ธรรมะเพื่อชีวิตดีงาม

ธรรมะเพื่อชีวิตดีงาม ธรรมะเพื่อชีวิตที่ดีงาม

ไม่มีเวลานั่งสมาธิหรือไม่มีเวลาสวดมนต์ให้ฝึกสติ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิดให้มีสติรู้ตัวตลอดเวลานั่นแหล...
21/06/2023

ไม่มีเวลานั่งสมาธิหรือไม่มีเวลาสวดมนต์
ให้ฝึกสติ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
ให้มีสติรู้ตัวตลอดเวลา
นั่นแหละ คือการภาวนาอย่างยิ่งยวด

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

รอให้แก่เฒ่าหรือจวนตัวแล้วจึงสนใจภาวนา ก็เหมือนคนหัดว่ายน้ำตอนเรือแพใกล้แตก มันจะไม่ทันการณ์หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
19/06/2023

รอให้แก่เฒ่าหรือจวนตัว
แล้วจึงสนใจภาวนา ก็เหมือนคนหัดว่ายน้ำ
ตอนเรือแพใกล้แตก มันจะไม่ทันการณ์

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

พึงมี โลกิยทรัพย์ กับ อริยทรัพย์ คู่กันไป อย่าให้ทรัพย์เป็นสิ่งที่ทําให้กลายเป็นเปรตทูนภูเขา…. “ เป็นอันว่า เรามีทรัพย์ก...
15/06/2023

พึงมี โลกิยทรัพย์ กับ อริยทรัพย์ คู่กันไป
อย่าให้ทรัพย์เป็นสิ่งที่ทําให้กลายเป็นเปรตทูนภูเขา
…. “ เป็นอันว่า เรามีทรัพย์กันอยู่ ๒ ชนิด คือ ทรัพย์อย่าง “โลกิยทรัพย์” ในแง่ของภาษาวัตถุทางร่างกาย ทางเนื้อ ทางหนัง นี้อย่างหนึ่ง เพื่อประ โยชน์แก่การบํารุงทางร่างกาย ทางเนื้อ ทางหนัง นั่นเอง แล้วเรายังจะต้องมีทรัพย์อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า “อริยทรัพย์” เป็นเรื่องทางจิตใจ สําหรับจะบํารุงรักษา ส่งเสริมเรื่องทางจิตใจ ระบบของจิตใจ ให้ก้าวหน้าเคียงคู่กันไปทั้งทางกายและทั้งทางจิต ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีทรัพย์โดยสมบูรณ์ ... นี้คือคําตอบของคําถามที่ว่า ทรัพย์นี้คืออะไร? โดยตัวหนังสือก็เครื่องทําความปลื้มใจ หมายความว่า มีทรัพย์อย่างถูกต้องจึงจะทําความปลื้มใจ ถ้ามีอย่างผิดพลาดก็กลายเป็นสิ่งที่ต้องทรมาน จะต้องมีความทุกข์เพราะทรัพย์นั้น ... ทีนี้ ก็อยากจะขอร้องให้มองดูถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน หรือเรียกว่าปัญหาในปัจจุบัน ว่าทรัพย์สมบัติในโลกนี้กําลังเป็นอย่างไร กําลังเป็นไปอย่างตรงตามความหมายของคําว่า “ทรัพย์” หรือไม่? ... ถูกแล้ว ใครๆก็จะเห็นว่า โลกปัจจุบันนี้มีแต่ โลกิยทรัพย์ ไม่มี อริยทรัพย์ ของพระเป็นเจ้ากันเสียเลย. แล้วโลกิยทรัพย์ทั้งหลายในปัจจุบันนี้กําลังเป็นอย่างไร? ขอให้มองดูที่เรื่องที่เลวร้ายที่กําลังเลวร้ายที่สุดในโลกนั้นเอง คือเรื่องที่เราเรียกกันว่าเรื่อง“เศรษฐกิจ”ในโลกนี้ ... เรื่องเศรษฐกิจก็เป็นเรื่องของทรัพย์สมบัติของบุคคล ของสังคม และของโลก มันกําลังเป็นอย่างไร? ทรัพย์สมบัติของมนุษย์กําลังเป็นต้นเหตุแห่งวิกฤติการณ์ คือความเลวร้ายทั้งแก่บุคคล ทั้งแก่สังคม ทั้งแก่โลกโดยส่วนรวม. เรามีการรบราฆ่าฟันกัน เพื่อแย่งกันสะสมทรัพย์สมบัติ ที่ถือกันว่าเป็นกําลังอย่างยิ่ง เป็นกําลังเศรษฐกิจ ไปหล่อเลี้ยงกําลังทหาร. เราก็มุ่งหมายทรัพย์อย่างหลับหูหลับตา อย่างไม่ลืมตา เพื่อว่าจะเป็นเครื่องมือที่จะกอบโกยกําลังอันเป็นทางมาแห่งทรัพย์สมบัติอย่างอื่น ... เห็นได้ว่า โลกนี้กําลังมีปัญหาเพราะเรื่องทรัพย์ เพราะเขาไม่รู้ว่าทรัพย์นั้นคืออะไร? ... ขอสรุปความว่า เราจะต้องทําให้ทรัพย์สมบัตินี้เป็นอุปกรณ์ให้เราลุถึงสภาพสูงสุดของมนุษย์ เราไม่ต้องเป็นเปรตที่ทูนภูเขา เรารัก เราหวงแหน ทรัพย์สมบัติ แก้วแหวน เงินทอง มาสุมทับอยู่บนจิตใจ; มีทรัพย์มากก็เหมือนกับเป็นเปรตที่ทูนภูเขา เราอย่าทําให้ทรัพย์สมบัติเป็นสิ่งที่ทําให้เรากลายเป็นเปรตที่ทูนภูเขา แล้วยังจะต้องตายไปเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์กันต่อไปอีกเลย.”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ แห่งภาควิสาขบูชา ครั้งที่ ๗ หัวข้อเรื่อง “ทรัพย์สมบัติคืออะไร?” เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๒๑ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “อะไรคืออะไร” หน้า ๒๑๘-๒๑๙

