อีสานโคแฟค - ESAN Cofact

อีสานโคแฟค - ESAN Cofact ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก อีสานโคแฟค - ESAN Cofact, บริษัทด้านสื่อ/ข่าวสาร, Ubon Ratchathani.

06/08/2025

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปพลทหารกัมพูชาวัย 87 ปี รอร่ำลาลูกสาวก่อนไปรบที่ชายแดน

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน**

📍 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 5 ส.ค. 68 เพจเฟซบุ๊ก "Army Military Force" โพสต์คลิปชายชราสวมเครื่องแบบทหารกัมพูชา เขียนคำบรรยายว่า "พลทหารกัมพูชาวัย 87 ปีกำลังรอเพื่อลาลูกสาว (ลูกสาวเป็นเภสัชชุมชน) เพื่อไปเสริมกำลังที่แนวหน้าชายแดน" มียอดชมกว่า 2.9 ล้านครั้ง ต่อมาวันที่ 6 ส.ค.68 เพจเฟซบุ๊ก "ไทยรัฐนิวส์โชว์" ได้นำมาเผยแพร่ต่อโดยพาดหัวว่า "พลทหารกัมพูชา วัย 87 บอกลาลูก เตรียมตัวไปเสริมกำลังที่แนวหน้า"

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: โคแฟคตรวจสอบโดยใช้ Google Reverse Image Search พบว่าผู้ใช้ติ๊กตอกชาวกัมพูชาที่ใช้ชื่อว่า "Nun No Heart" โพสต์คลิปนี้ในช่วงเที่ยงของวันที่ 4 ส.ค. 68 โดยไม่ได้มีคำบรรยายใด ๆ ที่ระบุว่าชายชราคนนี้มาร่ำลาลูกสาวเพื่อเตรียมตัวออกไปสู้รบ แต่ผู้โพสต์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในคอมเมนต์ว่าคุณตาไม่สบายและมาซื้อยาในจังหวัดมณฑลคีรี เธอพบเห็นโดยบังเอิญและรู้สึกสงสารจึงถ่ายคลิปไว้ โพสต์นี้มีคนไทยจำนวนมากเข้าไปแสดงความสงสารและเห็นใจ

วันที่ 6 ส.ค. 68 เวลาประมาณ 17.00 น. เจ้าของบัญชีติ๊กตอกได้โพสต์คลิปเป็นภาษาเขมรและภาษาไทยชี้แจงว่า ชายชราในคลิปที่เธอถ่ายและโพสต์ไม่ได้ถูกสั่งให้ออกไปสู้รบ

"สวัสดีพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ขอบคุณมาก ๆ ที่เป็นห่วงคุณตา จริง ๆ คุณตาไม่ได้ออกไปสู้รบ เขาไม่สบาย แล้ววันนั้นมาหาหมอ บังเอิญเจอแกก็เลยถ่ายคลิปไว้…อยากบอกให้ทุกคนเข้าใจ และขอขอบคุณที่เป็นห่วง เชื่อว่าคนไทยใจดี แล้วก็เชื่อว่าทุกคนไม่อยากให้มีสงคราม แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้ ขอให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายปลอดภัย"

โคแฟคติดต่อสอบถามเจ้าของบัญชีติ๊กตอก "Nun No Heart" โดยตรง เธอให้ข้อมูลโดยส่งเป็นคลิปเสียงภาษาไทยตอบกลับมาว่า "จริง ๆ แล้วคุณตาไม่ได้ออกไปสู้รบ แกเป็นทหารเก่าก็เลยใส่ชุดทหารออกมาแค่นั้น คุณตาอายุเยอะแล้ว ข่าวลือที่บอกว่าแกถูกส่งออกไปสู้รบไม่ใช่เรื่องจริง ทุกวันนี้แกก็อยู่บ้านกับลูกกับเมีย"

#โคแฟค
#ไทยกัมพูชา

ข่าวปลอม อย่าแชร์!!!! กองกำลังไทยไม่ได้มีแผนลอบสังหารผู้นำกัมพูชา
06/08/2025

ข่าวปลอม อย่าแชร์!!!!
กองกำลังไทยไม่ได้มีแผนลอบสังหารผู้นำกัมพูชา

06/08/2025

"รู้ทันมิจฉาชีพและข่าวลวง"

