ดีซีอาร์การ์เด้นท์โฮม DCR Garden Home

ดีซีอาร์การ์เด้นท์โฮม DCR Garden Home Start doing organic farming For food sustainability and good health of the family.

แนะนำ รีวิวให้ความรู้ด้านสุขภาพและความงาม
สนใจสอบถามผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม
ทักมาได้เลยนะคะ ทางอินบ๊อกซ์หรือทางไลน์
https://lin.ee/pofsfZM

การปลูก  #แตงกวาอินทรีย์ เพื่อการจำหน่ายควรเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อลดการสูญเสียจากโรคพืชและให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสู...
22/03/2025

การปลูก #แตงกวาอินทรีย์ เพื่อการจำหน่าย
ควรเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อลดการสูญเสียจากโรคพืชและให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง แตงกวาเป็นพืชอายุสั้น (ประมาณ 35-45 วันหลังปลูกเก็บเกี่ยวได้) และต้องการ สภาพอากาศอบอุ่น แดดจัด แต่ไม่ชื้นแฉะเกินไป

ช่วงเวลาที่แนะนำ

✅ รอบที่ 1: ปลูกเดือน พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ (ฤดูหนาว - ฤดูร้อนต้นปี)
✅ รอบที่ 2: ปลูกเดือน กรกฎาคม - สิงหาคม (ฤดูฝนที่ปริมาณฝนลดลง)

เหตุผลที่ควรปลูกช่วงนี้
1. เลี่ยงช่วงฝนตกหนัก (พฤษภาคม - กันยายน)
• แตงกวาไวต่อโรคจากความชื้นสูง เช่น โรคราน้ำค้าง (Downy mildew) และโรคใบจุดแบคทีเรีย
• หากปลูกช่วงพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ จะมีแสงแดดดี ลดความชื้นสะสม ลดการใช้สารชีวภาพควบคุมโรค
2. อากาศเย็นและแห้งช่วยให้ผลผลิตคุณภาพดี
• แตงกวาที่ปลูกในฤดูหนาว (พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์) ผิวจะสวย กรอบ และหวานกว่าแตงกวาที่ปลูกหน้าฝน
• ต้นแข็งแรงขึ้น เพราะไม่ต้องเจออุณหภูมิร้อนจัด
3. ตลาดต้องการสูงในช่วงปลายปี - ต้นปี
• ช่วงปีใหม่ (มกราคม - กุมภาพันธ์) ราคาผลผลิตมักสูงขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลและมีความต้องการสูง
4. รอบที่ 2 (กรกฎาคม - สิงหาคม) ได้ผลดีในหน้าฝน
• ควรปลูกในโรงเรือนหรือใช้พลาสติกคลุมแปลงเพื่อลดความชื้น
• คัดเลือกพันธุ์ที่ทนทานต่อโรค เช่น พันธุ์ซุปเปอร์กรอบ, พันธุ์เขียวหยก, พันธุ์ศรีเมือง

เทคนิคการลดความเสียหายจากโรคพืช

✅ ยกแปลงสูง 20-30 ซม. เพื่อระบายน้ำดีขึ้น
✅ ปลูกพืชคลุมดิน (ปอเทืองหรือถั่วเขียว) ก่อนปลูกแตงกวา
• ช่วยปรับปรุงดิน ลดการสะสมของโรค
✅ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก) ผสมกับไตรโคเดอร์มา
• ป้องกันโรครากเน่าโคนเน่า
✅ ปลูกแบบขึงตาข่ายให้เถาเลื้อยขึ้น
• ลดความชื้นที่ใบ ลดการเกิดโรคเชื้อรา
✅ ฉีดพ่นสารชีวภาพ เช่น น้ำส้มควันไม้ หรือน้ำหมักสะเดา
• ป้องกันแมลงศัตรูพืช เช่น เพลี้ยไฟและหนอนใยผัก

สรุป

ควรปลูกแตงกวาอินทรีย์ในช่วง พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ เป็นรอบหลัก และสามารถปลูกรอบที่สอง กรกฎาคม - สิงหาคม ได้ โดยใช้วิธีควบคุมความชื้น จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคพืช เพิ่มผลผลิต และขายได้ราคาดี

