Life is a story by: Amirul Zaimil

Life is a story by: Amirul Zaimil Kehidupan ini umpama sebuah cerita. Bukan cerita novel atau drama tetapi cerita realiti kehidupan

“เธอจะตื่นไหมลูก…?”เช้าตรู่วันนั้น ถนนในรัฐกลันตันเงียบสงบ มีเพียงหมอกจางๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือพื้นยางมะตอยเสียงเครื่องยนต์ด...
12/05/2025

“เธอจะตื่นไหมลูก…?”

เช้าตรู่วันนั้น ถนนในรัฐกลันตันเงียบสงบ มีเพียงหมอกจางๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือพื้นยางมะตอย
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม… ตามมาด้วยเสียงเบรกกะทันหัน เสียงดังที่ไม่มีใครอยากได้ยิน
ร่างเล็กของลูกช้างนอนแน่นิ่งอยู่กลางถนน
และแม่ของมัน… ก็ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ด้วยหัวใจที่แตกสลาย

เธอใช้ลำตัวดุนลูก
ใช้ลำงวงโอบรัดร่างไร้วิญญาณนั้นอย่างอ่อนโยน
เธอเรียกลูกด้วยภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ
นอกจากธรรมชาติเท่านั้นที่รู้ว่า
“เธอกำลังขอร้องให้ลูกตื่นขึ้นมาอีกครั้ง”

นาทีนั้น รถยนต์ที่ผ่านไปหยุดสนิท
มนุษย์หลายคนยืนดูเธอ น้ำตาคลอ
เพราะนี่ไม่ใช่แค่ภาพของแม่ช้าง… แต่มันคือภาพของ “แม่”

แม่คนหนึ่ง
ที่ไม่พร้อมจะปล่อยลูกไป
แม้รู้ว่าลูกจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว



บางทีเราอาจลืมไปว่า…สัตว์ก็รู้สึกได้เหมือนกัน

เราเรียกมันว่า “สัตว์ป่า”
แต่ลืมไปว่า…ป่าที่เคยเป็นของมัน
กลายเป็นถนนที่เราสร้าง
ต้นไม้กลายเป็นอาคาร
ลำธารกลายเป็นคูระบายน้ำ

เมื่อเราเดินหน้าไปโดยไม่เหลียวหลัง
พวกเขาก็ต้องออกมาตามหาอาหารบนเส้นทางที่อันตราย
เราวางกับดักโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ผลลัพธ์คือชีวิตที่ต้องจบลงในพริบตา



และแม่ช้าง…ก็ยังเฝ้ารออยู่ตรงนั้น

หลายชั่วโมงผ่านไป เธอยังไม่ไปไหน
เพราะในใจของแม่…ยังมีความหวัง
บางทีลูกอาจแค่หลับ
บางทีเขาอาจลืมตาขึ้นมา

ไม่มีใครรู้ว่าแม่ช้างจะยืนรอตรงนั้นอีกนานเท่าไร
แต่เรารู้แน่ๆ ว่า ความรักของแม่…ไม่มีวันหมดอายุ
ไม่ว่าจะเป็นคน หรือช้าง หรือใครก็ตาม



Live is a story — และนี่คือเรื่องของความรักที่ไม่มีคำว่า “สาย”

ไม่ใช่แค่เรื่องของสัตว์ป่า
แต่เป็นเรื่องของชีวิต
เรื่องของธรรมชาติที่ยังคงเตือนเราอยู่เงียบๆ

เธอไม่พูด
แต่เธอสอนเรา
ว่าอย่าให้ “การพัฒนา” ทำลาย “หัวใจ” ของโลกใบนี้



หากคุณอยากแชร์เรื่องราวนี้ ให้ใครบางคนที่ลืมไปว่าชีวิตเล็กๆ ก็สำคัญ…
ขอให้บทความนี้เตือนให้เราช้าลง หันมอง และฟังเสียงธรรมชาติอีกครั้ง

เพราะชีวิต…คือเรื่องเล่า และทุกเรื่องล้วนมีความหมาย

Kita adalah apa yang kita impikan, dan dalam setiap impian, terdapat sebahagian daripada jati diri kita yang sebenar.Mer...
29/04/2025

Kita adalah apa yang kita impikan, dan dalam setiap impian, terdapat sebahagian daripada jati diri kita yang sebenar.

Merantau untuk mengubah cara hidup, tetapi bukan untuk mengubah jati diri. Matahari yang sama yang terbenam di Patani juga terbenam di Kuala Lumpur, mengingatkan saya bahawa di mana sahaja saya berada, nilai-nilai asas dan identiti diri tetap tidak berubah.

05/04/2025

แบยา: แรงงานข้ามชาติที่โลกไม่เคยหยุดรอ

⏳ 22 มีนาคม 2025 | ปันตัยดาลัม, กัวลาลัมเปอร์
แสงไฟสลัวสาดส่องทั่วร้านต้มยำในยามดึก เสียงตะหลิวกระทบกระทะค่อยๆ เบาลงเมื่อพนักงานเริ่มเก็บร้าน ลูกค้าส่วนใหญ่ทยอยกลับกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงชายร่างผอมวัย 50 ปีที่นั่งอยู่มุมสุดของร้าน
ในมือที่หยาบกร้านจากการทำงานหนัก มีซองเงินสีน้ำตาลบรรจุธนบัตรสีเขียว 950 ริงกิต—รายได้เกือบทั้งหมดจากการทำงานสองเดือนที่ผ่านมา เขาค่อยๆ นับเงินอีกครั้งอย่างระมัดระวัง ก่อนจะซ่อนมันไว้ในกระเป๋ากางเกง ซองเงินนี้จะถูกส่งกลับไปยังบ้านที่ห่างไกล—บ้านที่เขาไม่ได้กลับไปฉลอง Aidilfitri พร้อมกับครอบครัว
“อีกหกวัน เดี๋ยวค่อยกลับ” เขาพึมพำกับตัวเอง
คำพูดเรียบง่ายของแบยา แรงงานชาวเจาะไอร้องที่ใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตทำงานในมาเลเซีย ซ่อนเบื้องหลังการดิ้นรนที่ไม่เคยจบสิ้น ชีวิตที่เปลี่ยนไปตามกระแสโลก และความรักที่มีต่อครอบครัวที่รออยู่ที่บ้าน