ศูนย์ต่อต้านข่าวลวงจังหวัดขอนแก่น เชิญผู้สนใจเข้าร่วมรับฟัง การอบรมเชิงปฏิบัติการ "รู้ทันมิจฉาชีพและข่าวลวง" ในวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2568 นี้ ณ ห้องประชุม มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน จังหวัดขอนแก่น

ท่านจะได้พบกับความรู้เรื่องการรู้เท่าทันมิจฉาชีพ และการตรวจสอบข่าวลวงเบื้องต้น ทั้งเนื้อหา ภาพประกอบ และภาพจาก AI รวมไปถึงรู้วิธีการป้องกันมิจฉาชีพจากตำรวจไซเบอร์ และรู้เท่าทันภัยการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

รวมทั้งได้ฟังหมอลำโคแฟค ที่จะให้ความรู้เรื่องการต่อต้านข่าวลวงและรู้เท่าทันมิจฉาชีพอีกด้วย

งานนี้จะได้ร่วมทดสอบ และเช็คตัวเองว่า ท่านมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพหรือไม่

ถ้าสนใจมาร่วมกิจกรรมด้วยกันนะคะ งานนี้ฟรี ค่ะ
สนใจติดต่อ คุณริญภาอร เบอร์ 062 656 2965

05/08/2025
ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าอะไรจริงเท็จ การมีข้อมูลที่รอบด้านและวิเคราะห์ความเป็นไปได้แบบมีทัศนะที่เป็นกลางนั้นสำคัญมาก บีบี...
05/08/2025

ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าอะไรจริงเท็จ การมีข้อมูลที่รอบด้านและวิเคราะห์ความเป็นไปได้แบบมีทัศนะที่เป็นกลางนั้นสำคัญมาก บีบีซีนิวส์ไทยเลยรวบรวมข่าวปลอมไวรัลท่ามกลางความขัดแย้งมานำเสนอ

ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. เป็นต้นมา พื้นที่ออนไลน์ได้กลายเป็นสนามรบทาง...

04/08/2025

จริงหรือไม่ ? จังหวัดขอนแก่นเตรียมนำบขส.เก่าแห่งที่ 1 กลับมาทำเป็นบขส.อีก


จากการตรวจสอบของศูนย์ต่อต้านข่าวลวงจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2568 พบว่า ไม่เป็นความจริง โดยเรื่องนี้ นายเอกพล พรหมแสง ในฐานะผู้อำนวยการส่วนจัดการที่ราชพัสดุ ธนารักษ์จังหวัดขอนแก่น เปิดเผยในงานเสวนา “อนาคตบขส. 1” ว่า พื้นที่ บขส.1 เป็นที่ดินราชพัสดุขึ้นทะเบียนไว้เป็นแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ข.103 มีเนื้อที่ประมาณ 13 ไร่ 87 ตารางวา เดิมกรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชน์เพื่อราชการเป็นสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดขอนแก่น ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 ได้มีการถ่ายโอนภารกิจสถานีขนส่งผู้โดยสารให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเทศบาลนครขอนแก่นได้เข้ามาดูแลใช้ประโยชน์ที่ดินแปลงนี้เรื่อยมา และในปี 2560 ได้มีการย้ายสถานีขนส่งไปยังสถานีขนส่งแห่งที่ 3 ปัจจุบัน เทศบาลนครขอนแก่นยังไม่ได้ส่งคืนที่ราชพัสดุแปลงนี้ให้กรมธนารักษ์ และยังคงอยู่ในความดูแลของเทศบาล

โดยที่ผ่านมาเทศบาลนครขอนแก่นเคยเสนอโครงการที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่นี้โดยเสนอให้ดำเนินการเป็น ตลาดประชารัฐ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในการพิจารณาของกรมธนารักษ์ เนื่องจากพื้นที่นี้เป็นที่ราชพัสดุ และหากจะมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์จากสถานีขนส่งผู้โดยสารไปสู่การดำเนินการในเชิงเศรษฐกิจ หน่วยงานที่ดูแลอย่างเทศบาลจะต้องขออนุญาตจากกรมธนารักษ์ก่อน และหากมีการดำเนินการในเชิงเศรษฐกิจ เทศบาลจะต้องเช่าพื้นที่ เนื่องจากเดิมใช้ประโยชน์เพื่อราชการซึ่งไม่ต้องเช่า.

