
19/05/2025
เอาไว้วิเคราะห์ก่อนตัดสินใจซื้อหุ้นกันนะครับ
ลงทุนในหุ้น เท่ากับลงทุนในธุรกิจ
แต่จะรู้ว่าราคาหุ้นถูกหรือแพง ต้องอ่าน
“ตัวย่อพวกนี้” ให้เข้าใจก่อน
ช่วงนี้การลงทุนในหุ้นโดยตรง
ค่อนข้างง่าย และใช้เงินน้อยลงมาก
วันนี้เราเลยมาชวนดู 8 ตัวย่อสำคัญ
ก่อนตัดสินใจ….ซื้อ
⸻
1. P/E Ratio (Price to Earnings)
คือ: ราคาหุ้น / กำไรต่อหุ้น (EPS)
ใช้ดูอะไร: บอกว่าตอนนี้นักลงทุนยอมจ่าย
“กี่บาท” เพื่อซื้อกำไร “1 บาท” ของบริษัทนั้น
หน่วย: เท่า (เช่น 10 เท่า, 25 เท่า)
ตัวอย่าง:
หุ้น A ราคา 50 บาท กำไรต่อหุ้น (EPS) = 5 บาท
P/E = 50 / 5 = 10 เท่า
ตีความ:
• P/E ต่ำ (เช่น < 10) อาจแปลว่าหุ้นยังไม่แพง
• P/E สูง (เช่น > 30) อาจสะท้อนความคาดหวังสูงต่อการเติบโต
ข้อควรระวัง:
• P/E ต่ำมากอาจเกิดจาก “บริษัทมีกำไรไม่สม่ำเสมอ” หรือ “ธุรกิจกำลังมีปัญหา”
⸻
2. P/BV Ratio (Price to Book Value)
คือ: ราคาหุ้น / มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น
ใช้ดูอะไร: หุ้นถูกหรือแพงเทียบกับ
“มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ” ที่บริษัทถืออยู่
ตัวอย่าง:
บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม = 1,000 ล้านบาท
มีหุ้นทั้งหมด 100 ล้านหุ้น = BV = 10 บาท
ถ้าราคาหุ้น = 15 บาท
P/BV = 15 / 10 = 1.5 เท่า
ตีความ:
• ถ้า P/BV < 1 อาจแปลว่า “ราคาหุ้นต่ำกว่าทรัพย์สิน” (อาจเป็นหุ้นถูกหรือบริษัทมีปัญหา)
• ถ้า P/BV > 1.5–2 มักสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของตลาดในอนาคต
ข้อควรระวัง:
• บริษัทบางประเภท เช่น เทคโนโลยีหรือบริการ ไม่มีสินทรัพย์มากเท่าผลิตของ → P/BV อาจไม่สะท้อนคุณค่าแท้
⸻
3. ROE (Return on Equity)
คือ: กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น
ใช้ดูอะไร: บริษัทสร้างกำไรจากเงินทุนของผู้ถือหุ้นได้ดีแค่ไหน
หน่วย: เปอร์เซ็นต์
ตัวอย่าง:
กำไรสุทธิ 100 ล้านบาท / ส่วนของผู้ถือหุ้น 500 ล้านบาท
ROE = 100 ÷ 500 = 20%
ตีความ:
• ROE สูงกว่า 15–20% สะท้อนถึงบริษัทที่ใช้ทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
• ROE เติบโตต่อเนื่อง = บริษัทมีศักยภาพในการแข่งขันระยะยาว
ข้อควรระวัง:
• ROE สูงจากการ “กู้หนี้มาเพิ่ม” อาจไม่ยั่งยืน
⸻
4. ROA (Return on Assets)
คือ: กำไรสุทธิ / สินทรัพย์รวม
ใช้ดูอะไร: วัดความสามารถในการใช้ “ทุกทรัพย์สิน” ให้เกิดกำไร
ตัวอย่าง:
กำไรสุทธิ 50 ล้าน / สินทรัพย์รวม 1,000 ล้าน
ROA = 50 ÷ 1,000 = 5%
ตีความ:
• ROA สูง = บริษัทใช้สินทรัพย์คุ้มค่า
• เหมาะกับการเปรียบเทียบบริษัทในกลุ่มเดียวกัน
⸻
5. EPS (Earnings Per Share)