1 | จากเด็ก ป.6 สู่พ่อครัวข้ามพรมแดน
เมื่อ 36 ปีก่อน แบยายังเป็นเพียงเด็กชายวัย 14 ปี ที่เพิ่งจบชั้น ป.6 และเข้าเรียนมัธยมต้นได้เพียงไม่กี่เดือน ก่อนที่ความฝันของชีวิตที่ดีกว่าจะดึงเขาออกจากห้องเรียน
“ตอนนั้นในหมู่บ้านมีรุ่นพี่ๆ หลายคนที่ไปทำงานกัวลาลัมเปอร์แล้วส่งเงินกลับบ้าน” แบยาเล่าขณะมองดูถนนที่พลุกพล่านนอกร้านต้มยำ “พวกเขาแต่งตัวดีขึ้น บ้านก็ดูมีฐานะขึ้น เราก็อยากไปบ้าง”
ด้วยความใฝ่ฝันและกล้าหาญ เขาข้ามพรมแดนเป็นครั้งแรกด้วย BORDER PASS เอกสารที่สมัยนั้นทำให้แรงงานไทยสามารถเข้าออกมาเลเซียได้ง่ายๆ ไม่เหมือนปัจจุบันที่กฎระเบียบเข้มงวดขึ้นอย่างมาก
ก้าวแรกในต่างแดนของเขาเริ่มต้นจากการเป็นเด็กล้างจาน ได้ค่าแรงเพียง 15 ริงกิตต่อวัน คิดเป็นเงินไทยตอนนั้นเพียง 140 บาท แต่เมื่ออายุและประสบการณ์เพิ่มขึ้น เขาค่อยๆ ไต่ระดับจากล้างจานมาเป็นเด็กเสิร์ฟ ก่อนจะได้เรียนรู้วิชาทำอาหาร
“เราเริ่มเรียนรู้เอง สังเกตพ่อครัวเก่าๆ แล้วลองทำ พอทำได้ งานเราก็มีค่าแรงสูงขึ้น” น้ำเสียงของเขาแฝงความภาคภูมิใจ ดวงตาเป็นประกายขณะนึกถึงช่วงเวลาที่เขาพิสูจน์ตัวเอง
ไม่นานนัก เขาก็ได้งานที่ Cameron Highlands เจ้าของร้านที่เป็นชาวมาเลย์ใจดีช่วยออกค่าใช้จ่ายคนละครึ่งเพื่อทำ WORK PERMIT ทำให้เขาเริ่มมีสถานะเป็นแรงงานถูกกฎหมาย
“ตอนนั้นเริ่มจาก 40 ริงกิตต่อวัน ค่อยๆ เพิ่มเป็น 70 ริงกิต 100 ริงกิต จนรู้สึกว่าชีวิตเริ่มมีเสถียรภาพ”

2 | ความรัก ชีวิตครอบครัว และบทบาทของพ่อ
ระหว่างที่ทำงานอยู่นอกเมือง แบยาได้พบกับหญิงสาวจากยะรัง ปาตานี ซึ่งทำงานอยู่ร้านต้มยำเดียวกัน เธอเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมที่เข้าใจชีวิตของเขา
“เธอเป็นคนใจดี” แบยายิ้มอย่างอบอุ่นขณะนึกถึงภรรยา “เราคุยกันไม่นานก็ตัดสินใจแต่งงาน แล้วมีลูกด้วยกันสามคน”
มาเรียม, ไฟซอล และอาดีละห์ ลูกทั้งสามคนเติบโตขึ้นภายใต้ความหวังของพ่อที่ต้องจากบ้านมาไกล ในขณะที่ภรรยาของแบยาเลือกกลับไปดูแลลูกๆ ที่ปัตตานี และได้กลายเป็น อสม. ที่คอยช่วยเหลือคนในชุมชน
“ทุกวันนี้ ลูกสาวคนโตจะจบมัธยมปลายแล้ว คนเล็กเพิ่งอายุ 10 ขวบ” แบยาเล่าด้วยความภูมิใจ พลางหยิบโทรศัพท์มือถือเก่าๆ ออกมาดูภาพครอบครัว
แม้จะต้องอยู่ห่างไกลจากครอบครัวเป็นเวลาหลายเดือนต่อปี แต่แบยาก็ไม่เคยลืมหน้าที่การเป็นพ่อ เขาส่งเงินกลับบ้านอย่างสม่ำเสมอ เพราะค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกนั้นเพิ่มขึ้นทุกวัน

3 | โควิด: จุดเปลี่ยนของชีวิตแรงงาน
เมื่อปี 2020 โลกหยุดนิ่งเพราะโรคระบาด แรงงานข้ามชาติอย่างแบยากลายเป็นผู้ได้รับผลกระทบหนักที่สุดกลุ่มหนึ่ง
“ช่วงนั้นอยู่มาเลเซียไม่ได้ งานก็ไม่มี จะอยู่ไปก็ไม่มีเงินกิน” แบยาเล่าด้วยน้ำเสียงเศร้า “เลยต้องกลับบ้าน”
เขากลับไปทำงานก่อสร้างใกล้บ้าน ค่าแรงวันละ 150-300 บาท พอให้ครอบครัวประทังชีวิตไปวันๆ โชคดีที่รัฐบาลมีเงินช่วยเหลือบ้าง แต่นั่นก็ไม่เพียงพอจะเลี้ยงครอบครัวในระยะยาว
มือของแบยาที่เคยถนัดการประกอบอาหาร ต้องหันมาผสมปูน ยกอิฐ และรับงานหนักทุกอย่างที่มีคนจ้าง
เมื่อสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ร้านเก่าที่ Cameron Highlands ติดต่อให้เขากลับไปทำงานอีกครั้ง แต่ด่านพรมแดนยังไม่เปิดให้เดินทางตามปกติ เขาและเพื่อนร่วมชะตากรรมจึงต้องตัดสินใจเสี่ยง
“เหมารถกันไป 2,500 ริงกิตต่อคัน เพื่อเข้าไปถึงที่หมาย” แบยาเล่าเบาๆ ถึงการเดินทางที่เสี่ยงอันตราย
แต่ครั้งนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม การแข่งขันในตลาดแรงงานสูงขึ้น และการเป็นแรงงานข้ามชาติในยุคหลังโควิดไม่มีความมั่นคงอีกต่อไป

