ASL TRADE

ASL TRADE ASL TRADE

06/07/2023

UPDATE: พิธาแจ้งมีทรัพย์สินรวม 85 ล้าน หนี้สินกว่า 20.7 ล้าน แจงละเอียดมีสูท 16 ตัว เนกไท 76 เส้น ถือหุ้น ITV ในฐานะผู้จัดการมรดก
วันนี้ (5 กรกฎาคม) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หนึ่งในนั้นคือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กรณีพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566
พิธาแจ้งว่ามีทรัพย์สินรวม 85,023,720.18 บาท หนี้สินรวม 20,740,176.02 บาท โดยแจกแจงรายละเอียด ดังนี้
รายการทรัพย์สิน
- เงินสด 1,800,000 บาท
- เงินฝาก 27 บัญชี 286,045.7 บาท
- เงินลงทุน 1,346,698.98 บาท
- เงินให้กู้ยืม 15,000,000 บาท ให้แก่ ภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ พี่น้องร่วมบิดามารดา ร่วมบิดาหรือร่วมมารดา วันที่ให้กู้ยืม 15 ธันวาคม 2563
- ที่ดิน 1 แปลง 18,000,000 บาท ตำบลวังก์พง อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 14 ไร่ ได้มาวันที่ 10 เมษายน 2560
- โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ห้องชุด แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 15,000,000 บาท
- ยานพาหนะ รถยนต์ Toyota Majesty 1 คัน คันละ 2 ล้านบาท ได้มาปี 2566 รถจักรยานยนต์ 2 คัน และจักรยานไฟฟ้า 1 คัน 2,140,000 บาท
- สิทธิและสัมปทาน 19,413,985.5 บาท พบว่ามีใบจองรถ Tesla อยู่ในรายการนี้ด้วย
- ทรัพย์สินอื่น 12,036,990 บาท ซึ่งพิธาได้ระบุลงรายละเอียด เช่น โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง, สูท 16 ตัว, เนกไท 76 เส้น, รองเท้า 21 คู่, นาฬิกา 10 เรือน, พระเครื่อง 8 องค์, อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 28 รายการ, ชุดเฟอร์นิเจอร์ 1 รายการ และกล้อง 2 ตัว
รายการหนี้สิน
- เงินเบิกเกินบัญชี 807,414 บาท
- หนี้สินอื่น 19,932,762.02 บาท ซึ่งเป็นหนี้จากการค้ำประกัน แจ้งวัน-เดือน-ปีที่กู้ว่า วันที่ 14 เมษายน 2563 (วันที่ทราบมูลหนี้)
พิธายังได้แจ้งในส่วนของทรัพย์สินจากเงินลงทุนในรายการที่ 63 ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น มูลค่า ณ วันที่มีหน้าที่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน 44,100 บาท โดยระบุหมายเหตุว่า “ผู้ยื่นในฐานะผู้จัดการมรดก ตามคำสั่งศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ 1860/2550 ได้รับมอบหมายจากทายาทผู้มีสิทธิรับมรกดกของ พงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ตาย ให้รับโอนหลักทรัพย์หุ้นนี้อันเป็นกองมรดกถือครองไว้แทนทายาทอื่น”
แจ้งรายได้ต่อปีรวม 5,123,024.5 บาท โดยมีที่มา ดังนี้
- มาจากเงินเดือน 1,362,720 บาท
- รายได้จากทรัพย์สิน จากการขายคอนโดปี 2563 จำนวน 13,673,506 บาท
- ขายรถ 2 คัน ปี 2565 จำนวน 936,000 บาท
- ขายหนังสือ 431,712 บาท
พร้อมระบุหมายเหตุรายได้ ดังนี้
1. ได้รายได้ในระหว่างดำรงตำแหน่งเฉลี่ย 3,418,376.5 บาทต่อปี
2. ได้รายได้ในระหว่างดำรงตำแหน่งเฉลี่ย 234,000 บาทต่อปี
3. ได้รายได้ในระหว่างดำรงตำแหน่งเฉลี่ย 107,928 ต่อปี
พิธาแจ้งสถานภาพโสด โดยหย่าเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2562 และมีบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย 1 คน คือ พิพิม ลิ้มเจริญรัตน์
อ้างอิง: คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
#พิธา