เหตุการณ์ก่อนและในวัน “อัฏฐมีบูชา”การเตรียมงานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระและเหตุการณ์ในวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ…. “ เจ้า...
10/06/2023

เหตุการณ์ก่อนและในวัน “อัฏฐมีบูชา”
การเตรียมงานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
และเหตุการณ์ในวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
…. “ เจ้ามัลลกษัตริย์กรุงกุสินารา รับสั่งกับพวกราชบุรุษว่า พวกท่านจงเตรียมของหอม ดอกไม้ เครื่องดนตรีทุกชนิด และผ้าใหม่ ๕๐๐ ผืนให้พร้อม แล้วถือเอาของหอม ดอกไม้ เสด็จไปยังสาลวัน มีเหล่าข้าราชบริพารถือเครื่องดนตรีพร้อมด้วยผ้าตามเสด็จ เมื่อถึงสาลวัน เจ้ามัลละเสด็จเข้าไปถวายบังคมพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทําการสักการะบูชา ด้วยของหอม ดอกไม้ การฟ้อนรํา ขับร้อง ประโคมดนตรี แล้วรับสั่งให้ดาดเพดานผ้า ตกแต่งโรงพิธีมณฑล ยังวันนั้นให้ล่วงไปด้วยการเตรียมงานพิธี
…. เจ้ามัลละกรุงกุสินารา สักการบูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ล่วงไปถึง ๖ วัน ครั้นถึงวันที่ ๗ เจ้ามัลละกรุงกุสินารามีพระดําริว่า #จักอัญเชิญพระสรีระไปถวายพระเพลิงทางทิศใต้ของพระนคร
…. สมัยนั้น มัลลปาโมกข์ ๘ องค์ สระสรงเกล้าแล้วทรงนุ่งผ้าใหม่ ดําริกันว่าเราจักยกพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า #ก็ไม่อาจยกขึ้นได้ เจ้ามัลละกรุงกุสินาราได้ถามท่านพระอนุรุทธะว่าอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย มัลลปาโมกข์ ๘ องค์นี้จึงไม่อาจยกพระสรีระของพระบรมศาสดาขึ้นได้ พระอนุรุทธะตอบว่า พวกท่านมีความประสงค์อย่างหนึ่ง แต่พวกเทวดามีความประสงค์อีกอย่างหนึ่ง
…. เจ้ามัลละถามว่า พวกเทวดามีความประสงค์เช่นไร?
…. พระอนุรุทธะตอบว่า พวกท่านมีความประสงค์จะอัญเชิญพระสรีระของพระบรมศาสดาไปถวายพระเพลิงทางทิศใต้ของพระนคร #แต่พวกเทวดามีความประสงค์จะอัญเชิญไปทางทิศเหนือ ผ่านไปท่ามกลางพระนคร ออกจากพระนครโดยทางทิศตะวันออก แล้วถวายพระเพลิงที่ “มกุฏพันธนเจดีย์” ของเจ้ามัลลกษัตริย์ ทางทิศตะวันออกของพระนคร เจ้ามัลลกษัตริย์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของเทวดาเถิด
…. ครั้งนั้น นางมัลลิกา ภรรยาของพันธุลเสนาบดีทราบว่า เหล่ามัลลปาโมกข์กําลังจะอัญเชิญพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าผ่านมาทางเรือนของนาง จึงดําริว่า เราจักบูชาพระพุทธองค์ด้วยเครื่องประดับล้ำค่าของนางคือ มหาลดาปสาธน์ คิดดังนี้แล้ว นางสั่งให้บริวารทําความสะอาดมหาลดาปสาธน์ ให้ชําระด้วยน้ำหอมแล้วนําไปวางไว้หน้าประตูเรือน เตรียมที่จะถวายเพื่อบูชาสักการะพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้า
