The Study Learn as if you were to live forever. The Study TH | Creator ด้านการเรียนรู้ที่เชื่อว่าทุกเรื่องในทุกพื้นที่คือการเรียนรู้

18/08/2025

เข้าใจสมองวัยรุ่น : ทำไมลูกถึง "ดื้อ" ?
#ลูก #พ่อแม่ #เลี้ยงลูก #พัฒนาการ

เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องการแสดงความรู้สึกผ่านสีหน้ากันมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ?ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกที่ชัดเจน หรือแค่เพียงนิดเ...
18/08/2025

เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องการแสดงความรู้สึกผ่านสีหน้ากันมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ?
ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกที่ชัดเจน หรือแค่เพียงนิดเดียว แต่รู้ไหมว่า สีหน้าเพียงแค่เสี้ยววินาที ก็สามารถบอกเล่าอารมณ์ที่แท้จริงเกี่ยวกับสิ่งที่เราได้ยินหรือรู้สึกได้เลย!
ในบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์ที่เรียกว่า “Microexpressions” มาดูกันว่าอาการแบบไหนที่ใช่แน่ ๆ ไปดูกันเลยค่ะ!
——————
Micro expressions คืออะไร?
Micro expressions คือ การแสดงออกทางสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นเร็วมาก เพียงแค่เสี้ยววินาที การแสดงออกแบบนี้เป็นสัญญาณที่บอกถึงอารมณ์จริงๆ ของผู้พูดหรือผู้ฟัง แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปกปิดความรู้สึกนั้นไว้ก็ตาม
Ex: ถ้าเพื่อนบอก “ไม่เป็นไร” แต่สีหน้าระหว่างพูดมี micro expression แบบถอนหายใจ หรือมุมปากขมวด นั่นแปลว่าเขาอาจจะรู้สึกไม่โอเคจริง ๆ
——————
สามารถแบ่งออกได้เป็น 7 ประเภทตามหลักสากล ได้แก่
1⃣ ความรังเกียจ (Disgust) 🤢
การแสดงออก: ปากย่นขึ้น จมูกย่น คิ้วขมวด
2⃣ความโกรธ (Anger) 😠
การแสดงออก: คิ้วขมวดลงและเข้าหากัน ตาเบิกกว้าง ปากบิดหรือย่น
3⃣ความกลัว (Fear) 😨
การแสดงออก: คิ้วยกขึ้นและขยายออก ตาเบิกกว้าง ปากเปิด
4⃣ความเศร้า (Sadness) 😢
การแสดงออก: คิ้วขมวดลงและเข้าหากัน ตาตกลง ปากย่นลง
5⃣ความสุข (Happiness) 😊
การแสดงออก: ตาหยี รอยยิ้มที่มุมปาก
6⃣การดูถูก (Contempt) 😒
การแสดงออก: ยิ้มมุมปากข้างเดียว ตาแคบ
7⃣ความประหลาดใจ/ตกใจ (Surprise) 😲
การแสดงออก: คิ้วยกขึ้น ตาเบิกกว้าง ปากเปิด
——————
การเข้าใจและการมีทักษะ “Micro expression” ถือว่าเป็น soft skill ที่ดีอีกทักษะนึงเลยก็ว่าได้ เพราะมันจะช่วยให้เราเข้าใจผู้อื่นและยังช่วยให้เรามีทักษะในการเข้าสังคม ในการสื่อสาร และสามารถนำไปประยุกต์ในชีวิตประจำอีกด้วย
ถ้าไม่แน่ใจว่าเราสามารถอ่านอารมณ์ทางสีหน้าได้หรือเปล่า? ลองทำควิซเล็ก ๆ น้อย ๆ จาก www-scienceofpeople-com หรือคลิกตรงนี้่ https://surl.li/isseyq ได้เลยนะคะ
เราลองมาเริ่มฝึกสังเกต Micro expressions รอบตัวดู แล้วน้อง ๆ จะพบว่าการอ่านใจคนไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด!✨
——————
แหล่งที่มา:
บทความจาก hmong.in.th: “ไมโครเอ็กซ์เพรสชัน“
บทความจาก en.wikipedia.ong: “Mircoexpression”
บทความจาก www-scienceofpeople-com: The Definitive Guide to Reading Microexpressions (Facial Expressions)
#ความรู้สึก #การสื่อสาร #การเข้าใจ