06/07/2023

PHG เปิดเทรดวันแรกราคาร่วง 5.71%
โบรกฯ คาดปีหน้ากำไรฟื้นตัว
ประเมินเป้าหมาย 30 บาทต่อหุ้น
ผู้สื่อรายงานความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นบริษัท แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PHG เปิดซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่ 19.80 บาท ลดลง 5.71% จากราคาไอพีโอที่ 21 บาท ฟากโบรกฯมองกำไรปี 66 ลดลง หลังโควิดผ่อนคลายลงเป็นโรคประจำถิ่น เคาะราคาเหมาะสมที่ 29 - 30 บาท
โดย นายรณชิต แย้มสอาด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PHG เปิดเผยว่าแผนหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนการใช้เงินที่มีมูลค่าระดมทุนในครั้งนี้ราว 1,134 ล้านบาท
สำหรับแผนการจัดสรรเงินลงทุนหรือวัตถุประสงค์การจะใช้เงินนั้น จะนำไปก่อสร้างโครงการอาคารผู้ป่วยใหม่ 1 และอาคารจอดรถภายในปี 2567 โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใหม่ที่ 2 ภายในปี 2569, เพื่อเป็นเงินทุนในการซื้อเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ภายในปี 2567
รวมไปถึงเพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงินบางส่วนภายในปี 2566 และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจภายในปี 2566 ซึ่งการเดินหน้าขยายธุรกิจดังกล่าว ถือว่าเป็นการต่อยอดพัฒนาศักยภาพทางการแพทย์ รองรับการให้บริการผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่และบริการทางการแพทย์เฉพาะทางมากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตที่ต่อเนื่องและยั่งยืน และที่สำคัญคือการตอกย้ำการเป็นสถานพยาบาลเอกชนชั้นนำที่ให้บริการในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดใกล้เคียง
พร้อมกันนี้บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินกำไรปี 66-67 จะเติบโตดีหากไม่รวมรายได้พิเศษจากโควิดอยู่ที่ 240 ล้านบาท ลดลง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 280 ล้านบาท เติบโต 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นจากโรคที่ซับซ้อนทั้งคนไข้เงินสด และคนไข้โครงการภาครัฐ โดยเฉพาะคนไข้โรคหัวใจ
ขณะที่ ประเมินราคาเหมาะสมที่ 30 บาทต่อหุ้น อิง PER ปี 67 ที่ 32 เท่า โดยมองว่า PHG ควรเทรดสูงกว่าค่าเฉลี่ย เนื่องจากทาง PHG จะมีการขยายอาคารผู้ป่วย รวมถึงการเพิ่มจำนวนผู้ประกันจน และแนวโน้มอัตราเป็นโรคหัวใจเยอะขึ้น ด้วยทางที่ PHG เป็นโรงพยาบาลชั้นนำเรื่องโรคหัวใจหนึ่งเดียวในจังหวัดปทุมธานี
ด้านบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองผลการดำเนินงานชะลอตัวระยะสั้นในปี 66 แม้ว่ารายได้ยังมีทิศทางการเติบโตมาที่ระดับ 2,054 ล้านบาท ขณะที่คาดการณ์กำไรสุทธิไว้ที่ระดับ 269 ล้านบาท ติดลบ 8.2% ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ผ่อนคลายลงเป็นโรคประจำถิ่นในปี 66
อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลการดำเนินงานในปี 67 จะฟื้นตัวขึ้นตามแนวโน้มการใช้บริการการรักษาที่ยังคงมีทิศทางเพิ่มขึ้น คาดรายได้จะอยู่ที่ระดับ 2,218 ล้านบาท กำไรสุทธิที่ระดับ 304 ล้านบาท ทั้งนี้ ประเมินมูลค่าเหมาะสมของ PHG ที่ระดับ 29 บาท

#หุ้น #แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป #ข่าวหุ้น #ข่าววันนี้ #ลงทุน

