารกิจงานกระทรวงแรงงานให้แก่คณะผู้บริหารและบุคลากรกระทรวงแรงงานเพื่อกำหนดเป้าหมายในการเร่งแก้ไขปัญหาแรงงานที่เร่งด่วนและสำคัญ เช่น ปัญหาขาดแคลนแรงงาน, การเร่งพัฒนาทักษะ Upskill และ Reskill ให้แรงงานไทย และการส่งเสริมสวัสดิการแรงงาน โดยมุ่งเป้าเดินหน้านโยบายแรงงานให้สอดรับกับความท้าทายทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมย้ำหลักการทำงานโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานทุกกลุ่ม ณ อาคารกระทรวงแรงงาน กรุงเทพฯนางสาวตรีนุช ระบุว่า ปัญหาสำคัญที่กระทรวงแรงงานต้องเร่งแก้ไข คือ การขาดแคลนแรงงานในภาคธุรกิจที่เป็นผลกระทบมาจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยจะเร่งดำเนินการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการจ้างแรงงานสัญชาติอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ศรีลังกา รวมถึงการเปิดโอกาสให้ผู้หนีภัยจากการสู้รบในเมียนมาสามารถเข้ามาเป็นแรงงานทดแทนที่ทำงานได้ชั่วคราว ซึ่งได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ตลอดจนการเร่งรัดการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อป้องกันปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย
อีกหนึ่งนโยบายสำคัญ คือ การพัฒนาทักษะ Upskill และ Reskill ให้แรงงานไทยก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจะบูรณาการร่วมกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างทักษะใหม่ เช่น ภาษาและปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมเดินหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 ช่างอเนกประสงค์ ที่มุ่งสร้างแรงงานแบบ Multi Skills และสนับสนุนเครื่องมือทำกินหลังการฝึกอบรม รวมถึงการจัดอบรมอาชีพให้นักศึกษาช่วงปิดภาคเรียนเพื่อรองรับนโยบายส่งเสริมการจ้างงาน
ในส่วนของสวัสดิการแรงงานนั้น นางสาวตรีนุช รมว.แรงงาน เน้นย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วนโดยจะปรับแก้กฎกระทรวงเพื่อให้แรงงานได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย เช่น การสู้รบบริเวณชายแดน และยกระดับสิทธิประโยชน์ประกันสังคมสำหรับแรงงานนอกระบบตามมาตรา 40 เช่น เพิ่มเงินทดแทนกรณีทุพพลภาพจาก 1,000 บาท เป็น 3,000 บาทต่อเดือน, เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรจาก 200 บาทเป็น 300 บาทต่อคน รวมถึงการปรับค่าทดแทนการขาดรายได้รักษาพยาบาลจาก 50 บาทเป็น 200 บาทต่อครั้งซึ่งในส่วนนี้จะเป็นการยกระดับความมั่นคงและคุณภาพชีวิตให้แก่แรงงานนอกระบบเพิ่มมากขึ้นนอกจากนี้ยังมุ่งขยายโอกาสให้แรงงานไทยมีงานทำในต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องขับเคลื่อนนโยบายขยายตลาดแรงงานเชิงรุก โดยใช้กลไกทูตแรงงานใน 12 ประเทศที่มีศักยภาพในการจ้างงาน เพื่อเพิ่มการจ้างงานและดูแลสิทธิประโยชน์แรงงานไทยในต่างแดน รวมทั้งการเดินหน้าพัฒนาระบบบริหารจัดการแรงงานด้วยเทคโนโลยี ผ่านการจัดทำฐานข้อมูลแรงงานแห่งชาติและ Thai National Resume เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลแรงงานทั้งระบบให้อยู่ในการดูแลของกระทรวงแรงงาน ตลอดจนการนำร่อง Sandbox One Stop Service ในพื้นที่ศักยภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่แรงงานและผู้ประกอบการให้ได้รับบริการแบบครบวงจรในที่เดียว
"นโยบายเหล่านี้มีเป้าหมาย เพื่อแก้ไขจัดการปัญหาเร่งด่วนที่กำลังเกิดขึ้นและการวางรากฐานในระยะยาว ทั้งด้านการจัดการแรงงานต่างด้าว การพัฒนาทักษะ การเสริมสวัสดิการ การเปิดตลาดแรงงานต่างประเทศ และการใช้เทคโนโลยีมาขับเคลื่อนระบบแรงงานไทยให้มีความมั่นคง แข่งขันได้ และสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต โดยภายใต้การขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงแรงงานนี้จะเป็นไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายหลักคือการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานทุกกลุ่ม" นางสาวตรีนุช รมว.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

สหรัฐฯ จัด “กัมพูชา” เทียร์ต่ำสุด มีปัญหาค้ามนุษย์ ชี้รัฐบาลสมคบคิดสหรัฐฯ จัด กัมพูชา อยู่เทียร์ต่ำสุด ในรายงาน TIP ประจ...
17/10/2025

