Byteline & Technology

  • Home
  • Byteline & Technology

Byteline & Technology All about IT News ...

รพ.จุฬาฯ ร่วมกับ สภากาชาดไทย เปิดตัว Check PD แอพพลิเคชันตรวจหาความเสี่ยงเป็นพาร์กินสัน สำหรับวัย 40 ปีขึ้นไป กองบรรณาธิ...
15/01/2025

รพ.จุฬาฯ ร่วมกับ สภากาชาดไทย เปิดตัว Check PD แอพพลิเคชันตรวจหาความเสี่ยงเป็นพาร์กินสัน สำหรับวัย 40 ปีขึ้นไป

กองบรรณาธิการ
รพ. จุฬาฯ จับมือสภากาชาดไทย เปิดตัวแอพ Check PD หลังร่วมกันพัฒนาเพื่อใช้ตรวจหาความเสี่ยงการเป็นพาร์กินสัน เหตุพบสถิติคนไทยเป็นโรคนี้เพิ่มสูงขึ้นและยังพบในคนอายุต่ำกว่า 60 ปี ชี้ความแม่นยำของการตรวจประเมินมีสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ พร้อมเชิญชวนคนไทยโดยเฉพาะคนอายุ 40 ปีขึ้นไปโหลดแอพประเมินความเสี่ยง เพื่อหาทางป้องกันหรือรักษาได้ทันท่วงที
นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย เปิดเผยว่า พาร์กินสันเป็นหนึ่งในโรคความเสื่อมทางระบบประสาทที่พบมากในผู้สูงอายุ และยังเป็นโรคที่มีอัตราการเกิดเพิ่มสูงที่สุดในกลุ่มโรคความเสื่อมทางระบบประสาทด้วยกัน คาดกันว่าในปี 2040 จำนวนผู้ป่วยโรคพาร์กินสันในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว สำหรับประเทศไทยที่ได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ จากปัจจัยเสี่ยงเรื่องอายุที่มากขึ้น และปัจจัยทางพันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิตและสิ่งแวดล้อม มีผลทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคพาร์กินสันในประเทศไทยเพิ่มสูงมากขึ้นตามสถานการณ์ปัจจุบัน และจากการที่การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันในระยะเริ่มต้นยังคงทำได้ยาก เพราะอาจจะมีอาการที่แสดงออกมายังไม่มาก อีกทั้งการขาดแคลนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางระบบประสาท ทำให้ผู้ป่วยในบางพื้นที่เข้าถึงการตรวจวินิจฉัยและการรักษาได้ยาก ส่งผลให้ผู้ป่วยที่เข้าสู่กระบวนการวินิจฉัยโรคมีอาการที่ค่อนข้างมาก หรืออยู่ในระยะการดำเนินโรคระยะกลาง ทำให้การรักษาค่อนข้างยากและมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูง อีกทั้งตัวผู้ป่วยเองยังอาจเกิดความทุพพลภาพ และส่งผลต่อคุณภาพในการดำเนินชีวิต ซึ่งโรคนี้แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่หากตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรก สามารถวางแผนการรักษาและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รศ. นพ. ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า แอพพลิเคชัน Check PD เป็นนวัตกรรมที่เกิดจากการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและการวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ มาช่วยในการวินิจฉัยกลุ่มอาการโรคพาร์กินสัน ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังทางระบบประสาทที่ส่งผลกระทบอย่างมาก ต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยการตรวจพบโรคพาร์กินสันตั้งแต่ระยะแรกของการดำเนินโรค มีความสำคัญต่อการวางแผนการรักษา และการดูแลที่เหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ที่มุ่งเน้นสร้างนวัตกรรมในการดูแลสุขภาพ การพัฒนาระบบบริการที่ทันสมัยและเข้าถึงได้ ตลอดจนการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งการพัฒนาแอพพลิเคชัน Check PD นี้ ถือเป็นความสำเร็จในความร่วมมือที่สำคัญ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วนในการนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการพัฒนาระบบสุขภาพ ที่สามารถช่วยให้ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคพาร์กินสัน สามารถวางแผนการดูแลสุขภาพ การป้องกัน และการรักษาได้อย่างเหมาะสม
ศ. นพ. รุ่งโรจน์ พิทยศิริ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคพาร์กินสันและกลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่าโรคพาร์กินสัน เป็นโรคที่ไม่ได้แสดงอาการทันที แต่มีระยะเวลาของการเตือนและระยะเวลาของการดำเนินโรคที่ค่อนข้างนาน เฉลี่ยนานถึง 10-20 ปี โดยอาการที่ชัดเจนคืออาการสั่น ส่วนอาการเตือนอื่นๆ เช่น อาการท้องผูกเรื้อรัง อาการนอนละเมอ ออกท่าทางหรือออกเสียงที่สัมพันธ์กับเนื้อหาความฝัน ฯลฯ มักถูกมองว่าไม่ใช่อาการผิดปกติ ทำให้ผู้ที่เป็นโรคดังกล่าวไม่คิดว่าตนเองเป็น จึงไม่ได้พบแพทย์และเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
จากการที่อาการของโรคพาร์กินสัน ส่งผลให้การใช้ชีวิตของผู้ป่วยเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะพาร์กินสันเป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติในการทรงตัว ผู้ที่มีอาการมาก จะเคลื่อนไหวด้วยตัวเองลำบาก มีความจำเป็นต้องมีผู้ดูแล ดังนั้นหากสามารถตรวจเช็กได้ล่วงหน้าถึงความเสี่ยงที่จะเป็นโรคดังกล่าว เพื่อหาทางป้องกัน หรือลดความรุนแรงของอาการได้ จะเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ป่วย เพราะพาร์กินสันเป็นโรคที่ป้องกันและรักษาได้หากตรวจพบได้เร็ว ทางศูนย์ฯ จึงได้ร่วมกับทางสภากาชาดไทย ในการพัฒนาแอปประเมินความเสี่ยงการเป็นโรคพาร์กินสัน หรือแอป CHECK PD ขึ้นมา
“นอกจากผู้สูงอายุที่ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงหลักแล้ว ในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ก็ถือเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน จากสถิติที่พบว่าปัจจุบันแนวโน้มผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน พบในผู้ป่วยอายุน้อยลง และพาร์กินสันเป็นโรคที่มีระยะเวลาในการดำเนินโรคค่อนข้างนาน ดังนั้น การที่สามารถตรวจเช็กได้ล่วงหน้าถึงความเสี่ยงของการเป็นโรคพาร์กินสัน จึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อที่จะหาทางป้องกัน หรือเข้าสู่กระบวนการรักษาเพื่อลดอาการรุนแรงของโรค” ศ. นพ. รุ่งโรจน์กล่าว
Check PD เป็นแอพพลิเคชันที่เกิดจากการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและการวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยปัญญาประดิษฐ์ในการวินิจฉัยกลุ่มอาการโรคพาร์กินสัน ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพ การป้องกัน และการรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืน โดยสามารถตรวจเช็กความเสี่ยงการเป็นโรคพาร์กินสันได้ด้วยตนเอง สำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยใช้เวลาประมาณ 25 นาทีในการทำแบบประเมินความเสี่ยง 20 ข้อ ซึ่งการเช็กนี้มีทั้งการตอบคำถาม การทดสอบขยับนิ้ว การทดสอบอาการสั่น การทดสอบการทรงตัว การทดสอบการออกเสียง หลังจบทุกขั้นตอนการเช็กแล้ว สามารถกดรับผลในแอปพลิเคชันได้ทันที ซึ่งผลที่ได้ให้ความแม่นยำสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชัน CHECK PD ได้แล้ววันนี้ทั้งแอพสโตร์และเพลย์สโตร์
ด้านโต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร ศิลปินนักเปียโนชื่อดัง ผู้ที่เคยแต่งและร้องเพลงพาร์กินสัน เพื่อให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน กล่าวว่า โรคพาร์กินสันสามารถตรวจเช็กหาความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้ล่วงหน้า หากพบว่ามีความเสี่ยง สามารถป้องกันและรักษาได้ ซึ่งทางสภากาชาดไทยและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ ได้ร่วมกันพัฒนาแอปพลิเคชัน Check PD ขึ้นมา ที่จะเป็นประโยชน์กับการดูแลสุขภาพของทุกคน จึงอยากขอเชิญชวนทุกคนโหลดแอปพลิเคชันนี้และตรวจเช็กความเสี่ยงของตัวเอง หากพบว่ามีความเสี่ยงจะได้เข้าสู่กระบวนการตรวจรักษา เพราะโรคพาร์กินสัน เป็นโรคที่หากตรวจพบไวก็จะรักษาได้ไว
เพื่อให้แอพพลิเคชัน Check PD เป็นแอพพลิเคชันที่สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องในการคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสัน อีกทั้งยังเป็นการร่วมสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมลงพื้นที่คัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงโรคพาร์กินสันทั่วประเทศ และส่งต่อระบบสาธารณสุขเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง สภากาชาดไทย ยังได้เชิญชวนร่วมกันบริจาค ในโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย เพื่อสำรวจประชาชนที่มีความเสี่ยงโรคพาร์กินสัน หรือร่วมบริจาคเงิน 76 บาท ภายใต้แคมเปญ พาร์พบแพทย์ เพื่อร่วมค้นหา คัดกรอง ช่วยเหลือผู้ป่วยพาร์กินสันกว่า 76 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งการบริจาคสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ผู้สนใจสามารถร่วมสนับสนุนโครงการได้โดยบริจาคเงินผ่านบัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสภากาชาดไทย ชื่อบัญชี สภากาชาดไทย สำนักงานจัดหารายได้ เลขที่บัญชี 045-2-62588-8 ภายหลังโอนเงินบริจาคแล้วสามารถส่งหลักฐานการโอนเงิน แจ้งชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์และหมายเลขบัตรประชาชน (เพื่อใช้ในการยื่นลดหย่อนภาษี) ระบุว่า ค้นหาพาร์กินสัน พาผู้ป่วยพบแพทย์" ส่งเอกสารมาที่ Email: [email protected] เพื่อที่ทางสภากาชาดไทยจะได้ดำเนินการจัดส่งใบเสร็จรับเงินสำหรับการยื่นลดหย่อนภาษีต่อไป
#รพ.จุฬาฯ #สภากาชาดไทย

