Ultramad Runner’s

Ultramad Runner’s “ผมเชื่อว่าการวิ่งนั้นเรียบง่ายและยากเย็นจนชั่วชีวิตอาจไม่เข้าใจมัน...”

สุดสัปดาห์นี้ก็เป็นอันสิ้นสุดเดือนกันยายน เตรียมต้อนรับเดือนตุลาคมพร้อมกับ Race day: CNX 100K Ultra Marathon ในสัปดาห์หน...
28/09/2025

สุดสัปดาห์นี้ก็เป็นอันสิ้นสุดเดือนกันยายน

เตรียมต้อนรับเดือนตุลาคมพร้อมกับ Race day: CNX 100K Ultra Marathon ในสัปดาห์หน้าเสาร์ที่ 4 ตุลาคมแล้วนะครับ

ช่วงเวลาในการซ้อมระยะพีคกับเพื่อนๆ ผ่านพ้นไป

ขอส่งท้าย 4 สัปดาห์ กับ 4 ภาพแห่งความประทับใจ

สำหรับกันยายนนี้ อาทิตย์นี้ และคืนนี้
ฝันดี 💤 ราตรีสวัสดิ์ครับเพื่อนๆ ❤️

หมู่บ้านอุลตร้า | Ultramad Runner’s

ปล. ภาพที่ดีมักมีอะไรซ่อนอยู่เสมอ…

“โดยเฉพาะคนที่โดนเพื่อนบัง !” 😄

ได้รับสติกเกอร์แล้วนะครับ ❤️🙏🏻 ขอบคุณพี่ป้อม Papapom Pom มากๆ ครับ ที่นึกถึงกัน ถ้ามีโอกาสจะซิตี้รันไปเช็คอินที่ Zixpax ...
28/09/2025

ได้รับสติกเกอร์แล้วนะครับ ❤️

🙏🏻 ขอบคุณพี่ป้อม Papapom Pom มากๆ ครับ ที่นึกถึงกัน ถ้ามีโอกาสจะซิตี้รันไปเช็คอินที่ Zixpax flagship store แน่นอนครับ 🤘

ปล. สติกเกอร์สวยมาก ผมจะขออนุญาตเอาไปแปะป้ายหมู่บ้านเป็นที่ระลึกนะครับ ☺️

หมู่บ้านอุลตร้า | Ultramad Runner’s

เมื่อวาน: เทเปอร์ด้วย 21k | 🌧️ runวันนี้: เทเปอร์ด้วย Coffee | ☕️runจบสัปดาห์ B2B ver.ฮีลใจ ❤️สัปดาห์หน้า Race day ละ ! ...
28/09/2025

เมื่อวาน: เทเปอร์ด้วย 21k | 🌧️ run

วันนี้: เทเปอร์ด้วย Coffee | ☕️run

จบสัปดาห์ B2B ver.ฮีลใจ ❤️

สัปดาห์หน้า Race day ละ ! พร้อม ?



ปล. ติ๊กเกอร์ใหม่จาก AooRun
แปะป้ายหมู่บ้านแล้วนะครับ ☺️

“อย่างที่บอกล่ะครับ บางครั้งระยะอะไรก็ไม่สำคัญเท่าเพื่อนมาเจอกันก็พอ…☺️” #ห้วยกระแทกเชื่อมใจ เราจะหนีคัทออฟที่  #สะพานเช...
27/09/2025

“อย่างที่บอกล่ะครับ บางครั้งระยะอะไรก็ไม่สำคัญเท่าเพื่อนมาเจอกันก็พอ…☺️”

#ห้วยกระแทกเชื่อมใจ เราจะหนีคัทออฟที่ #สะพานเชื่อมใจ ไปด้วยกัน 🤘



หมู่บ้านอุลตร้า | Ultramad Runner’s

กรณีฝนตกในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ของสัปดาห์เทเปอร์วีคนั้น…การนอนตื่นสายก็นับว่าน่าสนใจครับ เราอาจใช้โอกาสนี้ในการนอนสะสม...
26/09/2025

กรณีฝนตกในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ของสัปดาห์เทเปอร์วีคนั้น…

การนอนตื่นสายก็นับว่าน่าสนใจครับ เราอาจใช้โอกาสนี้ในการนอนสะสม (Sleep Banking)

อย่างไรก็ตาม นักวิ่งควรประเมินว่าช่วงเวลานั้นเราต้องการเพิ่มศักยภาพทางด้านไหน..ระหว่างศักยภาพทาง "กาย" หรือว่า "ใจ"

หากเลือกการปรับปรุงศักยภาพทางด้านกาย = ควรนอนตื่นสาย 😌💤

แต่หากสิ่งที่ต้องการในช่วงนั้นคือการฟื้นฟูจิตใจ = ควรเลือกเพื่อนและร้านกาแฟ ☺️☕️



บางทีชีวิตก็เป็นงี้ครับ มันอาจไม่ใช่แค่คำถามว่าอะไรดี ?
แต่คือคำถามว่า "ตอนนี้...อะไรดี?"