คือ: กำไรสุทธิ / จำนวนหุ้น
ใช้ดูอะไร: กำไรที่บริษัททำได้ต่อหุ้น 1 หน่วย
ตัวอย่าง:
กำไรสุทธิ 100 ล้าน / 100 ล้านหุ้น
EPS = 1.00 บาท
ตีความ:
• EPS โตทุกปี = บริษัทเติบโตจริง
• ใช้ EPS ในการคำนวณ P/E ด้วย
ข้อควรระวัง:
• EPS อาจถูกปรับโดยการ “เพิ่มทุน” (หุ้นเพิ่ม = EPS ลด)
⸻
6. D/E Ratio (Debt to Equity)
คือ: หนี้สินรวม ÷ ส่วนของผู้ถือหุ้น
ใช้ดูอะไร: วัดโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ว่าพึ่งพา “หนี้” มากแค่ไหน
⸻
ตัวอย่าง:
หนี้สินรวม = 600 ล้าน
ส่วนของผู้ถือหุ้น = 400 ล้าน
D/E = 600 ÷ 400 = 1.5 เท่า
⸻
ตีความ:
• D/E < 1 → บริษัทเน้นใช้ทุนตัวเอง → ความเสี่ยงต่ำ
• D/E ระหว่าง 1 – 2 → ยอมรับได้ในหลายธุรกิจ เช่น พัฒนาอสังหาฯ
• D/E > 2 → เริ่มมีความเสี่ยง หากไม่มีรายได้สม่ำเสมอ
⸻
ข้อควรระวัง:
• บริษัทที่ D/E สูงมาก → ต้องจ่ายดอกเบี้ยต่อเนื่องแม้ในปีที่กำไรลด
• ถ้ารายได้สะดุด หรือดอกเบี้ยขึ้น → เสี่ยงขาดสภาพคล่อง
⸻
7. Dividend Yield
คือ: เงินปันผลต่อปี / ราคาหุ้น
ใช้ดูอะไร: ผลตอบแทนเป็นเงินสดจากหุ้น
ตัวอย่าง:
หุ้นปันผล 2 บาท ราคาหุ้น 40 บาท
Dividend Yield = 2 ÷ 40 = 5%
ตีความ:
• นักลงทุนสายปันผลมอง Yield สูง = รายได้สม่ำเสมอ
• Yield สูงผิดปกติ = อาจมาจากราคาหุ้นตก
⸻
8. Free Cash Flow (FCF)
คือ: กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน - รายจ่ายลงทุน (Capex)
ใช้ดูอะไร: เงินสด “เหลือจริง” หลังจากจ่ายสิ่งจำเป็นทั้งหมด
ตัวอย่าง:
กระแสเงินสดจากดำเนินงาน 500 ล้าน
ซื้อเครื่องจักรใหม่ 200 ล้าน
FCF = 500 - 200 = 300 ล้าน
ตีความ:
• FCF บวกต่อเนื่อง = บริษัทมี “เงินเหลือ” พร้อมโตหรือจ่ายปันผล
• เหมาะใช้วัดคุณภาพของ “กำไร” ว่าเป็นเงินจริงหรือกำไรบัญชี
9. D/E Ratio (Debt to Equity)
คือ: หนี้สินรวม ÷ ส่วนของผู้ถือหุ้น
ใช้ดูอะไร: วัดโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ว่าพึ่งพา “หนี้” มากแค่ไหน
⸻
ตัวอย่าง:
หนี้สินรวม = 600 ล้าน
ส่วนของผู้ถือหุ้น = 400 ล้าน
D/E = 600 ÷ 400 = 1.5 เท่า
⸻
ตีความ:
• D/E < 1 → บริษัทเน้นใช้ทุนตัวเอง → ความเสี่ยงต่ำ
• D/E ระหว่าง 1 – 2 → ยอมรับได้ในหลายธุรกิจ เช่น พัฒนาอสังหาฯ
• D/E > 2 → เริ่มมีความเสี่ยง หากไม่มีรายได้สม่ำเสมอ
⸻
ข้อควรระวัง:
• บริษัทที่ D/E สูงมาก → ต้องจ่ายดอกเบี้ยต่อเนื่องแม้ในปีที่กำไรลด
• ถ้ารายได้สะดุด หรือดอกเบี้ยขึ้น → เสี่ยงขาดสภาพคล่อง
ทุกตัวย่อมีเรื่องเล่าซ่อนอยู่
แต่คุณต้องดูให้ลึกกว่าตัวเลข และเข้าใจบริบทของธุรกิจที่อยู่เบื้องหลัง
เพราะการลงทุน ไม่ใช่แค่เลือกหุ้นถูก…แต่คือการเลือกหุ้นที่ใช่ ในราคาที่สมเหตุสมผล