สหรัฐฯ จัด “กัมพูชา” เทียร์ต่ำสุด มีปัญหาค้ามนุษย์ ชี้รัฐบาลสมคบคิด

สหรัฐฯ จัด กัมพูชา อยู่เทียร์ต่ำสุด ในรายงาน TIP ประจำปี มีปัญหาค้ามนุษย์ ชี้รัฐบาลสมคบคิด และไม่ลงโทษผู้กระทำผิด ขณะที่ไทยอยู่ลำดับเดิม
เว็บไซต์ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เผยแพร่ รายงานการค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons – TIP) ประจำปี 2568 โดยจากการตรวจสอบพบว่าประเทศไทยยังถูกจัดในระดับเทียร์ 2 ที่เดิมกับปีที่แล้ว
โดยในรายงาน TIP ระบุว่า แม้ว่าภาพรวมของไทยจะดีขึ้นกับช่วงก่อนหน้านี้ ประเทศไทยยังคงขาดมาตรฐานขั้นต่ำสากลในหลายด้าน การสัมภาษณ์ที่ไม่สอดคล้องกันระหว่างการตรวจแรงงานและการประเมินผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายจำนวนมากไม่สามารถระบุตัวตนได้และไม่ได้รับการสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถูกบังคับใช้แรงงานหรือกระทำความผิดทางอาญา
รวมถึงการให้บริการยังคงไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท การทุจริตและการสมรู้ร่วมคิดของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะตามพื้นที่ชายแดน ยังคงเป็นอุปสรรคต่อความพยายามในการปราบปรามการค้ามนุษย์ในไทย
ขณะที่ประเทศกัมพูชา อยู่ในระดับเทียร์ 3 ซึ่งเป็นเทียร์ต่ำสุด โดยระบุว่า รัฐบาลกัมพูชามีรูปแบบการเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ในปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ประโยชน์ทางการเงิน จากปฏิบัติการค้ามนุษย์ต่างๆ นานา ส่วนเจ้าหน้าที่อื่นๆ ข่มขู่เหยื่อ, พยาน และกลุ่มประชาสังคมทั้งหลาย ที่ทำงานต่อสู้กับการหลอกลวงทางออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์
การที่รัฐบาลไม่พยายามเอาผิดกับผู้กระทำความผิด ส่งผลให้เกิดบรรยากาศที่ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ เจ้าหน้าที่ไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบแรงงานต่างชาติและแรงงานกัมพูชาอย่างเชิงรุกและเป็นระบบเพื่อหาสัญญาณของการค้ามนุษย์ และเลือกที่จะแทรกแซงเฉพาะบางกรณีเพื่อช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์
โดยเฉพาะเมื่อมีแรงกดดันจากคณะทูตต่างประเทศหรือบางองค์กรภาคประชาสังคมในกรณีที่เกี่ยวข้องกับเหยื่อต่างชาติที่ติดอยู่ในปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์ ส่งผลให้ยังมีเหยื่อการค้ามนุษย์นับพันคนติดอยู่พื้นที่

ต้องเร่ง 'ไทย' พัฒนาทักษะ AI สร้างแรงงานแห่งอนาคตปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เป็นเครื่องมือสำคัญในกา...
17/10/2025

ต้องเร่ง 'ไทย' พัฒนาทักษะ AI สร้างแรงงานแห่งอนาคต

ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมทั่วโลก ขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังเร่งเดินหน้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ แต่คำถามสำคัญคือ แรงงานไทยพร้อมใช้งาน AI อย่างเต็มศักยภาพหรือไม่? ไม่ใช่เพียงการใช้ AI แทนที่ แต่เป็นการใช้ AI เสริมศักยภาพมนุษย์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลและสร้างคุณค่าเพิ่ม
ประเด็นนี้ได้รับการหยิบยกขึ้นเป็นหัวข้อหลักในงานสัมมนา “Bridging Academia and Industry with AI Innovation” จัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดย SkillUp แพลตฟอร์มระดับโลกที่ช่วยให้นักเรียนและนักศึกษาพัฒนาทักษะที่ตลาดงานต้องการ และเชื่อมโยงไปสู่เส้นทางอาชีพอย่างเป็นรูปธรรม งานนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Deloitte และมีผู้แทนจากภาครัฐ นักวิชาการ และภาคธุรกิจเข้าร่วมอภิปรายเพื่อระบุแนวทางลดช่องว่างทักษะและเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนและแรงงานไทยในโลกที่การทำงานเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า 74.1% ของคนไทยยังมีทักษะดิจิทัลต่ำกว่ามาตรฐาน ขณะที่ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่าประเทศไทยยังขาดแคลนบุคลากรด้าน AI กว่า 8 หมื่นคน ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขับเคลื่อนนวัตกรรม และอาจบั่นทอนเป้าหมายในการก้าวสู่ประเทศรายได้สูงภายในปี 2580 ภายใต้วิสัยทัศน์ Thailand 4.0
เกร็ก วัตคินส์ ผู้อำนวยการบริหาร สภาหอการค้าอังกฤษแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ประสิทธิผลของ AI ขึ้นอยู่กับคุณภาพของคำถามที่ถาม เหมือนกับการใช้โทรศัพท์มือถือหรือเครื่องมือใด ๆ เราไม่สามารถใช้ AI แทนที่การเรียนรู้ได้ สิ่งสำคัญคือการเชื่อมโยงสิ่งที่นักเรียนเรียนในโรงเรียนเข้ากับการใช้ AI เป็นเครื่องมือในทุกการประยุกต์และทุกอุตสาหกรรม เพื่อให้คนทำงานสามารถเข้าทำงานและสร้างผลงานได้ทันที
ด้าน Yean Feng Yue หัวหน้าฝ่าย Corporate Social Responsibility ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ IBM เน้นว่า อนาคตเป็นของผู้ที่สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีและ AI ได้ ในขณะที่ AI ทำงานบางส่วน มนุษย์ต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและยกระดับตนเองไปสู่บทบาทที่มีคุณค่ามากขึ้น รวมถึงการสร้างทักษะใหม่ ๆ เช่น ด้านจริยธรรมของ AI เนื่องจาก AI อาจสร้างข้อมูลผิดหรือข่าวปลอม บทบาทนักจริยธรรม AI และผู้กำหนดนโยบาย AI จะมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคตดร.นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร Clients & Industries ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า อนาคตการจ้างงานจะเน้นที่ทักษะเป็นหลัก ไม่ใช่เพียงว่าผู้คนสามารถทำงานในสายวิชาชีพได้ แต่ต้องมีทักษะอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อโยกย้ายสายงานได้อย่างราบรื่น ทักษะด้าน Soft Skills เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ ความยืดหยุ่น และความใฝ่รู้จึงมีความสำคัญอย่างมาก
เช่นเดียวกับ นายภิริยพงศ์ แจ้งเจนเวศน์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมคุณวุฒิวิชาชีพ (TPQI) ที่ชี้ว่า หลายองค์กรเริ่มฝึกทักษะเชิงวิชาชีพและทักษะทางเทคนิคภายในงาน แต่สิ่งที่สถาบันการศึกษาควรเน้นคือ Soft Skills และความพร้อมสู่โลกการทำงาน เช่น ความใฝ่รู้ ความมุ่งมั่น และความสามารถในการปรับตัว
ความร่วมมือระหว่าง SkillUp และ TPQI ผ่านการลงนาม MoU ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการบูรณาการการเรียนรู้และการพัฒนาอาชีพของประเทศเข้ากับมาตรฐานอุตสาหกรรม เพื่อให้นักศึกษาได้มีเส้นทางอาชีพที่ชัดเจนและตอบโจทย์ตลาดแรงงานยุคใหม่
ขณะที่นางนิสากร ทรงมณี Talent Leader และ Audit and Assurance Partner ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดแรงงานเคลื่อนไหวเร็วอย่างไม่เคยมีมาก่อน เราต้องเตรียมแรงงานไทยให้พร้อมไม่เพียงปรับตัว แต่สามารถสร้างอาชีพที่แตกต่าง SkillUp จึงเป็นระบบนิเวศที่เปิดโอกาสการเรียนรู้และสร้างแรงงานแห่งอนาคต ปัจจุบันส่งผลกระทบต่อชีวิตนักศึกษาไทยกว่า 220,000 คน และจำนวนนี้ยังเพิ่มขึ้นทุกวัน