…. เมื่อปาโมกข์อัญเชิญพระสรีระของพระบรมศาสดาผ่านมาถึงหน้าประตูเรือน นางมัลลิกากล่าวว่า ขอท่านได้โปรดวางพระสรีระของพระพุทธองค์ลงก่อน เราประสงค์จะขอบูชาพระบรมศาสดาด้วยเครื่องประดับนี้
…. นางมัลลิกาได้วางมหาลดาปสาธน์นั้นทาบลงบนพระสรีระของพระพุทธองค์ ตั้งแต่พระเศียรจนถึงพระบาท พระสรีระของพระพุทธองค์ซึ่งมีพระฉวีดุจทอง เมื่อประดับด้วยมหาลดาปสาธน์แล้ว ทรงรุ่งเรืองยิ่งนัก นางมัลลิกาเห็นดังนั้นแล้วมีจิตปีติโสมนัสยิ่ง ตั้งความปรารถนาว่า...
…. “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตราบใดที่ข้าพระองค์ยังเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ ตราบนั้น สรีระของข้าพระองค์จงเป็นเสมือนหนึ่งสวมใส่เครื่องประดับนี้อยู่เป็นนิตย์เถิด ”
…. มัลลปาโมกข์ยกพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ ออกทางประตูทิศตะวันออก วางพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าลง ณ มกุฏพันธนเจดีย์ ทางเบื้องทิศตะวันออกของพระนคร พวกเจ้ามัลละถามพระอานนท์ว่า พวกข้าพเจ้าจะพึงปฏิบัติต่อพระสรีระของพระตถาคตเช่นไร?
…. พระอานนท์ตอบว่า พวกท่านพึงปฏิบัติต่อพระสรีระของพระตถาคตเหมือนอย่างที่เขาปฏิบัติต่อพระเจ้าจักรพรรดิ คือห่อพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้าใหม่ ซับด้วยสําลี แล้วห่อด้วยผ้าใหม่โดยอุบายนี้ด้วยผ้า ๕๐๐ ผืน แล้วอัญเชิญพระสรีระลงในรางทองอันเต็มด้วยน้ำมันหอม ครอบด้วยรางทองอื่น
…. สร้างจิตกาธานด้วยไม้หอมทุกชนิด ดุจการถวายพระเพลิงของพระเจ้าจักรพรรดิ แล้วสร้างสถูปไว้ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ชนเหล่าใดจะบูชาด้วยดอกไม้ของหอม จักทําการอภิวาท หรือจักยังจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเหล่านั้นตลอดกาลนาน
…. เจ้ามัลลกษัตริย์กรุงกุสินาราจึงรับสั่งให้พวกราชบุรุษ เตรียมการและดําเนินการตามที่ท่านพระอานนท์เถระบอกไว้ทุกประการ แล้วจึงอัญเชิญพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าขึ้นสู่จิตกาธาน
#ที่มา : พระสูตร และ อรรถกถา มหามกุฏราชวิทยาลัย ( ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่มที่ ๒ ภาคที่ ๑ หน้า ๓๒๕-๓๒๙ และ ชินมหานิทาน หน้า ๒๘๒ )
#พระมหากัสสปเถระ
…. ครั้งนั้น พระมหากัสสปะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป กําลังเดินทางจากเมืองปาวา มาสู่กรุงกุสินารา พระมหากัสสปะแวะพักข้างทางนั่งที่โคนไม้ต้นหนึ่ง
…. ขณะนั้น อาชีวกคนหนึ่งถือ #ดอกมณฑารพ จากกุสินาราจะเดินทางไปเมืองปาวา พระมหากัสสปะถามอาชีวกว่า “ อาวุโส ท่านได้ทราบข่าวพระบรมศาสดาของเราบ้างหรือไม่?”
…. อาชีวกตอบว่า พระสมณโคดมปรินิพพานที่สาลวโนทยาน กรุงกุสินารา ได้ ๗ วันเข้าวันนี้แล้ว ดอกมณฑารพนี้เราถือมาจาก ณ ที่นั้น”
