
14/11/2024
10 Years Anniversary: (Richard Linklater, US, 2014)
ฉากหนึ่งใน Boyhood (2014) งานกำกับชิ้นเอกของผู้กำกับ ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ เรื่องนี้ หยิบเอาคำกล่าวที่ว่า ‘Seize the moment' (จงฉกฉวยช่วงเวลา) มามองในอีกมุมหนึ่ง ว่าแท้จริงแล้วมันน่าจะเป็น ‘The moment seizes us’ (ช่วงเวลาฉกฉวยเรา) ต่างหาก เพราะ... “มันไม่ไปไหน ช่วงเวลามันเป็นเหมือน ‘เดี๋ยวนี้’ ตลอดเวลา” เช่นนั้นแล้ว อะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามาในช่วงเวลานั้นๆ ก็จะถูกฉกฉวยไว้เป็นส่วนหนึ่งของมันเสมอ
นี่คือตัวอย่างของบทสนทนาเรียบง่าย ทว่าเปี่ยมไปด้วยความหมาย มันไม่เพียงผ่านมาแล้วผ่านไป แต่ยังทิ้งบางอย่างไว้ในใจคนดู อย่างน้อยก็จวบจนวันที่ครบวาระ 10 ปีเวียนมาถึงในปีนี้
เรื่องราวที่ถูกบอกเล่าในหนังความยาวกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งเรื่องนี้ ไม่ได้หยิบยกเอาประเด็นใหญ่โต หรือเป็นมหากาพย์ใดๆ หากเพียงแค่หยิบเอาชิ้นส่วนเล็กๆ มานำเสนอในรูปแบบ ‘Slice of life’ ดำเนินเหตุการณ์อย่างตรงไปตรงมา ผ่านสายตาและการเติบโตของเด็กชายวัย 6 ขวบ จวบจนเข้าสู่วัยรุ่นที่กำลังจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย
หนังอาจได้ชื่อว่าเป็นหมุดหมายสำคัญในวงการภาพยนตร์ กับ ‘งานสร้าง’ ที่ผู้กำกับจงใจถ่ายทอดทั้งหมดอย่างสมจริง ด้วยการนัดหมายกับนักแสดงและทีมงานชุดเดิม มาร่วมกันถ่ายทำผลงานชิ้นนี้ ปีละ 2-3 สัปดาห์ (แต่ใช้เวลาในการถ่ายทำจริงๆ เพียงปีละ 3-4 วัน เท่านั้น) นับตั้งแต่ปี 2002 จนถึงปี 2013 โดยอาศัยโครงเรื่องพื้นฐานของตัวละคร ที่มีการวางจุดเริ่มต้นและจุดจบเอาไว้แล้ว นอกเหนือจากนั้นจะเป็นการแก้ไขสคริปต์ทุกปี โดยอิงจากทั้งความเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์บ้านเมือง ไปจนถึงตัวนักแสดงเอง นับเป็นความท้าทายที่ไม่เคยมีใครเคยประสบพบเจอมาก่อน กับสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ ตลอดระยะเวลาการถ่ายทำ (ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ เคยบอกกับ อีธาน ฮอว์ค ไว้ว่า ให้สร้างหนังเรื่องนี้ต่อจนจบ หากเขาเสียชีวิตไปก่อน)
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยาก และน่าชื่นชมไม่แพ้กันก็คือสารที่หนังต้องการจะสื่อ หนังไม่เพียงบันทึกเหตุการณ์สำคัญตลอดช่วงเวลา 12 ปี ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น (ผลกระทบหลังเหตุการณ์ 9/11, กระแสฟีเวอร์ของทั้งวรรณกรรมและภาพยนตร์ Harry Potter, การเลือกตั้งในสมัยของ บารัค โอบามา ไปจนถึงการเริ่มก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์และสังคมยุคใหม่ของสื่อโซเชียลมีเดีย เป็นอาทิ) หากแต่มันยังฉายชัดถึงการมองโลกของเด็กชายคนหนึ่งในรูปแบบหนังก้าวพ้นวัย (Coming of Age) อย่างค่อยเป็นค่อยไป และน่าเชื่อถือ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตัวช่วยสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ เทคนิคการถ่ายทำด้วยวิธีการดังกล่าว ทำให้คนดูค่อยๆ สังเกตเห็นพัฒนาการ และการเติบโตทางร่างกายของแต่ละตัวละครไปทีละน้อย ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ และบริบทของเรื่องราวอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ในเชิงโครงสร้างของบท การสร้างตัวละครที่เป็นเสมือนขั้วตรงข้าม มักเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เช่นนั้น