ผมไปวิ่งกับเพื่อนก่อนครับ 😂

หมู่บ้านอุลตร้า | Ultramad Runner’s

การจินตนาการถึงเรซตลอดเวลา ทำความรู้จักกับสนาม ดูคลิปที่เกี่ยวข้อง แปะ route เส้นทาง elevation profile ไว้หัวนอน นั่งดูม...
25/09/2025

การจินตนาการถึงเรซตลอดเวลา ทำความรู้จักกับสนาม ดูคลิปที่เกี่ยวข้อง แปะ route เส้นทาง elevation profile ไว้หัวนอน นั่งดูมันทุกคืน จะช่วยให้เราวิ่งในเรซจริงได้ดีขึ้นไหม ?

เปรียบเสมือนการอ่าน การติวหนังสือก่อนสอบ เมื่อไปลงสนามจริงแล้ว แผนเราจะแม่น...

อัลตร้า..กับ จินตนาการ
---------------

ออกตัวก่อนว่าบทความนี้ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะซ้อมแค่ในฝันนะครับ (ฮาา) แน่นอนว่าการซ้อมจริงย่อมต้องปฏิบัติ แต่หากช่วงนี้เป็นระยะเทเปอร์ก่อนจะถึง Race day ในอีกไม่กี่วัน ก็เหมาะมากครับกับเรื่องนี้

เลยอยากมาชวนคุยว่า การซ้อมในฝันเนี่ย มันก็มีประโยชน์นะ แล้วก็ไม่ใช่แค่เรื่องของความเชื่อ แต่มีงานวิจัยด้าน sport psychology และ motor imagery (การซ้อมด้วยภาพในจินตนาการ) ที่สนับสนุนแนวคิด

** อ้างอิง: Schuster et al. (2011), A meta-analysis of motor imagery training studies ยืนยันว่าการซ้อมแบบ imagery ช่วยเพิ่ม performance ได้จริง โดยเฉพาะกีฬา endurance และ skill-based **

ลองดูข้อมูลประกอบกัน

🧠 สมองไม่แยกชัดเจนระหว่างสิ่งที่เราจินตนาการกับสิ่งที่เราลงมือทำจริง

เวลาเรานั่งดูเส้นทาง ดู elevation profile ซ้ำๆ (ยกตัวอย่างโพสต์ก่อนหน้าที่พูดถึงเรื่อง Race CNX100) สมองจะเริ่มสร้าง "neural pathway” คล้ายกับตอนซ้อมจริงๆ เราจะเตรียมการล่วงหน้าได้ แม้เรานอนอยู่บนเตียง

เงื่อนไขคือ ข้อมูลต้องมากพอ เส้นทางจริงหากเคยเห็น ระยะทาง จุดสำคัญต่างๆ รวมถึงประสบการณ์ในการซ้อมจริงต้องมีควบคู่ เพื่อจินตนาการว่าถึงตรงนั้น เรา (น่าจะ) รู้สึกอย่างไร ? เจ็บตรงไหน ?

** อ้างอิง: Guillot & Collet (2008), Construction of motor imagery in athletes **

📚 เหมือนการติวหนังสือก่อนสอบ

เมื่อเราทบทวนบ่อยๆ ร่างกาย-จิตใจจะมี “cheat sheet” อยู่แล้วว่า

จุดนี้คือช่วงดันเนิน: เราจะเอามือไพล่หลังอัพฮิลล์ขึ้นไป

เลยไปอีกหน่อยถึงจุดให้น้ำ: เราจะหยิบอะไรใส่เป้แล้วออกเลย

ตรงนี้ 11 โมง แดดน่าจะเริ่มแรง: แว่นตา หมวกต้องเตรียม

เวลาเจอสถานการณ์จริง สมองจะไม่ตื่นตระหนก เพราะเคย “ทำซ้ำ” ซ้อมแผนมาหลายคืนแล้วในหัว

🏔️ ลดความไม่รู้ ลดความกลัว

หากเราไม่ทำการบ้านเลย ก็เหมือนเข้าห้องสอบแบบไม่เก็งข้อสอบ ไม่ได้ติวมาก่อนหน้า ไม่รู้ว่าข้อสอบจะออกอะไร ไปวัดเอาในห้อง แบบนี้ก็ใช้ได้นะกับนักวิ่งประสบการณ์สูง ขอข้อมูลแค่คัทออฟไทม์ กับระยะทางแต่ละ CP พอ

แต่นักวิ่งที่ไม่คุ้นสนาม บ่อยครั้งเราจะถอดใจให้กับความเซอร์ไพรส์ เรื่องนี้ผมว่าสำคัญมากสำหรับแนวหลัง

เพราะหากเราประมาทสนาม จะมีแต่ "เจ๊า กับ เจ๊ง"

เช่น ง่ายเหมือนที่คิดเลยแฮะ = เจ๊า

ไม่ก็ เฮ้ยไม่เหมือนที่คิดเลย โคตรยาก มันจะเกิด Stress เกิดความเครียดในใจ และฮอร์โมนแห่งความเครียดจะพากันตกใจและออกมาต้อนรับเรา กล้ามเนื้อก็จะพลอยล้า เพราะใจเรา "ฝ่อ" ไปแล้ว แบบนี้แหละเรียก “เจ๊ง”

แต่ถ้าเราทำการบ้านมาดี เส้นทางทั้งหลายอยู่ในหัว ไม่ประมาทสนาม ด้วย mindset แบบนี้ คำว่า "เจ๊า" ก็จะหมายถึง "นั่นไง ยากอย่างที่คิดเลย !" อย่างน้อยสมองก็ไม่ตกใจ

ส่วนถ้ามันออกมาง่าย ก็จะกลายเป็นดี เราจะเอ็นจอยกับเรซ อารมณ์แบบ "เฮ้ย ไม่ยากอย่างที่คิดว่ะ"
..