การปลูก  #องุ่น เพื่อการจำหน่าย ควรเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อลดความเสียหายจากโรคพืชและให้ผลผลิตมีคุณภาพดี ซึ่งองุ่นเป็...
22/03/2025

การปลูก #องุ่น เพื่อการจำหน่าย ควรเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อลดความเสียหายจากโรคพืชและให้ผลผลิตมีคุณภาพดี ซึ่งองุ่นเป็นพืชที่ต้องการ อากาศแห้ง มีแสงแดดเพียงพอ และฝนไม่มาก โดยทั่วไปองุ่นต้องใช้เวลาประมาณ 1 - 1.5 ปี จึงเริ่มให้ผลผลิต

ช่วงเวลาที่แนะนำ

✅ เริ่มปลูก: มิถุนายน - สิงหาคม
✅ เริ่มให้ผลผลิต: ตุลาคม - กุมภาพันธ์ (ปีถัดไป)

เหตุผลที่ควรปลูกช่วงนี้
1. เลี่ยงช่วงฝนตกหนัก (พฤษภาคม - กันยายน)
• องุ่นไม่ชอบน้ำขังและความชื้นสูง ซึ่งอาจทำให้เกิด โรคราน้ำค้าง (Downy mildew) และโรคแอนแทรคโนส (Anthracnose)
2. มีแสงแดดเพียงพอช่วงออกดอกและติดผล
• องุ่นต้องการแดดอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ผลผลิตมีรสหวาน
• การปลูกช่วงกลางปี จะทำให้องุ่นออกดอกในช่วงอากาศแห้ง (พฤศจิกายน - ธันวาคม) และติดผลในช่วงที่มีแสงแดดดี
3. ควบคุมการออกดอกและเก็บเกี่ยวให้ได้ราคาดี
• หากปลูกช่วงนี้ องุ่นจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ในช่วง มกราคม - กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดมีความต้องการสูงและราคาดี

เทคนิคการลดความเสียหายจากโรคพืช

✅ เลือกพันธุ์องุ่นที่ทนโรค
• พันธุ์ที่เหมาะกับสภาพอากาศในนครราชสีมา เช่น
• พันธุ์บิวตี้ซีดเลส (ไร้เมล็ด ติดผลดี)
• พันธุ์แบล็คโอปอล (ทนโรคและให้ผลผลิตสูง)
• พันธุ์ไวท์มะลากา (รสหวาน ทนแล้ง)

✅ ปลูกบนค้าง (แบบกระโจมหรือซุ้ม)
• ช่วยลดความชื้น ลดความเสี่ยงของโรครา และช่วยให้ผลได้รับแสงแดดทั่วถึง

✅ จัดระบบน้ำให้เหมาะสม
• ใช้ระบบน้ำหยดแทนการรดน้ำด้วยสายยางเพื่อลดความชื้นสะสม

✅ ตัดแต่งกิ่งและใบเพื่อให้มีอากาศถ่ายเท
• ควรตัดแต่งกิ่งทุก 3-4 เดือน เพื่อให้ต้นองุ่นแข็งแรงและลดการระบาดของโรค

✅ ใช้สารชีวภาพในการป้องกันโรค
• ใช้ ไตรโคเดอร์มา (Trichoderma) ควบคุมโรครากเน่าโคนเน่า
• ฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพเพื่อป้องกันเชื้อรา

สรุป

เพื่อให้คุ้มค่าการลงทุน ควรปลูกองุ่นในช่วง มิถุนายน - สิงหาคม เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วง มกราคม - กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดต้องการสูง และลดความเสี่ยงจากโรคที่เกิดจากฝนตกหนัก

การปลูก  #มะเขือเทศ เพื่อการจำหน่าย ควรเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น ฝนตกหนัก โรคพืช...
22/03/2025

การปลูก #มะเขือเทศ เพื่อการจำหน่าย ควรเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น ฝนตกหนัก โรคพืช และแมลงศัตรูพืช เพื่อให้คุ้มค่าการลงทุนและได้ผลผลิตสูง