4 | ถูกแทนที่ และการตัดสินใจครั้งใหม่
หลังจากทำงานไปได้ไม่นาน ข่าวร้ายจากบ้านเกิดมาถึง เมื่อน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ชายแดนใต้ทำให้แบยาต้องรีบกลับไปช่วยภรรยาและลูกๆ
“ตอนนั้นไม่มีทางเลือก น้ำท่วมหนัก ต้องกลับบ้าน” แบยาเล่าขณะส่ายหน้า
เมื่อกลับมาที่มาเลเซียอีกครั้ง เขากลับพบว่าตัวเองถูกไล่ออกจากงาน
“เจ้าของร้านเปลี่ยนมือ ให้เมียลูกชายดูแลแทน แล้วเขาก็เอาพ่อครัวมาเลเซียมาแทนเรา” ดวงตาของแบยาฉายแววเศร้า “ชีวิตแรงงานเป็นแบบนี้แหละ ไม่มีอะไรแน่นอน”
ร้านให้โอกาสเขาทำงานต่อ แต่ลดค่าจ้างลงเหลือ 100 ริงกิต ซึ่งน้อยกว่าที่แรงงานใหม่ได้รับ
“แบบนี้อยู่ไม่ได้ เราตัดสินใจกลับบ้าน” แบยาตัดสินใจทิ้งงานที่ทำมานาน
แต่กลับบ้านไปแล้วก็ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะดีขึ้น งานก่อสร้างยังคงเป็นทางออกเดียว เงิน 300 บาทต่อวันแทบไม่พอค่าใช้จ่าย ครอบครัวต้องใช้เงินอย่างประหยัด
“เฉพาะค่าเรียนลูกต่อวันก็เกือบ 300 บาท ไหนจะค่ากับข้าว ค่าน้ำ ค่าไฟ” แบยาเล่าพลางขมวดคิ้ว “ทุกวันนี้เรียนหนังสือไม่ได้ถูกเหมือนสมัยก่อน”
การใช้พาสปอร์ตเข้าออกแต่ละครั้งก็ต้องเสีย 300-400 ริงกิตต่อเดือน ทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย ทุกการเดินทางคือการลงทุน
สุดท้าย เขาและภรรยาตัดสินใจกลับมาหางานในมาเลเซียอีกครั้ง
“อยู่ที่บ้านหาเงินไม่ได้มากเท่าที่นี่ อย่างน้อยก็ยังพอเก็บเงินให้ลูกเรียน”

5 | กลับมาเริ่มใหม่ ในโลกที่ไม่เคยหยุดรอ
วันนี้ แบยาทำงานอยู่ที่ร้านต้มยำแห่งใหม่ใจกลางกัวลาลัมเปอร์ แม้จะยังไม่ถึงสองเดือนดี แต่เขาก็เริ่มส่งเงินกลับบ้านได้อีกครั้ง
เงิน 950 ริงกิตในซองสีน้ำตาลจะเป็นค่ากับข้าว ค่าเรียน และค่าใช้จ่ายในช่วง Aidilfitri ของครอบครัวที่รออยู่ที่บ้าน
เขาเลือกอยู่ที่นี่ต่อ อีกหกวัน ก่อนกลับไปบ้านตามรอบเข้าออกของพาสปอร์ต เขาไม่กล้าเสี่ยงทำผิดกฎหมาย เพราะรู้ว่าถ้าถูกจับปรับ ทุกสิ่งที่หามาได้จะสูญเปล่า
“เราเคยมีชีวิตที่มั่นคงกว่านี้ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเร็ว” แบยาบอกพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูภาพลูกสาวในชุดนักเรียน “แรงงานข้ามชาติไม่มีหลักประกันอะไรเลย วันนี้อาจจะมีงานทำ พรุ่งนี้อาจจะไม่มี”
คืนนี้แบยาลุกขึ้นเดินออกจากร้าน ท่ามกลางเงาสะท้อนของตึกระฟ้าในเมืองที่เขาช่วยสร้างมาครึ่งหนึ่งของชีวิต แสงไฟนีออนสาดส่องบนใบหน้าที่เหน็ดเหนื่อยแต่ไม่เคยยอมแพ้

“แรงงานข้ามชาติ คือคนที่โลกไม่เคยรอให้หยุดพัก” แบยากระซิบก่อนจะเดินกลับที่พักอันแออัด รอเวลาตื่นขึ้นมาทำงานอีกวัน ในฐานะฟันเฟืองตัวเล็กๆ ของเมืองใหญ่ที่ไม่เคยหลับใหล
บันทึกหมายเหตุ: บทความนี้อ้างอิงจากการสัมภาษณ์แรงงานข้ามชาติจริงในมาเลเซีย ชื่อและรายละเอียดบางส่วนถูกเปลี่ยนแปลงเพื่อปกป้องตัวตนของผู้ให้สัมภาษณ์

Part 2.ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของแรงงานปาตานีในมาเลเซีย: ระหว่างความจำเป็นในการหาเลี้ยงชีพกับข้อจำกัดทางกฎหมาย1. ความเป...
16/03/2025

Part 2.
ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของแรงงานปาตานีในมาเลเซีย: ระหว่างความจำเป็นในการหาเลี้ยงชีพกับข้อจำกัดทางกฎหมาย

1. ความเป็นจริงของแรงงานปาตานีในมาเลเซีย
ชาวปาตานีจำนวนมากเดินทางไปทำงานในมาเลเซียโดยใช้ หนังสือเดินทางประเภทการเยี่ยมเยียน (Social Visit Pass) ซึ่งโดยหลักการแล้ว หนังสือเดินทางประเภทนี้ใช้สำหรับการท่องเที่ยวเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ทำงาน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความยากลำบากทางเศรษฐกิจในบ้านเกิด พวกเขายังคงเลือกที่จะเสี่ยงทำงานโดยผิดกฎหมาย
แม้ว่ามาเลเซียจะมีระบบ ใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) อย่างเป็นทางการสำหรับแรงงานต่างชาติ แต่สำหรับชาวปาตานี การได้รับใบอนุญาตนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องเผชิญกับ อุปสรรคด้านเอกสาร ค่าใช้จ่ายที่สูง และสถานะที่คลุมเครือในฐานะประชากรชายขอบของไทย ทำให้กระบวนการนี้ยุ่งยากกว่าคนต่างชาติจากประเทศอื่น เช่น อินโดนีเซียหรือบังกลาเทศ

2. แรงกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองในปาตานี
เหตุใดชาวปาตานีจำนวนมากจึงยอมเสี่ยงไปทำงานในมาเลเซียอย่างผิดกฎหมาย? คำตอบอยู่ที่แรงกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองที่พวกเขาต้องเผชิญในประเทศไทย

🔴 ความยากจนและการขาดโอกาสในการทำงาน
พื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี นราธิวาส และยะลา) มีอัตราความยากจนสูงที่สุดในประเทศไทย การพัฒนาเศรษฐกิจล่าช้า ไม่มีโอกาสในการจ้างงานที่มั่นคง และอุตสาหกรรมในท้องถิ่น เช่น การเกษตรและการค้าขนาดเล็ก ไม่สามารถรองรับความต้องการของประชากรได้

