ลงทุนนิยม

  • Home
  • ลงทุนนิยม

ลงทุนนิยม ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน

UPDATE: กรุงเทพฯ ติดโผเมืองที่มีค่าเช่าที่พักอาศัยในย่านทำเลทองเติบโตเร็วเป็นอันดับ 6 ของโลก ครึ่งปีแรกพุ่งแล้ว 4.2%Savi...
20/07/2023

UPDATE: กรุงเทพฯ ติดโผเมืองที่มีค่าเช่าที่พักอาศัยในย่านทำเลทองเติบโตเร็วเป็นอันดับ 6 ของโลก ครึ่งปีแรกพุ่งแล้ว 4.2%
Savills บริษัทตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังของโลก ได้เปิดเผยผลสำรวจ Prime Residential World Cities Index หรือดัชนีค่าเช่าที่อยู่อาศัยในย่านทำเลทองของประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยพบว่ากรุงลิสบอนของโปรตุเกสเป็นเมืองที่มีอัตราค่าเช่าปรับเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในโลกที่ 13.9% ขณะที่อันดับ 2 และ 3 ตกเป็นของสิงคโปร์ และเบอร์ลินของเยอรมนี ที่มีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 13.6% และ 9.2% ตามลำดับ
กรุงเทพมหานครของไทยก็เป็นหนึ่งเมืองที่ติดอยู่ในโผดัชนีค่าเช่าทำเลทองดังกล่าวด้วยเช่นกัน โดยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับ 6 ด้วยอัตราค่าเช่าที่เพิ่มสูงขึ้นราว 4.2% ตามหลังดูไบของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย ที่มีอัตราค่าเช่าสูงขึ้น 5.4% และ 4.3% ตามลำดับ
Alan Cheong กรรมการบริหารศูนย์วิจัยของ Savills เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา 11 จาก 30 เมืองทั่วโลกที่มีอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้นมากที่สุดอยู่ในภูมิภาคเอเชีย โดยนอกจาก 4 เมืองที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ยังพบว่าอัตราค่าเช่าที่อยู่อาศัยในย่านทำเลทองของฮ่องกง โตเกียวของญี่ปุ่น และเซี่ยงไฮ้ของจีน ก็ปรับเพิ่มขึ้นระหว่าง 1.5-2.7% เช่นกัน
“ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมาค่าเช่าในย่านทำเลทองของสิงคโปร์ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 40% จาก 2 ปัจจัยคือ อุปสงค์ของผู้เช่าต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้น และความล่าช้าของโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยระดับหรูหลายแห่งที่ดีเลย์มาจากช่วงโควิด” Cheong กล่าว
อย่างไรก็ดี Cheong คาดการณ์ว่าในปีนี้จะมีโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยของเอกชนในสิงคโปร์ที่จะแล้วเสร็จไม่น้อยกว่า 18,000 ยูนิต ทำให้แนวโน้มค่าเช่าในช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสจะชะลอตัวลงบ้าง แต่ในภาพรวมอัตราค่าเช่าในย่านทำเลทองของสิงคโปร์จะยังเติบโตขึ้นราว 15%YoY อยู่ดี
อ้างอิง:
https://www.cnbc.com/.../these-countries-saw-highest-hike...
#ลงทุนนิยม

UPDATE: LINE MAN Wongnai เข้าซื้อกิจการ FoodStory สตาร์ทอัพไทยผู้พัฒนาระบบ POS สำหรับร้านอาหาร คาดแผน ‘เข้าตลาดหลักทรัพย...
20/07/2023

