คดีผู้บริโภค และ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต - ภาคประชาชน

คดีผู้บริโภค และ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต - ภาคประชาชน Nuttawat Rattananawatsakun
คดีผู้บริโภค และ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต - ภาคประชาชน 088-2229663 https://www.ntgroup-asia.com

ให้การช่วยเหลือประชาชนที่โดนรังแก จากหน่วยงานราชการฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

ลาก่อนพ่อคนเก่ง
01/08/2025

ลาก่อนพ่อคนเก่ง

UPDATE: เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ สั่งพิเชษฐ์พ้น สส. ตัดสิทธิสมัครเลือกตั้ง 10 ปี ใช้อำนาจรองประธานสภาโยกงบโครงการโดยมิชอบ
วันนี้ (1 สิงหาคม) องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำวินิจฉัยในคดีที่ ภัณฑิล น่วมเจิม สส. กทม. พรรคประชาชน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 และร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 2569 มีการเสนอแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด มีผลให้ สส. สว. หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสองหรือไม่
ตามคำร้องอ้างถึง พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และ สส. เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้ถูกร้อง เป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการและมีการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 3 โครงการ คือ โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน, โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และโครงการส่งเสริมบทบาทสตรีทางการเมือง ที่พิเชษฐ์มีส่วนโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณปี 2568 และกรณีสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีคำขอเสนอโครงการทั้ง 3 โครงการในปีงบประมาณ 2569 เป็นการเสนองบประมาณด้วยโครงการที่มีรูปแบบเดียวกันและต่อเนื่อง ที่พิเชษฐ์มีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำใดๆ
▪️ข้อเท็จจริงบ่งชี้ พิเชษฐ์ลงนามเสนองบ-แปรญัตติ
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ขอถอนโครงการทั้ง 3 และเลขาสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรขอจะปรับลดงบประมาณโครงการทั้ง 3 ลงเหลือ 0 บาท แม้ว่าโครงการทั้ง 3 อาจเป็นมูลเหตุ หากคดีนี้สิ้นผลไปแล้วก็ตาม แต่ไม่มีผลทำให้การกระทำของผู้ถูกร้องอันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วถูกลบล้างไปและไม่มีผลต่อการพิจารณาต่อศาลรัฐธรรมนูญที่ต้องพิจารณาว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสองหรือไม่
ประกอบกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรค 3 บัญญัติให้การกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรค 2 เป็นอันชี้ผลแล้ว แล้วบัญญัติให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้กระทำการดังกล่าวสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยและให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง กรณีจึงมีเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยต่อไป
ประเด็นแรก ศาลพิจารณาว่าผู้ถูกร้องเป็นผู้สั่งการ ให้เสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณหรือคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของโครงการทั้ง 3 หรือไม่ ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าในการเสนองบประมาณได้มอบหมายให้ จีระพงษ์ วัฒนรัตน์ ที่ปรึกษาคณะทำงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ดำเนินการจัดทำโครงการและผู้ถูกร้องลงนามให้ความเห็นชอบในการจัดทำโครงการทั้ง 3 และเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติปรับลดงบประมาณ ผู้ถูกร้องลงนามหนังสือให้แปรญัตติ