🔴 ความไม่มั่นคงทางการเมืองและความปลอดภัย
ความขัดแย้งที่ยาวนานระหว่างรัฐบาลไทยและกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานี ทำให้พื้นที่นี้ขาดการลงทุนจากภายนอก นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาทำธุรกิจ ส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ล่าช้ากว่าส่วนอื่น ๆ ของประเทศ

🔴 การเลือกปฏิบัติในด้านการศึกษาและการจ้างงาน
ระบบการศึกษาของไทย ไม่เอื้อต่อชาวปาตานี ทั้งในแง่ของภาษาและวัฒนธรรม ทำให้เยาวชนปาตานีจำนวนมากไม่สามารถแข่งขันในตลาดแรงงานของไทยได้ พวกเขาจึงต้องหาทางออกโดยการไปทำงานในมาเลเซีย แม้จะผิดกฎหมายก็ตาม

3. ทางออกที่เป็นไปได้
ปัญหาแรงงานปาตานีในมาเลเซีย ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองถึง รากเหง้าของปัญหา นั่นคือ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองในปาตานี รัฐบาลทั้งไทยและมาเลเซียต้องร่วมมือกันหาทางออกที่เป็นระบบ

✅ ก. อำนวยความสะดวกด้านใบอนุญาตทำงาน
หากมาเลเซียต้องการลดปัญหาแรงงานผิดกฎหมายและป้องกันการเอารัดเอาเปรียบ ควรพิจารณา แนวทางพิเศษสำหรับชาวปาตานี เช่น
• ข้อตกลงทวิภาคีระหว่างไทย-มาเลเซีย เพื่อให้ชาวปาตานีสามารถทำงานในมาเลเซียได้อย่างถูกกฎหมาย
• ใช้เวทีการเจรจาสันติภาพ ระหว่างรัฐบาลไทยและกลุ่มเคลื่อนไหวในปาตานี เพื่อผลักดันให้มีระบบใบอนุญาตทำงานพิเศษ

✅ ข. การพัฒนาเศรษฐกิจในปาตานี
เพื่อลดการพึ่งพางานในมาเลเซีย รัฐบาลไทยต้องส่งเสริม การเติบโตทางเศรษฐกิจในปาตานี เช่น
• ส่งเสริม การลงทุนในอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
• พัฒนาระบบ การศึกษาและฝึกอาชีพ เพื่อให้เยาวชนปาตานีมีทักษะที่สามารถแข่งขันได้

✅ ค. ส่งเสริมการส่งออกแรงงานฝีมือ
มาเลเซียไม่ควรรับแรงงานปาตานีเฉพาะในภาคแรงงานระดับล่างเท่านั้น แต่ควรเปิดโอกาสให้กับ แรงงานฝีมือ เช่น
• อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล – จัดหาพ่อครัว/เชฟชาวปาตานีให้ทำงานในร้านอาหารไทยในประเทศมุสลิม
• อุตสาหกรรมก่อสร้างและบริการ – สร้างความร่วมมือด้านอาชีวศึกษาเพื่อให้แรงงานปาตานีเข้าสู่ตลาดงานที่มีค่าจ้างสูงขึ้น

ปัญหาแรงงานปาตานีในมาเลเซีย ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องการละเมิดกฎหมาย แต่เป็นผลมาจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองที่พวกเขาต้องเผชิญในไทย หากมองแค่การบังคับใช้กฎหมายโดยไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ปัญหานี้จะไม่มีวันหมดไป

ดังนั้น แนวทางแก้ไขควรประกอบด้วย
✅ อำนวยความสะดวกด้านใบอนุญาตทำงาน
✅ ส่งเสริมเศรษฐกิจในปาตานี
✅ เปิดโอกาสให้แรงงานปาตานีเข้าสู่ตลาดแรงงานที่มีคุณภาพ

หากรัฐบาลไทยและมาเลเซียร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ไม่เพียงแต่แรงงานปาตานีจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศในระยะยาว

เรื่องราวของแรงงานไทยในมาเลเซีย โดยเฉพาะชาวปาตานีที่ต้องเดินทางไปหางานทำ เป็นภาพสะท้อนของชีวิตที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน...
15/03/2025

เรื่องราวของแรงงานไทยในมาเลเซีย โดยเฉพาะชาวปาตานีที่ต้องเดินทางไปหางานทำ เป็นภาพสะท้อนของชีวิตที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด หลายคนไม่ได้ไปเพราะต้องการแสวงหาความร่ำรวย แต่เป็นเพราะเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและสังคมบีบบังคับให้ต้องออกจากบ้านเกิด เพื่อหาเงินส่งกลับไปเลี้ยงดูครอบครัว

ปัญหาหลักของแรงงานเหล่านี้คือ ข้อจำกัดทางกฎหมาย และ สภาพการทำงานที่ไม่มั่นคง พวกเขาต้องเผชิญกับภาระของการเดินทางกลับไปต่อพาสปอร์ตทุกเดือน เสียทั้งเงินและเวลาเพื่อรักษาสถานะทางกฎหมาย หากไม่มีเอกสารที่ถูกต้อง ก็ต้องใช้ชีวิตแบบหลบซ่อน ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบริการสาธารณสุข หรือแม้แต่การคุ้มครองจากกฎหมายแรงงาน

นอกจากปัญหาเรื่องกฎหมายแล้ว ยังมีเรื่องของ ความไม่มั่นคงในการทำธุรกิจและชีวิตความเป็นอยู่ แม้จะเปิดร้านของตัวเอง แต่ก็ไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าพวกเขาจะได้อยู่ต่อไปเรื่อยๆ การเช่าสถานที่ การถูกไล่ออกโดยไม่เป็นธรรม และการต้องย้ายร้านใหม่ กลายเป็นความท้าทายที่พวกเขาต้องเผชิญ

เรื่องนี้น่าสนใจเพราะสะท้อนให้เห็นถึง โครงสร้างของแรงงานข้ามชาติ ที่แม้จะทำงานหนักและพยายามสร้างชีวิตที่ดีขึ้น แต่กลับต้องติดอยู่ในวงจรของความไม่มั่นคงทางกฎหมายและเศรษฐกิจ พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนัก และชีวิตก็ไม่สามารถ “ยูเทิร์น” กลับไปได้ง่ายๆ