UPDATE: LINE MAN Wongnai เข้าซื้อกิจการ FoodStory สตาร์ทอัพไทยผู้พัฒนาระบบ POS สำหรับร้านอาหาร คาดแผน ‘เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ’ จะเกิดขึ้นใน 2 ปี
LINE MAN Wongnai ประกาศบรรลุข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อกิจการ FoodStory สตาร์ทอัพไทยผู้พัฒนาระบบ POS สำหรับร้านอาหาร ซึ่งทำธุรกิจนี้มาแล้ว 11 ปีด้วยกัน
ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญของ LINE MAN Wongnai ในการรวมทรัพยากรด้านเทคโนโลยี บุคลากร และความเชี่ยวชาญระหว่าง LINE MAN Wongnai และ FoodStory เป็นหนึ่งเดียวกัน
“เราจะร่วมกันเพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการร้านอาหารทั้ง POS และ Merchant App ที่ตอบโจทย์ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ร้านอาหารในไทย ตอกย้ำผู้นำเบอร์ 1 ของตลาด POS ในไทย”
ภายหลังการเข้าซื้อ ผู้ร่วมก่อตั้ง FoodStory ได้แก่ ฐากูร ชาติสุทธิผล และชวิน ศุภวงศ์ จะเข้ามารับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มธุรกิจ Merchant Solutions รวมถึงพนักงานกว่า 150 คนจะเข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของเอกลักษณ์ วิริยะโกวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ Lifestyle & Solution Services LINE MAN Wongnai
สำหรับตลาด POS ปัจจุบันมีผู้ประกอบการร้านอาหารใช้งานรวมทั้งตลาดราว 1 แสนร้านค้า จากร้านอาหารทั้งหมด 5 แสนร้านค้า โดย LINE MAN Wongnai เผยว่า ตัวเองเป็นเบอร์ 1 ในตลาดนี้ด้วยส่วนแบ่ง 50% หรือมีฐานมากกว่า 50,000 ร้าน และเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากที่รับประทานอาหารนอกบ้านกลับมาคึกคัก โดยในจำนวนนี้ 40% เป็นร้านที่เปิดออนไลน์อย่างเดียว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรีของ LINE MAN ตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 - เมษายน 2566 มีมูลค่าธุรกรรมรวม (GMV) เติบโตขึ้น 33% ในขณะที่ตลาดฟู้ดเดลิเวอรีในปีนี้คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าประมาณ 8.1-8.6 หมื่นล้านบาท หรือลดลงราว 0.8-6.5% จากการประเมินของศูนย์วิจัยกสิกรไทย
หากพิจารณาตามพื้นที่ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 - เมษายน 2566 พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีจำนวนออร์เดอร์เติบโตขึ้น 25% จำนวนผู้ใช้งานเติบโตขึ้น 27% ในขณะที่พื้นที่ต่างจังหวัดมีจำนวนออร์เดอร์เติบโตถึง 17% และจำนวนผู้ใช้งานเติบโตขึ้น 10% จึงเตรียมวางแผนทุ่มงบการตลาดเพื่อดึงดูดผู้ใช้งานและเพิ่มตัวเลือกร้านอาหารทั่วประเทศไทยให้มากขึ้น
“เวลาลูกค้าเลือกใช้งานเดลิเวอรีจะดูจาก 3 เหตุผลหลักคือ มีร้านอาหารที่อยากสั่ง มีตัวเลือกที่เยอะ รวมไปถึงโปรโมชันและค่าส่ง” ยอดกล่าว “จากข้อมูลพบว่าลูกค้าบางรายสั่งเดือนละ 20-30 ครั้ง และตอนนี้ยอดสั่งซื้อต่อบิลได้เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว”
ยอดฉายภาพว่า แม้กระแสเดลิเวอรีจะไม่หวือหวาเหมือนช่วงโควิด แต่การแข่งขันไม่ได้ลดลงเลย มีแต่ทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วยซ้ำ ซึ่งจากผู้เล่นในตลาด 5 ราย เชื่อว่าที่สุดแล้วจะเหลืออยู่ราว 3 ราย คาดว่าภาพที่จะชัดอาจเกิดขึ้นในช่วง 2 ปีต่อจากนี้
“ตอนนี้ผู้เล่นแต่ละรายขโมยลูกค้ากันเองแล้ว เพราะ 20-30% ของผู้ใช้ไม่ได้มี Brand Loyalty ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำสำหรับแพลตฟอร์มคือการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน โดยเชื่อว่าภายในสิ้นปีนี้เราจะมี EBITDA เป็นบวก”
นอกจากนี้ LINE MAN ยังเร่งขยายการเติบโตของบริการออนดีมานด์ในกลุ่ม Non-Food ได้แก่
LINE MAN MESSENGER บริการส่งของ เอกสาร และวางบิลด่วน พบยอดการใช้งานรวมเติบโตขึ้น 2 เท่า และเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดเติบโตขึ้น 4 เท่า พื้นที่ที่มีการใช้งานสูงที่สุด อยู่ในพื้นที่เมือง ได้แก่ กรุงเทพฯ ปริมณฑล พัทยา และเชียงใหม่
LINE MAN MART บริการสั่งของสด-ของใช้ด่วน มีจำนวนร้านค้าบนแพลตฟอร์มกว่า 50,000 ร้าน มียอดออร์เดอร์เติบโต 1.6 เท่า ในปี 2566 เร่งขยายจำนวนร้านค้าแบรนด์ชั้นนำ 11 แบรนด์ ครอบคลุมกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ
LINE MAN TAXI บริการเรียกแท็กซี่ พบความต้องการของผู้ใช้งานเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2565 มีการเติบโตถึง 2 เท่า นอกจากนี้ LINE MAN ยังได้ใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงการรับงานของคนขับแท็กซี่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาสามารถเพิ่มการรับงานแท็กซี่ต่อวันได้เฉลี่ย 21%
ทั้งหมดนี้เป็นการปูทางของ LINE MAN Wongnai ก่อนที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อติดนามสกุลมหาชนเร็วสุดในช่วง 2 ปีต่อจากนี้
#ลงทุนนิยม