06/07/2023

สาวทิ้งระเบิด ร่ายยาวแจงเหตุผลที่ลาออก เพราะหัวหน้าวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ แนะให้ไปทำงานคนเดียว เพราะใครเข้ามาก็อยู่ไม่ได้ ชาวเน็ตปรบมือ บอก “เต็มสิบไม่หัก”

ในโลกออนไลน์ แห่แชร์ข้อความจากแชตไลน์ ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งนำมาโพสต์ เป็นแชตประกาศลาออก พร้อมให้เหตุผลแบบจุกๆ หัวหน้ามาอ่านอาจจะมีอาการ “หน้าชา” โดยข้อความในแชต ระบุว่า

“ขออนุญาติแจ้งเหตุผลที่ลาออกค่ะ หนูไม่สามารถทำงานร่วมกับหัวหน้าที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ ไม่ควบคุมอารมณ์ตัวเองแบบนี้ เรื่องงานไม่ได้มีปัญหา ถึงจะไม่มีการ สอนงานอย่างเป็นระบบก็สามารถทำได้

แต่ที่รับไม่ได้คือพฤติกรรมคำพูดของหัวหน้างาน การพูดจาที่ดีกับคนอื่น เป็นพื้นฐานที่ทุกคนต้องมี แต่บุคคลที่เป็นถึงระดับผู้จัดการฝ่ายบุคคล ไม่มีภาวะด้านนี้เลย อยากให้ช่วยพิจารณาหน่อยนะคะ

เพราะตำแหน่งนี้ เข้ามากี่คนก็อยู่ไม่ได้ แนะนําว่าให้ทํางานคนเดียว ไม่ต้องเปิดรับสมัคร เพราะไม่มีใครอยากมาทำงานที่ต้องมานั่งรองรับอารมณ์คนแบบนี้ค่ะ

ขอบคุณค่ะ”

โดยผู้โพสต์ยังระบุข้อความในแคปชันอีกว่า “จำไว้เลยนะคะ ถ้าไม่ไหวให้ด่าค่ะ อย่าทน คนบางคนใจเย็นไปก็เท่านั้น และเป็นการเกรี้ยวกราดที่มีแต่คนเห็นด้วย หลังส่งข้อความมีโทรศัพท์เข้าปลายสายบอกว่า น้องทำดี! ต้องเป็นคนแบบไหนอ่ะ? 🤔

ประสบการณ์ที่ผ่านมามันสอนไว้ อย่าทนในสิ่งที่ไม่ควรทน สุขภาพจิตพังพินาศ 😘”

โพสต์นี้มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก หลายคนสนับสนุนผู้โพสต์ พร้อมทั้งยังบอกว่า “เต็มสิบไม่มีหัก” “ระบายทุกความในใจออกมาให้หมด” “สร้างตำนานไว้ให้คนรุ่นหลัง” ฯลฯ เป็นต้น

#ลาออก #หัวหน้าไม่ดี #วุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ #ความในใจ #โหนกระแส

06/07/2023

เปิดรายชื่อ 6 หุ้น ที่ควรเลี่ยงลงทุน
หลังนักวิเคราะห์สั่งให้ “ขาย”
เป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้นที่นักลงทุนจะต้องซื้อจะต้องขายหุ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เช่นเดียวกับข้อมูลที่ได้ระบุไว้ในบทวิเคราะห์ของเหล่านักวิเคราะห์ที่ก็จะมีทั้งการแนะนำ “ซื้อ” และ แนะนำ “ขาย” ด้วยเช่นเดียวกัน
โดยในครั้งนี้ Wealthy Thai จึงได้รวบรวมข้อมูลกลุ่มหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำในฝั่ง “ขาย” มาเป็นตัวช่วยให้กับนักลงทุนในการพิจารณาวิเคราะห์แนวทางการลงทุน ซึ่งจะมีหุ้นในกลุ่มไหนบ้าง และเหตุผลอะไรที่ทำให้นักวิเคราะห์แนะนำ “ขาย”
SABINA เต็มมูลค่าแล้ว