…. ( อรรถกถา มหาปรินิพพานสูตร หน้า ๔๕๔ กล่าวว่า อาชีวกเอาไม้เสียบดอกมณฑารพ ขนาดถาดใหญ่ ถือมาดังร่ม พระมหากัสสปะเห็นแล้วคิดว่า ธรรมดาดอกมณฑารพจะปรากฏในโลกมนุษย์ก็ต่อเมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่ครรภ์พระมารดา หรือในวันประสูติเป็นต้น แต่ในวันนี้มิใช่วันเสด็จลงสู่ครรภ์พระมารดา วันประสูติ วันตรัสรู้ วันประกาศธรรมจักร วันแสดงยมกปาฏิหาริย์ วันเสด็จลงมาจากเทวโลก และมิใช่วันทรงปลงอายุสังขาร แต่พระบรมศาสดาทรงพระชรา คงจะเสด็จปรินิพพานเสียแล้วเป็นแน่แท้ )
…. เหล่าภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป ทราบข่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพาน ภิกษุที่ยังไม่ปราศจากราคะต่างก็รําพันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานเร็วนัก ภิกษุเหล่าใดที่ปราศจากราคะแล้ว มีสติสัมปชัญญะพิจารณาอยู่ว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังไม่พ้นจากการเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา
ที่มา : พระสูตร และ อรรถกถา มหามกุฏราชวิทยาลัย ( ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่มที่ ๒ ภาคที่ ๑ หน้า ๓๒๙ และ ชินมหานิทาน หน้า ๒๘๕-๒๙๑ )
ถวายพระเพลิง
…. “พระมหากัสสปะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป เดินทางมาถึง #มกุฏพันธนเจดีย์ เข้าไปยังจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกระทำจีวรเฉวียงบ่า ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณจิตกาธาน ๓ รอบ ถวายบังคมพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระเถระก็ยืนอยู่ ณ ที่นั้น เข้าจตุตถฌานอันเป็นบาทแห่งอภิญญา ออกจากฌานแล้วอธิษฐานว่า ขอพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า จงชำแรกออกมา ให้เราได้บูชาด้วยเถิด
…. พร้อมด้วยจิตอธิษฐาน พระยุคลบาทก็ชำแรกออกมา พระเถระเหยียดมือทั้งสองออกไปจับพระยุคลบาทของพระบรมศาสดา ยกขึ้นมาประดิษฐานไว้เหนือเศียรเกล้าของตน
…. ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้น ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้า มหาชนเห็นความอัศจรรย์ดังนั้น พากันร้องไห้คร่ำครวญยิ่งกว่าครั้งปรินิพพานเสียอีก แล้วบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ เป็นต้น
…. เมื่อพระมหากัสสปะและภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้น ถวายบังคมแล้ว จิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็โพลงขึ้นเอง เปลวไฟได้ลุกขึ้นพร้อมกันทุกด้าน ด้วยอานุภาพของเทวดา
