
19/06/2025
วิธีสร้างธุรกิจ
แบบเงินตัวเองมีไม่พอ
(6 วิธีหาแหล่งเงินทุนตั้งต้น)
"เรามีไอเดียแล้ว ไปหา VC มาลงทุนกันเถอะ" ประโยคแบบนี้ คงจะเคยได้ยินกันบ่อยๆ จากสตาร์ทอัพหรือคนที่อยากเริ่มธุรกิจ แต่ยังไม่เข้าใจเกมของการระดมทุน ก่อนจะเจอความจริงที่ว่า ไม่มีใครอยากลงทุนกับเรา ไอเดียเราคงห่วย
ในโลกแห่งสตาร์ทอัพ หลายคนเชื่อว่าเงินทุนจาก VC คือน้ำมันชั้นดีที่จะพาธุรกิจพุ่งทะยานสู่มูลค่าหลายร้อยล้าน แต่ความจริงที่ไม่มีใครบอก คือ 99% ของสตาร์ทอัพไม่ใช่แบบที่ VC ต้องการ
Chris Soschner ผู้เชี่ยวชาญด้านการระดมทุนสตาร์ทอัพ เคยกล่าวว่า "VC ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจดีๆ แต่ลงทุนในการพนันที่มีโอกาสคืนทุน 100 เท่า" ซึ่งแปลว่าพวกเขาคาดหวังให้สตาร์ทอัพ 9 ใน 10 แห่งล้มเหลว และหวังให้อีก 1 แห่งประสบความสำเร็จระดับยูนิคอร์น
แล้วถ้าสตาร์ทอัพของคุณไม่ใช่ยูนิคอร์น จะระดมทุนอย่างไร? นี่คือ 7 ทางเลือกที่จะช่วยให้คุณสร้างธุรกิจโดยไม่ต้องพึ่ง VC
1. FU = Fund It Yourself
ลงทุนด้วยตัวเอง คือหนทางสู่การควบคุมเต็มรูปแบบ
ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่เริ่มต้นเหมือนกัน คึอด้วย เงินเก็บส่วนตัว แรงงานของตัวเอง และความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ไม่มี VC ไม่มีพรีเซนเทชั่นหรูหรา แค่ผู้ก่อตั้งที่กล้าเดิมพันกับตัวเอง ลองดูตัวอย่างเช่น Reed Hastings ผู้ก่อตั้ง Netflix
ในปี 1997 เขาไม่ได้วิ่งไปหา VC แต่เขียนเช็คด้วยตัวเอง 2 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 70 ล้านบาท) จากเงินที่ขายบริษัทแรกได้ อำนาจควบคุม Netflix ไม่ได้ถูกสร้างบนการเติบโตแบบไร้เหตุผล แต่เขามีเวลาทดสอบ ปรับแต่ง และพิสูจน์โมเดลธุรกิจก่อนรับเงินทุนจากภายนอก
2. เงินจากเพื่อนและครอบครัว (แต่ไม่ใช่แลกหุ้น)
ให้กู้ยืม ไม่ใช่ให้เป็นเจ้าของร่วม จะรักษาความสัมพันธ์ได้ยาวนาน
ดูเช่น Daymond John ผู้ก่อตั้ง FUBU ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เขาเป็นเพียงคนมีวิสัยทัศน์ที่ออกแบบเสื้อผ้าในบ้านแม่ที่ควีนส์ เขามีความมุ่งมั่น มีไอเดียแบรนด์ แต่ไม่มีเงิน แม่ของเขาเลยไปจำนองบ้านเพื่อให้เขากู้ 100,000 ดอลลาร์ (3.5 ล้านบาท) เพื่อขยายธุรกิจ
ที่สำคัญ มันไม่ใช่การให้เปล่า ไม่ใช่การช่วยเหลือ แต่เป็นการกู้ยืม นั่นคือเหตุผลที่ทำให้มันประสบความสำเร็จ John รักษาความเป็นเจ้าของ FUBU ไว้ทั้งหมด สร้างบริษัทตามเงื่อนไขของตัวเอง และเปลี่ยนเงิน 100,000 ดอลลาร์เริ่มต้นให้กลายเป็นแบรนด์ที่ทำยอดขายทั่วโลกกว่า 6 พันล้านดอลลาร์
3. ให้ลูกค้าจ่ายค่าสินค้าล่วงหน้า
เสียงของตลาดคือเสียงที่ดังที่สุด ลูกค้าคือนักลงทุนที่ดีที่สุด
ผู้ก่อตั้งส่วนใหญ่คิดว่าต้องมีเงินทุนก่อน แล้วค่อยหาลูกค้า แต่นั่นกลับด้าน สตาร์ทอัพที่ฉลาดกว่าจะพลิกมุมกลับ พวกเขาให้ลูกค้าเป็นผู้ลงทุน ถ้าสินค้าของคุณแก้ปัญหาจริงๆ คนจะไม่เพียงบอกว่าต้องการ แต่ยังยินดีจ่ายล่วงหน้าก่อนที่มันจะมีตัวตน
ตัวอย่างเช่น Tesla ก่อนที่ Model 3 จะออกสู่ถนน Tesla เปิดให้จองล่วงหน้าพร้อมเงินมัดจำ 1,000 ดอลลาร์ (35,000 บาท) คนนับแสนจองรถที่ยังไม่ได้ผลิต เงินสดที่ไหลเข้ามาช่วยให้ Tesla มีเวลาหายใจในการปรับปรุงการผลิต ปรับแต่งสินค้า และควบคุมชะตากรรมของตัวเอง พวกเขาไม่ได้ขอเงิน แต่พิสูจน์ว่าคนยินดีจ่าย
4. ระดมทุนจากคนอื่นๆ (Crown Funding) ทดสอบความต้องการก่อนผลิต
ไม่ใช่แค่หาเงิน แต่พิสูจน์ว่าไอเดียของคุณควรมีตัวตน
การระดมทุนจากคนอื่นไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นการพิสูจน์ว่าไอเดียของคุณควรมีอยู่จริง ถ้าคุณไม่สามารถโน้มน้าวคนแปลกหน้าบน Kickstarter หรือ Indiegogo ให้จ่ายเงินล่วงหน้าสำหรับสินค้าของคุณ คุณจะโน้มน้าวลูกค้าหลายพันคนให้ซื้อมันในภายหลังได้อย่างไร?