เรื่องของอามีร์และอาอีซะห์จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของแรงงานสองคนในมาเลเซีย แต่เป็นเรื่องของแรงงานข้ามชาติหลายคน ที่ต้องเผชิญกับ ทางเลือกที่ไม่มีทางเลือก และความฝันที่อาจไม่มีวันเป็นจริง

ชีวิตที่ยูเทิร์นไม่ได้ : ชีวิต แรงงาน ในมาเลเซีย”

1. ร้านเล็กๆ ในต่างแดน
ในย่านเงียบสงบของกัวลาลัมเปอร์ (KL) มีร้านอาหารเล็กๆ ที่คนไทยในมาเลเซียรู้จักกันดี โต๊ะไม้เรียบง่ายจัดเรียงอยู่ใต้แสงไฟสลัว กลิ่นเครื่องเทศจากหม้อแกงโชยออกมาต้อนรับลูกค้า อามีร์กับอาอีซะห์ สองสามีภรรยาชาวปาตานี ยืนเคียงข้างกันที่หลังเคาน์เตอร์ เขาคนหนึ่งเป็นพ่อครัว อีกคนเป็นเจ้าของรอยยิ้มที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนอยู่บ้าน
“ที่นี่เป็นทั้งชีวิตของเรา” อาอีซะห์พูดพลางเสิร์ฟแกงมัสมั่นให้ลูกค้าประจำ แต่ถึงร้านจะเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งของพวกเขา มันก็เป็นบ้านที่อยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ไม่แน่นอน เพราะทุกเดือน พวกเขาต้องเดินทางกลับไปยังประเทศไทยเพื่อจ๊อบพาสปอร์ต วงจรนี้เป็นสิ่งที่แรงงานข้ามชาติหลายคนในมาเลเซียต้องเผชิญ

2. บ้านที่เจาะไอร้อง กับลูกที่รออยู่
แม้จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่ KL แต่บ้านที่แท้จริงของพวกเขาอยู่ที่ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส บ้านไม้สองชั้นตั้งอยู่ท่ามกลางต้นยางพาราและสวนทุเรียน
ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาทำงานที่มาเลเซีย พวกเขาก็สามารถสร้างบ้านให้ลูกๆ ได้อยู่ที่นั่น โดยมี ปู่กับย่า เป็นคนช่วยดูแลตั้งแต่ลูกคนแรก ลูกๆ เติบโตมาโดยมีผู้เฒ่าคอยอบรมสั่งสอน ขณะที่พ่อแม่ต้องเดินทางไปทำงานไกล
พวกเขามีลูกสามคน:
• ลูกคนโต แต่งงานไปแล้ว มีครอบครัวของตัวเอง แต่ยังคอยช่วยดูแลน้องๆ
• ลูกคนที่สอง กำลังเรียนมัธยมปลาย ฝันอยากเป็นครู
• ลูกคนที่สาม ยังเรียนประถม ชอบวาดรูป และมักจะวิดีโอคอลมาหาพ่อแม่ทุกคืน
“พ่อ เมื่อไหร่จะกลับบ้าน?” เสียงของลูกคนสุดท้องดังขึ้นทุกครั้งที่พวกเขาวิดีโอคอลกัน อาอีซะห์ยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง พวกเขาอยากกลับไปอยู่กับลูกๆ ทุกวัน แต่ภาระค่าใช้จ่ายทำให้พวกเขาต้องทำงานที่ KL

3. เส้นทางเดิมทุกเดือน
ทุกต้นเดือน อามีร์กับอาอีซะห์ต้องออกเดินทางจาก KL ไปชายแดนไทย-มาเลเซีย พวกเขาขึ้นรถตู้โดยสารไปที่ด่านบูกิตกายูฮิตัม ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง รถตู้แน่นขนัดไปด้วยคนไทยที่ต้องเดินทางกลับไปจ๊อบพาสปอร์ตเหมือนกัน
“ไม่มีใครอยากทำแบบนี้หรอก” อามีร์พูดขณะนั่งรอเจ้าหน้าที่ตรวจเอกสาร “แต่เราไม่มีทางเลือก”
เมื่อมาถึงด่าน พวกเขาต้องเข้าแถวรอประทับตรา บางครั้งอาอีซะห์โดนเจ้าหน้าที่ถามเพิ่มเติมเพราะเธอเดินทางเข้าออกบ่อย “รู้สึกกดดันทุกครั้งที่มายืนตรงนี้” เธอบอก “เรากลัวว่าอยู่ๆ วันหนึ่งเขาอาจจะไม่ให้เราผ่าน”

4. ทางเลือกที่ไม่มีทางเลือก
แม้ว่าจะมีวีซ่าทำงานสำหรับบางอาชีพ แต่พวกเขาไม่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข การขอใบอนุญาตทำงานเต็มรูปแบบใช้เวลานานและค่าใช้จ่ายสูง
“ถ้าเราขอวีซ่าทำงานจริงๆ เราต้องใช้เงินมากกว่าหลายหมื่นบาท และมันก็ไม่ได้รับประกันว่าเราจะได้” อามีร์กล่าว “ดังนั้นจ๊อบพาสปอร์ตจึงเป็นทางเดียวที่เราทำได้”
พวกเขาต้องจ่ายค่ารถ ค่าโรงแรม ค่าธรรมเนียม ทุกอย่างรวมกันเป็นเงินก้อนที่ต้องเสียไปทุกเดือน

5. ชีวิตที่ไม่มีความแน่นอน
หลังจากจ๊อบพาสปอร์ตเสร็จ พวกเขาต้องเดินทางย้อนกลับไป KL ใช้เวลาอีก 7 ชั่วโมง พอถึงที่พัก ก็ต้องรีบเปิดร้านต่อ ไม่มีวันหยุด ไม่มีเวลาพักผ่อน
“มันเหนื่อย แต่เราทำเพื่ออนาคต” อามีร์พูดขณะยืนอยู่หลังเตาไฟ
แต่อนาคตของพวกเขาจะเป็นยังไง? ไม่มีใครรู้ วงจรนี้จะต้องดำเนินต่อไปอีกนานแค่ไหน? อาอีซะห์เฝ้ามองตราประทับใหม่ในพาสปอร์ต มันเป็นแค่หมึกหนึ่งดวงบนกระดาษ แต่สำหรับพวกเขา มันคือใบเบิกทางให้ชีวิตเดินหน้าต่อไป
“เราหวังว่าสักวัน เราจะไม่ต้องทำแบบนี้อีก” อาอีซะห์พูดขณะปิดร้านในค่ำวันหนึ่ง
แต่จนกว่าจะถึงวันนั้น พวกเขาก็ต้องเดินทางต่อไป