ผู้บริโภคคนไทย ชีวิตอยู่บนเส้นด้ายความเสี่ยงของค่ายมือถือ Oppo - realmeกองบรรณาธิการจากกรณีที่มีการพบว่า โทรศัพท์มือถือ ...
13/01/2025

ผู้บริโภคคนไทย ชีวิตอยู่บนเส้นด้ายความเสี่ยงของค่ายมือถือ Oppo - realme

กองบรรณาธิการ
จากกรณีที่มีการพบว่า โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ realme และ OPPO เข้ามาให้ข้อมูลกับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เพื่อชี้แจงที่เกิดขึ้น
ผู้บริหารตัวแทนจาก realme และ Oppo ได้ตอบคำถามกับ กสทช. ว่าได้มีการติดตั้งแอพพลิเคชั่นในเครื่องโทรศัพท์มือถือจริง ซึ่งเป็นการติดตั้งแอพพลิเคชั่น มาจากโรงงานและในส่วนฟังก์ชันการกู้เงินไม่ได้รับการขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ในส่วนของ OPPO ให้ข้อมูลว่าจะสามารถให้ลบแอพพลิเคชันเองได้ภายใน 1 เดือน
ก่อนหน้านี้ ทั้ง realme และ OPPO มีแถลงการณ์ออกมาว่า จากกรณีที่โหลดแอพ Fineasy ในมือถือทั้ง 2 ค่าย
โดยมือถือทั้ง 2 เจ้าได้ทำการลบข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อออกทั้งหมดและคงไว้เพียงฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการบริการในชีวิตประจำวันเท่านั้น และจะเร่งปล่อยอัปเดตสิทธิ์ให้ผู้ใช้งานให้สามารถลบแอพ Fineasy และหากผู้ใช้งานต้องการลบแอพพลิเคชันดังกล่าวได้ทันที สามารถติดต่อศูนย์บริการ realme และ OPPO ได้ทั่วประเทศ
และหยุดการแสดงผลแอพพลิเคชันสินเชื่อเป็นแอพแนะนำใน APP Market
อย่างไรก็ตาม กสทช. มีหน้าที่ตรวจสอบอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม ทุกชนิด แต่ไม่ได้มีข้อกำหนดในการอนุญาตให้บริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือติดตั้งแอพพลิเคชันต่างๆในเครื่อง

ไปรษณีย์ไทย เสิร์ฟความสดจากภูมิภาค จัดเซต Party BOX ส่งตรงถึงหน้าบ้านด้วยบริการ ฟิ้วซ์โพสต์ เริ่มต้น 399 บาทกองบรรณาธิกา...
09/01/2025

ไปรษณีย์ไทย เสิร์ฟความสดจากภูมิภาค จัดเซต Party BOX ส่งตรงถึงหน้าบ้านด้วยบริการ ฟิ้วซ์โพสต์ เริ่มต้น 399 บาท