ช่วงเวลาที่แนะนำ

✅ ปลูก: เดือนตุลาคม - ธันวาคม
✅ เก็บเกี่ยว: มกราคม - มีนาคม

เหตุผลที่ช่วงนี้ดีที่สุด
1. สภาพอากาศเหมาะสม
• อากาศเย็นลง (20-30°C) เหมาะสำหรับการเจริญเติบโต
• ปริมาณฝนเริ่มลดลง ทำให้ลดความเสี่ยงของโรคจากเชื้อรา เช่น โรคใบไหม้ และโรคเหี่ยวเขียว
2. ลดความเสี่ยงจากโรคพืช
• ฝนตกหนักช่วงพฤษภาคม - กันยายน ทำให้เกิดความชื้นสูง เสี่ยงต่อโรคเชื้อรา
• หากปลูกหลังฤดูฝน (ตุลาคมเป็นต้นไป) ต้นมะเขือเทศจะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ง่าย
3. ได้ราคาสูงในตลาด
• มะเขือเทศที่ออกผลช่วงมกราคม - มีนาคม มักขายได้ราคาดีกว่า เนื่องจากเป็นช่วงที่มีผลผลิตน้อยจากพื้นที่อื่น

เทคนิคการลดความเสียหายจากโรคพืช

✅ ใช้พันธุ์ต้านทานโรค
• เลือกพันธุ์ที่ทนทานต่อโรค เช่น พันธุ์ราชินี, พันธุ์สีดา, พันธุ์เนื้อแข็ง

✅ ปลูกในโรงเรือนหรือใช้หลังคาพลาสติกคลุม
• ลดการสัมผัสฝนโดยตรง ป้องกันโรคใบไหม้และผลแตก

✅ ปลูกในดินที่มีการระบายน้ำดี
• ใช้ดินร่วนปนทราย ยกแปลงสูง 30 ซม. เพื่อป้องกันรากเน่า

✅ ควบคุมศัตรูพืชและแมลง
• ใช้สารชีวภาพ เช่น บีที (Bacillus thuringiensis) กำจัดหนอน
• หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรงเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัยของผลผลิต

✅ เสริมธาตุอาหารให้เหมาะสม
• ใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยอินทรีย์
• เพิ่ม แคลเซียม-โบรอน เพื่อลดปัญหาผลแตก

สรุป

เพื่อคุ้มค่าการลงทุน ควรปลูกมะเขือเทศในช่วง ตุลาคม - ธันวาคม และเก็บเกี่ยวช่วง มกราคม - มีนาคม จะช่วยลดการสูญเสียจากโรคพืช ได้ผลผลิตคุณภาพดี และขายได้ราคาสูง

แนวทางวิธีการปลูก  #มะเขือเทศเชอร์รี่อินทรีย์ มะเขือเทศเชอร์รี่เป็นพืชที่ปลูกง่ายและเหมาะกับสภาพอากาศของไทย โดยเฉพาะในฤด...
14/03/2025

แนวทางวิธีการปลูก #มะเขือเทศเชอร์รี่อินทรีย์

มะเขือเทศเชอร์รี่เป็นพืชที่ปลูกง่ายและเหมาะกับสภาพอากาศของไทย โดยเฉพาะในฤดูหนาวและต้นฤดูร้อน การปลูกแบบอินทรีย์ช่วยให้ได้ผลผลิตปลอดสารเคมีและมีรสชาติอร่อย



1. การเตรียมเมล็ดและเพาะต้นกล้า

✅ เลือกเมล็ดพันธุ์อินทรีย์ เช่น Sweet 100, Sungold หรือ Black Cherry ที่เหมาะกับอากาศร้อน
✅ แช่เมล็ดในน้ำอุ่น (ประมาณ 50°C) นาน 3-4 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอก
✅ เตรียมถาดเพาะโดยใช้ ดินร่วนผสมปุ๋ยหมักและพีทมอส หรือ ดินใบก้ามปู เพื่อให้รากแข็งแรง
✅ หยอดเมล็ดลึก 0.5-1 ซม. แล้วรดน้ำให้ชุ่ม วางในที่มีแดดรำไร
✅ เมื่อต้นกล้าอายุ 10-15 วัน หรือมีใบจริง 3-4 ใบ ให้ย้ายปลูกลงแปลงหรือกระถาง



