14/10/2025
[ ] อย่าเพิ่งมั่นใจว่าคุณรู้ ถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ วิธีคิด Two-Track Thinking ของ Charlie Munger เพื่อตัดสินใจได้ฉลาดขึ้นในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งชี้นำ
เราตัดสินใจทุกวัน แหล่งข้อมูลหลายแห่งบอกว่าวันหนึ่งราวๆ 30,000 - 35,000 ครั้งด้วยซ้ำ ซึ่งความจริงอาจจะไม่ได้เยอะขนาดนี้ เพียงแต่ตัวเลขนั้นน่าจะมากกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้แต่แรกอย่างแน่นอน
บางการตัดสินใจเล็กจนเราไม่รู้ตัว บางการตัดสินใจใหญ่จนเปลี่ยนทั้งชีวิต
แต่สิ่งที่เรามักไม่ค่อยคิด “กรอบคิด” ที่จะมาช่วยทำให้การตัดสินใจเหล่านี้ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เราต้องเลือกทางที่ ‘ดีที่สุด’ (ไม่ได้การันตีว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบที่เราคาดหวังหรือต้องการนะครับ) ท่ามกลางความไม่แน่นอนแบบนี้?
หลายคนอาจจะคิดว่า ‘เฮ้ยยย…เราเป็นมนุษย์มีเหตุผลนะ ตัดสินใจอะไรก็ต้องเป็นคนมีเหตุผลสิ’
แต่ถ้าหายใจลึกๆ และมองอย่างไม่มีอคติอย่างแท้จริง เราจะทราบดีว่าในการตัดสินใจของเราบ่อยครั้งไม่ใช่การตัดสินใจของเราจริงๆ สาขาที่เลือกเรียนในมหาวิทยาลัย งานที่ทำ โทรศัพท์มือถือที่ใช้งาน หุ้นที่ลงทุน หนังสือที่อ่าน และอีกหลายอย่างมากมายในชีวิตเรามักได้รับอิทธิพลจากสิ่ง/สื่อ/คนรอบตัวมากกว่าที่เราคิดเสมอ
ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) อดีตนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง เพื่อนสนิทและหุ้นส่วนคนสำคัญของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) เคยพูดไว้ใน A Lesson on Elementary Worldly Wisdom ว่า การตัดสินใจที่ดีไม่ใช่เรื่องซับซ้อน มันคือเรื่องของ “วิเคราะห์แบบคู่ขนาน” (Two-track Thinking) — คิดอย่างมีเหตุผลหนึ่งด้านหนึ่ง และคิดเข้าใจจิตใต้สำนึกอีกด้านหนึ่ง ควบคู่กันไป
โดยหลักการของมันคร่าวๆ คือ
หนึ่ง คือดูตามเหตุผลจริง ๆ ว่ามีปัจจัยอะไรที่ควบคุมผลลัพธ์
สอง คือดูว่า สมองเรากำลังหลอกเราอยู่หรือเปล่า
มันอาจจะดูเรียบง่าย แต่จริง ๆ แล้วนี่คือหนึ่งในแนวคิดที่ทรงพลังที่สุดในการตัดสินใจ เพราะมันไม่เพียงสอนให้ “คิดให้ถูก” แต่สอนให้ “ไม่ถูกหลอกโดยความคิดของตัวเอง” ด้วย
เพราะความผิดพลาดส่วนใหญ่ของมนุษย์ไม่ได้มาจากการขาดเหตุผล แต่มาจากการไม่เข้าใจว่า ตัวเองกำลังคิดผิดอยู่มากกว่า
🧲 [ เข้าใจแรงที่กำลังเล่นอยู่ (The Forces at Play) ]