มาเริ่มกันที่ SABINA นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า ปัจจุบันได้ปรับลดคำแนะนำเป็น “ขาย” ให้ราคาเป้าหมายใหม่ปีฐาน 66 ที่ 24 บาท (จาก 31 บาท) เนื่องจากเชื่อว่าบริษัทกำลังจะเข้าสู่รอบเติบโตที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ปี 67 และมองว่าการซื้อขาย P/E66 ที่ 19.9 เท่า PE นั้นมูลค่าเต็มแล้ว
อีกทั้งยังเห็นถึงความเสี่ยงจากการปรับขึ้นอัตราค่าแรง โดยสมมติให้มีการปรับขึ้นค่าแรง 10% ต่อปีในสองปีข้างหน้า ซึ่งความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำนั้นเป็นสิ่งที่ตลาดกังวล เนื่องจาก ค่าใช้จ่ายพนักงานของ SABINA คิดเป็น 20% ของต้นทุนทั้งหมด (ต้นทุนขาย และค่าใช้จ่าย SG&A)
โดยการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลกระทบในทางลบต่อกำไรของ SABINA จากการวิเคราะห์การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำทุก 10% จะกระทบต่อกำไรของ SABINA 6-7% ซึ่งได้รวมความเป็นไปได้ในการขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 10% ต่อปี ในการประมาณการในปี 67-68 แล้ว
โบรกฯ ผิดหวัง KEX

ถัดมา KEX นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า ปริมาณพัสดุของ KEX ยังคงทำให้ผิดหวังต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2/66 ลดลง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจุบันคาดว่าจะมีผลขาดทุนมากขึ้นในปี 66-67 และกลับมามีกำไรในปี 68 แต่มีเพียง 17% ของระดับสูงสุดของปี 63 คงคำแนะนำ “ขาย” ปรับราคาเป้าหมายลงเหลือ 9 บาท
ทั้งนี้ในไตรมาส 2/66 คาดว่า KEX จะยังคงมีผลขาดทุนอย่างมากในระดับใกล้เคียงกับการขาดทุนในไตรมาส 2/65 ที่ 732 ล้านบาท และไตรมาสแรกปีนี้ 787 ล้านบาท แม้ต้นทุนเชื้อเพลิงจะลดลง แต่ปริมาณจัดส่งก็ลดลงด้วย สำหรับระบบอัตโนมัติใหม่ที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการดำเนินงานดีขึ้นและช่วยลดต้นทุน KEX ยังคงตั้งเป้าว่าเครื่องจักรชุดแรกและระบบจะถูกติดตั้งและเริ่มดำเนินงานได้ในต้นไตรมาส 3/66
AAI อาหารสัตว์เลี้ยงไม่สดใส

ตามด้วย AAI สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปลี่ยนคำแนะนำเป็น “ขาย” จาก “ถือ” แนวโน้มผลประกอบการ AAI ปีนี้ไม่สดใสจากการลดสต๊อกสินค้าของลูกค้า OEM และภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวจากภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่าที่ยังเพิ่มขึ้นอยู่ระดับสูง 1.คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/66 ยังลดลงทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสแรก โดยต่ำกว่าที่คาดไว้เดิมที่จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก เนื่องจากรายได้และอัตรามาร์จิ้นที่ลดลง 2. ภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงสุนัขและแมวปีนี้ไม่สดใสจากปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว
ดังนั้นจึงปรับประมาณการลง มูลค่าเหมาะสมใหม่อยู่ที่ 3.24 บาท โดยมองผลประกอบการปีนี้ยังไม่สดใสจากปัจจัยลบที่กดดันรายได้ลดลงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และคาด Dividend Yield ปี 66 ที่ 2.0%
DOHOME กำไรฟื้นช้ากว่าคาด