2. การเตรียมดินและแปลงปลูก

✅ เลือกพื้นที่ที่มีแดดเต็มวัน (6-8 ชม./วัน) มะเขือเทศเชอร์รี่ชอบแสงแดดจัด
✅ ปรับปรุงดินให้ร่วนซุย ระบายน้ำดี โดยผสม
• ปุ๋ยหมัก 3 ส่วน
• ขี้วัวหรือขี้ไก่ 2 ส่วน
• พีทมอสหรือขุยมะพร้าว 1 ส่วน
✅ ปรับค่า pH ของดินให้อยู่ที่ 5.5 - 6.5
• ถ้าดินเป็นกรดมากเกินไป ให้เติมปูนขาว (Dolomite)
• ถ้าดินเป็นด่างเกินไป ให้เติมขี้เลื่อยสนหรือใบไม้ผุ



3. การปลูกและดูแล

✅ ระยะปลูก: 50-70 ซม. ระหว่างต้น และ 1 เมตรระหว่างแถว
✅ การทำค้าง: ใช้ไม้ไผ่หรือเชือกให้ต้นเลื้อยขึ้น ป้องกันโรคและเพิ่มผลผลิต
✅ การให้น้ำ:
• รดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง ตอนเช้าหรือเย็น อย่ารดใบเพราะจะเกิดเชื้อรา
• ช่วงติดผลลดปริมาณน้ำลงเล็กน้อยเพื่อให้รสชาติเข้มข้นขึ้น



4. การบำรุงต้นด้วยปุ๋ยอินทรีย์

✅ ช่วงต้นโต: ให้ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยมูลสัตว์ (ขี้ไก่ ขี้วัว) ทุก 2 สัปดาห์
✅ ช่วงออกดอกและติดผล:
• ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีฟอสฟอรัสสูง เช่น ปุ๋ยกระดูกป่น หรือปุ๋ยน้ำหมักจากเปลือกไข่
• เติมขี้เถ้าไม้หรือปุ๋ยหมักจากกล้วยเพื่อเพิ่มโพแทสเซียมช่วยให้ผลดก



5. การป้องกันโรคและแมลงแบบอินทรีย์

✅ ศัตรูพืชหลัก: หนอนใยผัก เพลี้ยแป้ง แมลงวันทอง
• ใช้ น้ำหมักสะเดา หรือ น้ำส้มควันไม้ ฉีดพ่นทุกสัปดาห์
• ใช้ พริก+กระเทียม+ข่า ต้มแล้วกรองน้ำ ฉีดป้องกันแมลง
✅ โรครากเน่าและโรคใบไหม้:
• หลีกเลี่ยงน้ำขัง คลุมดินด้วยฟางข้าว เพื่อรักษาความชื้น
• ใช้ น้ำหมักจุลินทรีย์หน่อกล้วย ฉีดพ่นช่วยป้องกันเชื้อรา



6. การเก็บเกี่ยว

✅ มะเขือเทศเชอร์รี่เริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 60-80 วันหลังปลูก
✅ เก็บผลที่มีสีแดงหรือสีส้มสดใส ควรเก็บตอนเช้าหรือเย็น เพื่อลดความร้อนสะสม
✅ หากต้องการให้ผลหวานขึ้น ลดการรดน้ำก่อนเก็บเกี่ยว 2-3 วัน



💡 สรุป
• ใช้ดินร่วนซุยผสมปุ๋ยหมักและพีทมอส
• เลี้ยงต้นให้สูงโดยใช้ค้าง เพิ่มแสงแดดและลดโรค
• ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ขี้ไก่ น้ำหมักชีวภาพ
• ป้องกันแมลงด้วยสารสกัดจากพืชสมุนไพร
• ลดน้ำก่อนเก็บเกี่ยวเพื่อให้รสหวานเข้มข้น

การปลูกมะเขือเทศเชอร์รี่แบบอินทรีย์ในไทยทำได้ง่ายและให้ผลผลิตดี ถ้าดูแลเรื่องดิน น้ำ และโรคพืชให้ดี รับรองว่าได้ผลผลิตที่ปลอดภัยและอร่อยแน่นอน