ผู้ถูกร้องชี้แจงว่า ผู้ถูกร้องไม่เคยสั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดทำโครงการเพื่อเสนองบประมาณหรือแปรญัตติงบประมาณ ผู้ถูกร้องเพียงแค่มอบนโยบายให้กับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรอีกทั้งผู้ถูกร้องลงนามในบันทึกข้อความแต่ไม่ได้เขียนข้อความว่าให้เสนอคำแปรญัตติ และไม่ได้ประทับตราคำว่าเห็นชอบ แต่เป็นบุคคลอื่นเขียนข้อความและประทับตราดังกล่าว
พยานบุคคล จีรพงษ์ วัฒนรัตน์ เบิกความยอมรับว่าผู้ถูกร้องมีดำริให้ดำเนินโครงการทั้ง 3 โดยมอบหมายให้ตนเองเป็นผู้ดำเนินการ เจือสมกับคำเบิกความของพยานบุคคลอีก 2 คน ที่สอดคล้องกันว่าในการเบิกงบประมาณฯ ปี 2568 เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรหารือกับผู้ร้องก่อนการเสนอ หรือแปรญัตติโครงการทั้ง 3 ซึ่งผู้ถูกร้องมีดำริให้เสนอและแปรญัตติ
▪️ดำเนินโครงการต่อเนื่อง ปี 2568-2569
สำหรับงบประมาณฯ ปี 2569 กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 สอบถามไปยังผู้ถูกร้องว่าประสงค์จะดำเนินโครงการทั้ง 3 ต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งผู้ถูกร้องมีดำริให้ดำเนินโครงการทั้ง 3 ต่อ
พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามบันทึกข้อความกลุ่มงานต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เกี่ยวกับการเสนอคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณฯ ปี 2569 ของโครงการทั้ง 3 ปรากฏข้อความที่เขียนด้วยลายมืออยู่เหนือลายมือชื่อของผู้ถูกร้องสอดคล้องกับบันทึกข้อความของกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ไม่ลงวันที่ เดือนธันวาคม 2567 เกี่ยวกับการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ของโครงการทั้ง 3 ซึ่งเอกสารทั้ง 2 ฉบับมีลายมือของข้อความที่แตกต่างกัน
ประกอบกับพยานบุคคล เบิกความว่าตนเป็นผู้เขียนข้อความลงในบันทึกข้อความ จึงรับฟังได้ว่าแม้ผู้ถูกร้องลงลายมือชื่อเพียงประการเดียวโดยไม่ได้เขียนข้อความ แต่การลงลายมือชื่อในเอกสารราชการย่อมต้องพิจารณาข้อความของเอกสารก่อน ประกอบกับผู้ถูกร้อง มีตำแหน่งเป็นถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วตั้งแต่ปี 2566 ย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าการลงลายมือชื่อในเอกสารหมายความว่าเห็นด้วยตามข้อความในเอกสาร หากไม่เห็นด้วยย่อมต้องสั่งให้มีการแก้ไข ดังนั้น การลงลายมือชื่อแม้ไม่ได้เขียนข้อความย่อมหมายความว่าเห็นด้วยกับเอกสารดังกล่าว
ประเด็นที่ 2 ผู้ถูกร้องกล่าวอ้างว่าไม่ได้มี หรือเข้าไปมีส่วนโดยทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อนำงบประมาณไปใช้ประโยชน์ในการหาเสียงสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้ง ทั้งนี้พบว่าทั้ง 3 โครงการเป็นโครงการที่จัดทำขึ้น ผู้ถูกร้องมีส่วนในการพิจารณาดำเนินโครงการและมุ่งเน้นดำเนินการในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเขตพื้นที่เลือกตั้งของผู้ถูกร้อง ทำให้มีพฤติการณ์และการกระทำที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้ง 3 โครงการ
ประเด็นที่ 3 โครงการทั้งสามมีวัตถุประสงค์จัดทำขึ้นเป็นโครงการต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2568-2570 แม้ไม่ได้ระบุพื้นที่ในการจัดกิจกรรม แต่จากการคำเบิกความของพยาน ประกอบกับบันทึกคำเบิกความพยานที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ถูกร้องไม่ได้หักล้างให้การเป็นอย่างอื่น ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ได้จากข้อพิจารณา มีน้ำหนักรับฟังสอดคล้องกันว่าผู้ถูกร้องเห็นชอบให้อนุมัติสั่งการให้เสนอหรือแปรญัตติโครงการทั้งสาม
▪️สั่งพ้น สส. ทันที พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
ศาลเห็นว่า การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมิได้เป็นผู้แทนราษฎรเฉพาะพื้นที่หรือเฉพาะกลุ่มบุคคลที่เลือกตนเองเท่านั้น ไม่ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะได้รับการเลือกตั้งจากแบบเขต หรือแบบบัญชีรายชื่อ หรือไม่ว่าจะมาจากเขตเลือกตั้งใดในจังหวัดใด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชน
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎร 2 สถานะ คือ สถานะเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และสถานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การใช้อำนาจของผู้ถูกร้องในการดำริให้เสนอคำขอจัดสรรงบประมาณหรือคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณในโครงการทั้ง 3 เป็นการใช้อำนาจในฐานะของรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1
เมื่อผู้ถูกร้องขอตั้งงบประมาณในงบประมาณปี 2569 เพื่อจัดทำโครงการทั้ง 3 ต่อเนื่องจากงบประมาณปี 2568 แสดงให้เห็นเจตนาของผู้ถูกร้องว่า ต้องการใช้งบประมาณเช่นเดียวกับการใช้งบประมาณในปี 2568 ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการหาเสียง หรือสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง อาจจะทำให้ผู้ถูกร้อง บุคคลอื่นหรือพรรคการเมืองที่ผู้ถูกร้องสังกัดได้รับประโยชน์ในการได้รับเลือกเป็น สส ผู้ถูกร้องทำการเสนอและแปรญัตติโครงการทั้ง 3 มีผลให้ผู้ถูกร้อง มีส่วนไม่ว่าทั้งโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณปี 2569 มิใช่เป็นการดำเนินราชการตามปกติตามกิจการของรัฐสภา ไม่เข้าข้อยกเว้นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185 อนุ 2 ผู้ถูกร้องจึงเป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรค 2
ศาลรัฐธรรมนูญต้องสั่งให้ผู้ถูกร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยคือวันที่ 1 สิงหาคม 2568 และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง และต้องดำเนินการเลือกตั้ง สส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่าง ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลง และให้ถือว่าเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยให้แก่คู่กรณีฟังโดยชอบ คือวันที่ 1 สิงหาคม 2568
ศาลยังวินิจฉัยให้ผู้ถูกร้อง ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งมีกำหนดเวลา 10 ปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในห้องพิจารณาคดี ภัณฑิล น่วมเจิม ผู้ร้อง มาศาล ขณะที่ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ผู้ถูกร้อง ทราบนัดโดยชอบแล้ว ไม่มาศาล มอบหมายให้ เมธี ใจสมุทร ผู้รับมอบฉันทะ เป็นผู้แทนมาศาล
▪️เปิดมติตุลาการวินิจฉัย 2 ประเด็น
มีรายงานเพิ่มเติมว่า ในประเด็นที่ 1 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เห็นว่า ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ในโครงการทั้ง 3 โดยเสียงข้างมาก 5 เสียง ประกอบด้วย ปัญญา อุดชาชน, วิรุฬห์ แสงเทียน, จิรนิติ หะวานนท์, นภดล เทพพิทักษ์ และ สุเมธ รอยกุลเจริญ
ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 4 คน คือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, อุดม สิทธิวิรัชธรรม, บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และ อุดม รัฐอมฤต เห็นว่า การให้ความเห็นชอบให้เสนอคำแปรญัตติของ ผู้ถูกร้องเป็นการกระทำของผู้ถูกร้องในฐานะที่เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 มิใช่ในฐานะเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สำหรับประเด็นที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติโดยเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้อง ขัดต่อมาตรา 144 วรรคสอง และวินิจฉัยให้ผู้ถูกร้องสิ้นสภาพ สส. พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง 10 ปี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 6 คน คือ ปัญญา อุดชาชน, วิรุฬห์ แสงเทียน, จิรนิติ หะวานนท์, นภดล เทพพิทักษ์, บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และ สุเมธ รอยกุลเจริญ
ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 3 คน คือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, อุดม สิทธิวิรัชธรรม และ อุดม รัฐอมฤต เห็นว่า การกระทำของผู้ถูกร้องไม่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง สมาชิกภาพของ สส. ของผู้ถูกร้องจึงไม่สิ้นสุดลง
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
#ศวิตาพูลเสถียร