พลิกโฉมการศึกษา รับมือ 'ความย้อนแย้งแรงงาน AI' พัฒนาคนสู่ 'ผู้ร่วมสร้างคุณค่า' ในปี พ.ศ. 2571ผู้นำองค์กร 92% เผชิญภาวะแร...
17/10/2025

พลิกโฉมการศึกษา รับมือ 'ความย้อนแย้งแรงงาน AI' พัฒนาคนสู่ 'ผู้ร่วมสร้างคุณค่า' ในปี พ.ศ. 2571

ผู้นำองค์กร 92% เผชิญภาวะแรงงานเกินความจำเป็นในบทบาทเดิม ขณะที่ 94% ขาดแคลนทักษะสำคัญด้าน AI (ปัญญาประดิษฐ์) อย่างหนัก การศึกษาไทยต้องเร่งปรับหลักสูตรและกลยุทธ์ เพื่อเปลี่ยนคนจาก "ผู้ถูกแทนที่" เป็น "ผู้ร่วมออกแบบ" การทำงานร่วมกับ AI ก่อนจะสายเกินไป
AI เขย่าโลกการทำงาน องค์กรเผชิญ "ส่วนเกิน-ส่วนขาด" พร้อมกัน
รายงานล่าสุดจากผลสำรวจผู้บริหารระดับสูง 1,010 คนทั่วโลก เผยให้เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยมี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เชิงสร้างสรรค์และเชิงผู้แทน (Generative and Agentic AI) เป็นตัวเร่ง โดยระบุว่า ภาวะ "ความย้อนแย้งด้านแรงงาน" (The workforce paradox) กำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
1. ภาวะแรงงานเกินความจำเป็น (Overcapacity) ในบทบาทเดิม
• ผู้บริหารกว่า 92% ยอมรับว่ามีแรงงานเกินความจำเป็นถึง 20% ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในตำแหน่งงานที่ต้องทำซ้ำๆ เช่น งานสนับสนุนลูกค้า (Customer Support), งานหลังบ้าน (Back-office), งานการเงินแบบทำธุรกรรม และงานธุรการ ซึ่งถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ
• ภายใน พ.ศ. 2571 เกือบครึ่งหนึ่งของผู้นำคาดการณ์ว่าจะมีแรงงานเกินความจำเป็นสูงถึง 30% ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
2. ภาวะขาดแคลนทักษะวิกฤตด้าน AI (Scarcity)
ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารถึง 94% เผชิญปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่มี ทักษะสำคัญด้าน AI โดยหนึ่งในสามรายงานว่ามีช่องว่างของทักษะสูงถึง 40% หรือมากกว่า
• ตำแหน่งงานที่เป็นที่ต้องการใหม่ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้าน ธรรมาภิบาล AI (AI Governance), วิศวกรพร้อมท์ (Prompt Engineering), ผู้ออกแบบกระบวนการทำงานแบบตัวแทน (Agentic Workflow Design) และ ผู้เชี่ยวชาญด้านความร่วมมือระหว่างมนุษย์กับ AI (Human-AI Collaboration Specialists)
• แม้คาดว่าภาวะขาดแคลนจะลดลง แต่ภายใน พ.ศ. 2571 ผู้นำเกือบครึ่งยังคงคาดว่าจะมีช่องว่างของทักษะในบทบาทวิกฤตเหล่านี้ถึง 20-40%
การศึกษาคือหัวใจ 4 สิ่งที่ผู้นำและสถาบันต้องเร่งทำ
เพื่อรับมือกับความย้อนแย้งนี้ องค์กรและระบบการศึกษาต้องเร่งปรับตัว โดยรายงานได้เน้นย้ำถึง 4 ประเด็นสำคัญที่ต้องดำเนินการ
การยกระดับและพัฒนาทักษะใหม่ (Reskilling and Upskilling)
• ต้องถือว่าการพัฒนาทักษะเป็น การลงทุนหลัก ไม่ใช่แค่โครงการเสริม ผู้นำกว่าครึ่งกำลังดำเนินการอยู่ แต่ยังขาดขนาดที่เพียงพอ
• แกนหลักของการฝึกอบรม คือการสอนให้พนักงานทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การออกแบบคำสั่ง (Prompts), การกำกับดูแลระบบตัวแทน (Supervising Agents), และการตีความผลลัพธ์
การปรับโครงสร้างบทบาทงานใหม่ (Redesigning Roles)
• งานกำลังเปลี่ยนจาก "การลงมือทำ" เป็น "การจัดการและกำกับดูแล" (Orchestration) มนุษย์จะกลายเป็น นักออกแบบ ผู้ตรวจสอบ และผู้ควบคุม ของระบบตัวแทนอัจฉริยะ
• ผู้นำเกือบ 52% จัดให้ การออกแบบงานใหม่ เป็นภารกิจสำคัญอันดับแรก โดยต้องมีการกำหนดคำบรรยายลักษณะงาน สิทธิในการตัดสินใจ และกรอบความรับผิดชอบใหม่
การบูรณาการแผนกำลังคนเข้ากับยุทธศาสตร์ AI
• ปัจจุบันมีเพียง 46% ขององค์กรที่รวมแผนกำลังคนเข้ากับแผนงาน AI อย่างจริงจัง ซึ่งอาจทำให้การเปลี่ยนแปลงหยุดชะงัก
• จำเป็นต้องมีการ วางแผนสถานการณ์ (Scenario Planning) ในระยะ 5 ปี เพื่อให้การคาดการณ์ทักษะสอดคล้องกับการนำ AI มาใช้
• การใช้กลยุทธ์ทรัพยากรมนุษย์อย่างครบวงจร