วิธีตัดแต่งต้นมะเขือเทศ อ่านต่อที่นี่
👇👇👇
https://www.facebook.com/share/p/18so6XrJxT/?mibextid=wwXIfr

 #มะเขือเทศแบบเลื้อย (Indeterminate Tomato) เป็นมะเขือเทศที่เติบโตแบบไม่จำกัด สามารถสูงได้ถึง 2-3 เมตร และให้ผลผลิตต่อเน...
14/03/2025

#มะเขือเทศแบบเลื้อย (Indeterminate Tomato)
เป็นมะเขือเทศที่เติบโตแบบไม่จำกัด
สามารถสูงได้ถึง 2-3 เมตร
และให้ผลผลิตต่อเนื่องจนกว่าสภาพอากาศจะไม่เอื้ออำนวย
มักต้องมีค้างหรือไม้พยุงเพื่อช่วยพยุงลำต้น

ตัวอย่างพันธุ์ที่เป็นที่นิยม ได้แก่

1. #มะเขือเทศเชอร์รี่ (Cherry Tomato)
• พันธุ์ Sweet 100 – ให้ผลขนาดเล็ก หวาน ออกลูกเป็นพวง
• พันธุ์ Sungold – มะเขือเทศเชอร์รี่สีส้ม รสหวานฉ่ำ
• พันธุ์ Black Cherry – สีม่วงเข้ม รสหวานและอมเปรี้ยว

2. #มะเขือเทศโรม่า (Roma Tomato) หรือ Plum Tomato
• พันธุ์ San Marzano – เป็นพันธุ์โรม่าแท้จากอิตาลี นิยมใช้ทำซอสมะเขือเทศ
• พันธุ์ Amish Paste – รูปทรงรียาว เนื้อมาก น้ำเยอะ เหมาะสำหรับทำพาสต้าและซุป

3. #มะเขือเทศเนื้อ (Beefsteak Tomato)
• พันธุ์ Brandywine – ผลใหญ่ สีแดงอมชมพู เนื้อแน่น รสหวาน
• พันธุ์ Cherokee Purple – สีม่วงแดง รสเข้มข้น ออกหวานอมควัน
• พันธุ์ Big Boy – ผลขนาดใหญ่ หวานฉ่ำ เหมาะสำหรับทำแซนด์วิชและเบอร์เกอร์

4. #มะเขือเทศสีพิเศษ (Heirloom Tomato)
• พันธุ์ Green Zebra – สีเขียวลาย รสอมเปรี้ยว
• พันธุ์ Kellogg’s Breakfast – สีส้มสดใส รสหวาน
• พันธุ์ Black Krim – สีดำแดงจากรัสเซีย รสชาติหวานปนเค็มเล็กน้อย

มะเขือเทศแบบเลื้อยเหมาะสำหรับการปลูกในพื้นที่ที่สามารถตั้งค้างให้เลื้อยขึ้นไปได้ และให้ผลผลิตต่อเนื่องยาวนานกว่ามะเขือเทศพุ่ม

วิธีการปลูก อ่านต่อ
👇👇👇
https://www.facebook.com/share/1A8bW85hxv/?mibextid=wwXIfr

วิธีปรุงดินสำหรับปลูก  #บลูเบอร์รี่ ให้ได้ผลดีบลูเบอร์รี่เป็นพืชที่ต้องการ ดินที่เป็นกรด และระบายน้ำได้ดี หากดินไม่เหมาะ...
14/03/2025

วิธีปรุงดินสำหรับปลูก #บลูเบอร์รี่ ให้ได้ผลดี

บลูเบอร์รี่เป็นพืชที่ต้องการ ดินที่เป็นกรด และระบายน้ำได้ดี หากดินไม่เหมาะสม ต้นอาจโตช้า ใบเหลือง และให้ผลผลิตไม่ดี ดังนั้น การเตรียมดินจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ

1. ปรับค่า pH ของดินให้เป็นกรด
• บลูเบอร์รี่ชอบดินที่มีค่า pH 4.5 - 5.5
• หากดินมีค่า pH สูง (ด่างเกินไป) ให้ เติมกำมะถันผง (Sulfur) หรือพีทมอส (Peat Moss) เพื่อปรับให้เป็นกรด
• สามารถใช้ น้ำส้มสายชูผสมน้ำ (ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร) รดเป็นครั้งคราว