กองทัพอากาศยืนยันไม่เคยใช้ F-16 โจมตีเป้าหมายพลเรือนในกัมพูชา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 กองทัพอากาศยืนยัน และปฏิเสธข้อ...
25/07/2025

กองทัพอากาศยืนยันไม่เคยใช้ F-16 โจมตีเป้าหมายพลเรือนในกัมพูชา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 กองทัพอากาศยืนยัน และปฏิเสธข้อกล่าวหาจากฝั่งกัมพูชาที่อ้างว่าไทยใช้เครื่องบิน F-16 โจมตีเป้าหมายพลเรือน โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งรายละเอียดตรงตามที่กองทัพบกได้มีการแถลงอย่างเป็นทางการสนับสนุนข้อมูลดังกล่าวเช่นกัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

“ปฏิเสธข้อกล่าวหา–ยืนยันจุดยืนบนหลักสากล”

ข้อกล่าวหาบิดเบือน:

สื่อกัมพูชากล่าวหาว่าไทยใช้ F-16 โจมตีเป้าหมายพลเรือน:

กองทัพบก/กองทัพอากาศปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง เห็นว่าเป็น “ข่าวบิดเบือน (Disinformation)” เพื่อหวังผลทางการเมืองและสร้างความชอบธรรมต่อการรุกรานฝ่ายเดียว

1. ไทยใช้กำลังเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหาร

- ปฏิบัติการของไทย จำกัดเฉพาะภัยคุกคามทางทหาร
- ยึดหลัก Self-defense, International Law และ IHL อย่างเคร่งครัด

2. กัมพูชาใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์

- ตรวจพบการตั้งฐานยิง BM-21 / ปืนใหญ่ในพื้นที่ชุมชน
- ใช้ “พลเรือนเป็นโล่กำบัง” (Human Shields) = ละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

3. ไทยหลีกเลี่ยงเป้าหมายที่เสี่ยงกระทบพลเรือน

- แม้มีสิทธิในการตอบโต้
- แต่ไทย ไม่โจมตีเป้าหมายในพื้นที่ชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสีย
- แสดง “ความรับผิดชอบเชิงจริยธรรม” ของทหารอาชีพ

4. ไทยยึดหลักสากล + ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์

- ปฏิบัติการทั้งหมด ยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ – กฎบัตรสหประชาชาติ
- ไทยใช้เหตุผลและการพิจารณารอบด้าน ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ แม้ในภาวะกดดันหรือถูกใส่ร้าย

5. ระบบอาวุธไทยแม่นยำ ต่างจาก BM-21

- ไทยใช้อากาศยาน (ถ้ามี) แบบ Precision Strike
- ควบคุมทิศทาง–จำกัดวงการปฏิบัติได้ ต่างจาก BM-21 ของกัมพูชาที่ ควบคุมไม่ได้ – ทำพลเรือนเสียชีวิต

🇹🇭 กองทัพบก และกองทัพอากาศ ไม่มีเจตนารุกรานประเทศใด แต่จะ ปกป้องอธิปไตยและประชาชนไทยอย่างสง่างามด้วยเกียรติของทหารอาชีพ ที่ยึดมั่นในหลักสากลและความรับผิดชอบต่อประชาชน

———————————————————————-

“Refuting False Allegations – Standing Firm on International Principles”



Disinformation Alert

Cambodian media claim that Thailand used F-16 fighter jets to strike civilian targets.
The Royal Thai Army/Air Force categorically denies this allegation.
It is regarded as disinformation aimed at political manipulation and justifying unilateral aggression.



1. Thai operations target only military threats

Thai forces are strictly limited to engaging legitimate military threats only.
Operations are conducted in accordance with self-defense, international law, and the International Humanitarian Law (IHL).



2. Cambodia uses civilians as human shields

Cambodian forces have positioned BM-21 rockets and artillery within civilian areas.
This tactic of using “human shields” is a grave violation of humanitarian principles.



3. Thailand avoids strikes that may endanger civilians

Despite the legal right to respond,
Thai forces refrain from striking targets in civilian zones to avoid unnecessary casualties.
This reflects the ethical responsibility of a professional military.



4. Thailand follows international rules and acts with reason, not emotion

All actions are aligned with international law and the UN Charter.
Decisions are made through careful strategic analysis, not emotion — even under provocation or false accusations.



5. Thai air assets are precise—unlike Cambodia’s BM-21 rockets

Thai air operations (if employed) use precision-guided systems.
Strikes are targeted and contained within narrow parameters.
In contrast, Cambodia’s BM-21 rockets lack accuracy and control,
resulting in civilian casualties within their own territory.