ดูเช่น Pebble นาฬิกาอัจฉริยะที่เปิดตัวบน Kickstarter พวกเขาไม่มีโรงงาน ไม่มีนักลงทุน ไม่มีแม้แต่สินค้าสำเร็จรูป แต่พวกเขามีความต้องการจากตลาด มากกว่า 78,000 คนสนับสนุนกว่า 10 ล้านดอลลาร์ (350 ล้านบาท) ก่อนที่จะผลิตสักชิ้น นั่นไม่ใช่แค่เงินทุน แต่เป็นการยืนยันความต้องการของตลาด
5. เงินกู้ หรือเรียกว่า เส้นชีวิตของสตาร์ทอัพ
คำว่า "หนี้" อาจทำให้หลายคนรู้สึกกลัว รู้สึกเหมือนมีภาระบนบ่า เป็นความเสี่ยงที่ใหญ่เกินกว่าจะรับ แต่นี่คือความจริง ว่าทุกธุรกิจที่เอาจริงเอาจัง ในจุดหนึ่ง จะมีหนี้เพื่อเติบโต กุญแจไม่ใช่การหลีกเลี่ยง แต่คือการรู้เวลาและวิธีใช้ให้เหมาะสมกับจังหวะ
Sara Blakely ผู้ก่อตั้ง Spanx ไม่มีเงินทุนจาก VC ไม่มีนักลงทุนรวย สิ่งที่เธอมีคือเงินกู้ 5,000 ดอลลาร์ (175,000 บาท) ต้นแบบสินค้า และความไม่ย่อท้อ เธอใช้บัตรเครดิตครอบคลุมต้นทุนการผลิตระยะแรก โทรหา Neiman Marcus จนกว่าพวกเขาจะนัดประชุม และหาทางโน้มน้าวให้ Oprah นำ Spanx ไปออกรายการ ที่เหลือคือประวัติศาสตร์ เงินกู้เล็กๆ นั้นช่วยให้เธอสร้างอาณาจักรพันล้านดอลลาร์
6. พาร์ทเนอร์ และ ผู้ร่วมก่อตั้ง คือ แหล่งเงินอัจฉริยะ
ลืม Shark Tank ไปได้เลย เพราะบทเรียนจริงไม่ใช่การพิชบนทีวีระดับประเทศ
เพราะ VC ต้องการการเติบโตแบบพุ่งทะยาน เวลาเลือกลงทุนใน 10 บริษัท ต่อให้ 9 บริษัทจะเจ๊ง หรือล้มเหลว ถ้าแต่มี 1 บริษัท ที่ทำเงินได้ในระดับพันล้านดอลลาร์ นั่นก็เพียงแล้ว จุดสำคัญเลยคือบริษัทนั้นจะต้องเติบโตด้วยความเร็วมหาศาล หรือถ้าไม่ได้เป็นแบบนั้นต่อให้บริษัทมีกำไร พวกเขาก็ไม่สนใจอยู่ดี
ส่วนการมีพาร์ทเนอร์ในธุรกิจ จะโฟกัสไปที่การทำกำไร พวกเขาไม่สนใจยูนิคอร์น พวกเขาสนใจสร้างธุรกิจจริงที่ทำเงิน นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาโครงสร้างข้อตกลงต่างออกไป พวกเขาให้กู้เงินแทนที่จะเอาหุ้น พวกเขาอยากมีส่วนร่วม ช่วยเหลือด้านการขาย การจัดจำหน่าย และการปฏิบัติการ พวกเขาไม่ต้องการ IPO เพื่อรับเงิน พวกเขาทำกำไรไปพร้อมกับคุณ
ดังนั้นแล้ว ไม่ใช่ทุกธุรกิจจะต้องการเงินทุนจาก VC เว้นแต่ว่าคุณกำลังต้องการสร้างธุรกิจที่เป็นยูนิคอร์น แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาด้วย คือ การอยู่ภายใต้กรอบการบริหารที่คุณอาจไม่ชอบ หรือไม่อยากทำ แต่ก็ต้องทำ คำถามที่สำคัญกว่านั้น ตอนนี้คุณกำลังสร้างธุรกิจเพื่อให้ใครเป็นเจ้าของกันแน่
เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
———
100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน
#ไปให้ถึง100ล้าน
อ้างอิง
https://bit .ly/4jaRwlv