04/08/2025
02/08/2025

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: หัวหน้าพรรคประชาชนประณาม รพ. ที่ปฏิเสธรักษาคนเขมร

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ**

📍 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 2 ส.ค.68 ผู้ใช้ X และเฟซบุ๊กหลายรายเผยแพร่ภาพนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ฝังข้อความที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นคำพูดของนายณัฐพงษ์ว่า "ในฐานะผมอยู่พรรคประชาชน ขอประณามโรงพยาบาลอุบลที่คิดปฏิเสธรักษาคนเขมร เป็นคนไทยที่ทำตัวแย่มาก"

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: เวลา 16.00 น. พรรคประชาชนชี้แจงผ่านเพจเฟซบุ๊ก "พรรคประชาชน - People's Party" ว่า "ข้อความและคำพูดในภาพดังกล่าวเป็นเท็จ เพราะไม่เคยปรากฏว่าณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เคยสื่อสารถ้อยคำดังกล่าว"

พรรคประชาชนชี้แจงเพิ่มเติมว่า วันที่ 31 ก.ค. 68 พรรคให้ความเห็นต่อกรณีการรักษาชาวกัมพูชาทางเพจเฟซบุ๊ก แต่ไม่ได้มีการใช้ถ้อยคำหรือความหมายที่ใกล้เคียงกับที่ปรากฏในภาพ เป็นเพียงการแสดงความเห็นเรื่องข้อควรระวังในการทำให้ประเทศไทยไม่เสียเปรียบกัมพูชาในเวทีโลก ด้วยการยึดหลักกฎหมายและหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญาเจนีวาที่ประเทศไทยเป็นภาคี

โคแฟคตรวจสอบการรายงานของสื่อมวลชน รวมทั้งช่องทางโซเชียลมีเดียของนายณัฐพงษ์และพรรคประชาชน ก็ไม่พบคลิปหรือข้อความตามที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียนำมาอ้างเท็จว่าเป็นคำพูดของนายณัฐพงษ์ที่ประณามโรงพยาบาลด้วยถ้อยคำรุนแรง

ℹ️ ข้อมูลเพิ่มเติม: ลำดับเหตุการณ์ก่อนมีการเผยแพร่เนื้อหาเท็จที่อ้างว่าเป็นคำพูดของนายณัฐพงษ์ประณามโรงพยาบาลใน จ.อุบลราชธานี

▪️ วันที่ 30 ก.ค. 68 โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ออกหนังสือแจ้งเวียนภายในโรงพยาบาลเรื่อง "ขอยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารชาวกัมพูชา และการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา" ได้แก่ 1) ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารชาวกัมพูชา 2) ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว 3) ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา 4) ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ให้จำกัดพื้นที่ให้ชัดเจน มีผลตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.- 10 ส.ค. 68

▪️ วันที่ 31 ก.ค. 68 เวลา 11.16 น. พรรคประชาชนโพสต์ข้อความทางเพจเฟซบุ๊กเกี่ยวกับหนังสือเวียนฉบับนี้ โดยแสดงความกังวลว่าการเลือกปฏิบัติของโรงพยาบาลในการรักษาผู้ป่วย ถือว่าขัดต่อหลัก International Humanitarian Law จะทำให้ประเทศไทยเสียหายมากในเวทีโลก และเสี่ยงต่อการถูกกัมพูชานำไปขยายผลในเวทีระหว่างประเทศ

▪️ วันที่ 31 ก.ค. 68 เวลา 12.25 น. นพ.มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ แถลงชี้แจงว่าบันทึกข้อควาดังกล่าวเป็นหนังสือแจ้งเวียนภายใน แต่เมื่อถูกนำไปเผยแพร่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน แท้จริงแล้วเป็นการปรับระบบบริการและภารกิจในช่วงสถานการณ์เฉพาะหน้าเพื่อระดมทรัพยากรมาดูแลผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากชายแดน โดยการปรับลดงานที่ไม่จำเป็นลง หนึ่งในนั้นคือบริการผู้ป่วยนอกพรีเมียม ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ใช้บริการเป็นชาวกัมพูชาที่ลดจำนวนลงมากในตอนนี้