2. เพิ่มอินทรียวัตถุให้ดินร่วนซุย
• ผสม ขุยมะพร้าว ใบไม้ผุ หรือปุ๋ยหมัก เพื่อให้ดินโปร่งและเก็บความชื้นได้ดี
• เติม พีทมอส ซึ่งช่วยรักษาความชื้นและเพิ่มความเป็นกรด
• ใช้ ทรายหยาบหรือเพอร์ไลต์ ช่วยเพิ่มการระบายน้ำ

3. เลือกดินที่ระบายน้ำดี
• บลูเบอร์รี่ไม่ชอบดินแฉะ ถ้าดินระบายน้ำไม่ดี ให้ยกร่องหรือปลูกในกระถาง
• หลีกเลี่ยงดินเหนียว เพราะอุ้มน้ำมากเกินไป อาจทำให้รากเน่า

4. ใส่ปุ๋ยที่เหมาะสม
• ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยมูลไส้เดือน หรือปุ๋ยขี้ไก่ เพื่อเพิ่มธาตุอาหาร
• ใช้ปุ๋ยที่มี ไนโตรเจนต่ำและโพแทสเซียมสูง เช่น ปุ๋ยสำหรับพืชตระกูลเบอร์รี่
• หลีกเลี่ยงปุ๋ยเคมีที่มี แคลเซียมหรือแมกนีเซียมสูง เพราะอาจทำให้ค่า pH ของดินสูงเกินไป

5. คลุมหน้าดินเพื่อรักษาความชื้น
• ใช้ ใบไม้แห้ง ขี้เลื่อยสน หรือเปลือกไม้สน คลุมหน้าดิน จะช่วยรักษาความชื้นและเพิ่มความเป็นกรด

สรุป

บลูเบอร์รี่ต้องการดินที่เป็นกรด ระบายน้ำดี และมีอินทรียวัตถุสูง หากดินไม่เหมาะสม ให้ปรับด้วยพีทมอส ขี้เลื่อยสน หรือกำมะถันผง แล้วบลูเบอร์รี่ของคุณจะเติบโตแข็งแรงและให้ผลผลิตดี

มะเขือเทศแบบเลื้อย (Indeterminate Tomato) จะเติบโตอย่างต่อเนื่องและสามารถให้ผลผลิตได้นานกว่ามะเขือเทศแบบพุ่ม การตัดแต่งก...
14/03/2025

มะเขือเทศแบบเลื้อย (Indeterminate Tomato) จะเติบโตอย่างต่อเนื่องและสามารถให้ผลผลิตได้นานกว่ามะเขือเทศแบบพุ่ม การตัดแต่งกิ่งจึงสำคัญมากเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตและเพิ่มคุณภาพของผล เทคนิคที่ใช้มีดังนี้

1. ตัดแขนงข้าง (Suckers) ออก
• แขนงข้างที่งอกจากซอกใบและลำต้นหลักจะดึงสารอาหารไปจากต้น ควรเด็ดออกตั้งแต่เล็ก ๆ (สูงประมาณ 5-10 ซม.)
• ถ้าอยากให้ต้นแตกกิ่งเสริม ให้เว้นแขนงที่อยู่ต่ำสุดไว้ 1-2 กิ่ง เพื่อให้มีหลายแขนงหลัก

2. ตัดใบล่างเมื่อเริ่มติดผล
• ใบที่อยู่ต่ำกว่าช่อผลชุดแรกควรถูกตัดออก เพื่อลดความชื้นสะสมและป้องกันโรค เช่น โรคใบจุดและโรคราแป้ง

3. ตัดแต่งยอดเมื่อความสูงเหมาะสม
• ถ้าไม่ต้องการให้ต้นสูงเกินไป สามารถเด็ดยอดเมื่อสูงถึงระดับที่ต้องการ (ประมาณ 1.5-2 เมตร)
• การเด็ดยอดช่วยให้ต้นออกผลเร็วขึ้น เพราะต้นจะส่งพลังงานไปเลี้ยงผลแทนการเจริญเติบโตของยอด