6. เมื่อร้านไม่ใช่ของเรา
แม้ว่าจะเปิดร้านที่ KL มาหลายปี แต่อามีร์กับอาอีซะห์ก็รู้ดีว่า พวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของพื้นที่ตรงนี้จริงๆ
“ตอนเราเริ่มต้นที่นี่ ร้านเล็กมาก ลูกค้ายังไม่เยอะ แต่เราก็พยายามทำให้ดีที่สุด” อาอีซะห์เล่า เธอจำวันแรกที่ร้านเปิดได้ดี พวกเขาลงทุนซื้อวัตถุดิบเอง ปรับสูตรอาหารให้ถูกปากคนมาเลเซีย และใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าร้านจะมีลูกค้าประจำ
แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มไปได้ดี ปัญหาก็ตามมา
วันหนึ่ง เจ้าของอาคารมาหาพวกเขาพร้อมข่าวที่คาดไม่ถึง
“เดือนหน้า พวกคุณต้องย้ายออก” เขาบอกเสียงเรียบ
“แต่ทำไมล่ะ? เราจ่ายค่าเช่าตรงเวลามาตลอด!” อามีร์ถามด้วยความตกใจ
เจ้าของร้านอ้างว่ามีแผนจะปรับปรุงอาคาร แต่ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขากลับได้ยินข่าวว่า เจ้าของจะเปิดร้านอาหารของตัวเองในที่เดิม “เราไม่ใช่คนแรกที่โดนแบบนี้” อาอีซะห์ถอนหายใจ “พอเขาเห็นว่าเราขายดี ก็อยากทำเอง”

7. เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
พวกเขาไม่มีทางเลือก ต้องหาทำเลใหม่ให้เร็วที่สุด โชคดีที่มีเพื่อนคนไทยใน KL แนะนำพื้นที่ว่างที่ไม่ไกลจากร้านเดิมนัก ค่าเช่าแพงขึ้น แต่พวกเขาจำเป็นต้องยอม
“เราต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง” อามีร์พูดพลางเก็บข้าวของจากร้านเก่า ตู้เย็น เตาแก๊ส โต๊ะเก้าอี้ ทุกอย่างต้องขนย้ายไปที่ใหม่
วันเปิดร้านที่ใหม่ ลูกค้าประจำตามมาให้กำลังใจ พวกเขาสั่งอาหารเหมือนเดิม พูดคุยเหมือนเดิม ทำให้ทั้งอามีร์และอาอีซะห์รู้สึกอุ่นใจขึ้น
“อย่างน้อย เรายังมีลูกค้าที่รักเรา” อาอีซะห์ยิ้ม
แต่พวกเขาก็รู้ดีว่า การเป็นแรงงานข้ามชาติหมายถึงการไม่มีหลักประกันใดๆ ในชีวิต ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
“เราไม่มีบ้านของตัวเองที่นี่ ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย นอกจากทำงานและพยายามอยู่ให้รอด” อามีร์พูด
พรุ่งนี้ พวกเขาก็ต้องเปิดร้านเหมือนเดิม ทำอาหารเหมือนเดิม และเตรียมเดินทางไปจ๊อบพาสปอร์ตในเดือนหน้าเหมือนเดิม
“นี่คือชีวิตของเรา” อาอีซะห์พูดพร้อมรอยยิ้มที่ซ่อนความเหนื่อยล้าไว้ข้างใน

8. ลูกน้องที่ไม่ต้องกลับบ้าน
นอกจากอามีร์และอาอีซะห์แล้ว ร้านเล็กๆ ของพวกเขายังมีลูกน้องอีกสองคน อิบราฮิมกับฟาริดา ทั้งคู่เป็นแรงงานชาวอินโดนีเซีย
“ฟาริดาทำน้ำ ส่วนอิบราฮิมเสิร์ฟและรับออร์เดอร์” อาอีซะห์เล่า พวกเขาเป็นคนขยัน ไม่เคยบ่นงานหนัก
“ทำไมไม่จ้างคนไทย?” ฉันถาม
“ถ้าเป็นคนไทย เขาต้องกลับไปจ๊อบพาสปอร์ตทุกเดือนเหมือนเรา” อามีร์ตอบ “แต่คนอินโดนีเซีย เขาไม่ต้อง”
ฟาริดาและอิบราฮิมอยู่มาเลเซียแบบ โอเวอร์สเตย์ พวกเขาหมดอายุวีซ่ามานานแล้ว แต่เลือกที่จะอยู่ต่อ เพราะการกลับบ้านหมายถึงการเริ่มต้นใหม่จากศูนย์
“ถ้ากลับอินโดฯ ก็ไม่รู้จะมีงานทำหรือเปล่า” อิบราฮิมพูดเสียงเรียบ “ที่นี่ลำบาก แต่ก็ยังมีเงินส่งกลับบ้าน”
พวกเขาทำงานแบบคนไม่มีตัวตน ไม่กล้าไปไหนไกล ไม่กล้าไปหาหมอเวลาเจ็บป่วย เพราะกลัวโดนจับ
“ถ้าวันไหนตำรวจสุ่มตรวจ ก็ต้องวิ่งเอาตัวรอด” ฟาริดาหัวเราะขื่นๆ
“แล้วจะกลับบ้านเมื่อไหร่?”
“ไม่รู้เหมือนกัน…” อิบราฮิมตอบ “บางคนอยู่ไปจนแก่ แล้วค่อยกลับไปตายที่บ้านเกิด”

9. แรงงานที่ไม่มีตัวตน
ในขณะที่อามีร์และอาอีซะห์ต้องเดินทางกลับไปทำจ๊อบพาสปอร์ตทุกเดือน เพื่อให้ยังคงมีสถานะถูกกฎหมาย ฟาริดาและอิบราฮิมกลับเลือกเดินเส้นทางอีกแบบ—อยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันที่ต้องกลับถาวร
“เราเองก็ไม่รู้ว่าอันไหนดีกว่า” อาอีซะห์ถอนหายใจ “กลับไปจ๊อบก็เสียเงิน เสียเวลา แต่ถ้าอยู่แบบโอเวอร์สเตย์ ก็ไม่มีความมั่นคง ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย”
แม้พวกเขาจะเลือกเส้นทางที่ต่างกัน แต่ปลายทางของทุกคนเหมือนกัน—ทำงานเพื่อครอบครัว
“สุดท้ายแล้ว เราก็แค่คนหาเช้ากินค่ำ” อามีร์พูด “ไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือไม่ ชีวิตก็ไม่ได้ง่ายขึ้นเลย”