ทุกการตัดสินใจในชีวิตเรามี “แรง” อยู่เบื้องหลังเสมอ แรงเหล่านี้อาจเป็นข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่เรารู้จักดี แต่มันก็อาจเป็นสิ่งที่เราไม่รู้เลยว่ามีอยู่ มังเกอร์เรียกสิ่งนี้ว่า “Circle of Competence” หรือ “วงกลมแห่งความรู้” ที่เป็นขอบเขตของสิ่งที่คุณเข้าใจจริง ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง แต่คุณต้องรู้ให้ได้ว่า “คุณไม่รู้อะไร” เพราะถ้าคุณรู้ว่าคุณไม่รู้ คุณจะระวังตัวมากขึ้น
สิ่งที่พอจะทำได้คือลองตั้งคำถามมากขึ้น และจะไม่มั่นใจเกินเหตุ เช่น ลองนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ในสายเทคโนโลยีที่เข้าใจซอฟต์แวร์ดีมาก จึงตัดสินใจลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี แต่พอเห็นเพื่อน ๆ พูดถึงหุ้นน้ำมันที่ราคากำลังขึ้นรีบตามไปซื้อ ทั้งที่ไม่เข้าใจอุตสาหกรรมนั้นเลย
ทีนี้พอหุ้นน้ำมันขึ้น เขาอาจจะคิดว่าตัวเองเก่งมาก (ทั้งๆ ที่แค่โชคดี ผลลัพธ์ที่ดี อาจจะไม่ได้มาจากการตัดสินใจที่มีเหตุผลก็ได้) เลยทุ่มเงินลงไปอีก ต่อมาหุ้นร่วง ขาดทุนติดดอย ตอนนี้เริ่มไม่สบายใจแล้วเพราะด้วยความไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ จะขายหรือถือต่อ ลำบากแล้ว ต้องวิ่งไปถามคนอื่น เริ่มโทษเศรษฐกิจ ข่าวที่ได้ยินมา เพื่อนที่ไม่ยอมบอก ฯลฯ
พอผลลัพธ์ดีคนมักคิดว่ามาจากฝีมือ พอผลลัพธ์ไม่ได้ดั่งใจเรากลับโทษโชคชะตา มันเป็นแบบนั้นเสมอ
ปัญหาของเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเราไม่เก่ง แต่เพราะก้าวออกจาก “วงความรู้ของตัวเอง” ในขณะที่ยังไม่พร้อม
🪤 [ เมื่อความมั่นใจกลายเป็นกับดัก ]
เราทุกคนอยากคิดว่าตัวเองมีเหตุผล แต่จิตใต้สำนึกของเรามีวิธีหลอกเรามากกว่าที่คิด
เราอาจใช้ข้อมูลเพียงไม่กี่ตัวอย่างแล้วรีบสรุป (Small sample bias)
เราเชื่อในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อ เพราะมันรู้สึกปลอดภัย (Social proof bias)
เรายึดติดกับสิ่งที่เคยพูดไว้ เพราะกลัวเสียหน้า (Consistency bias)
หรือบางครั้งเรายอมทำตามคำพูดของ “คนที่ดูเก่งกว่า” โดยไม่คิดเอง (Authority bias)
ครั้งหนึ่งผมได้คุยกับ 'พี่ชิต' หรือ พ.อ. ดร.วิชิต ซ้ายเกล้า เป็นที่รู้จักในนามเจ้าของ CHIT BEER แบรนด์คราฟต์เบียร์ไทยบนเกาะเกร็ดและหนึ่งใน Bitcoiner ชื่อดังของไทย เขาเล่าถึงการลงทุนอสังหาฯ ของตัวเองตอนที่กลับมาจากต่างประเทศแรกๆ
ตอนนั้นซื้อคอนโดฯ ย่านท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง เจอทั้งกระแสและคำส่งเสริมการขายบอกว่าพื้นที่แถวนี้กำลังก่อสร้าง มีห้างและคอมมูนิตี้มอลเปิดใหม่ๆ อีกเพียบเลย ตอนนั้นเห็นแต่โอกาส ไม่ได้ดูข้อมูลเชิงลึก ไม่ได้คิดเรื่องภาระผ่อน แต่เพราะกลัวพลาดโอกาส จึงรีบเซ็นไปก่อนเลย แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน โครงการรอบข้างเกิดใหม่อีกเพียบเลย ทีนี้จะขายก็ขายไม่ได้ต้องถือภาระไว้แบบนั้นนานหลายปี ราคากลับนิ่งสนิท เพราะอุปทานล้นตลาด