ใกล้จะถึงช่วงเวลาที่น้อง ๆ หลายคนจะได้ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยกันแล้วใช่ไหม? พี่เข้าใจดีเลยว่าความรู้สึกช่วงนี้คงผสมปน...
18/08/2025

ใกล้จะถึงช่วงเวลาที่น้อง ๆ หลายคนจะได้ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยกันแล้วใช่ไหม? พี่เข้าใจดีเลยว่าความรู้สึกช่วงนี้คงผสมปนเปกันไปหมด ทั้งตื่นเต้น ดีใจ แต่ก็แอบหวั่นใจไม่น้อย เพราะชีวิตในรั้วมหา'ลัยดูจะแตกต่างจากตอนมัธยมแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยล่ะ
วันนี้พี่เลยอยากจะมาแชร์ให้ฟังว่า ชีวิตมัธยม VS ชีวิตมหา'ลัย ต่างกันยังไงบ้าง และมีอะไรที่น้อง ๆ ต้องรู้และเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะไปเป็นเฟรชชี่เต็มตัวกัน
1. การเรียนที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ตอนมัธยมเราเรียนหลายวิชาในหนึ่งวัน มีครูคอยตามงานและให้คำปรึกษาตลอด แต่พอเข้ามหา'ลัย การเรียนจะเน้นไปที่การ เรียนรู้ด้วยตัวเอง มากขึ้น
▶ จำนวนวิชาและเวลาเรียน: น้อง ๆ จะได้เรียนจำนวนวิชาที่น้อยลง แต่ในแต่ละวิชาจะใช้เวลาเรียนนานขึ้น (เช่น 2-3 ชั่วโมงต่อครั้ง) และบางวันอาจจะไม่มีเรียนเลยก็ได้!
▶ อิสระในการจัดตารางเรียน: น้อง ๆ จะได้จัดตารางเรียนของตัวเอง ซึ่งมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ต้องจัดสรรเวลาให้ดี ไม่ให้ตารางชนกันหรือเรียนหนักเกินไป
▶ การสอบ: ข้อสอบในมหา'ลัยส่วนใหญ่จะเป็นแบบ อัตนัย (ข้อเขียน) ที่เน้นการอธิบายความเข้าใจในเนื้อหา ดังนั้นการท่องจำอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาอย่างแท้จริง
2. ความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับอิสระ
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยให้อิสระกับน้อง ๆ มากขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่มากขึ้นเช่นกัน ตอนมัธยมอาจารย์และผู้ปกครองจะคอยดูแลและเตือนเรื่องต่าง ๆ แต่ในมหา'ลัยน้องต้อง ดูแลตัวเอง ทั้งเรื่องการตื่นไปเรียน การส่งงาน การสอบ หรือแม้แต่การจัดการเรื่องเงิน
▶ การจัดการเวลา: น้อง ๆ ต้องรู้จักวางแผนและบริหารจัดการเวลาเองทั้งหมด ทั้งเวลาเรียน เวลาทำกิจกรรม และเวลาพักผ่อน
▶ การตัดสินใจ: ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน การเข้าร่วมกิจกรรม หรือเรื่องส่วนตัว น้อง ๆ ต้องเป็นคนตัดสินใจและรับผิดชอบผลที่ตามมาด้วยตัวเอง
3. สังคมและเพื่อนใหม่ที่เปิดกว้าง
ในมหา'ลัยเราจะได้เจอเพื่อนจากหลากหลายที่มา หลากหลายจังหวัด และหลากหลายความคิด ซึ่งเป็นโอกาสดีที่จะได้เปิดโลกและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากคนอื่น
▶ สร้างความสัมพันธ์: ลองเปิดใจทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ไม่ว่าจะในคณะ นอกคณะ หรือแม้กระทั่งรุ่นพี่รุ่นน้อง การมีเพื่อนเยอะ ๆ จะช่วยให้การเรียนและการใช้ชีวิตในมหา'ลัยสนุกขึ้นเยอะเลย
▶ เข้าร่วมกิจกรรมชมรม: กิจกรรมชมรมต่าง ๆ เป็นอีกช่องทางที่ดีที่จะได้ทำในสิ่งที่ชอบ ได้เจอคนที่มีความสนใจคล้าย ๆ กัน และได้ฝึกทักษะต่าง ๆ ที่มีประโยชน์
การเปลี่ยนผ่านจากชีวิตมัธยมสู่มหาวิทยาลัยอาจจะดูน่ากลัวไปบ้าง แต่พี่เชื่อว่าถ้าเราเตรียมตัวให้พร้อมและเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนก็จะสามารถใช้ชีวิตในรั้วมหา'ลัยได้อย่างสนุกและคุ้มค่าที่สุดอย่างแน่นอน
ขอให้น้อง ๆ ทุกคนสนุกกับบทบาทใหม่ของการเป็นนักศึกษา และอย่าลืมว่าความสุขในการเรียนไม่ได้อยู่แค่การได้เกรดดี ๆ แต่ยังรวมถึงประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่เราได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นในทุก ๆ วันด้วยนะ!
แล้วเจอกันที่มหา'ลัยนะเฟรชชี่!
#ชีวิตมหาลัย #ชีวิตนักศึกษา #เฟรชชี่ #เตรียมตัวก่อนเข้ามหาลัย #การศึกษา #พัฒนาตัวเอง