มาต่อกันที่ DOHOME นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ปรับลดคำแนะนำเป็น “ขาย” จาก “ถือ” และปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 11.00 บาทจากเดิม 14.00 บาท แนวโน้มกำไรที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาดมาก โดยคาดเห็นแรงกดดันต่อผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 หดตัวช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสแรก
ทั้งนี้เนื่องจาก demand ทั้งฝั่งกำลังซื้อลูกค้า end-user และลูกค้างานโครงการทั้งงานภาครัฐและเอกชนยังไม่ฟื้นตัว จากการชะลอการลงทุน ขณะรอความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาล คาดไตรมาส 2/66 SSSG ติดลบที่ราว 7-8%
รวมทั้ง GPM หดตัว ทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสแรก จากการที่บริษัทมีการเร่งระบายสินค้ากลุ่มสังกะสีและสินค้า obsolete อื่นๆ ที่มีการสต๊อกไว้ในต้นทุนที่สูง เพื่อปรับตัวให้ทันต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
อีกทั้ง product mix ในไตรมาส 2/66 เป็นสินค้ากลุ่มเหล็กและกลุ่มสินค้าก่อสร้างที่มี GPM ต่ำ ปัจจุบันคาดที่ระดับ 14% และ เลื่อนการรับรู้เงินคืนจากประกันกรณีความเสียหายจากน้ำท่วมไปไตรมาส 3/66 เนื่องจากอยู่ระหว่างการต่อรองจำนวนเงินคืนประกัน
KCE ยอดขายอ่อนตัว

KCE สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด คงคำแนะนำ “ขาย’’ ด้วยมูลค่าที่เหมาะสม 34.5 บาท โดยคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/66 จะอยู่ที่ 305 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายที่อ่อนตัว ทำให้ระดับสินค้าคงคลังอยู่ในระดับที่สูง ผู้ผลิต Tier 1 จึงชะลอการเบิกเข้าของสินค้า ทั้งนี้ ยังคงไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวอื่นๆ เช่น ข้อมูลการส่งออกของแผ่นวงจรพิมพ์ และอัตราการผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ตั้งแต่เดือนเมษายน แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับฐานเมื่อเร็วๆ นี้
แต่ยังคงแนะนำ “ขาย’’ เนื่องจาก 1.การแก้ไขสินค้าคงคลังอย่างต่อเนื่อง และ 2.การฟื้นตัวของ GPM ที่ใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ อีกทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคที่ไม่เอื้ออำนวยมีผลมากกว่าความพร้อมในตลาดของ Semiconductor ที่เพิ่มขึ้น
แม้คาดว่า semiconductor อุตสาหกรรมทั่วโลกจะถึงจุดต่ำสุดในไตรมาส 3/66 แต่เชื่อว่าอุปสงค์ที่อ่อนแอน่าจะยังคงอยู่ต่อไปอีกเล็กน้อยสำหรับรถยนต์ เนื่องจากการปรับฐานเริ่มช้ากว่าภาคผู้บริโภคประมาณ 6-9 เดือน ตัวกระตุ้นที่เป็นไปได้สำหรับราคาหุ้นคือ การชี้แจงแผนการขยายธุรกิจที่ Rojna ใบสั่งขายที่เพิ่มขึ้นจากการ guidance ของผู้บริหาร และยอดขายที่กลับมาสูงกว่า 125 ล้านดอลลาร์/ไตรมาส
DELTA ผลงานไตรมาส 2 ทรงตัว

DELTA นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คงคาแนะนำ “ขาย” คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 52.50 บาท โดยผลประกอบการไตรมาส 2/66 คาดทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ทั้งปี 2566 คาดโต 9% จากปีก่อน เทียบกับราคาหุ้นที่ซื้อขายบน PER66 ถึง 76 เท่า
ทั้งนี้หากกำไรออกมาตามคาด กำไรปกติครึ่งแรกปี 66 จะคิดเป็น 47% ของประมาณการทั้งปี 2566 ที่ 1.58 หมื่นล้านบาท เติบโต 8.6% จากปีก่อน คงมุมมองครึ่งหลังปี 66 กำไรของ DELTA จะฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก หลักๆ จากการเข้าสู่ High Season ในไตรมาส 3/66 และแรงกดดันจากากรตั้งสำรองสินค้าคงคลังลดลงในรายธุรกิจ
รวมทั้งประเมินว่าสินค้ากลุ่ม EV Car จะกลับมาเติบโตดีขึ้นหลังแนวโน้มเศรษฐกิจโลกอาจไม่ชะลอตัวแรงอย่างที่ลูกค้ากังวลก่อนหน้า ส่วนสินค้า Data Center ยังมีความต้องการที่แข็งแกร่ง แต่เริ่มเจอฐานที่สูงทำให้การเติบโตจะเริ่มจำกัดมากขึ้น