นพ.มนต์ชัยยืนยันในหลักมนุษยธรรมว่าทางโรงพยาบาลยังรับผู้ป่วยถ้าหากมีความจำเป็นหรือฉุกเฉิน รวมถึงชาวกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่หรือมาจากพื้นที่อื่น ๆ

#โคแฟค
#ไทยกัมพูชา #พรรคประชาชน

02/08/2025

เมื่อข่าวลวงมาพร้อมสงคราม ชวนสร้างภูมิคุ้มกันเฟกนิวส์ให้ตัวเองและสังคม
ตั้งแต่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา สิ่งหนึ่งที่แทบจะตามมาในทันทีก็คือเฟกนิวส์ หรือ ข่าวลวง
ในการรายงานข่าวที่ผ่านมา ข้อสังเกตประการหนึ่งที่อาจก่อให้เกิดเฟกนิวส์ได้ง่ายคือการที่รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่มีการตั้งหน่วยงานฉุกเฉินเพื่อสื่อสารสถานการณ์ และกว่าจะแถลงการณ์หรือรายงานก็เกิดความล่าช้า บางครั้งรอเหตุการณ์สงบจึงมีการรายงานผล แต่กับผู้คนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง พวกเขาต่างเต็มไปด้วยความกังวล ความไม่รู้ ความกลัว และด้วยปัจจัยเหล่านี้ เฟกนิวส์จึงเข้ามาทดแทนช่องหว่างความอยากรู้ในทันที เพราะทุกวินาทีของชาวบ้าน คือความปลอดภัยของพวกเขา
ในภาคตะวันออก ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นพื้นที่ปะทะหลัก แม้จะมีสถานการณ์น่ากังวลอย่างบริเวณบ้านชำราก จ.ตราด แต่ด้วยความที่มีถึง 3 จังหวัดได้แก่ สระแก้ว จันทบุรี และตราด ที่อยู่ติดชายแดนกัมพูชา ทำให้ความกังวลและหวาดกลัวการปะทะนี้จึงคืบคลานมาถึงผู้คนตะวันออกด้วยเช่นกัน โดยในช่วงที่ผ่านมาเราพบเฟกนิวส์เกิดขึ้นหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น คำสั่งอพยพ การรายงานการปะทะที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง หรือภาพวิดีโอที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ เช่น วิดีโอไฟไหม้ที่ตลาดโรงเกลือ ในจังหวัดสระแก้ว ซึ่งถูกใช้กล่าวหาว่าเป็นการโดนระเบิดจากฝั่งทหารกัมพูชา
ปัจจุบันแม้จะยังไม่มีแถลงเป็นหลักฐานแน่ชัดว่าสรุปแล้ว รัฐบาลได้ประกาศให้เพจไหนเป็นเพจหลักในการนำเสนอ และยืนยันข้อเท็จจริง มีเพียงการเอ่ยถึงว่ามีบางเพจถูกเชิญให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มของมหารที่จะได้ข้อมูลโดยตรง ถึงกระนั้น ก็ยังมาซึ่งคำถามมากมายว่า หากมีการตั้งกลุ่มจริง ทำไมบางสื่อกระแสหลัก ถึงยังแชร์เฟกนิวส์ได้ (ไม่นับเรื่องจรรยาบรณณสื่อที่เป็นประเด็นใหญ่ด้วย)
ดังนั้น ในขณะนี้ ประชาชนต้องมีภูมิคุ้มกันในโลกอินเทอร์เน็ตที่ทุกอย่างตัดต่อ แต่งเสริม หรือมาไว ไปไว ข่าวสารต่างท่วมท้น และไม่สามารถแหล่งอ้างอิงได้ชัดเจน ยังไม่รวมถึงการเข้ามาของ AI ที่อาจสร้างภาพได้สมจริง จนเข้าใจผิดได้
เราเลยมีไกด์ไลน์ ชวนตั้งสติก่อนแชร์ด้วยกัน เพื่อหยุดการแพร่ข่าวเฟกนิวส์ในภาวะที่สั่นคลอนเช่นนี้
1. เอ๊ะ! ไว้ก่อน อย่าเพิ่งเชื่อทุกข้อความทันที ต่อให้มาจากสื่อที่ดูน่าเชื่อถือ