• เพื่อลดผลกระทบ องค์กรต้องใช้แนวทางผสมผสาน เช่น การโยกย้ายตำแหน่ง (Redeployment), การฝึกอบรมข้ามสายงาน (Cross-training), และการใช้ตลาดแลกเปลี่ยนความสามารถที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-powered talent marketplaces) เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและส่งเสริมการหมุนเวียนภายใน
• AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเพิ่มผลผลิต แต่เป็นการ กำหนดความสามารถในการแข่งขันและความยืดหยุ่นขององค์กร ผู้นำและสถาบันการศึกษาที่ไม่ลงมือจัดการและปรับเปลี่ยนกำลังคนให้สอดคล้องกับยุค AI อย่างเด็ดขาด จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่การเปลี่ยนแปลงจะหยุดชะงัก
• สำหรับประเทศไทย การปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา โดยเฉพาะในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา เพื่อเน้นทักษะด้าน การคิดเชิงวิเคราะห์, การแก้ปัญหา, ความคิดสร้างสรรค์, และทักษะเฉพาะทางด้าน AI เช่น Prompt Engineering จะเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนจาก "ผู้ที่ถูกแทนที่" ในงานเดิม สู่ "ผู้ร่วมสร้างสรรค์คุณค่า" ที่ทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเปิดประตูสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในทศวรรษหน้า

'อนุสรณ์' ชี้อนาคตเศรษฐกิจและการลงทุนภายใต้รัฐบาลใหม่ 4 เดือนอนาคตเศรษฐกิจและการลงทุนภายใต้รัฐบาลใหม่ 4 เดือน เสนอมาตรกา...
17/10/2025

'อนุสรณ์' ชี้อนาคตเศรษฐกิจและการลงทุนภายใต้รัฐบาลใหม่ 4 เดือน

อนาคตเศรษฐกิจและการลงทุนภายใต้รัฐบาลใหม่ 4 เดือน เสนอมาตรการเร่งด่วน 7 ข้อ ก่อนคืนอำนาจให้ปชช. มุ่งสร้างเสถียรภาพการเมือง เพื่อปรับโครงสร้าง-ปฏิรูปเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 12 ต.ค. รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ระบบและสถาบันทางเศรษฐกิจ สถาบันทางด้านการลงทุนของไทยมีความมั่นคงและเข้มแข็งระดับหนึ่งในการรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลย่อมนำมาสู่ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายและมาตรการต่างๆทางเศรษฐกิจ การชะลอตัวของการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนย่อมเกิดขึ้น การชะลอตัวของการลงทุนจะมากหรือน้อยอยู่ที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้รวดเร็วแค่ไหนและองค์ประกอบของคณะรัฐมนตรีประกอบไปด้วยคนดีมีความรู้ความสามารถหรือไม่ ความเชื่อมั่นการลงทุนอาจสั่นคลอนมากขึ้นหากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเร็ว แม้นจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้แล้ว แต่มีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลใหม่อาจอยู่ไม่นานยิ่งทำให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างและการปฏิรูปเศรษฐกิจไม่สามารถทำได้ในระยะนี้ รวมทั้งโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รอกระบวนการตัดสินใจต้องชะลอออกไปก่อน จนกว่าหลังการเลือกตั้งในอีก 4-6 เดือนข้างหน้า ซึ่ง เราหวังว่าจะได้รัฐบาลเสียงข้างมากที่มีเสถียรภาพหากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองยังเป็นไปตามวิถีทางแห่งกฎหมายและครรลองของระบอบประชาธิปไตยตามกลไกรัฐสภา ผลกระทบทางเศรษฐกิจและการลงทุนจะอยู่ในระดับจำกัดและสามารถบริหารจัดการได้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ระดับ 2% ยังมีความเป็นไปได้ โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกอยู่ที่ 3% และ คาดว่า เศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ทั้งการขยายตัวของภาคส่งออกที่อาจเริ่มติดลบตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป การชะลอตัวของภาคการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกอาจติดลบ โดยการขยายตัวของภาคการลงทุนเป็นบวกในช่วงครึ่งปีแรก การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 1.4% ภาครัฐขยายตัว 17.5% หากรัฐสภาสามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ในวันที่ 3 กันยายน ตลาดการเงินและตลาดหุ้นไทยน่าจะตอบสนองในทางบวก

รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ขอเสนอมาตรการเร่งด่วน 7 ข้อต่อรัฐบาลใหม่ให้มีการดำเนินการก่อนคืนอำนาจให้ประชาชน ดังนี้ มาตรการแรก เจรจาหารือกับรัฐบาลกัมพูชาเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดการปะทะกับตามแนวชายแดนไทยกัมพูชารอบใหม่ เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนและทหาร ป้องกันความเสียหายทางเศรษฐกิจและทรัพย์สิน มาตรการที่สอง ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกัมพูชาให้กลับสู่ภาวะปรกติและเปิดด่านชายแดนเพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจการค้าสามารถดำเนินการได้ตามปรกติ มาตรการที่สาม เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 โดยเฉพาะงบลงทุนและเร่งรัดการดำเนินการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับอนุมัติแล้ว มาตรการที่สี่ สนับสนุนการขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชนให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มาตรการที่ห้า ออกมาตรการลดผลกระทบที่เกิดจากกำแพงภาษีและมาตรการกีดกันการค้าจากสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติมโดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีและรักษาการจ้างงาน มาตรการที่หก มาตรการดูแลผลกระทบจากความผันผวนของสภาพภูมิอากาศต่อภาคเกษตรกรรมและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ มาตรการที่เจ็ด มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและผ่อนคลายการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น

รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวต่อว่า ส่วนนโยบายหรือมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจคงไม่สามารถดำเนินการอะไรได้มากนักในรัฐบาลใหม่ที่อายุ 4 เดือน การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการปฏิรูปเศรษฐกิจในบางมิตินั้นต้องอาศัยความมีเสถียรภาพทางการเมืองและรัฐบาลต้องอยู่ยาวนานพอ อาจจะเกิดขึ้นได้หลังการเลือกตั้งหากได้รัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาด การถดถอยลงของภาคส่งออกจากการชะลอของเศรษฐกิจโลก เป็นสิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องหันมาเอาใจใส่อย่างจริงจังในเรื่องการยกระดับขีดความสามารถของสินค้าไทยและการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้นประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมของไทย (Total Factor Productivity of Thailand) นั้นยังมีอัตราการเติบโตต่ำ ธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีผลิตภาพสูงส่วนใหญ่เป็นโรงงานการผลิตของบรรษัทข้ามชาติที่มีการใช้เทคโนโลยีและทุนเข้มข้น งานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพการผลิตรวมของไทยขยายตัวต่ำกว่า 1.2-1.3% ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระดับประสิทธิภาพในการผลิต (Productive Efficiency) อยู่กึ่งกลางระหว่างประเทศที่ใช้แรงงานเป็นหลักและประเทศที่ใช้ทุนเป็นหลักจึงสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันนี้จะยาวนานมากจนกว่าไทยสามารถพัฒนากิจการที่มูลค่าเพิ่มสูง การผลิตใช้ปัจจัยทุนหรือเทคโนโลยีเข้มข้น พร้อมกับ สามารถพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีของตัวเอง ปัจจัยประสิทธิภาพการผลิตนี้เป็นสิ่งที่ส่งผลต่อพื้นฐานความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ซึ่งแตกต่างจากปัจจัยค่าแรง นโยบายสาธารณะ และ อำนาจตลาดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วและใช้เวลาสั้นกว่ามาก ภาวะการตกต่ำของภาคส่งออกไทยโดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมบางตัวจะเกิดขึ้นอย่างยาวนานหากไม่สามารถปรับปรุงผลิตภาพการผลิตได้ จากประสบการณ์ของประเทศที่สามารถก้าวข้ามพ้นกับดักรายได้ระดับปานกลางได้ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ นั้น ภาครัฐจะต้องเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาระดับความสามารถทางการผลิตของประเทศเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลก

การกดค่าแรงไม่ใช่นโยบายที่ถูกต้อง เพื่อนร่วมชาติผู้ใช้แรงงานต้องได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนแรกเข้าสูงขึ้นเป็นนโยบายที่จะช่วยบรรเทาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ต้องมีมาตรการเชิงรุกอื่นๆเพิ่มเติมจึงสามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเรื้อรังที่ต้นตอได้ การเติบโตด้วยการขับเคลื่อนจากฐานทรัพยากร และ ฐานแรงงานราคาถูกนั้นได้มาถึงขีดจำกัดอย่างชัดเจนและพ้นยุคสมัยไปแล้ว ความทรุดโทรมทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ของประเทศ แม้นแต่อากาศและน้ำสะอาดก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ในหลายพื้นที่ของประเทศ ภาคการผลิตของเศรษฐกิจไทยไม่สามารถอาศัยแรงงานทักษะต่ำราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านไปเรื่อยๆโดยไม่คิดยกระดับทักษะแรงงานเหล่านี้ เราควรปฏิบัติต่อแรงงานต่างด้าวอย่างมีมาตรฐานและสิ่งนี้เป็นการแสดงความมีศิวิไลซ์ของสังคมไทย การปฏิรูปเศรษฐกิจให้เกิดความเท่าเทียมจึงต้องเกี่ยวข้องกับการจัดการเรื่องทุนโดยเฉพาะทุนขนาดใหญ่ที่มีลักษณะผูกขาด ให้กลาย เป็นทุนที่แข่งขันกันอย่างเสรี เราต้องมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่อาศัยนวัตกรรมและขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ไม่ใช่มีเพียงกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่อาศัยสัมปทานผูกขาดจากภาครัฐ ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการทางภาษีในการแบ่งปันกำไรส่วนเกินมากระจายให้กับสังคมผ่านระบบสวัสดิการหรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจไปยังพื้นที่ยากจนรศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวต่อว่า การปฏิรูปทางด้านระบบสถาบันและกฎระเบียบ (Institution and Regulation Reform) ต้องมุ่งไปที่การลดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ความด้อยประสิทธิภาพ ขั้นตอนที่ล่าช้า และทำให้เกิดความแน่นอนต่อเนื่อง ความคงเส้นคงวาและความมั่นคงเชื่อถือได้ของระบบสถาบันและกฎระเบียบ การปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานต้องเน้นไปที่การลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ในมิติทางภูมิศาสตร์ทางด้านเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน ไทยมีความพร้อม ในการเป็นศูนย์กลางทางโลจิสติกส์โดยเฉพาะการเชื่อมโยงการขนส่งทางบกได้เป็นอย่างดี

การปฏิรูประบบสวัสดิการสังคม มุ่งไปที่การสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและลดความเหลื่อมล้ำ และวางแผนให้เกิดความยั่งยืนทางการเงิน

การปฏิรูประบบการศึกษา ต้องเน้น “คุณภาพการศึกษา” ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ การพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์นอกจากเป็นไปเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวแล้วยังมีความจำเป็นต่อการหักล้างกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากสังคมผู้สูงอายุที่ไทยต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยประสบกับปัญหาความไม่สอดคล้องระหว่างความต้องการและอุปทานในตลาดแรงงาน การผลิตคนสู่ภาคการผลิตของเรายังไม่ได้อิงกับอุปสงค์ของระบบเศรษฐกิจเท่าไหร่นัก แต่สถาบันการศึกษาเลือกผลิตคนตามความพร้อมของตน นอกจากนี้ระบบการศึกษายังผลิตคนตามความนิยมและค่านิยมในการเรียนมากกว่าความต้องการจริงๆในระบบเศรษฐกิจ ผลิตคนจบมหาวิทยาลัยออกมาจำนวนมากเพราะมองว่าคนจบจากมหาวิทยาลัยมีสถานะที่สูงกว่า ระบบการศึกษาไทย จึงเป็น Supply Driven Education System คุณภาพทางด้านการศึกษาระดับสูงของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องเนื่องจากการลงทุนทางด้านวิจัยและการค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการอุดมศึกษาไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความด้อยลงของคุณภาพการศึกษาสะท้อนมาที่แรงงานที่มีผลิตภาพต่ำ การปฏิรูปการศึกษาให้มีคุณภาพมากขึ้น จะทำให้ผลิตภาพแรงงานสูงขึ้นพร้อมกับคุณภาพความเป็นพลเมือง สิ่งนี้จะทำให้เศรษฐกิจและระบอบประชาธิปไตยมั่นคงเข้มแข็ง

ก.แรงงาน เซ็น MOU จุฬาฯ ผนึกกำลังวิชาการ พัฒนาทักษะคน ตอบโจทย์ยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนผ่านกระทรวงแรงงาน ผนึกความร่วมมือ จุฬาฯ...
17/10/2025

ก.แรงงาน เซ็น MOU จุฬาฯ ผนึกกำลังวิชาการ พัฒนาทักษะคน ตอบโจทย์ยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนผ่าน

กระทรวงแรงงาน ผนึกความร่วมมือ จุฬาฯ พัฒนาทักษะกำลังคน สู่แรงงานคุณภาพด้วยความร่วมมือทางวิชาการ ตอบโจทย์ยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนผ่าน

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อยกระดับศักยภาพกำลังคนของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนผ่าน เมื่อวันพุธที่ 8 ตุลาคม 2568 ณ ห้อง 202 อาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยมี นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประธานในพิธีลงนาม พร้อม ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและนายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน มี รศ.ดร.ศิริเดช สุชีวะ รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและนายภัทรวุธ เภอแสละ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมลงนามเป็นสักขีพยานนางสาวตรีนุช กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้มุ่งผลักดันการยกระดับฝีมือแรงงานไทยให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ผ่านการพัฒนาหลักสูตรร่วม การฝึกอบรม การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ และการเชื่อมโยงสู่ระบบธนาคารหน่วยกิตของจุฬาฯ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อทั้งนักศึกษาและแรงงานในระบบและนอกระบบ โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะแรงงานที่นับเป็นหัวใจสำคัญของการยกระดับประเทศ ซึ่งความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นนำอย่างจุฬาฯ จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างแรงงานคุณภาพที่พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในยุคดิจิทัลในโอกาสนี้ ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า เป็นการบูรณาการองค์ความรู้ทางวิชาการและการวิจัยของจุฬาฯ กับประสบการณ์ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อร่วมกันยกระดับสมรรถนะของกำลังแรงงานให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การพัฒนาทักษะอาชีพและการเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างแรงงานคุณภาพของประเทศ “จุฬาฯ มุ่งมั่นเป็นมหาวิทยาลัยแห่งนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมและประเทศชาติ ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาและแรงงานไทยได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความรู้ ทักษะ และการเทียบโอนสมรรถนะ เพื่อเข้าสู่ระบบการศึกษาที่สูงขึ้นและรองรับการจ้างงานในอนาคต” ศ.ดร.วิเลิศ กล่าว