📢 วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ! 🧪✨รู้ไหมว่าทำไมวันที่ 18 สิงหาคม ถึงเป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ"? 🤔ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 241...
18/08/2025

📢 วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ! 🧪✨
รู้ไหมว่าทำไมวันที่ 18 สิงหาคม ถึงเป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ"? 🤔
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงคำนวณและทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างแม่นยำ ณ "บ้านหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" 🔭
เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ของพระองค์ ทำให้พระองค์ได้รับการยกย่องเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" 👑
ในวันนี้ The Study ชวนน้องๆ มาร่วมรำลึกถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์ ที่เป็นรากฐานของความรู้และเทคโนโลยีต่างๆ รอบตัวเรา!
ในความคิดของน้องๆ "วิทยาศาสตร์" มีความสำคัญอย่างไรบ้าง? คอมเมนต์มาแชร์กันได้เลย! 👇
#วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ #วิทยาศาสตร์ไทย #หว้ากอ #รัชกาลที่4 #พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย #ความรู้รอบตัว

น้องๆ คนไหนบ้างที่เลขไม่เก่ง วิทย์ก็ยาก แต่เรื่องภาษาพร้อมลุย! พร้อมสนุกไปกับตัวอักษรต่างถิ่นแถมยังทำมันได้ดีซะด้วย น้อง...
17/08/2025