🇹🇭The Royal Thai Army & Royal Thai Air Force have no intention to initiate conflict. But it will defend Thailand’s sovereignty and people with honor, professionalism, and full adherence to international norms.

Cr: Official Statement by the Spokesperson of the Royal Thai Army

#กองทัพไทย
#กองทัพบก #กองทัพอากาศ
#ยุทธบดินทร์
#กัมพูชายิงก่อน

กัมพูชายิงปืนใหญ่ไร้ทิศทาง กระสุนตกใส่บ้านในพื้นที่ อ.สังขะ จ.สุรินทร์เด็กๆ กำลังนั่งดูทีวี ถูกสะเก็ดระเบิด
24/07/2025

กัมพูชายิงปืนใหญ่ไร้ทิศทาง กระสุนตกใส่บ้านในพื้นที่ อ.สังขะ จ.สุรินทร์เด็กๆ กำลังนั่งดูทีวี ถูกสะเก็ดระเบิด

กัมพูชายิงจรวด BM-21 กระสุนตกใส่บ้านในพื้นที่ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ เด็กๆ กำลังนั่งดูทีวี ถูกสะเก็ดระเบิด

#ข่าวทั่วไทย ีวิตคนไทย #ไทยรัฐออนไลน์

สรุปสถานการณ์ไทยตอบโต้การโจมตีของกัมพูชา เวลา 15.00 น.- ช่องบก ทั้ง 2 ฝ่ายตรึงกำลัง - ช่องอานม้า F16 ทิ้งไข่ที่ตั้งกำลัง...
24/07/2025

สรุปสถานการณ์ไทยตอบโต้การโจมตีของกัมพูชา เวลา 15.00 น.
- ช่องบก ทั้ง 2 ฝ่ายตรึงกำลัง
- ช่องอานม้า F16 ทิ้งไข่ที่ตั้งกำลังกัมพูชา
- พื้นที่ซำแต อ.กันทรลักษ์ ใช้รถถังเข้าตีเพื่อยึดพื้นที่
- จุดตรวจการณ์ภูผี ตรงข้ามปราสาทโดนตวล ใช้ F-16 ช่องตาเฒ่า
- จุดตรวจการณ์เขาสัตตาโสม ทำลายรถถังกัมพูชาได้จำนวน 2 คัน
- เขาพระวิหาร วัดแก้วฯ ใช้รถถังระดมยิง ส่งทหารราบเข้ายึด
- ภูมะเขือ ปัจจุบันสามารถทำลายกระเช้าส่งกำลังได้บางส่วน
- ช่องจอม โจมตีกันไปมา
- พื้นที่ปราสาทตาควาย กัมพูชาวางกำลัง ฝ่ายไทยเข้าตีระลอกที่ 2
- พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ไทยวางกำลัง กัมพูชาพยายามเข้าตี
Cr.กองทัพบก ทันกระแส

สรุปสถานการณ์ไทยตอบโต้การโจมตีของกัมพูชา เวลา 15.00 น.
- ช่องบก ทั้ง 2 ฝ่ายตรึงกำลัง
- ช่องอานม้า F16 ทิ้งไข่ที่ตั้งกำลังกัมพูชา
- พื้นที่ซำแต อ.กันทรลักษ์ ใช้รถถังเข้าตีเพื่อยึดพื้นที่
- จุดตรวจการณ์ภูผี ตรงข้ามปราสาทโดนตวล ใช้ F-16 ช่องตาเฒ่า
- จุดตรวจการณ์เขาสัตตาโสม ทำลายรถถังกัมพูชาได้จำนวน 2 คัน
- เขาพระวิหาร วัดแก้วฯ ใช้รถถังระดมยิง ส่งทหารราบเข้ายึด
- ภูมะเขือ ปัจจุบันสามารถทำลายกระเช้าส่งกำลังได้บางส่วน
- ช่องจอม โจมตีกันไปมา
- พื้นที่ปราสาทตาควาย กัมพูชาวางกำลัง ฝ่ายไทยเข้าตีระลอกที่ 2
- พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ไทยวางกำลัง กัมพูชาพยายามเข้าตี
Cr.กองทัพบก ทันกระแส
#กัมพูชายิงก่อน