10. เส้นทางที่ต้องเลือก
ชีวิตของอามีร์และอาอีซะห์ในมาเลเซียเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน พวกเขาต้องเดินทางกลับไปจ๊อบพาสปอร์ตทุกเดือน เสียทั้งเงินและเวลาเพื่อรักษาสถานะทางกฎหมาย ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เห็นแรงงานอินโดนีเซียอย่างอิบราฮิมและฟาริดาเลือกอยู่อย่างไร้ตัวตน เพื่อแลกกับการไม่ต้องเดินทางกลับไปมา
ไม่มีเส้นทางไหนที่ง่ายกว่ากัน
อามีร์และอาอีซะห์ต้องใช้ชีวิตโดยไม่รู้ว่าวันหนึ่งจะถูกไล่ออกจากร้านที่เช่าอยู่หรือไม่ ขณะที่ฟาริดาและอิบราฮิมต้องใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อน กลัวว่าในวันหนึ่งอาจถูกจับกุมและส่งตัวกลับบ้าน
แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือ พวกเขาทำงานเพื่อครอบครัว
“สุดท้ายแล้ว เราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการมีบ้านให้ลูกๆ อยู่ มีเงินให้พวกเขาเรียน และมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เราเคยมี” อาอีซะห์กล่าว
นี่คือเรื่องราวของแรงงานข้ามชาติที่เลือกเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่ปลายทางของพวกเขาคือเป้าหมายเดียวกัน—ความหวังในชีวิตที่ดีกว่า

11. ทางออกที่เป็นไปได้
แม้ว่าอามีร์และอาอีซะห์จะสามารถทำงานในมาเลเซียได้อย่างถูกกฎหมาย แต่การต้อง จ๊อบพาสปอร์ตทุกเดือน เป็นภาระที่หนักทั้งด้านเวลาและค่าใช้จ่าย ขณะที่ฟาริดาและอิบราฮิม ซึ่งอยู่ในสถานะ โอเวอร์สเตย์ ก็ต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงในชีวิต
แล้วมีทางออกไหนบ้างที่สามารถช่วยลดปัญหานี้ได้?
1. ขยายระยะเวลาวีซ่าทำงานให้แรงงานไทย
ปัจจุบันแรงงานไทยที่เข้าไปทำงานในมาเลเซียโดยใช้วีซ่าชั่วคราว ต้องเดินทางกลับไปทำเรื่องต่ออายุทุกเดือน หากรัฐบาลไทยและมาเลเซียสามารถเจรจาขยายระยะเวลาให้เป็น 3-6 เดือน จะช่วยลดภาระของแรงงานได้มาก
2. ระบบลงทะเบียนแรงงานต่างชาติที่ยืดหยุ่นขึ้น
สำหรับแรงงานอินโดนีเซียที่อยู่แบบโอเวอร์สเตย์ หากมี โครงการพิสูจน์ตัวตน หรือ ทางเลือกในการลงทะเบียนแรงงานแบบถูกกฎหมาย ก็อาจช่วยให้พวกเขาสามารถทำงานโดยไม่ต้องหลบซ่อน ขณะเดียวกัน รัฐบาลมาเลเซียก็สามารถควบคุมแรงงานต่างชาติได้ดีขึ้น
3. ขยายโอกาสทางกฎหมายให้แรงงานที่ประกอบธุรกิจเอง
อามีร์และอาอีซะห์เปิดร้านอาหารของตัวเอง แต่ยังคงต้องใช้วีซ่าทำงาน หากมีทางเลือกด้าน ใบอนุญาตประกอบธุรกิจสำหรับแรงงานข้ามชาติรายย่อย ที่เอื้อต่อเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ก็จะช่วยให้พวกเขาไม่ต้องเดินทางกลับไปจ๊อบพาสปอร์ตบ่อยครั้ง
4. การสนับสนุนจากภาครัฐไทย
รัฐบาลไทยสามารถช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติผ่าน ศูนย์ช่วยเหลือแรงงานไทยในมาเลเซีย ให้คำแนะนำเกี่ยวกับกฎหมาย แรงงานที่ต้องการปรับสถานะให้ถูกต้อง รวมถึงสร้างข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อลดปัญหานี้ในระยะยาว

12. เส้นทางข้างหน้า
แม้ว่าปัญหานี้อาจไม่สามารถแก้ไขได้ในทันที แต่หากมี ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย-มาเลเซีย และการพัฒนา ระบบแรงงานข้ามชาติที่ยืดหยุ่นและเป็นธรรม จะช่วยให้แรงงานเหล่านี้มีชีวิตที่มั่นคงขึ้น ไม่ต้องแบกรับภาระเกินความจำเป็น
ในท้ายที่สุด ทุกคนเพียงต้องการโอกาสในการทำงานเพื่อดูแลครอบครัว หากมีระบบที่สนับสนุนแรงงานอย่างเป็นธรรม ปัญหาเหล่านี้ก็อาจลดลง และแรงงานไทย รวมถึงแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน จะสามารถทำงานได้อย่างมีศักดิ์ศรีมากขึ้น

Warna-Warni KehidupanDaripada Suhaib R.A, Rasulullah ﷺ bersabda:عَجَبًا لأَمْرِ الْمُؤْمِنِ إِنَّ أَمْرَهُ كُلَّهُ خَيْر...
18/06/2023

Warna-Warni Kehidupan

Daripada Suhaib R.A, Rasulullah ﷺ bersabda:

عَجَبًا لأَمْرِ الْمُؤْمِنِ إِنَّ أَمْرَهُ كُلَّهُ خَيْرٌ وَلَيْسَ ذَاكَ لأَحَدٍ إِلاَّ لِلْمُؤْمِنِ إِنْ أَصَابَتْهُ سَرَّاءُ شَكَرَ فَكَانَ خَيْرًا لَهُ وَإِنْ أَصَابَتْهُ ضَرَّاءُ صَبَرَ فَكَانَ خَيْرًا لَهُ

Maksudnya: “Amat menakjubkan urusan orang yang beriman kerana setiap urusannya adalah baik, dan itu tidak akan berlaku kepada seorang pun kecuali kepada orang beriman. Jika dia mendapat sesuatu yang menyenangkan dia bersyukur, maka itu adalah kebaikan baginya. Dan jika dia ditimpa kesusahan dia bersabar, maka itu adalah kebaikan baginya.”