แน่นอนครับว่าจินตนาการไม่สามารถแทนที่การซ้อมในชีวิตจริงได้ แต่ทักษะนี้ก็เป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบที่จะทำให้เราอยู่กับแผนได้ตลอดเวลา แค่หลับตาเราก็ไปอยู่สะพานเชื่อมใจที่ CNX100 แล้ว

ลองรัน B2B ในชีวิตจริงเราอาจทำได้ไม่กี่ครั้ง แต่ถ้าเราฝึกจินตนาการกับเรซนั้นเราจะลองรันที่นั่นได้ทุกครั้งที่ต้องการ

คืนนี้ก็เช่นกันครับ..."เจอกันที่สะพานเชื่อมใจ เราจะซ้อมดันเนินขึ้นป่าสักงามไปด้วยกัน" 🤘

หมู่บ้านอุลตร้า | Ultramad Runner’s

ช่วง..เจาะสนามโค้งสุดท้าย !------------------CNX 100K Ultra Marathonจากโพสต์ที่แล้วได้พูดถึงรายละเอียดของ CNX100 (2023 V...
24/09/2025

ช่วง..เจาะสนามโค้งสุดท้าย !
------------------
CNX 100K Ultra Marathon

จากโพสต์ที่แล้วได้พูดถึงรายละเอียดของ CNX100 (2023 VS 2025) เพื่อนๆ สามารถตามไปดูได้ที่ลิ้งค์นี้ 👉 https://www.facebook.com/share/p/1CbXmZrMoW/?mibextid=wwXIfr

มาคราวนี้ CNX100 เปิด GPX มาให้ส่อง

ผมจึงได้แกะเกนของ New Route ปี 2025 และสิ่งที่ได้ค่อนข้างน่าสนใจ เลยอยากเอามาชวนคุยกันครับ

อย่างที่ทราบว่า CutOff ของ CNX100 ปีนี้มี 4 จุด (25 km, 55 km, 77 km และ 100 km)

** แต่ผมว่าสิ่งที่น่าหวาดหวั่นที่สุดคือกิโลเมตรที่ 55 : สะพานเชื่อมใจ **

นั่นเพราะ...เกนที่แกะได้จาก GPX พบว่าที่ระยะนั้น เราเก็บเกนไปแล้วมากถึง 800 เมตร (จากเกนทั้งหมดของสนามประมาณ 1300 เมตร)

ตัวเลขนี้หมายถึง...ครึ่งทางของ CNX 2025 เก็บเกนไปเกือบจะเท่าๆ ระยะ 100 แบบเต็มรูทของปี 2023 (เกนปี 2023 คือ 869 เมตร) ลองดูรูปล่างสุดครับ ตรงจุดที่แมวอยู่คือ ระยะ 55 เกนด้านซ้ายแสดงผล 800 เมตร

ยังไม่นับความชันหน้าตั้งแบบสีแดงๆ (ในรูป elevation profile) ที่อัดแน่นในช่วงทางไปจุดกลับตัวป่าสักงาม เส้นทางใหม่ของปีนี้

ส่วนสีอื่นๆ ที่เข้มน้อยกว่า ความชันก็จะลดหลั่นลงมาตามสี

ทีนี้ลองมาดู pace เฉลี่ยกันครับว่าเราต้องวิ่งประมาณไหน ?

⏰ CutOff2: ตรงระยะ 55 กิโลเมตร (สะพานเชื่อมใจ) มีเวลาให้ 10 ชั่วโมงนับจากเวลาปล่อยตัวตีสาม ตัดคัทออฟที่บ่ายโมงตรง

แต่ด้วยเกนสะสมที่มากถึง 800 เมตร เราจึงคำนวน pace โดยใช้แนวทาง km.effort เพื่อดู performance ในช่วงการซ้อมที่ผ่านมาของเรา

-------------------------------------
Dist. 55 km + Elev.gain 800 m = 63 km-e
-------------------------------------

** ถ้าจะวิ่งให้ทันคัทออฟบ่ายโมงพอดีเป๊ะ pace ที่ได้คือ 9.3 **

** ถ้าจะตุนบัฟเฟอร์ 1 ชั่วโมงเข้าตอนเที่ยง pace = 8.34 **

** และถ้าตุนบัฟเฟอร์ 2 ชั่วโมงเพื่อเข้า 11 โมงเช้า pace = 7.37 **
..

ตัวเลขพวกนี้คือ pace ที่เราควรทำได้ในช่วงการซ้อมที่ผ่านมา (ลองนึกภาพตามดูครับ ที่ผ่านมาเราซ้อมได้ pace ประมาณนี้ไหม ?)