…. บรรดาผ้า ๕๐๐ ผืนเหล่านั้น เพลิงมิได้ไหม้ผ้า ๒ ผืน คือ ผืนในสุดกับผืนนอก ขณะที่ไฟกำลังไหม้จิตกาธาน เปลวไฟพลุ่งขึ้นระหว่างกิ่ง คาคบ และใบของต้นสาละ ที่ยืนต้นล้อมจิตกาธานอยู่ ใบ กิ่งหรือดอกมิได้ไหม้เลย เมื่อพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกเพลิงไหม้แล้ว สายธารก็ไหลหลั่งตกลงมาจากอากาศ พลุ่งออกจากลำต้นของสาละเหล่านั้น และพลุ่งชำแรกพื้นดินขึ้นมาโดยรอบ เพื่อดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นดับจิตกาธานแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือ พระบรมสารีริกธาตุ อันมีสีดุจดอกมะลิ แก้วมุกดา และทองคำ
…. พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ประพรมพระบรมสารีริกธาตุด้วยคันธชาติ ๔ แล้ว อัญเชิญบรรจุลงในรางทองที่เต็มด้วยน้ำมันหอม โปรยดอกไม้ ให้ยกธง ๕ สีล้อมธงชัยและธงปฏากไว้โดยรอบ ตั้งต้นกล้วยและหม้อบรรจุน้ำไว้เต็ม ตกแต่งทางให้สะอาด ปราศจากฝุ่น ตามประทีปไว้ตลอดทาง
…. พวกเจ้ามัลลกษัตริย์วางรางทองที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้บนคอช้างที่ประดับแล้ว บูชาด้วยมาลัย และของหอม อัญเชิญเข้าไปในพระนคร วางไว้บนบัลลังก์ที่ทำด้วยรัตนะ ๗ ประการที่สัณฐาคาร กั้นเศวตฉัตรไว้เบื้องบน ทำการสักการะพระบรมสารีริกธาตุด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี บูชาด้วยมาลัย ดอกไม้ และของหอม ตลอด ๗ วัน
…. พวกเจ้ามัลลกษัตริย์จัดเหล่าช้างเรียงแถวชิดกันเป็นวงกลม ล้อมไว้ชั้นใน ถัดออกมาเป็นเหล่าม้าและเหล่าพลเดินเท้า แถวนอกสุดคือเหล่าพลธนู พวกเจ้ามัลละจัดอารักขารอบบริเวณประมาณ ๓ โยชน์ ด้วยประสงค์จะป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นแก่พระบรมสารีริกธาตุ จึงจัดกำลังรักษาการไว้อย่างแขฉ็งแรง”
ที่มา : พระสูตร และ อรรถกถา มหามกุฏราชวิทยาลัย ( ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่มที่ ๒ ภาคที่ ๑ หน้า ๓๓๑ และ ชินมหานิทาน หน้า ๒๙๑ - ๒๙๓ )
#หมายเหตุ :
“มัลละ” คือ แคว้นหนึ่งในบรรดา ๑๖ แคว้นใหญ่แห่งชมพูทวีปครั้งพุทธกาล ปกครองแบบสามัคคีธรรม โดยมีเจ้ามัลลกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง
“มหาลดาปสาธน์” คือ เป็นเครื่องประดับชุดแต่งงานของสาวชาวอินเดีย ซึ่งสวมคู่กับส่าหรี โดยสวมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ตรงศีรษะก็ทำเป็นรูปนกยูงไว้ตัวหนึ่ง ซึ่งส่วนประกอบก็เต็มไปด้วยของมีค่ามากมาย ในสมัยพุทธกาลมีผู้ครอบครองมหาลดาปสาธน์ ๓ คน คือ นางวิสาขา พระนางมัลลิกา และ ลูกเศรษฐี ณ พาราณาสี
“จิตกาธาน” คือ เชิงตะกอน ที่เผาศพ
“ดอกมณฑารพ” คือ ดอกไม้ทิพย์ เป็นดอกไม้ในเมืองสวรรค์ที่ตกลงมาบูชาพระพุทธเจ้าในวันปรินิพพาน ดาดาษทั่วเมืองกุสินารา
# ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. #