หลักการนี้ไม่ได้ใช้ได้เฉพาะสกานการณ์สงครามเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่เราเห็นคอนเทนต์หรือรายงานต่างๆ บนโลกออนไลน์ เราอาจต้องตั้งคำถามกับเรื่องราวเหล่านั้นว่า “จริงแค่ไหน?” ซึ่งคำถามนี้เปรียบเสมือนยันต์ไว้ป้องการเฟกนิว์ได้เป็นอย่างดี
2. เอ๊ะแล้ว ตรวจสอบที่มาของข้อมูลต่อ
เมื่อเราใช้การ เอ๊ะ! เพื่อหยุดคิดและมีสติแล้ว ต่อไปสิ่งที่ต้องทำก่อนจะแชร์ คือการตรวจสอบที่มาของข่าว ว่าอ้างอิงจากไหน ใครเป็นคนเขียน เพราะการรายงานเช่น “เขาว่ากันว่า…” “มีคนรายงานว่า…” สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นการอ้างอิงที่ถูกต้อง แต่หากเป็นการรายงานข่าวที่ดี ควรมีแหล่งที่มาชัดเจน และมีหลักฐานการรายงานเพื่อยืนยัน นอกจากนี้ ในวันที่ใครๆ ก็สามารถขอติ๊กฟ้า และตั้งชื่อให้ดูน่าเชื่อถือได้ การดูชื่อเพจ หรือติ๊กฟ้า อาจไม่ได้ยืนยันว่าพวกเขานำเสนอความจริง
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่อย่างน้อยช่วยให้เราเช็กข้อมูลได้ง่ายขึ้น เช่น การนำภาพไปเสิรช์ใน Google เพื่อหาภาพเหมือน นอกจากนี้อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยมากๆ คือการเช็กข่าวจากหลากหลายแหล่งไว้ก่อนว่าพูดตรงกันหรือไม่ หรือสามารถติดตามเพจ Cofact โคแฟค และ Thai PBS Verify เพื่ออัพเดตว่าข่าวใดเป็นเฟกนิวส์บ้าง
3. ตรวจสอบกับคนในพื้นที่ด้วยกันเอง ก่อนเชื่อเนื้อหาบนโซเชียลมีเดีย
หลายครั้ง การรายงานข้อมูลบางอย่างที่เป็นเฟกนิวส์ อาจเกิดขึ้นจากคนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ และในสถาการณ์เช่นนี้ คนพื้นที่คือผู้ได้รับผลกระทบ และเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ดังนั้น ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ไปมากกว่าสิ่งทีเ่กิดขึ้นในพื้นที่เอง แต่หากคุณไม่ได้อยู่ในพื้นที่แต่อยากเช็กเฟกนิวส์ ให้ลองย้อนกลับไปยัง 2 ข้อด้านบนอีกครั้ง
4. ตรวจสอบข้อมูลกับผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และหน่วยงานราชการท้องถิ่น
ในสถานการณ์เช่นนี้ หน่วยงานท้องถิ่นคือที่พึ่งที่เราควรฝากชีวิตไว้ เพราะพวกเขาคือหน่วยงานราชการที่มีข้อมูลอาจจะครบถ้วนมากที่สุด ดังนั้นโปรดติดตามข่าวสารจากผู้นำท้องถิ่นในชุมชนของแต่ละคน
ปัจจุบันแม้จะมีความพยายามรวบรวมเพจที่น่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็น กองทัพภาคที่ 2 , กองทัพบก Royal Thai Army, กองทัพเรือ Royal Thai Navy, กองทัพอากาศ Royal Thai Air Force แต่การตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์ก็ยังจำเป็นต้องรัดกุม และเช็กก่อนแชร์ทุกครั้ง
ทั้งหมดนี้เพื่อให้เราไม่ตกเป็นเป้าของข่าวลวง และไม่แพร่กระจายความเข้าใจผิดๆ สู่สังคมจนทำให้เกิดความตื่นตระหนกและหวาดกลัวในภาวะคับขันเช่นนี้
#ข่าวลวง #เฟกนิวส์ #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวปลอม #สื่อออนไลน์ภาคตะวันออก