ซึ่งผมแนะนำว่าแค่นึกภาพตามพอนะครับ ไม่ต้องไปลองรันแล้ว ช่วงนี้คือช่วงเทเปอร์ ระยะพีคควรจบลงไปแล้วที่สัปดาห์ก่อน

แต่ถึงแม้ระยะพีคทางกายจะจบไปแล้ว โชคดีครับที่เรายังเหลือระยะพีคทางใจ

เวลาอีกเกือบ 2 อาทิตย์ ก็ตระเวนไหว้พระ สวดมนต์ นอนสะสม กินของดีมีประโยชน์ หาอ่านหาดูอะไรที่มันฮีลใจ (บทความแปลกๆ ที่เรา ก็มีให้อ่านเยอะอยู่นะครับ 555+)

ยังไงก็ขอให้ทุกคนโชคดี เอ็นจอยยัวเรซกันทุกคน !

หมู่บ้านอุลตร้า | Ultramad Runner’s



end credit1: ผมชอบคอมเม้นนึงของโพสต์ที่แล้ว มีเพื่อนคนนึงกล่าวไว้ว่า "พุทโธ ธัมโม สังโฆ...กุจะรอดมั้ยน้ออ..." 😄

end credit2: อิมพอร์ท GPX ลงในนาฬิกา (Garmin) โชว์เกนแค่ 956 เมตร หวังว่าอันนี้จะจริง !

“เฮ้ย! นี่มัน 100 โลแล้วนะ ผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำไมแกร่งขนาดนั้น?”ผู้หญิงเกิดมาเพื่ออัลตร้า?----------------------เชื่อว่าหล...
23/09/2025

“เฮ้ย! นี่มัน 100 โลแล้วนะ ผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำไมแกร่งขนาดนั้น?”
ผู้หญิงเกิดมาเพื่ออัลตร้า?
----------------------

เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยสงสัยเรื่องนี้..

การเปรียบเทียบความสามารถของเพศหญิงและเพศชายในการแข่งขัน "อัลตร้ามาราธอน" เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะต่างจากการวิ่งระยะสั้นหรือมาราธอนตรงที่ ความอดทน, พลังใจ และการบริหารพลังงาน มีบทบาทสำคัญกว่าพลังกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว

หลายคนที่เคยเห็นนักวิ่งหญิงสายตามุ่งมั่นกำลังก้าวเท้าอยู่ในระยะเกือบร้อยกิโลเมตร คงต้องแอบถามตัวเองตัวเองในใจว่า “ทำไมอึดเบอร์นั้น?”

เมื่อลงลึกไปในข้อมูลทางด้านชีววิทยาและจิตใจ จะพบว่า ผู้หญิงมีข้อได้เปรียบในบางมิติ จนถึงขั้นที่งานวิจัยบางฉบับพบว่า ในระยะยาวมากๆ (เช่น 200 กิโลเมตรขึ้นไป) ผู้หญิงมีแนวโน้มที่สามารถทำเวลาได้เทียบเท่าหรือดีกว่าผู้ชายมากขึ้นเรื่อยๆ


เรามาดูข้อได้เปรียบทางชีววิทยาและจิตใจของนักวิ่งหญิงกัน

🧬 ด้านวิทยาศาสตร์และกายภาพ

เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย: นักวิ่งหญิงมีไขมันสูงกว่า (18–25%) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีสำหรับระยะทางไกล ในขณะที่ผู้ชาย (8–15%) เสี่ยงที่ไกลโคเจนจะหมดเร็วกว่า

การเผาผลาญไขมัน: ผู้หญิงเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าในความเข้มข้นต่ำ ช่วยให้รักษาระดับพลังงานได้นานกว่า ในขณะที่ผู้ชายเน้นใช้คาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก

อัตราการสูญเสียน้ำ: ด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง ที่มีคุณสมบัติช่วยปรับปรุงการคงที่ของน้ำและโซเดียมในร่างกาย จึงทำให้ร่างกายผู้หญิง “เก็บน้ำได้ดีกว่า” และเหงื่อออกช้ากว่า ส่งผลให้ลดโอกาส dehydration และ คงสมดุล electrolyte ได้นานกว่า

** อ้างอิง: Tarnopolsky, Sports Medicine (2008), Carter et al., Journal of Applied Physiology (2001), Kenefick et al., Journal of Athletic Training (2012)..

🧠 ด้านจิตใจ: Mindset

ความอดทนต่อความเจ็บปวด: งานวิจัยพบว่านักวิ่งหญิงจัดการกับความไม่สบายทางกาย (discomfort) ได้ดีกว่า

การ Pace ตัวเอง: ผู้หญิงมักจะรักษาระดับความเร็วได้คงที่กว่าในระยะทางไกล ในขณะที่ผู้ชายมักจะเปิดแรงและแผ่วลงในช่วงหลัง

อีโก้และการจัดการความเสี่ยง: ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีอีโก้น้อยกว่า ทำให้ยอมลดความเร็วเพื่อเอาตัวรอด จึงลดความเสี่ยงด้านต่างๆ ในสนามได้มาก

** อ้างอิง: Fillingim et al., Pain (2009), Deaner et al., Medicine & Science in Sports & Exercise (2015), The National Center for Biotechnology Information (NCBI)..