“วันอัฏฐมีบูชา”วันสำคัญอีกวันหนึ่งที่เกี่ยวพันกับ “วันวิสาขบูชา”( ปีนี้ ตรงกับวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๖)“วันอัฏฐมีบูชา” เป...
10/06/2023

“วันอัฏฐมีบูชา”
วันสำคัญอีกวันหนึ่งที่เกี่ยวพันกับ “วันวิสาขบูชา”
( ปีนี้ ตรงกับวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๖)
“วันอัฏฐมีบูชา” เป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจาก “วันวิสาขบูชา” คือในวันวิสาขบูชานั้น เราทำพิธีบูชาระลึกพระคุณของพระพุทธเจ้า ในการที่พระองค์ได้ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เหตุการณ์สามอย่างนี้มาลงในวันเดียวกัน เหตุการณ์สุดท้าย ก็คือปรินิพพาน เพราะฉะนั้นวันวิสาขบูชาจึงเป็นวันที่รวมพระชนมชีพของพระพุทธเจ้าทั้งหมด
เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว มีเรื่องกล่าวถึงในพระไตรปิฎก เล่าถึง “การถวายพระเพลิงพุทธสรีระ” พูดอย่างชาวบ้านก็คือ “ การเผาพระบรมศพหรือพระสรีระของพระองค์ ” ซึ่งจัดขึ้นหลังจากนั้นไปแล้ว ๗ วัน ตรงกับวันที่เราเรียกว่า วันแรม ๘ ค่ำ ซึ่งเรียกเป็นภาษาบาลีว่า “ วันอัฏฐมี ” เราก็เลยมีการบูชา ทำพิธีระลึกพระคุณของพระพุทธเจ้า แสดงให้เห็นความสำคัญของเหตุการณ์ในการถวายพระเพลิงพุทธสรีระนั้นด้วย
คนโบราณในเมืองไทยเราจัดพิธีวันอัฏฐมีบูชา ก็คือจัดพิธีบูชาพระพุทธเจ้า เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญคือการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ แต่ต่อมาระยะหลังนี้ พิธีวันอัฏฐมีบูชานี้เสื่อมจางหายไป เพราะว่าพวกเราชาวพุทธรุ่นใหม่นี้ เพียงจะรักษาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่มีมาแต่เดิมให้เหลืออยู่ก็ยากเสียแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเลือกเอาวันที่สำคัญมากๆ ไว้ วันอัฏฐมีนั้นมีความสำคัญน้อยกว่า ก็เลยค่อยๆ จางไป
เรื่องนี้ก็คล้ายว่า เมื่อพุทธศาสนาได้รับความสนใจเอาใจใส่จากประชาชนมาก คนทำการบูชาในวันวิสาขบูชายังไม่พอ ก็ขยายมาวันอัฏฐมีต่อ เมื่อรักษาไว้ไม่ไหว วันอัฏฐมีก็หดหายไป ก็เหลือวันวิสาขบูชา แล้วก็ยังมีวันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชาด้วย วันอัฏฐมีบูชาพูดง่ายๆ ก็เป็นวันพ่วงมากับวันวิสาขบูชา”
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากธรรมนิพนธ์เรื่อง “ มองวิสาขบูชา หยั่งถึงอารยธรรมโลก ”