#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
#กองทัพบกทันกระแส

ไทยตอบโต้ด่วน! เรียกทูตกลับ-ปิดด่านชายแดน หลังทหารเหยียบกับระเบิดเจ็บสาหัสอีกนายวันนี้ (23 ก.ค. 2568) นายภูมิธรรม เวชยชั...
23/07/2025

ไทยตอบโต้ด่วน! เรียกทูตกลับ-ปิดด่านชายแดน หลังทหารเหยียบกับระเบิดเจ็บสาหัสอีกนาย

วันนี้ (23 ก.ค. 2568) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงตอบโต้กรณีทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบกับระเบิด บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีคำสั่ง เรียกตัวเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศทันที พร้อมทั้ง ส่งเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำไทยกลับประเทศต้นทาง และ ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตลงในเบื้องต้น

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 16.55 น. หน่วยลาดตระเวนของกองพันทหารราบที่ 14 (ชุด ลว.พัน.ร.14) ลาดตระเวนในพื้นที่ห้วยบอน ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี และได้ เหยียบกับระเบิด ส่งผลให้ จ่าสิบเอกพิชิตชัย บุญโคราช ได้รับบาดเจ็บ ขาขวาขาด โดยได้เคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่เมื่อเวลา 17.18 น.

นายภูมิธรรม ระบุว่า จากการรายงานของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และการพิสูจน์ของกองทัพ ยืนยันว่า ระเบิดที่เกิดเหตุเป็น "ระเบิดที่เพิ่งถูกวางใหม่" ซึ่งเป็นเหตุให้รัฐบาลไม่สามารถนิ่งเฉยได้

รัฐบาลจึงมีคำสั่งให้ปิดด่านชายแดนทั้งหมดในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าเด็ดขาด จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

พร้อมกันนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ ยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลกัมพูชา และยืนยันว่าจะมีการพิจารณา “ระดับความสัมพันธ์ทางการทูต” อย่างต่อเนื่อง หากยังพบพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของไทย

เหตุการณ์นี้นับเป็นการยกระดับความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางข้อกังวลของประชาชนในพื้นที่และทั่วประเทศ.

ลู่วิ่ง กทม. 7.8 แสน vs อบจ.สระบุรี 8.8 แสน !?
22/07/2025

ลู่วิ่ง กทม. 7.8 แสน vs อบจ.สระบุรี 8.8 แสน !?

ป.ป.ช. ให้ความร่วมมือในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
16/07/2025

ป.ป.ช. ให้ความร่วมมือในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

🟪 ป.ป.ช. ให้ความร่วมมือในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย 🟩
--
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
https://www.nacc.go.th/categorydetail/20180831184638361/20250716133857?
--
📌 ไม่พลาดทุกข่าวสาร ติดตามสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ที่
https://linktr.ee/naccthailand
::
🔴 สำนักงานอัยการสูงสุดได้เผยแพร่ข่าวกรณีให้ความช่วยเหลือทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ส่ง นางโจว จิ้งหัว (Zhou Jinghua) บุคคลสัญชาติจีน เป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อดำเนินคดีในความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินของรัฐโดยใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตน อันเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาของสาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนในครั้งนี้ อัยการสูงสุดผู้ประสานงานกลางได้ดำเนินการตามสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2536
--
🟪 โดยที่ผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการตรวจตราแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (National Commission of Supervision: NCS) ในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ในการประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการ ตลอดจนมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านการหารือข้อราชการในหลายโอกาสตั้งแต่กระบวนการถอนสัญชาติไทยของบุคคลดังกล่าว
ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งถอนสัญชาติในปี พ.ศ. 2566 จนถึงกรณีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนซึ่งคดีเป็นอันถึงที่สุดให้มีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐประชาชนจีน
--
📌 คดีดังกล่าวถือเป็นผลสำเร็จของความร่วมมือระหว่างทางการของทั้งสองประเทศ และเป็นการตอกย้ำถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการ NCS ในการต่อต้านการทุจริต โดยเฉพาะการปฏิเสธการให้ที่พักพิงแก่ผู้กระทำความผิด (Denying safe haven)