น้องๆ คนไหนบ้างที่เลขไม่เก่ง วิทย์ก็ยาก แต่เรื่องภาษาพร้อมลุย! พร้อมสนุกไปกับตัวอักษรต่างถิ่นแถมยังทำมันได้ดีซะด้วย น้องๆ อาจจะเป็นคนประเภทก็ได้นะคะ!
—————
“Polyglot”(โพลีกลอต) คือกลุ่มคนที่มีความถนัดด้านภาษา ซึ่งมักจะเริ่มพัฒนาตั้งแต่วัยเด็ก
บุคคลเหล่านี้มักมีพัฒนาการด้านภาษาไวมาก และสามารถเรียนรู้ภาษาใหม่ได้รวดเร็ว
บางคำนิยามระบุว่า “ต้องพูดได้ 3 ภาษาขึ้นไป หรือ บางนิยามอาจตั้งเกณฑ์ไว้สูงกว่านั้น เช่น 6 ภาษา” ซึ่งถือว่าเยอะมากๆ
มีการวิจัยเกี่ยวกับการทำงานในสมองกล่าวถึง Polyglot ว่า
“พวกเขาสามารถฟังภาษาอื่นได้แต่ว่าพวกเขาไม่สามารถพูดได้ทั้งหมด”
Ex: ”นายA สามารถเข้าใจได้5ภาษา แต่เขาสามารถพูดได้เพียง 3 ภาษาเท่านั้น“
สาเหตุเกิดจากอะไรนะ?🧐
“การเข้าใจภาษา” (listening comprehension)
🔵ใช้การประมวลผลในสมองที่ “เปิดรับ” ได้กว้าง
🔵โดยเฉพาะเมื่อภาษานั้นมี ความคล้าย กับภาษาที่เขารู้หรือภาษาบ้านเกิด
แต่ในขณะที่ “การพูด” ต้องอาศัยทักษะเชิงผลิต (productive skills)
🟡 ความมั่นใจ
🟡คลังคำศัพท์
🟡โครงสร้างไวยากรณ์ ที่ชัดเจนมากกว่าการเข้าใจ
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสำคัญ 3 ข้อที่กล่าวไว้เกี่ยว “Polyglot”
1) ความจำ (Memory)
“ความจำ” เป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อเรียนภาษาที่มีคำศัพท์เยอะ เช่น ภาษาจีน ญี่ปุ่น เป็นต้น แต่บางคนเพียงฟัง/เห็น แค่ครั้งเดียวก็สามารถจดจำได้
แม้จะดูเป็นพรสวรรค์ แต่ความสามารถด้านนี้สามารถพัฒนาได้ด้วยนะ แค่หมั่นฝึกฝนไปเรื่อยๆ บริหารสมองด้านภาษาให้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
2) การฟังและการเลียนเสียง (Ear)
Polyglot มักมีการรับรู้ทางด้านเสียงที่ไว และสามารถเลียนเสียงสำเนียงได้ดี หากมีโอกาสแนะนำให้ฝึกพูดภาษาถิ่นหรือสำเนียงท้องถิ่น เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจวัฒนธรรมและวิธีคิดของเจ้าของภาษาได้ดียิ่งขึ้น
3 ความสนใจและสภาพแวดล้อม (Interest and Environment)
ต่อให้น้องๆ มีความจำที่ดีและเลียนเสียงเก่งแค่ไหน ถ้าไม่มีความสนใจหรือไม่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการใช้หลายภาษาก็อาจไม่กลายเป็น Polyglot ได้ แต่กลับกันถ้าอยู่ในที่ที่ใช้ภาษาอย่างหลากหลายเป็นเรื่องปกติ น้องๆ ก็สามารถเป็น Polyglot ได้แม้ไม่ได้มีพรสวรรค์แต่เด็ก
—————
สรุปสั้นๆ ว่า Polyglot ไม่ได้แปลว่าต้อง “เพอร์เฟกต์” ทุกภาษา
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า “เฮ้ย! Polyglot ต้องพูดคล่องทุกภาษาแน่ๆ เลย”
แต่จริงๆ แล้ว ความสามารถอาจอยู่ที่ “การฟังและเข้าใจ” หรือ “อ่านออก” ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเป็น Polyglot แล้ว
น้องๆ คนไหนที่รู้สึกว่าไม่ถนัดเรื่องตัวเลข ลองเปิดใจให้กับสายภาษาดูสักครั้ง เผื่อจะได้ค้นพบอีกด้านหนึ่งของตัวเองที่ยังไม่เคยรู้มาก่อน เป็นกำลังใจให้นะคะ ✨
แหล่งที่มาของข้อมูล:
บทความจาก blog-rosettastone-com: “What Is a Polyglot? Learn All About These Language Lovers”
บทความจาก thinkinginenglish-blog: “What is a Polyglot? And What Can We Learn from Polyglots? (English Vocabulary Lesson)”
บทความจาก news.mit.edu: “For people who speak many languages, there’s something special about their native tongue”
บทความจาก home.uchicago.edu: “Musings On the Polyglot
#ภาษา #วัยเรียน #วัยรุ่น #หลายภาษา #เรียนรู้ #ค้นหาตัวเอง #ถนัด