02/06/2023
ความประมาท  เป็นไฉน ?   ความปล่อยจิตไป    ความเพิ่มพูนการปล่อยจิตไป  ในกายทุจริต วจีทุจริต  มโนทุจริต  หรือในกามคุณ ๕  ห...
28/05/2023

ความประมาท เป็นไฉน ?
ความปล่อยจิตไป ความเพิ่มพูนการ
ปล่อยจิตไป ในกายทุจริต วจีทุจริต มโน
ทุจริต หรือในกามคุณ ๕ หรือความกระทำ
โดยไม่เคารพ ความกระทำโดยไม่ติดต่อ
ความกระทำไม่มั่นคง ความประพฤติ
ย่อหย่อน ความทอดทิ้งฉันทะ ความ
ทอดทิ้งธุระ ความไม่เสพให้มาก ความ
ไม่ทำให้เจริญ ความไม่ทำให้มาก ความ
ไม่ตั้งใจจริง ความไม่ประกอบเนือง ๆ
ในการเจริญกุศลธรรมทั้งหลาย ความ
ประมาท กิริยาที่ประมาท สภาพที่
ประมาท สภาพที่ประมาท อันใด มี
ลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า ความประมาท.

(พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ ขุททกวัตถุวิภังค์)

ความสิ้นสุดแห่งกรรม…. “ กรรมประเภทโลกุตตระ คือจะสิ้นกรรม หมดกรรม เหนือกรรม ไม่ต้องเวียนว่ายไปตามกรรม กรรมในชั้นโลกุตตระน...
23/05/2023

ความสิ้นสุดแห่งกรรม
…. “ กรรมประเภทโลกุตตระ คือจะสิ้นกรรม หมดกรรม เหนือกรรม ไม่ต้องเวียนว่ายไปตามกรรม กรรมในชั้นโลกุตตระนั้น ในพระบาลี(พระไตรปิฎก)ท่านเรียกว่า “กรรมไม่ดำไม่ขาว” หนังสือชั้นอภิธรรมเรียกว่า “อัพยากตกรรม”
…. ถ้ายังมีตัวตน มันก็ยังเป็นที่ตั้งแห่งกรรม มันไม่สิ้นกรรมได้ แต่พระพุทธศาสนาไปไกลจนถึงทำลายตัวตนหมด ไม่เหลือตัวตนอยู่เลย กรรมก็ไม่มีที่ตั้งที่อาศัย เพราะมันไม่มีตัวตน ก็สิ้นสุดแห่งกรรม
…. ลัทธิอื่นนั้น เขาไปจบลงที่มีตัวตนอันถาวร ตัวตนที่ไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป ( เรียกว่า อัตตา หรือ อาตมัน : ผู้โพสต์ ) ตัวตนที่อยู่ถาวรเรียกว่าตัวตนที่เขาถือว่าเป็น“นิพพาน”ตามแบบของเขา ตามแบบของลัทธินั้นๆ. ส่วนพุทธศาสนาไม่มีตัวตนชนิดนั้น มีแต่ตัวตนที่โง่เขลาซึ่งไม่ใช่ตัวตนจริง แล้วก็หมดไปเป็นความว่างจากตัวตน ว่างจากตัวตนโดยสิ้นเชิง จึงจะเป็น“นิพพาน”ในพุทธศาสนา. นิพพานในพุทธศาสนากับนิพพานนอกพุทธศาสนานั้น มันต่างกันอย่างนี้. ดังนั้น ความสิ้นสุดแห่งกรรม ไม่มีกรรมเป็นกรรมที่ไม่เกิดได้ ไม่มีที่ตั้งอีกต่อไปนั้น จึงมีแต่ในพุทธศาสนา.”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ ภาควิสาขบูชา ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๒๗ หัวข้อเรื่อง “สิ่งที่ต้องรู้จักเป็นสิ่งที่ ๓ ต่อจากกิเลส นั้นคือ กรรมและการเกิดกรรม” จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “พุทธธรรมประยุกต์”

พรุ่งนี้ “ วันพระ ”แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะวันศุกร์ ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติยทา ปญฺญาย ปสฺสติอถ นิพฺพ...
18/05/2023

พรุ่งนี้ “ วันพระ ”
แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะ
วันศุกร์ ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖
สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ
ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข
เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.
เมื่อใดย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า
สังขารทั้งปวงเป็นธรรมชาติไม่ยั่งยืน
เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์
นี้ชื่อว่าเป็นหนทางแห่งความบริสุทธิ์หมดจด.
สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขาติ
ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข
เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.
เมื่อใดย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า
สังขารทั้งปวงเป็นธรรมชาติบีบคั้น
เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์
นี้ชื่อว่าเป็นหนทางแห่งความบริสุทธิ์หมดจด.
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ
ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข
เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.
เมื่อใดย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า
ธรรมทั้งปวงเป็นธรรมชาติไม่ใช่ตัวตน
เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์
นี้ชื่อว่าเป็นหนทางแห่งความบริสุทธิ์หมดจด.
ที่มา : ขุ. ขุ. ๒๕ / ๓๐ / ๕๑
ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ ตรวจพิมพ์-ถูกต้อง