📊 สถิติและข้อมูลการแข่งขันจริง

Courtney Dauwalter ชนะ Moab240 ปี 2017 แบบทิ้งชายอันดับ 2 กว่า 10 ชั่วโมง

** Moab240 คือ งานวิ่งอัลตร้าระยะ 240 ไมล์ (385.70 กิโลเมตร) จัดขึ้นในเมืองโมอับ รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งต้องวิ่งผ่านทะเลทราย

ข้อมูลจาก ITRA ยังบอกอีกว่าในระยะ 200 กม. ขึ้นไป ช่องว่างเวลาเฉลี่ยชาย–หญิงเหลือเพียง ~3–5% (ต่างเพียงหลักนาที) และบางปีเป็นเพศหญิงที่ทำเวลาเฉลี่ยดีกว่าเพศชาย

** อ้างอิง: Knechtle et al., Extreme Physiology & Medicine (2014)..

จากข้อมูลทั้งหมดนี้จึงสรุปได้ว่า

"พ่อบ้านคนไหนมีแพสชั่นอยากจะชวนคุณแม่บ้านวิ่งอัลตร้า คิดดูให้ดีครับ ตัดภาพมาอีกที คุณอาจต้องผันตัวไปเป็น Supporter เพราะไมล์เลจคุณดูน่ารักไปเลยเมื่อเทียบกับของเธอ..."

ขออนุญาตไปกรอกน้ำใส่ขวดนิ่มก่อนครับ แม่บ้านเรียกสองครั้งแล้ว😌

หมู่บ้านอุลตร้า | Ultramad Runner’s

"ถ้าคุณนั่งบนเตาถ่านร้อน หนึ่งนาทีนานเท่าหนึ่งชั่วโมง แต่ถ้าคุณนั่งกับหญิงสาวสวย หนึ่งชั่วโมงนานเหมือนหนึ่งนาที..."อัลตร...
22/09/2025

"ถ้าคุณนั่งบนเตาถ่านร้อน หนึ่งนาทีนานเท่าหนึ่งชั่วโมง แต่ถ้าคุณนั่งกับหญิงสาวสวย หนึ่งชั่วโมงนานเหมือนหนึ่งนาที..."
อัลตร้ากับทฤษฎี
----------------
สัมพัทธภาพทางใจ

คำเปรียบเปรยด้านบนคือการอธิบายแนวคิดของไอน์สไตน์แบบง่ายๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสัมพัทธภาพของเวลาในความรู้สึกของมนุษย์ ขึ้นอยู่กับ “สิ่งที่เรามุ่งสนใจ” (attention) และ “สภาวะทางอารมณ์” (emotion)

ในสนามอัลตร้า ความรู้สึกของเวลาที่ดูช้ามาตอนไหน ? และบางครั้งเวลาดูผ่านไปเหมือนรวดเร็วเพราะอะไร ? เราจะใช้ทฤษฎีนี้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไรกัน ?

ลองมาดู 3 วิธีที่ปรับใช้เพื่อให้อยู่ใน pain cave ได้ด้วยความ enjoy

1 - เปลี่ยนโฟกัส

การโฟกัสเป็นสิ่งดี แต่ขึ้นกับวิธีที่ใช้ เช่น หากคุณวิ่ง 100 ไมล์ แล้วโฟกัสอยู่ที่เส้นชัยตั้งแต่ในกิโลเมตรที่หนึ่ง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอาจไม่ต่างอะไรกับการนั่งบนเตาถ่าน ทุกกิโลที่เหลือกลายเป็นความทรมานใจ ตั้งแต่ร่างกายยังไม่ทรมานเลย

ความสามารถในการเปลี่ยนโฟกัสจึงเป็นทักษะที่ควรฝึกฝน ย่อยมันลงมา เหลือเพียง "10 โลนี้" หรือ "เสาไฟนี้" มีหลายแนวทางที่นักวิ่งอัลตร้าใช้ในการเปลี่ยนโฟกัส มันทำให้สมองตีความว่าความสำเร็จอยู่ใกล้ขึ้นเสมอ

** งานวิจัยด้าน cognitive psychology พบว่า การจัดการความสนใจ (attentional focus) ส่งผลต่อ perception ของเวลาและความเหนื่อยล้า นักกีฬาที่ “หันเหความสนใจ” (dissociative strategy) เช่น ฟังเพลง พูดคุย หรือเล่นกับสิ่งเล็กๆ รอบตัว สามารถรู้สึกเหนื่อยน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการโฟกัสตรงๆ กับความเจ็บปวด (Hutchinson & Tenenbaum, 2007) **

ครั้งหนึ่ง “รัชชี่” เคยพูดถึงแว่น Slastik จากประเทศสเปนที่ถอดเลนส์เล่นได้ด้วยแม่เหล็ก

------------------
“เลนส์ดีมั้ยไม่รู้ รู้แต่มันถอดเล่นได้ในเรซ น่าจะเปลี่ยนโฟกัสได้ดี”
------------------

นี่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนโฟกัสช่วยทำให้เราเร็วขึ้นหรือบรรเทาความเจ็บปวดได้มากขึ้นด้วยการหดเวลานั้นให้สั้นลง (จากความรู้สึก)


2 - ฝึกฝนในที่ซ้ำจำเจ

“มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ทำสิ่งเดิมซ้ำๆ แล้วหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง ?”