4. ควบคุมจำนวนผลต่อช่อ
• ในแต่ละช่อ ควรเว้นให้เหลือประมาณ 4-5 ผล เพื่อให้ผลเติบโตเต็มที่และมีขนาดสม่ำเสมอ

5. ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรคหรือใบแน่นเกินไป
• ถ้าใบหนาแน่นเกินไป แสงและอากาศถ่ายเทไม่สะดวก อาจทำให้เกิดโรคและแมลงรบกวน ควรตัดใบที่ไม่จำเป็นออก

มะเขือเทศแบบเลื้อยจะให้ผลผลิตยาวนานกว่ามะเขือเทศพุ่ม การตัดแต่งที่เหมาะสมช่วยให้ต้นแข็งแรงและให้ผลที่มีคุณภาพดีขึ้น

การตัดแต่งต้นมะเขือเทศแบบพุ่ม (Determinate Tomato) มีเทคนิคที่ต่างจากมะเขือเทศแบบเถา (Indeterminate Tomato) เพราะต้นพุ่ม...
14/03/2025

การตัดแต่งต้นมะเขือเทศแบบพุ่ม (Determinate Tomato) มีเทคนิคที่ต่างจากมะเขือเทศแบบเถา (Indeterminate Tomato) เพราะต้นพุ่มจะมีขนาดกะทัดรัดและหยุดการเติบโตเมื่อออกดอกและติดผลเต็มที่แล้ว เทคนิคการตัดแต่งมีดังนี้:

1. ตัดแต่งใบด้านล่าง
• เมื่อมะเขือเทศเริ่มสูงประมาณ 30 ซม. ให้เด็ดใบล่างที่สัมผัสดินออก เพื่อลดความชื้นสะสมและป้องกันโรค

2. ตัดยอดเฉพาะกรณีจำเป็น
• มะเขือเทศแบบพุ่มไม่จำเป็นต้องเด็ดยอดมากนัก เพราะต้นจะหยุดเติบโตเอง
• หากต้นแน่นเกินไป อาจตัดยอดเพื่อกระตุ้นการแตกกิ่งด้านข้างและให้แสงเข้าไปถึงผล

3. เด็ดยอดแขนงที่ไม่จำเป็น
• แขนงที่งอกระหว่างซอกใบและลำต้น (Suckers) บางครั้งอาจดูดสารอาหารมากเกินไป ให้ตัดออกเฉพาะกิ่งที่ดูอ่อนแอหรือแน่นเกินไป

4. ควบคุมจำนวนผลต่อช่อ
• ถ้าผลติดมากเกินไป อาจเด็ดผลที่เล็กหรืออ่อนแอออก เพื่อให้ผลที่เหลือเติบโตสมบูรณ์

5. หลังจากติดผลเต็มที่ หยุดตัดแต่ง
• เมื่อมะเขือเทศเริ่มออกผลจนเต็มต้น ควรหยุดตัดแต่งเพื่อให้ต้นใช้พลังงานไปเลี้ยงผลแทน

การตัดแต่งช่วยให้ต้นโล่ง ลดโอกาสเกิดโรค และได้ผลผลิตที่มีคุณภาพมากขึ้น ลองปรับใช้ตามสภาพต้นของคุณดูนะคะ

มะเขือเทศท้อ กำลังเข้าสี ใกล้สุกล่ะใช้เวลาปลูกลงดินน่าจะประมาณ 2 เดือน ล่ะ กว่าจะสุกดีคงจะต้องรออีก 1-2 อาทิตย์ปัญหาโรคพ...
07/03/2025

มะเขือเทศท้อ กำลังเข้าสี ใกล้สุกล่ะ
ใช้เวลาปลูกลงดินน่าจะประมาณ 2 เดือน ล่ะ
กว่าจะสุกดีคงจะต้องรออีก 1-2 อาทิตย์

ปัญหาโรคพืชช่วงนี้
จะมี หนอนชอนใบ คือใบจะมีเส้นขดๆสีขาวที่ใบ
กำจัดโดยการตัดก้านใบทิ้งเลย