Sahih Muslim (2999)

- Garam tidak pernah salah, tetapi selalu kena cubit. Cili tidak pernah cari pasal, tetapi selalu kena tumbuk. Gula p**a selalu duduk diam, tetapi selalu kena kacau.

- Begitulah kehidupan kita, setiap hari penuh dengan ujian. Untuk mengharunginya, kita perlu belajar untuk bersabar dan redha di atas setiap takdir Allah. Buka mata dan minda untuk menerimanya dengan hati yang terbuka.

Common senseKebanyakan amalan perlukan ilmu manakala common sense perlukan hati yang terbuka untuk mengamalkannya       ...
13/06/2023

Common sense
Kebanyakan amalan perlukan ilmu manakala common sense perlukan hati yang terbuka untuk mengamalkannya

Common sense adalah suatu tindakan yang kita rasa semua orang pasti tahu bagaimana cara atau tindakan yang perlu diambil contohnya :

Apabila ada seorang pakcik berdiri ketika berada di dalam komuter, jika ada Common sense kita akan cenderung memberi peluang untuk pak cik itu duduk.

Apabila ada orang yang sedang bersusah payah mengangkat barang yang berat jika ada Common sense kita akan terdorong untuk menolong orang tersebut.

Namun kini nampaknya common sense sudah tidak menjadi common, mungkin sudah menjadi uncommon sense. saya pernah memperhatikan dan mengalami sendiri beberapa episod uncommon sense.

Kisah 1: sampah

Sedang memandu kereta saya lihat ada sesuatu yang di Baling keluar tingkap oleh kereta di sebelah saya. saya perasan yang dibuang itu adalah sampah. sejujurnya saya tidak faham mengapa sampah perlu dibuang keluar kereta? jika anda s**a menjaga kebersihan mulakan lah dengan tidak mengotorkan Alam sekitar. Apa salahnya jika sampah itu disimpan dahulu dan dibuang apabila anda terjumpa tong sampah.
Saya pernah melalui kawasan tapak pasar malam setelah waktu jualan tamat. kawasan tersebut dipenuhi dengan sampah sarap daripada peniaga dan pembeli. mungkin common sense mereka adalah, pekerja majlis Pembandaran akan bersihkan. rugi lah kalau pekerja itu dibayar gaji tetapi tidak buat kerja. jika kita mengamalkan sikap sebegini, Nampaknya sikap menjaga kebersihan sudah menjadi uncommon sense. sikap tidak endah ini mengakibatkan sampah Berlonggok, boleh membawa penyakit, Dan tidak mustahil mengakibatkan bencana alam seperti banjir.

Saya teringat suatu Tazkirah yang mengingatkan kita untuk sentiasa berbuat baik dengan orang lain. Common sense adalah salah satu cara untuk mempraktikkan kebaikan. Di dunia yang sibuk mengejar penghargaan ini, biarlah kita tergolong dalam kalangan yang membuat kebaikan hanya untuk mendapat redha Al-Khaliq Dan bukan makhluk.

Jika ada dua orang nelayan yang mahu menangkap ikan, siapakah antara kedua-duanya yang akan mendapat hasil tangkapan yan...
23/03/2023

Jika ada dua orang nelayan yang mahu menangkap ikan, siapakah antara kedua-duanya yang akan mendapat hasil tangkapan yang lebih banyak ?

Antara jawapan yang dapat kita andaikan adalah nelayan yang menggunakan Pukat yang lebih besar dan menghala ke bahagian laut yang lebih dalam. Namun hakikatnya banyak ataupun sedikit tangkapan itu turut bergantung kepada keadaan cuaca, keadaan laut, dan yang paling utama rezeki yang ditetapkan oleh Allah. Tanda keadilan Allah adalah adanya bekal usaha si nelayan yang menjadi salah satu sebab menuju kepada rezeki.

Manusia dikurniakan dengan ilmu dan kemahiran. Usaha dapat membezakan sama ada manusia berjaya ataupun sebaliknya. Ada jarak pemisah antara orang yang rajin dan orang yang malas. Bagi mendapat rezeki kita harus berusaha dan atas kehendak Allah jua iya pasti menjadi milik kita. Begitu juga dengan nasib kita dapat menentukannya dengan usaha. Hanya selepas itu lah tawakal kepadanya menjadi penentu segala. Jadi, jom bertindak!

ramadan 1444

Anda akan dapat apa yang anda usahakan, dengan izin Allah. Pasakkan harapan dan bertindaklah!Rezeki adalah salah satu ra...
10/03/2023

Anda akan dapat apa yang anda usahakan, dengan izin Allah. Pasakkan harapan dan bertindaklah!

Rezeki adalah salah satu rahsia daripada banyak rahsia Ilahi. Ia datang dalam pelbagai rupa dan bentuk, dalam keadaan yang tidak kita jangka. Teringat saya semasa di Madinah , saya berjalan kaki melalui kawasan yang padat dengan manusia, ada yang berjual beli makanan, memandu kereta, dan bejalan kaki.

Satu perkara yang saya kagum terhapap penduduk yang saya temui di sini adalah keazaman mereka berusaha bagi meneruskan kehidupan. Walaupun hanya menjual kopi pracampuran yang dibancuh dengan air panas, mereka masih besemangat menggendong beg barang jualan di sekitar kota. Bukan hanya seorang peniaga, tetapi ramai yang berniaga benda yang sama. Dengan keyakinan atas rezeki yang Allah tetapkan, mereka terus menjaja di bi jalan raya. Apabila difikirkan, kita mungkin tidak pernah berasa susuh sehingga begitu sekali. Namun percayalah, bagi mengharungi kehidupan seperti itu, bekalnya adalah keyakinan tentang rezeki adalah rahsia Ilahi

09/03/2023

Syukur Alhamdulillah umur saya masih dipanjangkan sehingga lebih 30 tahun.

Life is a story.

Melalui Page ini, saya ingin berkongsi apa yang telah saya lalui sepanjang usia ini. Allah telah berfirman dalam Al-Quran tentang usia 40 tahun dan implikasinya kepada kehidupan manusia. Bukan semua mampu mencapai umur ini, kerana ramai juga yang dijemput oleh-nya terlebih dahulu. Hampir separuh usia telah dialui jika umur rasulullah SAW dijadikan sebagai rujukan

Adakah akan sampai sehingga separuh usia lagi sebelum kita dijemput oleh-nya?
Hanya Allah yang maha mengetahui

Address

Bangsar South, KL
Kuala Lumpur
59200

Telephone

+60179884856

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Life is a story by: Amirul Zaimil posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Business

Send a message to Life is a story by: Amirul Zaimil:

Share