แต่อันที่จริง การทำสิ่งซ้ำสร้างผลลัพธ์แตกต่างได้ (โดยเฉพาะในเรื่องของการวิ่งอัลตร้า)

ลองนึกภาพคุณใช้ชีวิตฝึกซ้อมอยู่บนลู่วิ่งปรับความชันแทนการขึ้นเขาแรมเดือนแรมปี แล้วจู่ๆ คุณก็ไปลงเรซขึ้นภูเขาท่ามกลางธรรมชาติ คุณว่าโฟกัสจะเป็นอย่างไร ?

** งานวิจัยด้าน time perception ชี้ว่า สภาพแวดล้อมที่น่าเบื่อและซ้ำซาก ทำให้สมองตีความว่าเวลาเดินช้าลง (Zakay & Block, 1997) ในทางกลับกัน สภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่มีสิ่งเร้าหลากหลาย ทำให้เวลาผ่านไปเร็วกว่า **

เรื่องนี้ไม่ต่างจากประโยคด้านบนสุด ใครเคยวิ่งฟูลบนลู่ไฟฟ้าคงจำความรู้สึกนั้นได้ มันยากมาก เมื่อเทียบกับวิ่งฟูลในสวน นั่นเป็นเพราะโฟกัสหรือไม่

ดังนั้น นักวิ่งที่ฝึกใน “ความน่าเบื่อ” อาจได้เปรียบในสนามจริง เพราะเมื่อไปเจอภูเขาหรือทิวทัศน์ที่แตกต่าง สมองจะรู้สึกว่าเวลาหดสั้นลง และความเหนื่อยที่เคยลากยาวกลับดูหดสั้น

ประโยคที่ว่า “การทำสิ่งเดิมซ้ำๆ แต่หวังผลต่างออกไปคือความบ้า” จึงไม่เสมอไป อย่างน้อยก็ในโลกของอัลตร้า

3 - เพื่อนรู้ใจ หรือฟีลแฟน

ในช่วงเวลา Suffer ที่สุดในเรซ เชื่อว่าอาการบาดเจ็บต่างๆ สามารถเยียวยาได้ด้วยการจีบกัน 😚

และอันที่จริง ไม่ใช่แค่กรณีของการจีบกัน เพราะ factor คือ "ความรัก" อาจเป็นเด็กน้อยที่แตะมือเชียร์เราสองข้างทาง หรือไอดอลที่เราปลื้มพูดกับเราว่า "สู้ๆ ครับ" ในอีกฟากเลน

------------------
"ความรักเยียวยาความเจ็บปวดได้ ออกซิโทซิน (oxytocin) และ เอ็นดอร์ฟิน (endorphins) จะช่วยคุณทุกครั้งที่คุณเผลอแตะมือกันตอนอัพฮิลล์..."
------------------

** งานวิจัยความสัมพันธ์และการสัมผัสทางสังคมช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่ลดความเจ็บปวดได้ (Kikusui et al., 2006; Dunbar, 2010) **
..

เราได้อะไรจากสิ่งเหล่านี้ ?

ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ เวลาสัมพัทธ์ของแต่ละคนเดินช้าเร็วไม่เท่ากัน คำเปรียบเปรยระหว่างกาลเวลาและอวกาศ สามารถอธิบายแทนสิ่งที่นักวิ่งทุกคนสัมผัสได้ในสนาม

เวลา “ยืดออก” เมื่อเราโฟกัสแต่เส้นชัยหรือความเจ็บปวด

เวลา “หดสั้น” เมื่อเราแบ่งโฟกัส เอ็นจอยกับเรซ และเพื่อนร่วมทางที่รู้ใจ

แม้ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์จะเป็นเรื่องของฟิสิกส์ และสิ่งที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงการรับรู้ของจิตวิทยาทางสมอง

แต่สุดท้ายแล้ว อัลตร้าไม่ต่างอะไรกับการเล่นสัมพัทธภาพของเวลาในใจเราเอง

"จากจักรวาลที่ไอน์สไตน์มองเห็น สู่วิถีอัลตร้าในสายตาคุณ..."