การที่หนังสร้างตัวละคร โอลิเวีย (แพทริเซีย อาร์เค็ตต์) ให้เป็นแม่ผู้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ และเต็มไปด้วยความเข้มขรึม อีกด้านหนึ่ง หนังจึงเลือกวางตัวละคร เมสัน ซีเนียร์ (อีธาน ฮอว์ค) ให้เป็นพ่อผู้ที่สร้างความสบายใจ และเป็นกันเองในยามที่ลูกอยู่ด้วย จนสามารถพูดคุยสื่อสารกันได้ทุกเรื่อง แม้จะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดเวลา หรือไม่ได้เป็นพ่อที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนักก็ตาม กระนั้น ไม่ได้หมายความว่าบทจะป้ายสีขาว/ดำ ให้กับสองตัวละครนี้ (รวมถึงตัวละครอื่นๆ) แต่อย่างใด ตรงกันข้าม ทั้งหมดถูกแต่งเติมด้วยมิติหลากหลาย กระทั่งกลายเป็นตัวละครที่มีเลือดเนื้อเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปโดยถ้วนทั่ว
หนึ่งในฉากน่ารักๆ และน่าจดจำมากสำหรับบทบาท ‘พ่อ-ลูก’ ทั้งในฐานะพ่อกับลูกสาว อย่าง ซาแมนธา (ลอเรไล ลิงค์เลเตอร์-ลูกสาวแท้ๆของผู้กำกับ ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์) ก็คือ ฉากที่พ่อสอนลูกสาวซึ่งเพิ่งจะมีแฟนหนุ่ม ให้รู้จักป้องกันตัวเองด้วยการใช้ถุงยางอนามัย ทั้ง ฮอว์ค และ ลิงค์เลเตอร์ ร่วมกันถ่ายทอดฉากนี้ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ประโยคที่ฮอว์คพูดด้วยท่าทีเขินๆ ว่า “นี่ก็เป็นครั้งแรกของพ่อเหมือนกัน (ที่สอนลูก)” มันดูบริสุทธิ์และจริงใจ หรือในฐานะพ่อกับลูกชาย อย่าง เมสัน จูเนียร์ (เอลลาร์ โคลเทรน) การเข้าฉากด้วยกันของ ฮอว์ค กับ โคลเทรน ทุกครั้ง ทำให้เราสามารถเชื่อโดยไร้ข้อกังขา ราวกับว่าพวกเขาเป็นพ่อ-ลูก กันโดยสายเลือดจริงๆ
ไม่ต่างกับความสัมพันธ์ระหว่าง ‘แม่-ลูก’ ของ โอลิเวีย ทั้งกับ ซาแมนธา และ เมสัน จูเนียร์ ที่ อาร์เค็ตต์ ก็ถ่ายทอดความเป็นตัวละครแม่กับลูกๆ ของเธอออกมาได้อย่างแนบเนียนเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกชายอย่าง เมสัน จูเนียร์ นั้น ทั้งคู่ดูจะมีบางอย่างเชื่อมโยงถึงกันตลอดเวลา ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งจะมีอะไรอยู่ในใจ อีกฝ่ายจะรับรู้และเข้าใจได้ก่อนใครเสมอ เห็นได้เด่นชัดนับตั้งแต่ฉากแรกของเรื่อง เมื่อโอลิเวีย มารับ เมสัน จูเนียร์ กลับบ้าน ทั้งสองพูดคุยกันถึงกรณีที่เขาไม่เคยส่งการบ้านเลย หรือเมื่อ โอลิเวีย กำลังจะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับชายหนุ่มคนใหม่ในแต่ละครั้ง เธอก็มักจะอยู่ในสายตาและการรับรู้ของเมสัน จูเนียร์ ก่อนใครเสมอ แม้แต่ในช่วงที่เมสัน ต้องเริ่มออกไป ‘ใช้ชีวิต’ ของตัวเอง เมื่อเข้าสู่มหาวิทยาลัย สายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นของแม่ลูกคู่นี้ ก็ยังคงชัดเจนจนคนดูรับรู้ได้ไม่ยาก
หนังยังเน้นย้ำกับสองประเด็นใหญ่ที่น่าพูดถึง หนึ่งคือ ‘ความไม่สมบูรณ์แบบ’ และสองคือ ‘การให้คุณค่ากับการเริ่มต้นใหม่’ หรือ ‘การเรียนรู้ ที่ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไป’ ประเด็นแรกถูกพูดถึงผ่านบทสนทนาของโอลิเวียกับลูกๆ หลายครั้ง เช่นในตอนที่เมสัน จูเนียร์ ถูกพ่อเลี้ยงคนแรกจับตัดผมจนเกรียน เขาโกรธและไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ ‘เขาก็มีข้อดี ไม่มีใครเพอร์เฟคหรอก อย่างน้อยเราก็ได้มีครอบครัว’ - แม่ตอบ ก่อนที่เมสัน จะสวนกลับไปทันทีว่า ‘เรามี (ครอบครัว) อยู่แล้ว’ - ใช่ ความหมายในคำตอบนั้นของเมสัน ก็คือหนึ่งในความไม่สมบูรณ์แบบเช่นกัน ครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างกัน อาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องสร้างครอบครัวใหม่กับใครอื่น