กองบรรณาธิการ
บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ส่งโปรโมชันพิเศษเอาใจสายปาร์ตี้ ด้วยบริการขนส่งควบคุมอุณหภูมิ FUZE POST (ฟิ้วซ์โพสต์) ส่งเย็น ส่งเร็ว ส่งฟิ้วซ์ ยกขบวนอาหารสดคาวหวาน กับ 4 เซต Party BOX ประกอบด้วย เซต ขันโตก BOX / ซีฟู้ด BOX A / ซีฟู้ด BOX B และ เซตหวานใจ BOX ราคาเริ่มต้นเพียง 399 บาทพร้อมส่งตรงถึงบ้าน ให้ทุกท่านสามารถเลือกช้อปอาหารขึ้นชื่อประจำภาคในราคาสุดพิเศษ บนแพลตฟอร์ม ThailandPostMart ที่ไปรษณีย์ไทยพร้อมจัดส่งคงความสดใหม่ให้ถึงมือภายใน 1- 2 วัน ผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อเซต Party Box บนเว็บไซต์ https://www.thailandpostmart.com ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป - 15 มกราคม 2568
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า เพื่อส่งความสุขต้อนรับศักราชใหม่ ให้กับประชาชนคนไทยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ไปรษณีย์ไทยเอาใจสายปาร์ตี้ด้วยชุดเซตอาหารสด Party BOX ราคาพิเศษ ที่ประกอบด้วยอาหารสด 4 เซต จากภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ รับประกันความสดใหม่ของสดเหมือนตอนสั่ง โดยเซตแรกได้แก่ ขันโตก BOX เสิร์ฟความสดจากเมืองเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ราคา 599 บาท ในเซตประกอบด้วย แกงฮังเล ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม กระเทียมโทน และแคปหมูติดมันแบบพร้อมรับประทาน อีกทั้งยังสามารถจุใจกับอาหารทะเลสดจากจังหวัดสุราษฏร์ธานีกับ ซีฟู้ด BOX A ได้แก่ หอยนางรมสด พร้อมเครื่องเคียง ปูม้า และกุ้งแม่น้ำ หรือ ซีฟู้ด BOX B เสิร์ฟหอยนางรมแบบสด ๆ ให้ถึง 13 ตัว พร้อมเครื่องเคียง โดย ซีฟู้ด BOX ราคาเซตละ 999 บาท และเซตสุดท้าย คือ หวานใจ BOX ราคา 399 บาท เสิร์ฟความหวานจากขนมไทยต้นตำรับเมืองเพชรบุรี ได้แก่ ขนมหม้อแกงดั้งเดิม 4 รส ขนมหม้อแกงชีสเค้ก 2 รส และขนมฝอยทองไข่แดงชาววัง โดยทุกออร์เดอร์พร้อมจัดส่งถึงหน้าบ้านภายใน 1 – 2 วัน ด้วยบริการขนส่งควบคุมอุณหภูมิ FUZE POST ซึ่งสามารถส่งได้ทั้งอุณหภูมิปกติ 18 – 25 องศา (Chill) 0 - 8 องศา และอุณหภูมิแบบแช่แข็ง (Frozen) -18 องศา ผู้ที่สนใจสามารถสั่งชุด Party BOX
ทั้ง 4 เซตนี้ได้ที่เว็บไซต์และแอพพลิเคชัน ThailandPostMart ตั้งแต่วันนี้ตลอดจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2568
#ไปรษณีย์ไทย

ประชาสัมพันธ์ 📣กิจกรรม ดีพร้อมพัฒนาและยกระดับบุคลากรด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ระบบอัตโนมัติและดิจิทัล 🤖📊 ภายใต้โครงการ 16.1-1...
02/01/2025

ประชาสัมพันธ์ 📣
กิจกรรม ดีพร้อมพัฒนาและยกระดับบุคลากรด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ระบบอัตโนมัติและดิจิทัล 🤖📊 ภายใต้โครงการ 16.1-1 การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติและดิจิทัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 💼🔧 กองพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 🏭 เรียนฟรี ❗ ไม่มีค่าใช้จ่าย 💸

4.1 หลักสูตร : Digital IoT, AI on Cloud computing via Private 5G Network for Manufacturing 🌐📡
ลงทะเบียน >> https://forms.gle/jVoWe3uAyPoGFQbG8

4.3 หลักสูตร : การออกแบบระบบอัตโนมัติ PLC (Mitsubishi) เพื่อการใช้งานในระบบเครือข่าย 5G Network ในกระบวนการผลิต SI 🏗️🔌
ลงทะเบียน >> https://forms.gle/yq3kGZ7AurxrZVWR7

ติดต่อสอบถาม 📞 : สถาบันไทย-เยอรมัน
โทรศัพท์ :038 215 033 - 39 Ext. 1007
อีเมล : [email protected]

โรช เล็งทุ่มงบวิจัย 15 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2569 ตอกย้ำการเดินทางแห่งนวัตกรรมการรักษาและวัฒนธรมองค์กร  กองบรรณาธิการโรช...
13/12/2024

โรช เล็งทุ่มงบวิจัย 15 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2569 ตอกย้ำการเดินทางแห่งนวัตกรรมการรักษาและวัฒนธรมองค์กร

กองบรรณาธิการ
โรช ไทยแลนด์ ตอกย้ำการเดินทางแห่งนวัตกรรมการรักษาและวัฒนธรมองค์กร ภายใต้ผู้บริหารคนใหม่ แมทธิว ไซมอน โคตส์ (Matthew Simon Coates – Matt Coates) ประจำประเทศไทย เมียนมาร์ กัมพูชา และลาว ด้วยพื้นฐานความรู้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ และประสบการณ์กว่ายี่สิบปีในการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยาและค้นคว้าและวิจัย ทำให้ แมทธิว พร้อมก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เพื่อขับเคลื่อนการเข้าถึงนวัตกรรมทางการรักษา พร้อมทั้งส่งเสริมความร่วมมือกับทุกภาคส่วน
ภายใต้แนวคิด การเดินทางแห่งนวัตกรรมการรักษา และวัฒนธรรมของ โรช ไทยแลนด์ เพื่อสังคมไทย โรช ไทยแลนด์มุ่งมั่นการวิจัยและพัฒนาผ่านการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความคล่องตัวขององค์กร (Agile Organisation) และการผลักดันความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าทางนวัตกรรมและวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมสุขภาพ เพื่อให้คนไทยเข้าถึงยานวัตกรรมมากยิ่งขึ้น
เบื้องหลังการพัฒนายาแต่ละตัว กับความทุ่มเทของโรช
การพัฒนายาเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยต้องอาศัยความทุ่มเทและการทำงานร่วมกันในระบบเครือข่ายทั่วโลกของโรช โดย โรช มีแผนเพิ่มทุนลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ปีละ 5 เปอร์เซ็นต์ โดยปี 2569 จะใช้เงินลงทุนถึง 15 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ที่เปลี่ยนชีวิตคนไข้ไปในทางที่ดีขึ้น โดยโรช ไทยแลนด์ ได้นำการวิจัยทางคลินิกระยะที่ 1 ,2 หรือ 3 เข้ามาลงทุนในประเทศไทย มากกว่า 6 ร้อยล้านบาทในช่วง 22 ปีที่ผ่านมา (786 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2562 ถึง 2567)