ด้าน นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่าถึงสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจนี้ ว่า บันทึกความเข้าใจความร่วมมือฉบับนี้ จะมุ่งครอบคลุมความร่วมมือในหลากหลายด้าน เช่น

– การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมและการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและเทคโนโลยีสมัยใหม่

– การร่วมกันผลิตสื่อ คู่มือ และแพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัล เพื่อพัฒนาทักษะวิชาชีพของแรงงาน

– การส่งเสริมการเทียบโอนสมรรถนะ จากการฝึกอบรมและประสบการณ์ทำงานเข้าสู่ระบบธนาคารหน่วยกิตของจุฬาฯ

– การสนับสนุนให้นักศึกษาเข้าฝึกงาน กับสถานประกอบการที่ได้รับสิทธิประโยชน์ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน

– การใช้ทรัพยากรร่วมกัน ระหว่างทั้งสองหน่วยงาน เช่น บุคลากร วิทยากร อาคารสถานที่ และเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ
ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาหลักสูตร กิจกรรม และการวิจัยที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและเทคโนโลยี พร้อมร่วมกันติดตามและประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_5402789

เวิลด์แบงก์เตือนเอเชียตะวันออก ตลาดแรงงานเจอศึกหลายด้าน ต้องปฏิรูปภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (East Asia Pacific: EA...
17/10/2025

เวิลด์แบงก์เตือนเอเชียตะวันออก ตลาดแรงงานเจอศึกหลายด้าน ต้องปฏิรูป

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (East Asia Pacific: EAP) เคยมีเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา โดยภาคส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือการผลิตสินค้าส่งออกซึ่งใช้แรงงานอย่างเข้มข้น ผลดีจากโครงสร้างเศรษฐกิจแบบที่ว่านี้คือมีคนจำนวนกว่าพันล้านคนที่ได้ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ พ้นจากความยากจน
สถานการณ์การจ้างงานใน EAP
รายงานระบุว่า อัตราการจ้างงานทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกอยู่ในระดับสูง คนส่วนใหญ่ที่หางานทำนั้นสามารถหางานได้ แต่คนหนุ่มสาว หรือคนเรียนจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์การทำงานกลับประสบปัญหาในการหางาน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวในจีนและอินโดนีเซียที่เป็นคนไม่มีงานทำสัดส่วน 1 ใน 7 คน
ปัญหาที่รายงานระบุคือ ประเทศต่างๆ ในภูมิภาค EAP ยังไม่ตระหนักอย่างเต็มที่ถึงประโยชน์ของการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคส่วนที่มีผลิตภาพต่ำไปสู่ภาคส่วนที่มีผลิตภาพสูงกว่า อีกทั้งยังมีการเคลื่อนย้ายในทิศทางตรงข้าม
โดยรายงานชี้ให้เห็นภาพว่า ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ถึง 1990 แรงงานย้ายจากภาคเกษตรกรรมไปสู่ภาคการผลิตและบริการที่มีผลิตภาพสูงกว่า ซึ่งขับเคลื่อนโดยการผลิตเพื่อการส่งออก แต่นับตั้งแต่ทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา การเคลื่อนย้ายแรงงานส่วนใหญ่มุ่งไปสู่งานที่มีผลิตภาพต่ำ ซึ่งมักเป็นงานบริการนอกระบบในธุรกิจค้าปลีกและก่อสร้าง
การพัฒนาแบบเดิมไม่พอสร้างงานที่ดี ต้องปฏิรูป
รายงานระบุว่า รูปแบบการพัฒนาแบบทั่วถึงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกที่เคยประสบความสำเร็จในอดีตกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ การเติบโตของการจ้างงานในช่วงที่ผ่านมาเกิดขึ้นในภาคบริการที่มีผลิตภาพต่ำและอยู่นอกระบบ ซึ่งมักมีโอกาสเติบโตในอาชีพจำกัด
แม้ว่าประชาชนกว่า 25 ล้านคนจะหลุดพ้นจากความยากจนในระหว่างปี 2025-2026 แต่ในหลายประเทศของภูมิภาคนี้ สัดส่วนของประชากรที่ยังคงมีความเปราะบางและเสี่ยงเข้าเขตภาวะยากจนมีจำนวนมากกว่ากลุ่มชนชั้นกลาง
คาร์ลอส เฟลิเป้ ฮารามิโย (Carlos Felipe Jaramillo) รองประธานธนาคารโลก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวในรายงานว่า ภูมิภาคนี้กำลังเผชิญกับภาวะความขัดแย้งของการจ้างงาน – คือมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งพอสมควร แต่กลับมีการสร้างงานที่มีคุณภาพไม่เพียงพอ
“การปฏิรูปที่กล้าหาญยิ่งขึ้น เพื่อขจัดอุปสรรคต่อการเข้าสู่ตลาดและการแข่งขันของภาคธุรกิจ จะช่วยเปิดทางให้กับเงินทุนภาคเอกชน และเอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจที่มีศักยภาพและผลิตภาพสูง อันจะนำไปสู่การสร้างโอกาสการจ้างงานใหม่ๆ” รองประธานธนาคารโลก ประจำภูมิภาค EAP กล่าว
รายงานฉบับนี้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปและการลงทุนในทุนมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยมีคำแนะนำเชิงนโยบายว่า ประเทศในภูมิภาค EAP ต้องการปฏิรูปเพื่อสร้างงานที่มีผลิตภาพสูง (productive jobs) มากขึ้น โดย (1) เสริมสร้างศักยภาพของมนุษย์ ปรับปรุงการดูแลสุขภาพ การศึกษา และการฝึกอบรม เสริมสร้างทักษะให้ผู้คนในการทำงานกับเทคโนโลยีใหม่ๆ (2) เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ตั้งแต่การขนส่งและพลังงานไปจนถึงดิจิทัล และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าสู่ตลาดของบริษัทใหม่และปลดล็อกเงินทุนภาคเอกชน และ (3) เพิ่มการประสานงานเพื่อให้มั่นใจว่าการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์และโอกาสทางเศรษฐกิจจะดำเนินไปอย่างราบรื่น
อ่านต่อที่ https://www.msn.com/th-th/news/other/เวิลด์แบงก์เตือนเอเชียตะวันออก-ตลาดแรงงานเจอศึกหลายด้าน-ต้องปฏิรูป/ar-AA1O0O9z?ocid=socialshare