02/08/2025

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ญาติทหารกัมพูชาที่สูญหายประท้วง "ฮุน เซน-ฮุน มาเนต"

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปเก่าการชุมนุมของผู้ค้าที่เดือดร้อนจากการรื้อตลาดในจังหวัดกัมปงชนัง**

📍 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 1 ส.ค.68 ผู้ใช้ติ๊กตอกและเฟซบุ๊กชาวไทยแชร์คลิปวิดีโอการชุมนุมของชาวกัมพูชากลุ่มหนึ่ง บางคนถือรูปและธงสัญลักษณ์พรรคประชาชนกัมพูชา ข้อความในโพสต์อ้างว่าเป็นครอบครัวของทหารกัมพูชาที่เรียกร้องให้นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตามหาทหารที่สูญหายหลังการสู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: วิดีโอนี้เป็นวิดีโอเก่าที่ถูกเผยแพร่โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. 68 เพจเฟซบุ๊ก CJ News ของกลุ่มนักข่าวพลเมืองกัมพูชา รายงานว่าเหตุการณ์การชุมนุมของพ่อค้าแม่ค้าชาวกัมพูชาในตลาดชนกตรุ จังหวัดกัมปงชนัง โดยผู้ชุมนุมต้องการให้นายกฯ กัมพูชาสั่งการให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นยุติการรื้อแผงขายของเพื่อจัดระเบียบตลาด

📢 โคแฟคพบว่าขณะนี้มีการนำคลิปการรวมตัวของชาวกัมพูชาหลายเหตุการณ์ในอดีตมาอ้างว่าเป็นการชุมนุมของญาติพี่น้องทหารกัมพูชาที่ตามหาผู้สูญหายในพื้นที่สู้รบ หากพบคลิปในลักษณะนี้ผู้ใช้งานควรสงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นเนื้อหาเท็จและไม่เผยแพร่ต่อ

#โคแฟค
#ไทยกัมพูชา

31/07/2025

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ภาพ “4 นักบินสาว F-16 แห่งกองทัพไทย”

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นรูปที่สร้างจากเอไอ**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 29 ก.ค. 68 ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กหลายบัญชีเริ่มแชร์ภาพของผู้หญิงในเครื่องแบบนักบินโดยอ้างว่าเป็นภาพของ “4 นักบินสาว F-16 แห่งกองทัพไทย” ชื่อปลายฟ้า อิงดาว น้ำฝน และมณฑา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทหารแนวหน้าที่ต่อสู้กับกัมพูชาในความขัดแย้งครั้งล่าสุด โพสต์ลักษณะนี้ได้รับการกดถูกใจรวมกันหลายพันครั้งและถูกแชร์ต่ออีกหลายร้อยครั้ง

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: โคแฟคพบว่าภาพทั้งสี่มีลักษณะผิดปกติที่ระบุได้ว่าเป็นภาพที่สร้างจากเอไอ สังเกตได้จากใบหน้าของทั้ง 4 ภาพมีลักษณะดวงตาและคิ้วเหมือนกัน เส้นผมมีลักษณะเป็นแผ่น ไม่เป็นเส้นตามธรรมชาติ แสงและเงาบนใบหน้าไม่สอดคล้องกัน รวมถึงป้ายบนเครื่องแบบของพวกเธอซึ่งแตกต่างกันออกไปแต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยงานใดหรือประเทศไหน และเมื่อเปรียบเทียบชุดเครื่องแบบในภาพ ก็พบว่าไม่สอดคล้องกับเครื่องแบบนักบินของกองทัพอากาศไทยที่มีป้ายระบุสังกัดกองบิน ป้ายชื่อของนักบิน หรือป้ายกำกับที่มีสัญลักษณ์ของธงชาติไทยเป็นอย่างน้อย

นอกจากนี้ การตรวจสอบภาพกับเครื่องมือตรวจจับภาพจากเอไอชื่อ Hive Moderation ก็ให้ผลสอดคล้องกัน โดยระบุว่ามีแนวโน้มว่าภาพทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นจากปัญญาประดิษฐ์สูงถึงร้อยละ 99

#โคแฟค
#ไทยกัมพูชา

31/07/2025

10 จุดสังเกต “ข่าวปลอม” รู้ทันมิจฉาชีพ ป้องกันภัยออนไลน์
ติดตามเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่: https://www.thaihealth.or.th/?p=360150
#สสส #สื่อสารสุข #สุขภาวะทางปัญญา

ที่อยู่

Ubon Ratchathani
34000

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ อีสานโคแฟค - ESAN Cofactผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง อีสานโคแฟค - ESAN Cofact:

แชร์