กว่ายา 1 ตัวจะได้รับการอนุมัติ ต้องอาศัยความทุ่มเทมหาศาล โดยเฉลี่ยใช้เวลามากกว่า 7 ล้านชั่วโมง ในการศึกษาค้นคว้าและพัฒนา ผ่านมากกว่า 6 พัน การทดลอง ใช้นักวิจัยมากถึง 400 กว่าคน เพื่อให้แน่ใจถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา โดยทั่วไป มียาน้อยกว่า 12 เปอร์เซ็นต์ ที่เข้าสู่การวิจัยในมนุษย์ แล้วสามารถพัฒนาจนได้รับการอนุมัติจาก FDA เพื่อพร้อมให้บริการแก่ผู้ป่วย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โรชได้ให้การรักษาผู้ป่วยชาวไทยไปแล้วมามากกว่า 3 ล้านคน อีกทั้งยังมียากว่า 13 รายการ ที่อยู่ในรายชื่อบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งยืนยันถึงบทบาทของโรชในฐานะพันธมิตรที่น่าเชื่อถือในระบบการดูแลสุขภาพของประเทศไทย
บทบาทสำคัญของประเทศไทยในวิสัยทัศน์ระดับโลกของโรช
ประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญในภารกิจของโรชที่มุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการรักษาผู้ป่วยในประเทศไทย โดยโรชสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ให้เข้าร่วมงานวิจัยทางคลินิกระยะที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 ทำให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการรักษาโรคด้วยยานวัตกรรมใหม่ๆ และ นำเทคโนโลยีที่ใช้ร่วมการดูแลผู้ป่วยในการวิจัยมาให้แพทย์ได้ทำงานวิจัยพร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งทำให้เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยานวัตกรรมให้คนไข้ไทยในทางหนึ่งด้วย
จากข้อมูลที่ศึกษาโดย Deloitte การลงทุนทำงานวิจัยคลินิกทุก 1 บาทที่ลงทุน ประเทศไทยได้รับประโยชน์ 3 บาท
นอกจากนี้ การทำวิจัยในประเทศไทยช่วยเพิ่มพูนทักษะและประสบการณ์ของนักวิจัยและแพทย์ผู้ดูแล เพื่อพัฒนาแนวทางการรักษาที่ตอบโจทย์ความท้าทายด้านสุขภาพ ยิ่งไปกว่านั้น โรชยังทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรทางการแพทย์ ในการเผชิญกับปัญหาสุขภาพในอนาคต
พลังแห่งความร่วมมือ: วัฒนธรรมของการทำงานที่คล่องตัว ในแบบ Agile Way of Working หัวใจสำคัญของความสำเร็จของโรช คือแนวทางที่ให้ความสำคัญกับบุคลากรเป็นอันดับแรก จากผลสำรวจของพนักงานปี 2567 ที่ ไรช ไทยแลนด์ พนักงานมีความภูมิใจอย่างมากในการทำงานในองค์กรสูงถึง 92 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ ด้วยโครงสร้างและการทำงานแบบ Agile หรือ การทำงานที่สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างคล่องตัว เป็นแนวทางการทำงานแบบคล่องตัว ซึ่งมุ่งเน้นการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ความสามารถในการปรับตัว และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของการทำงานและวัฒนธรรมองค์กรที่มีความใส่ใจตั้งแต่พนักงานไปจนถึงครอบครัวพนักงาน
แมทธิวกล่าวว่า จากประสบการณ์ในการทำงานระดับ Global ด้วยการวางวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและการให้อำนาจในการตัดสินใจ จะนำพาไปสู่การทำงานที่มีเป้าหมายเดียวกัน และสำหรับ โรช ไทยแลนด์ เรามีการทำงานแบบ Outcome Based Planning เป็นการทำงานโดยมุ่งที่ผลลัพธ์ในทุกๆ 90 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าเป้าหมายในระยะสั้นนี้ มีการวิเคราะห์ และสามารถพิจารณาปรับเปลี่ยนให้ทันกับเหตุการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เพื่อให้ผลลัพธ์ของเป้าหมายองค์กรระยะยาวสำเร็จได้
การส่งเสริมการทำงานเป็นทีม ความเท่าเทียม และความร่วมมืออย่างเปิดกว้าง ช่วยให้พนักงานสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และปรับตัวเข้ากับความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือและความรับผิดชอบต่อสังคมไทย โรชทำงานร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนทั่วประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาด้านความสามารถในการเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้และส่งเสริมความรู้ด้านการดูแลสุขภาพการอยู่ร่วมกันในสังคมผ่านโครงการต่างๆ�ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ: โรชร่วมมือกับโรงพยาบาลชั้นนำ มหาวิทยาลัย และหน่วยงานด้านสาธารณสุขในการพัฒนาการเข้าถึงยานวัตกรรมและการวินิจฉัยที่ล้ำสมัยอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อพัฒนาแนวความรู้เกี่ยวกับการประเมินเทคโนโลยีทางสุขภาพแก่ชมรมผู้ป่วยกว่า 20 ชมรม และ การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพในประเทศผ่านงานวิจัยและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง�ความรับผิดชอบต่อสังคมไทย: โรชตอบแทนสังคมผ่านกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพและการศึกษาของชุมชนอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น กิจกรรม โรช ชิลเดรนส์วอล์คซึ่งจัดขึ้นทุกปีแสดงถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนเด็กในชุมชน
อิทธิพลเชิงบวกต่อสังคมไทย:
ในเยาวชนไทย โรชส่งเสริมในการให้ความรู้เรื่องความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม DE&I (Diversity, Equity and Inclusion) ในโรงเรียนต่างๆ ในกลุ่มคนวัยทำงาน โรชมีโครงการ Cancer Care Connect: ตรวจเร็ว รักษาไว ห่างไกลมะเร็ง ที่ช่วยเชื่อมโยงข้อมูลแลความรู้เมื่อเผชิญกับโรคมะเร็ง ในกลุ่มนักเรียนและนักศึกษามหาลัย โรชเปิดโอกาสให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ 35-40 คน ต่อปี เข้ามามีประสบการณ์ทำงานที่โรช
มุ่งสู่อนาคต: วิสัยทัศน์สำหรับวันข้างหน้า
แมทธิวเน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับบทบาทของโรชในของการดูแลสุขภาพของคนไทย โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนว่า “ถ้าอยากไปเร็ว ให้ไปคนเดียว แต่ถ้าอยากไปไกล ให้ไปด้วยกัน” (When you run alone, you run fast. When you run together, you run far) แมทธิวอธิบายว่า “ระบบการดูแลสุขภาพเป็นระบบที่ต้องพึ่งพาการทำงานร่วมกันของทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ความคิดที่สร้างขึ้นในโรชเพียงลำพังนั้นอาจพัฒนาได้เร็วกว่า แต่อาจเอื้อประโยชน์แก่ผู้ป่วยอย่างจำกัด ในทางกลับกัน ความคิดที่ถูกพัฒนาร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานต่างๆ อาจใช้เวลานานและซับซ้อนกว่า แต่ท้ายสุดจะสามารถส่งมอบผลลัพธ์ที่ดีขึ้นแก่ผู้ป่วย และสร้างระบบการดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนในประเทศไทยได้
#โรชไทยแลนด์ #โรช