อีกไม่กี่วันจะถึงเรซ CNX100

ขอให้เพื่อนๆ เอ็นจอยกับเรซกันทุกคน

หมู่บ้านอุลตร้า | Ultramad Runner’s

ถ้าเรากลัวผี เราจะเห็นผี เพราะเราโฟกัสผี ถ้าเรากลัวเหยียบขี้หมา วันนั้นเราจะเห็นแต่ขี้หมา เพราะเราโฟกัสแต่ขี้หมาบางช่วงใ...
22/09/2025

ถ้าเรากลัวผี เราจะเห็นผี เพราะเราโฟกัสผี

ถ้าเรากลัวเหยียบขี้หมา วันนั้นเราจะเห็นแต่ขี้หมา เพราะเราโฟกัสแต่ขี้หมา
บางช่วงในเรซหรือแม้แต่ตอนซ้อม

เราอาจรู้สึกเจ็บตรงนั้นตรงนี้

แต่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่ามันหายไป ไม่ก็บรรเทาลง

ลองสังเกตดีๆ อาจไม่ใช่ความเจ็บที่หายไป

แต่เพราะมีที่อื่นให้เจ็บกว่า...โฟกัสเลยเปลี่ยน

สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้า ที่เข้ามาใหม่เสมอ

สัญญาณแรกเริ่มอาจแรง แต่มันจะค่อยๆ แผ่วจาง

เจ็บโว้ยยยย.....

เจ็บโว้ยย....

เจ็บโว้...

เจ็..
อกหัก เจ็บปวด เครียดงาน หรือใดๆ

พอไปวิ่งปุ๊บ สมองเลิกสนใจสิ่งเหล่านั้น (อย่างน้อยก็ชั่วครู่)

แล้วหันมาสนใจอาการเจ็บขา หาทางเอาออกซิเจนเข้าปอด (เพราะเจ้าของวิ่งโหดเหลือเกิน)

มันจะหันมาโฟกัสร่างกายและจิตใจตัวเองมากขึ้น

รักตัวเองมากขึ้น

ธรรมชาติมหัศจรรย์ตรงนี้

ทักษะการเปลี่ยนโฟกัส

เรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

พรุ่งนี้เช้า ผมว่าจะชวนคุยเรื่องนี้

--------------------------
"อัลตร้ากับทฤษฎีสัมพัทธภาพ"
--------------------------

มันเกี่ยวกันยังไง ไอน์สไตน์เคยไปวิ่งอัลตร้าหรอ ?

ติดตามกันนะครับ 🙂

หมู่บ้านอุลตร้า | Ultramad Runner’s

“แรงก็ไม่มี คัทออฟก็ต้องหนี ยังต้องวิ่งหนีผีอีก ทำไมผีชอบมาช่วงอ่อนแอ?” อัลตร้ากับความกลัว..."ผี"------------------โปรแก...
18/09/2025

“แรงก็ไม่มี คัทออฟก็ต้องหนี ยังต้องวิ่งหนีผีอีก ทำไมผีชอบมาช่วงอ่อนแอ?”
อัลตร้ากับความกลัว..."ผี"
------------------

โปรแกรมกลัวผี: ระบบป้องกันภัยดั้งเดิมของมนุษย์

ลองถามตัวเองว่า “กลัวผีไหม?”

บางคนตอบอย่างมั่นใจ “ไม่กลัวหรอก!” แต่ถ้าให้เดินเข้าป่าตอนตีสาม... ไร้แสง ไร้เสียง ...ยังมั่นใจเหมือนเดิมหรือเปล่า?

#ทฤษฎี: ความกลัวผี = ระบบเตือนภัยระดับวิวัฒนาการ

แท้จริงแล้ว "ความกลัวผี" อาจไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นโปรแกรมรักษาความปลอดภัย (Security sensor) ที่ฝังลึกอยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์มานานนับแสนปี


โปรแกรมปกป้องชีวิต = รากฐานของความกลัว

มนุษย์ทุกคนมี "โปรแกรมปกป้องชีวิต" (self-preservation instinct) ที่รันอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา

• อย่าไปที่สูง เดี๋ยวตก

• อย่าเดินเข้าป่าตอนมืด อาจมีสัตว์ร้าย

• อย่าไปใกล้น้ำลึก อาจมีอะไรใต้นั้น

นี่เป็นสัญชาตญาณดิบของสิ่งมีชีวิต "เรากลัวสิ่งที่มองไม่เห็น"

ความแตกต่างคือ มนุษย์ฉลาดเกินกว่าจะกลัวภัยธรรมชาติทั่วไป เพราะฉลาดจนรู้และพิสูจน์ทราบได้ สิ่งสุดท้ายที่ธรรมชาติมอบให้จึงเป็นสิ่งพิเศษที่พิสูจน์ไม่ได้

"โปรแกรมผี" คือ code พิเศษนั้น - สัญลักษณ์แทนความไม่รู้และพิสูจน์ไม่ได้ ซึ่งสมองเราตีความว่าเป็น "ภัย"..

#หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

ทฤษฎี Error Management Theory (EMT): นักจิตวิทยาวิวัฒนาการ Martie Haselton และ David Buss อธิบายว่า สมองมนุษย์วิวัฒนาการมาให้

"กลัวดีกว่าไม่กลัว"

Type I Error: คิดว่ามีผี แต่จริงๆ ไม่มี = ปลอดภัย

Type II Error: คิดว่าไม่มีผี แต่จริงๆ มี = อันตราย

เพราะฉะนั้น สมองจึงเลือกที่จะเชื่อว่า "มีผี" เป็นค่า default..