16/07/2025

สะเทือนวงการจัดซื้อรัฐ! สืบฯ ป.ป.ช. รวบหญิงตัวการใหญ่ฮั้วประมูลรถดับเพลิง 3 คดี ทั่วสุรินทร์

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ภายใต้การอำนวยการของนายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายสุขสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ มอบหมายให้นายธนิต สุวรรณากาศ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการกลุ่มสืบสวนและปฏิบัติการข่าว 1 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กลุ่มสืบสวนฯ 1 จับกุมตัวนางสาวสมนา (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาตามหมายจับ จำนวน 3 คดี ดังนี้

1) หมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ที่ จ.38/2567 ลงวันที่ 12 กันยายน 2567โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือกระทำการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เหตุเกิดที่ ตำบลยาง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2552

2) หมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ที่ จ.9/2568 ลงวันที่ 10 เมษายน 2568 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เหตุเกิดที่ ตำบลกระหาด อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม 2553 ถึงวันที่ 28 เมษายน 2553 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน

3) หมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ที่ จ.10/2568 ลงวันที่ 30 เมษายน 2568โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เหตุเกิดที่ ตำบลทับใหญ่ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ และตำบลรัตนบุรี อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ต่อเนื่องกัน ระหว่างวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 ถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2553 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน

โดย นางสาวสมนา (สงวนนามสกุล) ขณะเกิดเหตุมีพฤติการณ์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ที.ซี.ซี. เทรลเลอร์ แอนด์ทรัค จดทะเบียนเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2550 ตั้งอยู่ที่เลขที่ 169/72 หมู่ 11 ตำบลหนองอ้อ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ได้ร่วมกันกระทำความผิดในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำกับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้มีอำนาจซื้อ ทำ จัดการโครงการจัดซื้อรถบรรทุกน้ำดับเพลิงแบบเอนกประสงค์ขององค์การบริหารส่วนตำบลหลายแห่งในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ กำหนดรายละเอียดคุณลักษณะรถบรรทุกและกำหนดตัวผู้เข้าเสนอราคาให้เข้ามาแข่งขันราคากันโดยไม่เป็นไปตามทางการค้าปกติ โดยมีเจตนาให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที.ซี.ซี. เทรลเลอร์แอนด์ทรัค ซึ่งมีนางสาวสมนา แก้วลายคำ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ได้เข้าทำสัญญา เป็นการเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐ

เจ้าหน้าที่สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ ได้สืบทราบว่าผู้ถูกกล่าวหา หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ตำบลพะเนียด อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม จึงประสานขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวน สถานีตำรวจภูธรนครชัยศรี ตรวจสอบห้องเช่าในพื้นที่ จนกระทั่งพบตัวผู้ถูกกล่าวหาบริเวณห้องเช่าไม่มีเลขที่หมู่ที่ 2 ตำบลพะเนียด อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับพร้อมด้วยสิทธิตามกฎหมายให้ผู้ถูกจับทราบและเข้าใจแล้วจึงควบคุมตัวผู้ถูกจับไปที่สถานีตำรวจภูธรนครชัยศรี เพื่อทำบันทึกการจับ แจ้งการควบคุมตัว พิมพ์ลายนิ้วมือ ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นส่งตัวให้ผู้ว่าคดี ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ และพนักงานอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 3 เพื่อฟ้องคดีต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ต่อไป
...................................................................................

“ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ”
“ ซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ ”

#สร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต

ปปท. เขต 8 ลงพื้นที่ติดตามผลสัมฤทธิ์การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชนขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรง...
09/07/2025

ปปท. เขต 8 ลงพื้นที่ติดตามผลสัมฤทธิ์การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชนขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กในจังหวัดภูเก็ต

ที่อยู่

Samut Sakhon

เบอร์โทรศัพท์

+66882229663

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คดีผู้บริโภค และ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต - ภาคประชาชนผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง คดีผู้บริโภค และ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต - ภาคประชาชน:

แชร์