“โลกต้องการ“คนดี”มิใช่เพื่อให้มารับรางวัล แต่เพื่อให้มาช่วยทำ...ชีวิตและสังคมให้ดีขึ้นไม่พึงทำดีเพื่อเอาความดีมาเสริมตัว...
17/05/2023

“โลกต้องการ“คนดี”
มิใช่เพื่อให้มารับรางวัล
แต่เพื่อให้มาช่วยทำ...
ชีวิตและสังคมให้ดีขึ้น
ไม่พึงทำดีเพื่อเอาความดีมาเสริมตัวตน
แต่พึงสละตนเพื่อเสริมความดี
คนทำดีอย่างแท้จริงเสียสละได้
แม้กระทั่ง การที่จะให้คนอื่นรู้ว่า
“ตนได้ทำความดี”

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )

…. “ เราจะรอให้โลกนี้หมุนกลับไปสู่ความสงบ โดยลําพังของโลกเองนั้น มันก็ไม่ไหว ; มันยังอีกนานนัก, เราตายแล้วตายอีกกี่ร้อยช...
17/05/2023

…. “ เราจะรอให้โลกนี้หมุนกลับไปสู่ความสงบ โดยลําพังของโลกเองนั้น มันก็ไม่ไหว ; มันยังอีกนานนัก, เราตายแล้วตายอีกกี่ร้อยชาติมันก็ยังจะไม่ถึงยุคแห่งความสงบนั้นด้วยซ้ำไป ฉะนั้น ต้องจัดการกันที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ให้จิตใจกลายเป็นสิ่งที่มีความทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป.
…. โลกนี้จะเป็นอะไรก็เป็นไป, แต่ว่า“จิตใจ”นี้ ทุกข์กับเขาไม่เป็น ก็พอแล้ว, ทุกข์กับเขาไม่ได้ก็พอแล้ว
…. ถ้าเรียนธรรมะในพระพุทธศาสนา ก็จงเรียนเพื่อความเป็นอย่างนี้เถิด ถ้าจะปฏิบัติในธรรมะในพระพุทธศาสนา ก็จงปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนี้เถิด. ถ้าได้บรรลุธรรมะอะไรในการปฏิบัตินั้น ก็ให้ได้บรรลุธรรมะคือความเป็นอย่างนี้เถิด ; อย่าให้เป็นอย่างอื่นเลย ... จงระมัดระวังรักษาสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเราให้ดี ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือ ทางใจ เกิดขึ้นอย่างไร เมื่อไร, ก็ต้อง “มีสติ” ที่เพียงพอ สําหรับจะไม่ให้เผลอตัวปรุงขึ้นมาเป็น “ความยึดมั่น ถือมั่น”; เป็นผู้ปฏิบัติชนิดที่ได้เข้าถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ คือ ธรรมชาติที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นอยู่ตลอดเวลา ทําตนเป็นคนไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างเดียวก็พอแล้ว ; สิ่งใดเป็นความยึดมั่นถือมั่น ก็ศึกษาให้เข้าใจ, แล้วอย่าให้สิ่งชนิดนี้เกิดขึ้นมาได้ ให้อยู่ด้วยอาการปกติตามธรรมชาติที่บริสุทธิ์มาแต่เดิม. นี่คือ..สติ หรือ ผลของ..การใช้สติ...ฯ
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายชุดชุมนุมล้ออายุ หัวข้อเรื่อง “เครื่องรางกันบ้า” เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๑๑ บนเขาพุทธทอง กัณฑ์ค่ำ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ชุมนุมล้ออายุเล่ม ๑” หน้า ๓๐๗-๓๐๙

15/05/2023

Address

Brighton And Hove

Opening Hours

Monday 8am - 8pm
Tuesday 8am - 8pm
Wednesday 9am - 5pm
Thursday 9am - 5pm
Friday 9am - 5pm
Saturday 9am - 5pm
Sunday 9am - 5pm

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when ธรรมะเพื่อชีวิตดีงาม posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Share