บ่อยครั้งที่เราไม่ได้ตัดสินใจจากข้อมูล แต่จาก “อารมณ์ของฝูงชน”
เห็นคนทำ ก็ทำตามบ้าง เป็นพฤติกรรมเลียนแบบ เวลาคนล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ มักไม่ใช่เพราะปัจจัยเดียว แต่มักมีแรงหลายแรงผลักไปในทิศทางเดียวกัน
อคติทางความคิดหลายอย่างรวมตัวกันเป็นเหมือนความมั่นใจที่อาจกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่โดยไม่รู้ตัว
🎯 [ เอาตัวรอดยังไงดี? ]
ในแต่ละการตัดสินใจ ลองใช้สูตรสองขั้นของมังเกอร์ดูครับ
ขั้นที่หนึ่ง: ถามตัวเองว่า
* อะไรคือปัจจัยจริง ๆ ที่ส่งผลต่อเรื่องนี้?
* ฉันอยู่ในวงความรู้ของตัวเองไหม?
* หรือแค่กำลังแกล้งทำเป็นรู้?
ขั้นที่สอง: ตรวจสอบจิตใต้สำนึก
* ฉันมั่นใจเกินไปหรือเปล่า?
* ฉันเชื่อเพราะคนอื่นเชื่อไหม?
* ฉันแค่ยึดติดกับสิ่งที่เคยพูดไว้หรือเปล่า?
ยกตัวอย่าง :
สมมติคุณกำลังตัดสินใจลาออกจากงานประจำไปเริ่มธุรกิจส่วนตัว
ถ้าคุณใช้ “ขาที่หนึ่ง” คุณจะดูตัวเลข รายได้ เงินสำรอง และโอกาสทางตลาด ถ้าคุณใช้ “ขาที่สอง” คุณจะมองลึกกว่านั้น ว่าความอยากลาออกของคุณมาจาก “เหตุผล” หรือ “ความเบื่อชั่วคราว”
บางคนไม่ได้อยากมีธุรกิจ เขาแค่อยากหนีจากหัวหน้า แต่ถ้าหนีไปโดยไม่รู้ว่าตัวเองหนีอะไร สุดท้ายเขาอาจสร้างหัวหน้าใหม่ที่มาในรูปแบบของลูกค้าแทน
การตัดสินใจที่ดีจึงไม่ได้มาจากการรู้ทุกอย่าง แต่มาจากการรู้เท่าทันสิ่งที่เราคิดมากกว่า
โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่พยายามชี้นำการตัดสินใจของเรา อัลกอริทึม โฆษณา ความเห็นของคนอื่น ทุกอย่างต่างพยายามจะลากเราไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
แต่ถ้าเรายืนอยู่ได้ด้วย “วิธีวิเคราะห์แบบคู่ขนาน” ของมังเกอร์ ขาหนึ่งคือเหตุผล อีกขาคือความเข้าใจในจิตใจตัวเอง เราจะเริ่มมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น และเราอาจจะเรียกสิ่งนั้นว่า “ปัญญา”
อาจไม่ได้หมายถึงการมีคำตอบที่ถูกต้องเสมอไป แต่มันคือการมี “กรอบคิด” ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราคิดผิดซ้ำ ๆ
นี่คือสิ่งที่มังเกอร์หยิบมาใช้เสมอ เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น
มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล เพียงแต่ไม่ได้มีเหตุผลตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นการตัดสินใจที่ดี ไม่ได้มาจากความฉลาดเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการรู้จักความโง่ของตัวเองด้วย
#การเงินการลงทุน