20/10/2025
ผมจำคืนนั้นได้ดี... ช่วงเวลาตีสองที่โคตรจะง่วง อยากเลิกสุด ๆ เวลายังเหลือ แต่ร่างกายกับใจไม่เหลือแล้ว นั่งอยู่ใน CP ทำใจอยู่นาน จะไปต่อ หรือ ตัดบิบ
ตัดสินใจโทรหาเพื่อน ปลายสายบอกว่า
“เวลายังเหลือ อย่าเพิ่งตัดบิบ! ออกจาก CP ไปก่อน ไว้พระอาทิตย์ขึ้นค่อยไป DNF ที่ CP หน้า...”
อัลตร้า กับ "นาฬิกาชีวิต"
---------------
ใครที่เคยวิ่งเรซข้ามคืน คงเคยได้ยินคำปลอบใจทำนองนี้
ดูเหมือนเป็นคำพูดไปอย่างงั้นเพื่อลากให้เพื่อนอยู่ต่อ
แต่เบื้องหลังมีทั้งวิทยาศาสตร์และความหมายซ่อนอยู่
#กลางคืน: จุดต่ำสุดของนาฬิกาชีวภาพ
หลายสนามวิ่งอัลตร้ามักมีจังหวะนึงที่นักวิ่ง “พร้อมใจกันตัดบิบ”
เวลาเหล่านั้นมักค่ำมืด เช่น ในช่วงตีสองถึงตีห้า
นี่คือเวลาที่ circadian rhythm หรือ นาฬิกาชีวภาพ ของมนุษย์อยู่ในจุดต่ำที่สุด
| อ้างอิง: Race Analysis Western States 100 พบว่ามีนักวิ่งมากถึง 69% ที่ DNF ในช่วงกลางคืน (WSER, 2023)
อุณหภูมิร่างกายต่ำสุดก็อยู่ในช่วงนี้ "ฮอร์โมนเมลาโทนิน" ที่ทำหน้าที่ควบคุมวงจรการนอนหลับของร่างกายจะสูงเพื่อพยายามให้ร่างกายพักผ่อนด้วยการหลับ
สมองส่งสัญญาณชัดว่า “ควรนอน ไม่ใช่วิ่ง”
| อ้างอิง: เมลาโทนินสูงสุดช่วงกลางคืน (Nobari et al., 2023)
ดังนั้น CP ในช่วงค่ำคืนจึงเป็นอะไรที่นักวิ่งหลายคนจะรู้สึกไม่ต่างกันคือ…
"เข้าว่ายากแล้ว แต่ออกจากที่นั่นยากยิ่งกว่า"
#แสงแรก: โปรแกรมชีวิต Activated
แต่เมื่อเส้นขอบฟ้าเริ่มปรากฏ ร่างกายก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงจากภายใน
"คอร์ติซอล" ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่เหมือนคาเฟอีนในร่างกายจะพุ่งสูงเพื่อปลุกให้เราตื่น
| อ้างอิง: Cortisol awakening response (Dijk et al., 2012)
แสงแดดยังไปกระตุ้น "เซโรโทนิน" ฮอร์โมนที่ทำให้อารมณ์สดใส แรงจูงใจกลับมาอีกครั้ง
และเมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น กล้ามเนื้อก็พร้อมทำงานมากขึ้น
บางคนจะรู้สึก “สดชื่นขึ้นมา (บ้าง)” ทั้งที่ไม่ได้นอนเลยสักนาที
ดังนั้นแล้ว ถ้าคุณเพียงรู้สึกโคตรเหนื่อย แต่ไม่ได้บาดเจ็บหนัก
“อย่าเพิ่งตัดสินใจ DNF ตอนกลางคืน”
มันอาจไม่ใช่กำลังที่เราขาดไป แต่มันคือจังหวะเวลาที่เราต้องรอให้แสงแรกมาปลุกนาฬิกาชีวิต
แล้วก็บางที บทเรียนนี้ก็ไม่ใช่แค่เรื่องในสนามวิ่ง แต่ชีวิตก็ด้วย
เราต่างมีค่ำคืนที่ทำให้คิดจะถอย เราแค่ต้องอดทนรอจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น
ปล่อยให้ "นาฬิกาชีวิต" ทำงาน
“แสงแรก” อาจทำให้บางสิ่งเปลี่ยนไป...
หมู่บ้านอุลตร้า | Ultramad Runner’s