UPDATE: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ บวก 8 วันต่อเนื่อง ขานรับกำไร บจ. ที่ออกมาสดใส โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี  ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดตลาดเ...
20/07/2023

UPDATE: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ บวก 8 วันต่อเนื่อง ขานรับกำไร บจ. ที่ออกมาสดใส โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดตลาดเมื่อวานนี้ (19 กรกฎาคม) ปรับตัวขยับขึ้นในแดนบวก โดยได้อานิสงส์จากรายงานผลประกอบการของหลายบริษัทที่ดีเกินคาด บวกกับแรงซื้อจากนักลงทุนที่เริ่มกลับเข้ามาตลาด เนื่องจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มที่ใกล้จะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว
ทั้งนี้ ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปิดที่ 35,061.21 จุด เพิ่มขึ้น 109.28 จุด หรือ 0.31%, ขณะที่ ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,565.72 จุด เพิ่มขึ้น 10.74 จุด หรือ 0.24% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,358.02 จุด เพิ่มขึ้น 4.38 จุด หรือ 0.03%
Dow Jones Industrial Average ปิดตลาดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 8 ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2019
ด้านข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า 78% ของบริษัทในดัชนี S&P 500 ที่ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 แล้วนั้น มีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่าจะมีรายงานผลประกอบการที่ขาดทุนของบริษัทบางส่วน เช่น Goldman Sachs ที่พลาดรายได้ตามที่ตั้งไว้ แต่ก็เป็นไปตามคาดการณ์ของบริษัทที่เคยออกมาบอกนักลงทุนไว้ก่อนหน้า ว่าทาง Goldman อาจจะมีผลลัพธ์ไม่สดใสในช่วงไตรมาสล่าสุด เนื่องจากขาดทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และ GreenSky
ขณะที่นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งมองว่า หุ้นของเทคโนโลยีมีแนวโน้มเติบโตที่สดใส โดยส่วนหนึ่งคาดว่าหุ้นของ Apple จะขยับขึ้นแตะ 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากการคาดการณ์รายได้ในปี 2024 แม้ว่าในระยะสั้นจะเห็นทิศทางความเคลื่อนไหวที่ไม่ค่อยสู้ดีนักของ Apple ก็ตาม
Bank of America Securities ชี้ว่า แม้บริษัทจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 แต่ความต้องการ iPhone ในตลาดที่ปรับตัวลดลง บวกกับความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นในการเปิดตัว iPhone 15A อาจส่งผลให้ยอดขาย iPhone ลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวนักวิเคราะห์มองว่า รายได้ในระยะยาวของ Apple จะฟื้นขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากความต้องการ iPhone ที่ลดลงจะถูกชดเชยด้วยความยืดหยุ่นในบริการ เช่น การเติบโตของ App Store ที่ดีขึ้น การสมัครสมาชิกที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยให้ Apple มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ตลาดโดยรวมของ Apple รวมถึงบริษัทอื่นๆ ในตลาดยังคงต้องเผชิญกับสารพัดความท้าทาย ซึ่ง Apple ชี้ว่า ปีนี้บริษัทมองเห็นอุปสรรคทั้งจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลงและการใช้จ่ายขององค์กรที่ชะลอตัว รวมถึงปัญหาสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ อัตราแลกเปลี่ยน และการใช้จ่ายด้านโฆษณาและเกมดิจิทัลที่อ่อนแอลง
เมื่อวันพุธ (19 กรกฎาคม) หุ้น Apple ปิดตลาดปรับตัวลดลง 0.36% มาอยู่ที่ 193.03 ดอลลาร์ต่อหุ้น
อ้างอิง:
https://www.cnbc.com/.../stock-market-today-live-updates...
https://www.benzinga.com/.../apple-analyst-expects-stock...
#ลงทุนนิยม #สหรัฐฯ #หุ้นสหรัฐฯ