จุฬาฯ ผนึก Google เปิดตัว แอพฯ ChulaGENIE เล็งขึ้นแท่น AI University แห่งแรกในไทย กองบรรณาธิการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (จุ...
28/11/2024

จุฬาฯ ผนึก Google เปิดตัว แอพฯ ChulaGENIE เล็งขึ้นแท่น AI University แห่งแรกในไทย


กองบรรณาธิการ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (จุฬาฯ) ร่วมกับ Google Cloud เปิดตัวโครงการ ChulaGENIE เพื่อบุกเบิกการพัฒนาและส่งมอบแอพพลิเคชันที่นำเอาเทคโนโลยี Generative AI มาให้ประชาคมจุฬาฯ ใช้งานได้อย่างปลอดภัย เชื่อถือได้ และไม่มีค่าใช้จ่าย โดยคาดว่าในระยะแรก ChulaGENIE หรือ Chula’s Generative AI Environment for Nurturing Intelligence and Education จะเปิดให้คณาจารย์และบุคลากรใช้งานได้ในเดือนมกราคม 2568 และจะเปิดให้บริการแก่นิสิตทุกคนได้ภายในเดือนมีนาคม 2568
ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ในการเป็นมหาวิทยาลัยด้าน AI ของประเทศไทย (AI University) จุฬาฯ ได้ร่วมมือกับ Google เพื่อเร่งรัดการพัฒนา รูปแบบการใช้เอไออย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible AI) เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไทยในระยะยาว โดยการใช้แพลตฟอร์ม Vertex AI ของ Google Cloud ซึ่งรวมเอาความสามารถด้านความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวไว้ในที่เดียว รวมถึงความยืดหยุ่นในการเลือกโมเดลผ่าน Model Garden และความสามารถในการปรับแต่งโมเดลพื้นฐานให้เหมาะกับความต้องการที่หลากหลายและการตอบสนองได้แม่นยำ จุฬาฯ สามารถพัฒนา ChulaGENIE ได้ภายในเวลาไม่ถึงสามเดือน ทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทยที่มีแอพพลิเคชัน Generative AI สำหรับการใช้งานเพื่อการศึกษาและวิจัยในระดับอุดมศึกษา โดยยึดหลัก Responsible AI และตอบสนองความต้องการของประชาคมในวงกว้าง โดยจุฬาฯ มีแผนที่จะร่วมมือกับ Google Cloud เพื่อพัฒนา ChulaGENIE ให้ดียิ่งขึ้น และส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม AI ด้านการศึกษาที่พัฒนาขึ้นเองในประเทศให้ใช้งานได้จริงเพื่อสนับสนุนการศึกษาทุกระดับ
สำหรับรูปแบบการใช้งาน ของเจ้าหน้าที่ อาจารย์และนิสิต นั้นจุฬาฯ เตรียมเพิ่มฟังก์ชันใหม่บน ChulaGENIE โดยประชาคมจุฬาฯ จะสามารถสร้างตัวช่วยเฉพาะทางที่ปรับแต่งได้สำหรับงานเฉพาะด้าน ประกอบด้วย
- ตัวช่วยด้านการวิจัย ที่ถูกปรับแต่งในประเด็นเฉพาะ เช่น ประสิทธิภาพของเทคนิคการกักเก็บคาร์บอนต่าง ๆ ในวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม หรือการปรับปรุงการจราจรในเขตเมืองในด้านวิศวกรรมโยธา ซึ่งจะช่วยให้อาจารย์และนิสิตสามารถเชื่อมโยงหรือค้นหาความเชื่อมโยงในงานวิจัย รวมถึงเสนอคำถามหรือสมมติฐานใหม่ ๆ ได้
- ตัวช่วยด้านการศึกษา ที่พัฒนาจากตำรา หรือฐานข้อมูลด้านการศึกษาและอาชีพ พร้อมข้อมูลแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศและข้อพิจารณาด้านจริยธรรม ช่วยให้นิสิตได้รับคำแนะนำที่ปรับให้เหมาะสมและเป็นเฉพาะบุคคลในการเลือกหลักสูตรและการวางแผนเส้นทางอาชีพได้
- ตัวช่วยด้านการบริหารและธุรการ ที่สามารถเข้าใจและตอบคำถามในประเด็นต่าง ๆ เช่น การสมัครเรียน การลงทะเบียน ทุนการศึกษา การจัดการอาคารสถานที่ หรือการสนับสนุนด้าน IT เป็นต้น
ศ.ดร.วิเลิศ กล่าวต่อว่า จุฬาฯ ให้ความสำคัญสูงสุดกับการใช้งาน AI ที่มีความรับผิดชอบ โดยทางมหาวิทยาลัยได้นำระบบกรองเนื้อหา ของ Vertex AI และนโยบาย AI ของจุฬาฯ มาใช้เพื่อออกแบบ ChulaGENIE มิให้ตอบหรือสร้างเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือเป็นอันตราย นอกจากนี้จุฬาฯ ยังเตรียมเพิ่มความแม่นยำในการตอบคำถามของ ChulaGENIE ด้วยการเปิดใช้งานการ Grounding ด้วย Google Serach ซึ่งเป็นฟีเจอร์พิเศษที่พัฒนาโดย Google Cloud
นอกจากนี้จุฬาฯ ยังใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูลและการควบคุมการเข้าถึงระดับองค์กรของ Google Cloud เพื่อมอบประสบการณ์ AI ที่มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย ระบบนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าคำสั่งหรือข้อมูลที่ผู้ใช้งานป้อนรวมถึงคำตอบของ AI จะไม่ถูกผู้พัฒนาโมเดลภายนอกจุฬาฯ นำไปใช้ในการฝึกโมเดลพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งเป็นการรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ในขณะเดียวกันจุฬาฯ ยังสามารถวิเคราะห์แนวโน้มการใช้งานโดยรวมของ ChulaGENIE เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของแอพพลิเคชัน รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้ ChulaGENIE เผยแพร่ข้อมูลงานวิจัยที่เป็นความลับหรือทรัพย์สินทางปัญญาที่มีความอ่อนไหวโดยไม่ได้ตั้งใจอีกด้วย