17/08/2025

📣 สรุป 8 ประเด็นเด่นจากงานแถลงข่าว ที่น้องๆ ต้องรู้! 🎓
พี่ๆ The Study สรุปมาให้แล้วเพื่อการเตรียมตัวที่ดีที่สุด!
ข้อมูลดีๆ แบบนี้ต้องแชร์ให้เพื่อน!
ใครมีคำถามเพิ่มเติม ถามมาในคอมเมนต์ได้เลยนะครับ 👇
Credit
: ทปอ.
: Dek-D
#ข่าวสาร #สอบเข้ามหาลัย #เด็กซิ่ว

17/08/2025

TCAS69
ปีนี้ อว. สนับสนุนต่อ
ฟรีค่าสมัคร TGAT/TPAT
และรอบ 3 ADMISSION

แมวดำเป็นสัตว์ที่มีความหมายลึกซึ้งและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย ความเชื่อเกี่ยวกับแมวดำนั้นมีอยู่ในทุกมุมโลก บาง...
17/08/2025

แมวดำเป็นสัตว์ที่มีความหมายลึกซึ้งและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย ความเชื่อเกี่ยวกับแมวดำนั้นมีอยู่ในทุกมุมโลก บางคนอาจมองว่าแมวดำเป็นตัวแทนของความโชคร้ายและลึกลับ ขณะที่บางวัฒนธรรมกลับเชื่อว่าแมวดำเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีและการปกป้อง ในบทความนี้ เราจะสำรวจความเชื่อเหล่านี้ในแง่มุมต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพที่หลากหลายเกี่ยวกับแมวดำ รวมถึงบทบาทของมันในวัฒนธรรมต่างๆ และเหตุผลที่ทำให้แมวดำกลายเป็นสัตว์ที่น่าสนใจและน่าเคารพ
แมวดำมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานในวัฒนธรรมต่างๆ ตั้งแต่สมัยโบราณในอียิปต์ แมวถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะเทพีบาสเต็ทที่มีหัวเป็นแมว ผู้เป็นเทพีแห่งความรักและการปกป้อง แมวดำถูกถือว่าเป็นผู้ปกป้องวิญญาณและบ้านเรือน ซึ่งทำให้มีสถานะพิเศษในสังคมอียิปต์โบราณ
ในทางกลับกัน เมื่อเข้าสู่ยุโรปในยุคกลาง แมวดำกลับถูกมองว่าเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายและแม่มด ในยุคนั้นมีความเชื่อว่าแม่มดสามารถแปลงร่างเป็นแมวดำเพื่อหลบหนีจากการตามล่าของผู้คน นี่ทำให้แมวดำกลายเป็นสัญลักษณ์ของความลึกลับและความโชคร้ายที่ถูกมองว่าเป็นสัญญาณไม่ดี หากพบเจอในเวลากลางคืน
ปัจจุบัน ความเชื่อเกี่ยวกับแมวดำยังคงมีอยู่ แต่ได้รับการเปลี่ยนแปลงในบางส่วนจากยุคอดีต ในหลายวัฒนธรรม แมวดำถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี ตัวอย่างเช่น ในญี่ปุ่น แมวดำหรือ "คุโระเนโกะ" มักถูกมองว่าเป็นผู้ปกป้องบ้านและนำโชคดีมาสู่เจ้าของ ในทางตรงกันข้าม ในสหรัฐอเมริกา แมวดำยังคงมีความหมายที่ลึกลับอยู่ในใจคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะในวันฮัลโลวีน
ในวัฒนธรรมไทยเอง แมวดำไม่ได้มีความหมายเฉพาะเจาะจงเช่นเดียวกับในวัฒนธรรมตะวันตก แต่มีการเคารพและปฏิบัติต่อแมวในฐานะสัตว์เลี้ยงที่น่ารักและเป็นเพื่อนที่ดี โดยเฉพาะในหมู่คนรักแมว แมวดำมักถูกยอมรับและรักใคร่อย่างเท่าเทียมกับแมวสีอื่นๆ
แมวดำมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้มันเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่าสนใจสำหรับคนรักแมว แมวดำมักมีขนที่เงางามและมีดวงตาที่เปล่งประกายซึ่งทำให้มันดูมีเสน่ห์และลึกลับในเวลาเดียวกัน ความเป็นมิตรและความรักที่แมวดำมอบให้เจ้าของเป็นสิ่งที่ยากจะปฏิเสธ นอกจากนี้ แมวดำยังเป็นสัตว์ที่มีความฉลาดและมีความอิสระสูง ทำให้มันเป็นสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพื่อนคู่หูที่ไม่ต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้แมวดำโดดเด่นคือการปรับตัวได้ง่ายและเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือคอนโด แมวดำก็สามารถปรับตัวและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่าการเลี้ยงแมวดำสามารถช่วยปกป้องบ้านจากพลังงานลบและช่วยให้บ้านสงบสุข
ถึงแม้ในอดีตแมวดำจะถูกมองว่าเป็นตัวแทนของความชั่วร้าย แต่ในปัจจุบัน แมวดำกลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความลึกลับและความมีเสน่ห์ที่น่าค้นหา คนรักแมวหลายคนเริ่มมองว่าแมวดำเป็นสัตว์ที่มีความงดงามและน่ารักในแบบของมันเอง
การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของแมวดำนี้ยังเกิดจากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มคนรักแมวบนโซเชียลมีเดีย ที่มีการแชร์รูปภาพและเรื่องราวของแมวดำในแง่บวก ทำให้แมวดำได้รับความนิยมและการยอมรับมากขึ้นในฐานะสัตว์เลี้ยงที่น่ารักและเป็นเพื่อนที่ดี
แมวดำเป็นสัตว์ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความเชื่อที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความโชคดีหรือความลึกลับ แมวดำยังคงมีบทบาทที่สำคัญในวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของแมวดำจากอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งและแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความมีเสน่ห์ของสัตว์ชนิดนี้
ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาสัตว์เลี้ยงที่มีเอกลักษณ์และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ แมวดำอาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและจะนำความสุขและความโชคดีมาสู่บ้านของคุณได้อย่างแน่นอน
---
About the autho #ปั่นว่างั้น
__
#วันยกย่องแมวดำ #แมว #นำโชค #สัตว์ #ทาสเเมว #แมวดำ #วันแมวดำ