ปุ๋ยที่ใช้ : ปุ๋ยคอกขี้วัวหมัก ปุ๋ยขี้เป็ดแกลบ
ใส่ 1 กำมือ ทุกๆ 15 วัน

ต้นกุ่มบก พรรณไม้ในพุทธประวัติกุ่มบก หรือที่ชาวฮินดูเรียกว่า มารินา นี้ ตามพุทธประวัติกล่าวว่า ช่วงที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็...
03/03/2025

ต้นกุ่มบก พรรณไม้ในพุทธประวัติ

กุ่มบก หรือที่ชาวฮินดูเรียกว่า มารินา นี้ ตามพุทธประวัติกล่าวว่า ช่วงที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปอาศัยกับชฎิลอรุเวลกัสสป พระพุทธเจ้านำผ้าบังสุกุลไปทรงซัก ทรงดำริว่าจะทรงซัก ขยำ พาด และผึ่งผ้าบังสุกุลไว้ที่ใด เมื่อนั้นท้าวสักกะจอมทวยเทพจึงขุดสระโบกขรณีเพื่อให้ทรงซักผ้า ยกศิลาแผ่นใหญ่มาวาง เพื่อให้ทรงขยำผ้า เทพยดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นกุ่มบกได้น้อมกิ่งกุ่มลงมาเพื่อให้ทรงพาดผ้า และท้าวสักกะจอมทวยเทพได้ยกแผ่นศิลาแผ่นใหญ่เพื่อให้ทรงผึ่งผ้า

ชื่อพื้นเมือง: ผักกุ่ม (ศรีสะเกษ)
ชื่อบาลี: ปุณฺฑริก (ปุน-ดะ-รี-กะ), วรโณ (วะ-ระ-โน), กเรริ (กะ-เร-ริ), วรณ (วะ-ระ-นะ)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Crateva adansonii DC. subsp. trifoliata Jacobs
ชื่อสามัญ: Sacred Barnar, Caper Tree
ชื่อวงศ์: CAPPARIDACEAE
ถิ่นกำเนิด: ประเทศในแถบทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา ทั้งในเขตร้อนและเขตอบอุ่น
สภาพนิเวศน์: ชอบขึ้นใกล้ๆ ชายน้ำ ห้วยหนอง คลองบึง ชอบแสงมาก

ลักษณะทั่วไป: ต้นกุ่มบก เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ผลัดใบ เปลือกเรียบ สีเทา มีรูระบายอากาศสีขาวอยู่ทั่วไป เนื้อไม้ละเอียดมีสีขาวปนเหลือง ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ มี 3 แฉก แต่ละแฉกรูปไข่เกมรูปหอก ปลายแฉกทู่มน และพื้นใบจะย้อยยื่นมากไปแถบหนึ่งจากเส้นกลางใบ ก้านใบยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อที่ง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบดอกมี 4 กลีบ บอบบางและหลุดง่าย กลีบดอกสีขาวเมื่อแรกบานแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน เวลาบานเต็มที่กว้างประมาณ 5 เซนติเมตร เกสรตัวผู้สีม่วงมีจำนวนมาก ติดเป็นกระจุกอยู่ตรงกลาง ผลกลมรีรูปไข่ ก้านผลยาวห้อยลง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 เซนติเมตร เมื่อสุกมีสีน้ำตาล

ประโยชน์:
- ใบ ต้มน้ำดื่มบำรุงหัวใจ ขับลม ใบสดตำใช้ทารักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน
- เปลือกต้นรวมกับเปลือกต้นของกุ่มน้ำ และเปลือกทองหลางใบมน : ต้มน้ำดื่ม ช่วยขับลม
- แก่น ใช้รักษาริดสีดวงทวาร
- ราก บำรุงธาตุ
- ใบและเปลือกราก ใช้ทำยาทาถูนวด ช่วยให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมากขึ้น
- ใบอ่อน ใช้รับประทานได้ โดยนำมาดองแล้วใช้รับประทานแทนผัก

ที่มา : https://www.panmai.com

ที่อยู่

Nakonratchasima

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ดีซีอาร์การ์เด้นท์โฮม DCR Garden Homeผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์