ไทยไม่เจอปัญหาขาดแคลนแรงงานดังหวัง อ้อนขอกลับมาถ้าสถานการณ์สู่ปกติแล้วเว็บไซต์ข่าวกัมพูชา รายงานคำกล่าวของนายอนุทิน ชาญว...
17/10/2025

ไทยไม่เจอปัญหาขาดแคลนแรงงานดังหวัง อ้อนขอกลับมาถ้าสถานการณ์สู่ปกติแล้ว
เว็บไซต์ข่าวกัมพูชา รายงานคำกล่าวของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทยเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ กรณีอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยพม่าทำงานอย่างถูกกฎหมาย ชี้ถือเป็นการส่งสารอย่างชัดเจนไปยังกัมพูชา ว่าไทยจะไม่ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน แม้ชาวกัมพูชาพากันแห่แหนกลับประเทศ

สำนักข่าวคิริโพสต์ สื่อมวลชนกัมพูชาภาคภาษาอังกฤษ อ้างรายงานของสื่อมวลไทย ที่ระบุว่านายอนุทิน ได้แถลงเกี่ยวกับการอนุญาตให้พวกผู้ลี้ภัยชาวพม่าออกมาทำงานนอกพื้นที่พักพิงได้ไม่เกิน 1 ปี เป็นทางออกใหม่ แสดงให้เห็นถึงความพยายามด้านมนุษยธรรมของไทย ซึ่งเคยให้สัญญาว่าจะให้คนที่ปฏิบัติตามกฎหมายสามารถทำงานในไทยได้

คิริโพสต์ รายงานว่าในถ้อยแถลงของนายอนุทิน ไม่ได้เอ่ยชื่อกัมพูชาโดยตรง แต่บอกว่านโยบายใหม่นี้เป็นการส่งสารถึง ประเทศเพื่อนบ้านของไทย "มันจะเป็นการส่งสารถึงประเทศที่มีปัญหากับเรา อย่าคิดว่าไทยจะขาดแคลนแรงงาน ไม่ เราไม่ได้ขาดแคลนแรงงาน"ซุน เมษา โฆษกกระทรวงแรงงานและการฝึกอาชีพของกัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับคิริโพสต์เมื่อวันศุกร์(3ต.ค.) ระบุว่าเป็นสิทธิ์ของรัฐบาลไทยที่ตัดสินใจเลือกทางเลือกดังกล่าว "พวกเขามีสิทธิ์จ้างแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ และทุกคน ในนั้นรวมถึงชาวกัมพูชา สามารถตัดสินใจได้ว่าที่ไหนที่พวกเขาอยากทำงาน"

รายงานของคิริโพสต์ ระบุว่าแรงงานกัมพูชาหลายหมื่นคนเดินทางออกจากไทย นับตั้งแต่ความตึงเครียดตามแนวชายแดนเริ่มขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม กระตุ้นให้รัฐบาลไทยเสาะหาทรัพยากรมนุษย์ทางเลือกอื่นๆ จากศรีลังกาและพม่ามาทดแทน

ในเดือนเมษายน รัฐบาลไทยหันไปหาศรีลังกา เพื่อเติมช่องว่างในตลาดแรงงาน หลังรัฐบาลกัมพูชาเรียกร้องให้แรงงานกัมพูชากลับมาตุภูมิ รายงานข่าวหนึ่งของรอยเตอร์ระบุว่ามีชาวศรีลังกากว่า 300,000 คน ที่ลงทะเบียนในโครงการแรงงาน โดยที่แรงงานกลุ่มแรก 10,000 คน กำลังถูกส่งมายังประเทศไทย

ซุน เมษา บอกว่ามีแรงงานกัมพูชาเกือบ 940,000 คน ที่ข้ามชายแดนกลับประเทศ นับตั้งแต่รัฐบาลร้องขอให้เดินทางกลับ แต่ในนั้นมีเพียงแค่ 300,000 คน ที่ได้งานทำแล้ว และอีกจำนวนหนึ่งหันไปทำงานนอกระบบ

Leung Sophon เจ้าหน้าที่จากศูนย์สมาพันธ์แรงงานและสิทธิมนุษยชนกัมพูชาในไทย เคยยอมรับกับคิริโพสต์ว่า ถ้าพวกที่เดินทางกลับประเทศ ไม่อาจหางานที่ดีทำในกัมพูชา พวกเขาอาจเดินทางกลับไทยอีกครั้ง เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติแล้ว

ที่อยู่

245/1 ถนนกลางเมือง
Khon Kaen
40000

เบอร์โทรศัพท์

+6643465775

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ฝ่ายรายการ สทท.ขอนแก่นผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ฝ่ายรายการ สทท.ขอนแก่น:

แชร์