19/07/2023

BREAKING: หุ้น SETC บวกทำนิวโฮในรอบ 1 เดือน อยู่ที่ 10.50 บาท หลัง "อนุทิน" ยืนยัน 2 เงื่อนไข ร่วมรัฐบาล ไม่แก้ ม.112-ไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

UPDATE: หุ้นไทยแกว่งผันผวน กรอบเกือบ 20 จุด บวก 10 จุด ก่อนปิดติดลบ หลังศาลฯ สั่ง ‘พิธา’ หยุดทำหน้าที่ ส.ส. หวั่นจุดชนวน...
19/07/2023

UPDATE: หุ้นไทยแกว่งผันผวน กรอบเกือบ 20 จุด บวก 10 จุด ก่อนปิดติดลบ หลังศาลฯ สั่ง ‘พิธา’ หยุดทำหน้าที่ ส.ส. หวั่นจุดชนวนชุมนุมรุนแรง
SET Index ภาคเช้าวันนี้ (19 กรกฎาคม) มีภาพรวมการเคลื่อนไหวผันผวนทั้งบวกและลบในกรอบเกือบ 20 จุด โดยช่วงต้นของการซื้อ-ขายแกว่งตัวในแดนบวก
โดยช่วงท้ายของการซื้อ-ขายภาคเช้า SET Index ดีดขึ้นไปแรง 10.4 จุด หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องวินิจฉัยสถานภาพของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กรณีเป็นผู้ถือหุ้นสื่อคือ บมจ.ไอทีวี และสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคมเป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำวินิจฉัย แม้ว่าจะยังสามารถเดินหน้าโหวตนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ในวันนี้ แต่ก็ทำให้พรรคเพื่อไทยมีโอกาสเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแทน
อย่างไรก็ดีหลังจากนั้น SET Index กลับมาทยอยลดช่วงของการบวกและพลิกมาปิดตลาดลดลง 0.58 จุด ติดลบ 0.04% หลังจากเริ่มมีม็อบของประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับมติศาลรัฐธรรมนูญทยอยเดินทางมาประท้วงที่บริเวณหน้ารัฐสภา
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ระบุว่า แม้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. แต่การเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ยังสามารถดำเนินการได้ต่อ ซึ่งขณะนี้ที่ประชุมรัฐสภาร่วมกำลังพิจารณาว่าการยื่นญัตติเสนอชื่อของพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีจะเป็นการยื่นญัตติซ้ำหรือไม่ คาดว่าจะนำไปสู่การโหวตของที่ประชุมรัฐสภาร่วมเพื่อหาข้อยุติ และเมื่อได้ข้อยุติแล้วจึงจะนำไปสู่การโหวตเลือกนายกฯ หรือไม่ต่อไป คาด SET Index ผันผวนสูงระยะสั้นจากความไม่แน่นอนดังกล่าว และห่วงกังวลการชุมนุมทางการเมืองที่จะเข้มข้นขึ้นต่อจากนี้
ส่วนนักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดว่าการเคลื่อนไหวของ SET Index ช่วงบ่ายวันนี้มีความเสี่ยงผันผวน อาจสลับย่อตัวในกรอบ 1,525-1,540 จุด โดยมองว่าตลาดจะหันมาให้น้ำหนักกับประเด็นกดดันจากการเมืองภายในเป็นหลัก รวมถึงจับตาความรุนแรง เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดการปฏิบัติหน้าที่ จึงอาจเป็นชนวนให้เกิดการชุมนุมที่รุนแรงหรือยืดเยื้อ อาจต้องระมัดระวังการย่อตัวของหุ้นในกลุ่ม COMM และ TOURISM ที่มักปรับตัวลงในช่วงที่มี Sentiment ลบทางการเมืองกดดัน มองหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว เช่น หุ้นเกี่ยวข้องการเมือง หรือหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่มีปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นต่อ
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับมีดังนี้
◾ BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,350.72 ล้านบาท ปิดที่ 9.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท
◾ CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,232.56 ล้านบาท ปิดที่ 62.75 บาท ลดลง 0.25 บาท
◾ BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,142.33 ล้านบาท ปิดที่ 28.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
◾ AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,097.33 ล้านบาท ปิดที่ 71.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
◾ KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,007.07 ล้านบาท ปิดที่ 134.50 บาท ลดลง 1 บาท
#ลงทุนนิยม #หุ้นไทย #พิธา #นายก #นายกพิธา #ก้าวไกล

Address


Alerts

Be the first to know and let us send you an email when ลงทุนนิยม posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Business

Send a message to ลงทุนนิยม:

Shortcuts

  • Address
  • Telephone
  • Alerts
  • Contact The Business
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share