ในอนาคต จุฬาฯ มีแผนที่จะขยายความร่วมมือกับ Google Cloud เพื่อพัฒนาโมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่แบบโอเพ่นซอร์สที่เน้นเฉพาะด้านสำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา โมเดลนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาแอพพลิเคชันที่ปรับให้เหมาะกับความเร็วและรูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตแต่ละคน โดยให้แบบฝึกหัด คำอธิบาย และข้อเสนอแนะที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ โมเดลดังกล่าวยังสามารถสนับสนุนแอพพลิเคชันที่วิเคราะห์หลักสูตรที่มีอยู่ เพื่อค้นหาช่องว่างหรือจุดที่ควรปรับปรุง พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขโดยอ้างอิงจากงานวิจัยล่าสุดและแนวโน้มด้านการศึกษาในปัจจุบัน
เสริมทักษะ AI ที่จำเป็นให้กับประชาคมจุฬาฯ
จุฬาฯ อบรมคอร์ส Google AI Essentials ให้กับบุคลากร คณาจารย์ และนักศึกษา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ภายใต้โครงการ Samart Skills ของ Google ซึ่งในปัจจุบันมีผู้สำเร็จหลักสูตรนี้แล้วกว่า 800 คน และได้รับใบรับรองจาก Google เพื่อยืนยันความเชี่ยวชาญในการใช้งานเครื่องมือ Generative AI โดยคอร์ส Google AI Essentials นี้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการใช้งาน AI ผ่านวิดีโอการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ การฝึกปฏิบัติจริง รวมถึงการประเมินผล และเครื่องมืออื่น ๆ โดยมีเป้าหมายให้ผู้เรียนเข้าใจเทคนิคการเขียนคำสั่ง (prompting) และการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบ
ทั้งนี้ จุฬาฯ กำลังปรับหลักสูตร Google AI Essentials ให้เรียบง่ายขึ้นสำหรับผู้เรียนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เพื่อให้ประชาคมจุฬาฯ กว่า 50,000 คนสามารถเรียนรู้การใช้งาน ChulaGENIE ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการทำงาน แก้ไขปัญหาในโลกความเป็นจริง และส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมในสาขาของตนเอง
ดังนั้นความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะเป็นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยในการสร้างคุณภาพชีวิต สร้างผลกระทบต่อสังคมโดยรวม โดยใช้เอไอ และจุฬาฯ จะสร้างเครื่องมือให้คนใช้ เอไอด้วยความรับผิดชอบ และสร้างคนที่พร้อมในการใช้เอไอและจะทำอย่างไรให้บุคลากร คณาจารย์ และนิสิต ประมาณ 50,000 จะต้องใช้เอไอได้อย่างเท่าเทียมช่วยลดช่องว่างในการเข้าถึงเครื่องมือเอไอ
“เมื่อจุฬาฯ เป็น AI University ทุกคนต้องมีความรู้ด้านเอไอ มีการนำไปใช้ หลังจากนั้นจุฬาฯพร้อมจะถ่ายทอดองค์ความรู้สู่สังคม เป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ และสเต็ปถัดไปจะเป็นการขยายการใช้งานไปพันธมิตรและสังคม” ศ.ดร.วิเลิศ
ด้านนายอรรณพ ศิริติกุล Country Director, Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือกับจุฬาฯ ทำให้จุฬาฯสามารถใช้แพลตฟอร์มของ Google สร้างแพลตฟอร์มใหม่ขึ้นมา
แพลตฟอร์ม Vertex AI ของ Google ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ อย่างเช่น จุฬาฯ สามารถนำ Responsible AI ไปใช้ได้จริงผ่านฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น Grounding บริการประเมินโมเดล และเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์มาตรฐานที่เข้มงวดในด้านการกำกับดูแลข้อมูล ความเป็นส่วนตัว และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เช่น การเปิดตัว ChulaGENIE สำหรับโครงการริเริ่มด้าน AI เชิงกลยุทธ์ ซึ่งช่วยให้สามารถพัฒนา ติดตั้ง และจัดการ AI ได้ในวงกว้าง ประกอบกับการพัฒนาโมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่สำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และโครงการพัฒนาทักษะ AI ของ Google จะช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในด้านการวิจัยและวิชาการ ซึ่งในท้ายที่สุดจะสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไทย ความร่วมมือกับจุฬาฯ เป็นที่แรกและอยากจะให้มีความสำเร็จด้วย
#จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