เป็นปัญหาที่น้องๆ ส่วนใหญ่เจอในช่วงเตรียมสอบต่างๆ ไม่ว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย สอบกลางภาค หรือแม้กระทั่งการทำงานส่งครู ส่ง...
16/08/2025

เป็นปัญหาที่น้องๆ ส่วนใหญ่เจอในช่วงเตรียมสอบต่างๆ ไม่ว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย สอบกลางภาค หรือแม้กระทั่งการทำงานส่งครู ส่งอาจารย์ หากมีอาการเหล่านี้ควรหยุดพักก่อนจะแย่นะ!!
ขอบคุณแหล่งข้อมูล
https://www.bangkokhospital.com/th/bangkok-bone-brain/content/brain-fog-syndrome
#สมองล้า #สุขภาพ #วัยเรียน #นักเรียน #นักศึกษา #เหนื่อยล้า

15/08/2025

พยามแอบถามมาฝาก ก่อนแถลงข่าว กับ ผศ.ดร.ปาริยา ณ นคร ผู้จัดการระบบการจัดการทดสอบ ที่งาน

อยากทำงานแบบนี้ไหม? 🕵️‍♀️🔍✔️ สืบสวนคดี✔️ วิเคราะห์อาชญากรรม✔️ ทำงานเพื่อความยุติธรรมมาหาคำตอบที่ คณะอาชญาวิทยาและการบริห...
15/08/2025

อยากทำงานแบบนี้ไหม? 🕵️‍♀️🔍
✔️ สืบสวนคดี
✔️ วิเคราะห์อาชญากรรม
✔️ ทำงานเพื่อความยุติธรรม
มาหาคำตอบที่ คณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม ม.รังสิต กัน!
✨ สอนให้ "เรียนจับผิด เข้าใจคน สร้างความยุติธรรม"
✨ เรียนกับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง!
✨ ได้ฝึกงานในที่ทำงานจริง ๆ!
แล้วคุณจะรู้ว่า Justice is a beautiful thing! ⚖️
แท็กเพื่อนที่อยากทำงานในสายนี้ด้วยกันเลย! 👇
#อาชญาวิทยา #มรังสิต #เรียนต่อ #ทีมมรังสิต #อยากเป็นตำรวจ #ความยุติธรรม