ประเด็นหลัง ถูกนำเสนอผ่านตัวละครสำคัญอย่าง โอลิเวีย อีกเช่นกัน เธอเป็นผู้หญิงที่เคยพลาดตั้งท้องตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น การตัดสินใจกลับไปเรียนต่ออีกครั้ง พร้อมกับทำหน้าที่แม่เลี้ยงเดี่ยวไปด้วย สามารถทำให้เธอกลายเป็นอาจารย์ด้านจิตวิทยาที่ประสบความสำเร็จ และเป็นที่ชื่นชมของคนรอบข้าง รวมถึงตัวละครเล็กๆ อย่าง เอนริเก้ (โรแลนด์ รูซ) ชายหนุ่มที่เคยเป็นเพียงช่างประปาที่ดูไร้อนาคต แต่วันหนึ่งกลับประสบความสำเร็จได้จากการปฏิบัติตามคำแนะนำของ โอลิเวีย ที่ขอให้เขากลับไปเรียนต่อ
หนังยังเต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยที่อาจถูกมองว่าไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่ทุกอย่างล้วนเป็นจิ๊กซอว์ตัวเล็กๆ ที่ประกอบร่างสร้างขึ้นมาเป็น ‘ตัวเรา’ ทั้ง เพื่อนสนิทวัยเด็ก, หนังสือที่เคยอ่าน, คนที่เคยให้ความช่วยเหลือ, ครูที่คอยเตือนสติ หรือกระทั่งรักแรกในวัยเด็ก ที่บางครั้งก็ไม่แน่ใจนักว่าจะเรียกมันว่า ‘รัก’ ได้จริงหรือไม่? การเข้ามาและจากไปของผู้คนมากมายในชั่วชีวิตของเรา ล้วนส่งผลกระทบต่อเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ แม้ใครคนนั้นอาจแค่ผ่านมา แล้วไม่ได้กลับมาพบเจอกันอีกเลยก็ตาม
ผู้กำกับ ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ ดูจะมีความสุขกับกระบวนการผลิตผลงานชิ้นนี้มาก เช่นเคย นี่ยังเป็นหนังที่เขาหยิบเอาเรื่องของ ‘เวลา’ มาถ่ายทอดอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับผลงานอื่นๆ ของเขา (ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือหนังไตรภาคชุด ‘Before…’ (1995, 2004, 2013)) ที่สำคัญ เขายังไม่ลืมที่จะสอดแทรกแนวคิด และอุดมการณ์ทางการเมืองของตัวเองเข้าไปในหนัง (การต่อต้านนโยบายทางการทหาร ของ ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช, การสนับสนุน บารัค โอบามา ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี) ควบคู่ไปกับรสนิยมทั้งด้านการดูหนัง (การให้ตัวละครเมสัน จูเนียร์ เลือกหนังโปรดประจำปี 2008 เป็น The Dark Knight / Tropic Thunder / Pineapple Express) และฟังเพลง (บทสนทนาระหว่างพ่อ-ลูก เกี่ยวกับเพลงของวง The Beatles รวมถึงการนำเพลงของศิลปินแต่ละคนที่แยกกันไปทำเพลงของตัวเอง มารวมเป็นอัลบั้มพิเศษ บ่งบอกถึงการเป็นแฟนเพลงอันดับหนึ่งของวงนี้เป็นอย่างดี)
นอกจากนี้ เขายังเปิดโอกาสให้นักแสดงมีส่วนร่วมในการพัฒนาบท และตัวละครด้วย เช่น การเปิดโอกาสให้ ฮอว์ค กับ โคลเทรน ด้นสดบทพูดเกี่ยวกับหนัง Star Wars ในฉากหนึ่งของเรื่อง หรือ อาร์เค็ตต์ ใช้แม่ของเธอเป็นต้นแบบให้ตัวละคร โอลิเวีย จนส่งให้เธอกวาดรางวัลสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมประจำปีนั้นมาครองจากแทบทุกเวที รวมถึงรางวัลออสการ์ (ซึ่งเป็นเพียงรางวัลเดียวที่หนังเรื่องนี้คว้ามาได้) ด้วย
แต่ใครจะรู้ว่า การ ‘Seize the Oscars’ ในปีนั้น แท้จริงแล้วอาจเป็น ‘The Oscars seize them’ ก็ได้ เพราะไม่ใช่เพียง แพทริเซีย อาร์เค็ตต์ จะฉกฉวยออสการ์ไปเป็นของตัวเองเท่านั้น แต่รางวัลออสการ์ ก็ฉกฉวยเอา Boyhood เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์อันทรงเกียรติ และยาวนานไปแล้วเช่นกัน