นักวิ่งอัลตร้า vs โปรแกรมกลัวผี

ในช่วงครึ่งหลังของเรซกลางป่าเขา อาทิตย์ลับขอบฟ้า + ร่างกาย suffer สุดๆ = โปรแกรมรักษาความปลอดภัยเริ่มทำงาน

เริ่มต้นด้วยเสียงแปลกๆ ต่อด้วยความเย็นยะเยือก และท้ายที่สุด..."ผี"

"เมื่อตะคริวหยุดเราไม่ได้ ธรรมชาติจึงส่ง "ผี" มาแทน มันคือการโต้ตอบจากธรรมชาติเพื่อรักษาชีวิต"

นี่แสดงให้เห็นว่า "โปรแกรมผีมักถูกรันในช่วงอ่อนแอ"

แต่..นักวิ่งอัลตร้าที่ถูกฝึกให้ทนต่อ ความกลัว ความมืด ความเหนื่อย มีเซนเซอร์ความกลัวที่ "range กว้างกว่า" คนทั่วไป

กลัวอยู่แหละ แต่เลือกที่จะ "ไปต่อ"

---------------------
"กุวิ่งอยู่ จะทันคัทออฟมั้ยก็ไม่รู้ เอาไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยกลัว..." ว่าแล้วก็วิ่งต่อ นี่แหละ "นักวิ่งอัลตร้า"
---------------------

#ทำไมบางคนกลัวมาก บางคนกลัวน้อย?

จริงๆ แล้ว ความกลัวผีมัน dynamic เปลี่ยนตามสภาพกายใจ เช่น วันนี้ฟิตดีอาจไม่กลัว แต่พอเจ็บ เหนื่อย หรือหลงกลางป่า ความกลัวมันก็มาเยือนทุกคน

เพียงแต่คนแข็งแรงมักมีความมั่นใจในศักยภาพตัวเองมากกว่า Safety sensor จึงทำงานน้อยกว่า กลายเป็นคนที่ชอบชาเล้นจ์ ข้ามเขา วิ่งกลางป่า เฮดแลมป์ไม่ใส่ แผนที่ไม่ใช้ หลงเป็นหลง Casio digital เรือนเดียวจบ (ใครวะ? คุ้นๆ 555)

** อ้างอิงการศึกษาของ Zuckerman (1994) เรื่อง Sensation Seeking พบว่าคนที่มีความมั่นใจทางร่างกายมีแนวโน้ม risk-taking สูง ตีความสิ่งไม่แน่นอนเป็น "ความท้าทาย" มากกว่า "ภัย"..

#แล้วคนที่กลัวผีล่ะ?

เคยสังเกตไหมว่าตัวละครขี้กลัวในหนัง มักถูกสร้างให้ดูไม่คล่องแคล่ว หรือวิ่งหนีได้ไม่เร็ว เรื่องนี้คงต้องมองลึกลงไปในสัญชาตญาณเช่นกัน

เพราะในสภาวะนี้สมองจะเปิด "โปรแกรมรักษาความปลอดภัยแบบละเอียด" ทุกความมืด ทุกความเงียบ ถูกตีความว่า “อันตราย” และสิ่งที่แปลงร่างเป็นตัวแทนความกลัวนั้นก็คือ “ผี”

จึงไม่แปลกเลยที่คน "ช้ากว่า" มักจะกลัวผี "มากกว่า" คนทั่วไป เพราะสมองทำงานเต็มที่เพื่อ “ปกป้องตัวเอง”

** อ้างอิง: งานวิจัยด้าน evolutionary psychology พบว่า มนุษย์ที่รู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบทางร่างกาย เช่น เด็ก ผู้หญิง หรือคนที่ร่างกายไม่คล่องแคล่ว จะมีแนวโน้มเกิดภาวะ hypervigilance หรือ “การระแวดระวังเกินปกติ” ศูนย์กลางความกลัวในสมองอย่าง Amygdala จะตอบสนองไวเป็นพิเศษต่อสิ่งที่ไม่แน่ชัด เช่น เงา เสียงแปลกๆ หรือความมืด ..

#มองใหม่: “ความกลัวผี” คือวิวัฒนาการ

ถ้าไม่มีโปรแกรมนี้ มนุษย์คงเดินเข้าป่าในยามค่ำคืนแบบไร้ความระแวง แล้วถูกสัตว์ร้ายล่ากินไปตั้งแต่ยุคหินแล้ว

ความกลัวที่เราหัวเราะเยาะกันว่า “งมงาย” แท้จริงคือ ระบบรักษาความปลอดภัย ที่ทำให้เผ่าพันธุ์เราอยู่รอด และส่งต่อยีนมาจนถึงทุกวันนี้

ดังนั้น “คนที่รู้สึกว่าตัวเองดูไม่คล่องแคล่ว และขี้กลัว คุณไม่ได้เป็นคนขี้กลัว แต่คุณคือฮีโร่ของวิวัฒนาการ”

หมู่บ้านอุลตร้า | Ultramad Runner’s


end credit: ผมเองไม่กลัว...แต่เวลานอน "เท้าห้ามยื่นนอกผ้าห่ม"

ที่อยู่

Basecamp หมู่บ้านอุลตร้า @ห้วยกระแทก
Lop Buri
15000

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Ultramad Runner’sผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Ultramad Runner’s:

แชร์