🎯 สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ใช่แค่เรื่องของ “ความเก่ง”แต่เป็นเรื่องของ “ความเข้าใจระบบ” + “การวางแผนให้แม่น”และนี่คือ 12 เรื่...
15/08/2025

🎯 สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ใช่แค่เรื่องของ “ความเก่ง”
แต่เป็นเรื่องของ “ความเข้าใจระบบ” + “การวางแผนให้แม่น”
และนี่คือ 12 เรื่องต้องไฮไลท์ กันพลาดใน TCAS ที่โรงเรียนไม่เคยสอน
ที่น้อง DEK69 ทุกคนควรรู้ก่อนเดินเข้าสู่สนามจริง
1. บางคณะไม่ได้เปิดรับทุกรอบ
ระบบ TCAS มี 4 รอบก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าทุกคณะจะเปิดครบทุกครั้ง
บางคณะเน้นรับรอบ Portfolio หรือ Quota เท่านั้น
บางคณะเน้น Admission เป็นหลัก เช่น คณะแพทยศาสตร์ผ่าน กสพท
ถ้ายื่นไม่ถูกจังหวะ อดเลยนะ!
พี่แนะนำให้ดูระเบียบการย้อนหลังของคณะที่สนใจ หรือโทรถามมหาวิทยาลัยโดยตรงก็ได้
2. GPAX ไม่ได้มีผลกับทุกคณะก็จริง...แต่เกรดสูงยังไงก็ดีกว่า
หลายคนชอบพูดว่า “เกรดไม่สำคัญแล้วตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย”
แต่จริง ๆ แล้ว หลายคณะยังตั้งเกณฑ์ GPAX ขั้นต่ำ
เช่น คณะ A ต้องได้เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00
ถ้าอยากเปิดตัวเลือกให้มากที่สุด พี่แนะนำให้รักษาเกรดไว้ที่ 3.00 ขึ้นไปเลย
3. คะแนนสูงไม่ได้แปลว่าเข้ายาก
เคยเห็นคณะนึงคะแนน 88 แล้วคิดว่า “โห เข้ายากแน่”
แต่ความจริงอาจมาจากการใช้ GPAX 100% ก็ได้
เช่น ใครเกรด 4.00 ก็ได้เต็มแล้ว ทำให้คะแนนเฉลี่ยสูงเฉย ๆ
อีกกรณีคือ จำนวนรับน้อย เช่น รับ 2 คน คะแนนก็พุ่งอยู่แล้ว
อย่าดูแค่คะแนน ให้ดูว่าใช้เกณฑ์อะไรในการรับด้วยนะ
4. รอบ Portfolio ไม่ได้ต้องเก่งที่สุด...แต่ต้อง “ตรง” ที่สุด
เข้าใจผิดกันเยอะว่ารอบนี้คือสำหรับคนเก่งระดับเทพเท่านั้น
ความจริงคือ...อาจารย์อยากเห็นคนที่ “เหมาะกับคณะ” มากกว่า
มีเกียรติบัตร 100 ใบ แต่ไม่ตรงกับสิ่งที่คณะมองหา = แทบไม่มีค่า
แต่ถ้ามีพอร์ตที่เล่า “ตัวตน-แรงบันดาลใจ” และเกี่ยวข้องกับคณะโดยตรง = โอกาสติดสูงมาก
5. เรียนไม่เก่ง ก็สอบติดมหาวิทยาลัยดี ๆ ได้
เกรดไม่ถึง 3.00 อยู่ห้องธรรมดา ไม่ได้เรียนอินเตอร์ ไม่ใช่เรื่องผิด
TCAS ถูกออกแบบมาเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคน
แค่รู้จักค้นหาตัวเองให้เจอ วางแผนการยื่นให้ดี เลือกใช้เกณฑ์ที่ตัวเองได้เปรียบ
และขยันหาข้อมูล รับรองว่าสอบติดได้แน่นอน
6. Portfolio ที่ดี ไม่จำเป็นต้องแพง
ไม่ต้องจ้างคนทำ ไม่ต้องปกแข็งเล่มทอง
เนื้อหาในพอร์ตต่างหากที่สำคัญที่สุด
พี่แนะนำว่า
✔ เลือกผลงานที่ “ตรงกับคณะ”
✔ เขียนบรรยายสั้น ๆ ด้วยภาษาของตัวเอง
✔ แสดงให้เห็นว่าพอร์ตนี้ “เราทำเอง” จริง ๆ
7. ไม่ติดรอบแรก ๆ ไม่ได้แปลว่าเราแย่
หลายคนติด Portfolio หรือ Quota แล้วโพสต์โชว์ คนที่ยังไม่ติดก็เริ่มเครียด
แต่พี่อยากบอกว่า ไม่ติดรอบแรก ๆ = ไม่แย่เลย
บางคนรอ Admission แล้วติดคณะที่ใช่มากกว่า
หรือบางคนพลาดรอบแรก แต่กลับมีแรงฮึดจนทำคะแนนสอบได้ดีกว่ารอบแรกอีก
8. ติดแล้วไม่ยืนยันสิทธิ์ = ต้องไปต่อ ห้ามย้อนกลับ
นี่คือ “กติกาสำคัญของ TCAS”
ถ้าน้องสอบติดแล้วไม่ยืนยันสิทธิ์ จะไม่สามารถย้อนกลับไปเลือกคณะเดิมได้อีก
และถ้า “กดสละสิทธิ์” แล้วไปยื่นรอบต่อไปแต่ “ไม่ผ่านคัดเลือก”
ก็จะกลายเป็นว่าเสียทั้งคณะเดิม และคณะใหม่เลยนะ!
9. บางมหาวิทยาลัยมีเงื่อนไขหลังสอบติด
ยกตัวอย่างเช่น
✔ เรียนคณะแพทย์ ต้องใช้ทุนหลังเรียนจบ
✔ ต้องสอบวัดระดับภาษาอังกฤษก่อนเรียน และก่อนจบ
✔ ถ้าสอบไม่ผ่าน ต้องลงเรียนปรับพื้นฐาน
สรุปคือ...อย่าดูแค่ชื่อคณะ ให้ดู “เงื่อนไขหลังติด” ด้วยเสมอ
10. เดี๋ยวนี้เลือกข้ามสายได้มากขึ้นแล้ว
แต่ก่อน เด็กสายศิลป์จะสมัครแพทย์ เภสัช ทันตะ ไม่ได้
แต่ตอนนี้หลายมหาวิทยาลัยเริ่ม “เปิดโอกาส” ข้ามสายแล้ว
เช่น กสพท เปิดให้ทุกแผนการเรียนสมัครได้
หรือบางคณะในมหาวิทยาลัยใหญ่ ก็ไม่กำหนดแผนการเรียนแล้ว
แต่! เงื่อนไขเหล่านี้เปลี่ยนได้ทุกปี
พี่อยากย้ำว่า ก่อนสมัคร ให้เช็กระเบียบการของปีล่าสุดเสมอ
🧠 สรุปส่งท้าย
การสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ใช่การวัดว่าใครเก่งที่สุด
แต่มันคือ “เกมวางแผน” ที่ใครเข้าใจระบบ + เตรียมตัวดี = ได้เปรียบกว่าเยอะ
ใครอ่านมาถึงตรงนี้ พี่เชื่อว่าน้องพร้อมลุยแล้ว
TCAS69 อยู่ไม่ไกลแล้ว ขอให้ทุกคนเริ่มวางแผน และทำให้เต็มที่นะ!
#เด็กซิ่ว #โรงเรียนไม่เคยสอน #สอบเข้ามหาลัย #แนะแนว

ที่อยู่

Rangsit

เบอร์โทรศัพท์

0947783939

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Studyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง The Study:

แชร์