KBTG ปักหมุด ปี 2568 เพิ่ม วิศวกร AI 750 คน เข้าสู่ยุค Agentic AI คาดมีผลลัพธ์ทางธุรกิจมากกว่า หมื่นล้านบาทใน 5 ปี กองบร...
28/11/2024

KBTG ปักหมุด ปี 2568 เพิ่ม วิศวกร AI 750 คน เข้าสู่ยุค Agentic AI คาดมีผลลัพธ์ทางธุรกิจมากกว่า หมื่นล้านบาทใน 5 ปี

กองบรรณาธิการ
KBTG ประกาศความสำเร็จด้าน AI ในปี 2567 พร้อมปักเป้าหมายใหม่สำหรับปี 2568 ภายใต้ยุทธศาสตร์ Human-First x AI-First Transformation เน้นการพัฒนาบุคลากรและการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรและสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมไทย ตามแนวคิด KBTG AI For Thailand พร้อมตั้งเป้าจะสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจมากกว่า 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปีข้างหน้า
นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป เปิดเผยว่า ตลอดปี 2567 ทาง KBTG ได้บรรลุความสำเร็จด้าน AI ในหลายมิติ เริ่มตั้งแต่การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม AI เช่น AINU, THaLLE, Future You, คู่คิด, AI-Enabled VDO Analytics, Document OCR ไปจนถึงการพัฒนา AthenaMind แพลตฟอร์มสร้าง AI Agent หรือโมเดล AI เฉพาะทางสำหรับใช้งานภายในองค์กร โดย AI Agent ตัวแรกที่ได้มีการเปิดให้พนักงาน KBTG ใช้งานเป็นที่เรียบร้อยคือ HR Chat Agent ช่วยตอบคำถามและให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของพนักงาน เช่น ประกันกลุ่ม บัญชีค่าใช้จ่าย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และการลา
KBTG ยังเป็นองค์กรไทยหนึ่งเดียวที่ได้รับรางวัล The Innovators 2024 จาก Global Finance ในสาขา Compliance/Risk Innovation: Best eKYC Innovation to Minimize Facial Fraud ผ่านผลงานด้าน AI อย่าง Face Liveness Detection ที่มีการนำไปใช้ในแอพพลิเคชันต่าง ๆ ของธนาคารกสิกรไทย และให้บริการเชิงพาณิชย์ผ่าน AINU อีกทั้งมีการสร้างพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมและงานวิจัยด้านเทคโนโลยี AI ทั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ), สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT), AI Singapore, Google Research, MIT Media Lab และ AI Fund รวมถึงการได้รับคัดเลือกตีพิมพ์งานวิจัยในงานประชุมนานาชาติด้าน NLP ที่ดีที่สุดในโลกอย่าง The 62nd Annual Meeting of the Association for Computational Linguistics (ACL 2024) มีการตีพิมพ์ผลงานในวารสารนานาชาติรวมทั้งหมด 30 ฉบับ แบ่งเป็น Rank A* 2 ฉบับ และ Rank A 5 ฉบับ ที่ถูกนำไปต่อยอดสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้วย AI การยกระดับ eKYC ด้วย Computer Vision และการตอบคำถามลูกค้าแบบเรียลไทม์ผ่าน Chatbot โดย NLP
นายเรืองโรจน์ กล่าวว่า ในปี 2568 เทรนด์ AI ที่จะเข้ามามีบทบาทประกอบไปด้วย 3 เทรนด์ คือ
1. AI for Human Intelligence การใช้ AI เพื่อช่วยในการตัดสินใจและสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจ (AI-Driven Business Impact)
2. AI Agent โมเดล AI เฉพาะทางที่สามารถทำงานและตัดสินใจแบบ End-to-end ได้อย่างแม่นยำ
3. AI Guardrails การใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบเพื่อลดความเสี่ยง ผ่านการสร้างความตระหนักรู้และการกำกับดูแลที่มีความครอบคลุม แต่ยังคงมีความยืดหยุ่น
โดยเทคโนโลยีที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญของ KBTG คือ Agentic AI หรือโมเดล AI ที่ไม่เพียงแค่สามารถปฏิบัติการได้เอง แต่ยังประสานงานและสั่งการ AI ตัวอื่น ๆ เพื่อทำงานซับซ้อนได้มากขึ้น สำหรับในปีที่จะถึงนี้ KBTG จะมุ่งเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI โดยยังคงวางมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ผ่าน 3 เรื่องหลัก ได้แก่
Agentic Platformization การสร้างแพลตฟอร์มใหม่เพื่อจัดการ Agent ให้ง่าย สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมทำงานร่วมกันกับมนุษย์ได้ ยกตัวอย่างเช่น AthenaMind แพลตฟอร์มสร้าง AI Agent ที่ KBTG พัฒนาใช้เองภายในองค์กร เปรียบเสมือน AI Agent Factory ช่วยสร้าง AI Agent เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในแต่ละส่วนงานของ KBTG ซึ่งปัจจุบันองค์กรกำลังอยู่ในระหว่างการวางแผนพัฒนา AI Agent สำหรับหน่วยงานส่วนอื่น ๆ เช่น PDPA Chat Agent และ Regulatory Chat Agent
Agentic Orchestration การสร้างและออกแบบกระบวนการใหม่ (Operation Workflow) เพื่อให้ AI Agent กับมนุษย์ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้ เช่น เบื้องต้นมีการนำ AI Coding Assistant มาใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการทำงานของ Developer โดยสามารถลดเวลาการทำงานของ Developer เบื้องต้นได้ไม่ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ และมีการสร้างโค้ดด้วย AI ไปแล้ว 500,000 Line of Code ก้าวต่อไปคือการเพิ่มความสามารถจาก AI Coding Assistant ไปเป็น AI Coding Agent ซึ่งจะมีความสามารถเปรียบเสมือน Junior Developer ที่สามารถเขียนโค้ดได้ตั้งแต่ต้นจนจบจากการให้ Requirement ที่ชัดเจน ช่วยลดระยะเวลาในการเขียนโค้ด และทำให้ Software Development Life Cycle รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
Agentic Humanization การเตรียมความพร้อมของคนทั้งในด้านแนวคิด ทักษะ และวัฒนธรรมการทำงานที่เปิดกว้าง พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถด้าน AI มากยิ่งขึ้น สร้างสิ่งที่เรียกว่า Human-AI Workforce Integration เพื่อส่งเสริมการผสมผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับการทำงานของพนักงานในทุก ๆ วัน โดยปัจจุบัน KBTG ได้บรรลุเป้าหมาย 100
เปอร์เซ็นต์ ด้าน AI Literacy สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับ AI ให้พนักงานทุกคน มีการสร้างชมรม Machine Learning, AI, Data Analytics (M.A.D. Guild) และกลุ่มผลักดันการใช้งาน AI อย่างแพร่หลาย (KBTG Democratization of AI: K-DAI Council) เพื่อจะมุ่งทำ Human Transformation พัฒนาบุคลากรให้สามารถดึงศักยภาพสูงสุดของตัวเอง โดย AI จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยปลดล็อกและนำพาไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
ปัจจุบันKBTG พัฒนาเอไอแพลตฟอร์มสำหรับใช้ภายในขององค์กรและพันธมิตรประมาณ 10 แพลตฟอร์ม มีวิศวกร เอไอ 250 คนจากพนักงานทั้งหมด 2,600 คน จะบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มวิศวกรเอไอ 750 คน เป็น 1,000 คนในปี 2568 เพื่อรองรับการพัฒนาและต่อยอดแพลตฟอร์มเอไอมากขึ้น อาทิ แพลตฟอร์มเอไอที่รองรับหารแพทย์ การศึกษา ไซเบอร์ ซิเคียวรีตี้ พัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานจาก 6.5 เท่า เป็น 10 เท่า สร้างอีโคร ซิสเต็ม เอไอของไทยสู่สากล โดยมี K-DAI Council เป็นหน่วยงานกลางที่กำกับดูแลวิสัยทัศน์ด้านเอไอ รวมถึงขับเคลื่อน เอไอของ บริษัทเพื่อรองรับ การก้าวสู่ KBTG 3.0 ด้วย
ทั้งนี้ KBTG ตั้งเป้าจะสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจมากกว่า 10,000 ล้านบาทภายในปี 2572 ด้วยการขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็น AI-Infused Organization ปรับกระบวนการทำงานภายในองค์กร ให้ AI เข้ามามีส่วนร่วมและผสมผสานกับการทำงานของพนักงานในทุกจุด พร้อมทั้งขับเคลื่อนการสร้าง AI-Driven Innovations เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์กร รวมถึงขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ด้วยการนำงานวิจัยด้าน AI มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศ เช่น AI เพื่อการศึกษา AI เพื่อเป็นที่ปรึกษาสำหรับเยาวชน และ AI เพื่อการแพทย์ ตามแนวคิด KBTG AI For Thailand ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีและที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

กรุงศรี ประกาศแผน GO Sustainable with krungsri ขับเคลื่อนภาคการเงินสู่ความยั่งยืน พร้อมบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนไดอ...
15/11/2024

กรุงศรี ประกาศแผน GO Sustainable with krungsri ขับเคลื่อนภาคการเงินสู่ความยั่งยืน พร้อมบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ภายในปี 2593

กองบรรณาธิการ
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ขับเคลื่อนสู่เป้าหมายในการเป็น ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน” (The Leading Sustainable and Regional Bank) ด้วยแนวคิด GO Sustainable with krungsri ให้ความสำคัญทั้งเรื่องการเติบโตอย่างยั่งยืนและรักษาความเป็นผู้นำทางธุรกิจ พร้อมทั้งเคียงข้างให้การสนับสนุนลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับเศรษฐกิจและสังคม
นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายใต้กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน ตามแผนธุรกิจระยะกลางฉบับปัจจุบัน กรุงศรีให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืนใน 2 ด้านหลัก ด้านแรก คือ การเติบโตอย่างยั่งยืนและรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจหลัก (Sustainable Core Business) ซึ่งมุ่งนำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งให้ความสำคัญด้านความร่วมมือกับพันธมิตรและการสร้างอีโคซิสเต็มส์ให้กับธุรกิจทั้งในประเทศและอาเซียน และด้านที่สอง คือ การขับเคลื่อนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน (Sustainable Society) โดยให้การสนับสนุนลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน และให้ความสำคัญกับการสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทยในภาพรวม ซึ่งทั้งหมดนี้ กรุงศรีจะดำเนินการภายใต้แนวคิด GO Sustainable with krungsri เพื่อเดินหน้าสู่เส้นทางของความยั่งยืนร่วมกัน
ทั้งนี้ ในการขับเคลื่อนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน (Sustainable Society) มีหลากหลายโครงการที่กรุงศรีได้ดำเนินการมาแล้วอย่างต่อเนื่องและยังคงเดินหน้าต่อไป รวมถึงพัฒนาโครงการใหม่ๆ โดยเฉพาะในมิติด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องหลักที่ทั่วโลกให้ความสำคัญและกำลังเร่งดำเนินการ เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น โดยในปี 2564 กรุงศรีได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Krungsri Net Zero Vision) ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการทางธุรกิจของธนาคารภายในปี 2573 และจากการให้บริการทางการเงินทั้งหมดภายในปี 2593 เพื่อบรรลุสู่เป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งกรุงศรีให้ความสำคัญกับ 2 เรื่อง ดังนี้
เรื่องแรก คือ การให้ความสำคัญกับการดำเนินการภายในกรุงศรี (Own Operations) โดยมุ่งดูแลลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการดำเนินธุรกิจ ปลูกฝัง Krungsri Sustainability DNA ให้เกิดขึ้นภายในองค์กร เพื่อให้ทุกคนในองค์กรตั้งแต่ระดับผู้บริหารและพนักงานได้มีส่วนร่วม ปรับเปลี่ยนและเรียนรู้เรื่องการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าและมีประสิทธิภาพ การลดขยะอาหารที่ต้องฝังกลบให้เป็นศูนย์ เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการทางธุรกิจของธนาคารภายในปี 2573 และเดินหน้าสู่การเป็น Net-Zero Organization ในส่วนนี้กรุงศรีได้ริเริ่มและดำเนินการในหลายโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่สำนักงานใหญ่ อาคารสำนักงานอื่นๆ ของกรุงศรี และสาขาของธนาคาร อาทิ การเปลี่ยนระบบเครื่องทำความเย็น (Chiller Plant) การติดตั้งแผงโซลาเซลล์ การเปลี่ยนรถยนต์ ส่วนกลางและจักรยานยนต์ที่ใช้ในการรับส่งเอกสารเป็นยานยนต์ไฟฟ้า การกำจัดขยะ
เรื่องที่สอง คือ การเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) กรุงศรีมุ่งสนับสนุนลูกค้าสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน โดยกรุงศรีได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ MUFG สถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ เพื่อพัฒนาโซลูชันทางการเงินที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล และเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยออกสู่ตลาด ปัจจุบันกรุงศรีอยู่ในตำแหน่งผู้นำในตลาดทุนและตลาดสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทย เป็นผู้ออกตราสารเพื่อความยั่งยืน (ESG Bond Underwriting) โดยมีส่วนแบ่งตลาดราว 20 เปอร์เซ็นต์ และเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยรายแรกที่ออกผลิตภัณฑ์ด้านความยั่งยืนใหม่ๆ สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ สินเชื่อเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน และเงินฝากเพื่อความยั่งยืน
ทั้งนี้ กรุงศรีมุ่งลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการให้บริการทางการเงินทั้งหมดภายในปี 2593 โดยธนาคารได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืน (Social and Sustainable Finance) จำนวน 100,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 (จากปีฐาน 2564) และข้อมูล ณ สิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กรุงศรีได้ให้เงินสนับสนุนแก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืนเพิ่มขึ้น 76,000 ล้านบาท (จากปีฐาน 2564) ซึ่งใกล้ถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 100,000 ล้านบาท ทำให้กรุงศรีกำลังพิจารณาปรับเพิ่มเป้าหมายให้เหมาะสมกับศักยภาพและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น
“กรุงศรีตระหนักดีว่า การที่เราจะเป็นผู้นำในการเป็นธนาคารที่ยั่งยืนได้นั้น ไม่เพียงต้องปรับตัวสร้างการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร และการสนับสนุนลูกค้าด้านการเงินเพื่อความยั่งยืนเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเป็นธนาคารที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง คือ การสร้างรากฐานด้านความยั่งยืนให้แข็งแกร่ง โดยปัจจุบันกรุงศรีอยู่ในระหว่างการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้มีมาตรฐานสากล TCFD (Task Force on Climate-related Financial Disclosures: TCFD) ผ่านคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IECC) ของธนาคาร และจัดทำแผน Transition Plan เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero รวมทั้งเรายังเป็นหนึ่งในธนาคารหลักที่ทำงานภายใต้สมาคมธนาคารไทย เพื่อช่วยภาคธนาคารไทยเร่งพัฒนาแผน Transition Plan สำหรับภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกด้วย”
นายไพโรจน์ กล่าวว่า ด้วยแนวคิด GO Sustainable with krungsri กรุงศรีมีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะเป็น Market Shaper ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งภาคการเงินและขับเคลื่อนประเทศสู่ความยั่งยืน ด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรมโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการ เราพร้อมให้การสนับสนุนลูกค้า พันธมิตร และทุกภาคส่วนของสังคมในการเดินหน้าสู่ความยั่งยืนไปด้วยกัน เพื่อเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่สำคัญที่จะช่วยเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้า สร้างสังคมไทยให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นต่อไป
นอกจากนี้กรุงศรี อยู่ระหว่างการจัดทำเฟรมเวิร์ดสู่ความยั่งยืนใน 2 เรื่อง ได้แก่ เฟรมเวิร์ดการจัดการพลังงานและโลจิสติกส์สู่ความยั่งยืน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีหน้า
#กรุงศรี # GOSustainablewithkrungsri &Technology

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Byteline & Technology posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share