#หุ้น #หุ้นโดนแนะนำขาย #ข่าวหุ้น #ลงทุน

06/07/2023

เจ๊งSTARKถ้วนหน้า 12กองทุนมูลค่าวูบ

อ่านเพิ่มเติมคลิก
https://thunhoon.com/article/273774
#ทันหุ้น #ข่าว #หุ้น #ข่าวหุ้น

06/07/2023

โบรกฯ ชี้ปัจจัยภายนอกฉุด SET หลุด 1,500 จุด
หลังผลตอบแทนตราสารหนี้เพิ่มขึ้น ดูดเงินไหลออก
ย้ำหุ้นไทยต้องรอการเมืองในประเทศชัดเจน
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้ได้มีการปรับตัวลดลง 16.25 จุด หรือลงมาอยู่ที่ระดับ 1,492 จุด โบรกฯ มองสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก มองแกว่งตัวในกรอบ 1,490 – 1,525 จุด
โดย นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้านี้ที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง สาเหตุหลักๆมาจากปัจจัยภายนอกประเทศเป็นหลัก ประกอบไปด้วยเรื่องผลตอบแทนตราสารหนี้ที่ปรับตัวขึ้นจึงดึงดูดให้นักลงทุนมีความสนใจ ภายหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯส่งสัญญาณขายพันธบัตรและการปรับขึ้นนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
รวมไปถึงความกังวลเกี่ยวกับหุ้นกลุ่มธนาคารจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ถึงความเกี่ยวข้องของธนาคารจีนกับหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่นจีน ความเสี่ยงจากการขาดทุนเพราะหนี้สิน จึงทำให้โกลด์แมน แซคส์ได้ปรับลดอันดับของ AgBank จาก “คงน้ำหนักการลงทุน” เป็น “ขาย” ขณะที่ทั้งธนาคารอินดัสเตรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชนา (ICBC) และธนาคารอินดัสเตรียล (Industrial Bank ) ถูกปรับลดอันดับลงมาจาก “ซื้อ” สู่ “ขาย”
ทั้งนี้จาก 2 ปัจจัยดังกล่าวได้จะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ดีสำหรับตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันนักลงทุนยังติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศ ซึ่งประเมินความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงจะยังคงแกว่งตัว หรืออยู่ในกรอบ 1,490 – 1,525 จุด

#หุ้น #ภาวะตลาดหุ้น #ข่าวหุ้น #ข่าววันนี้ #ลงทุน

06/07/2023
06/07/2023

หุ้นไทยแสบ! ทำนักลงทุนบาดเจ็บ
ผลตอบแทนแย่สุดใน “เอเชีย”
ผ่านไปแล้วสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2566 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดครึ่งปีแรก หรือวันที่ 30 มิ.ย.66 ที่ระดับ 1,503.10 จุด ปรับตัวลดลงที่ 9.92% เมื่อเทียบกับดัชนีปิดสิ้นปี 2565 ที่ผ่านมา โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาพบว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยรวมทั้งสิ้น 107,139.26 ล้านบาท รวมทั้งบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ที่ขายสุทธิหุ้นไทยเช่นกันกว่า 7,369.14 ล้านบาท
แต่ในทางกลับกันสถาบันในประเทศ เข้าซื้อสุทธิหุ้นไทย 39,333.22 ล้านบาท และนักลงทุนในประเทศเข้าซื้อสุทธิหุ้นไทยสูงถึง 75,175.18 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามหากสำรวจดัชนีตลาดหุ้นในแถบประเทศอื่นๆ พบว่า หุ้นไทย ทำผลงานได้แย่สุดใน “เอเชีย” โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด รายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นวันที่ 30 มิ.ย.66 ปิดที่ระดับ 1,503.10 จุด ปรับตัวลดลงที่ 9.92% นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน ถือว่าปรับลดลงมากสุดในแถบเอเชีย ตามด้วย มาเลเซีย ปิดลบ 7.94% และฮ่องกง ปิดลบ 4.37% ขณะที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ให้ผลตอบแทนมากสุดในเอเชีย
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มีความเห็นว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 66 เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทย Underperform เมื่อเทียบกับภูมิภาคเป็นอย่างมาก สาเหตุมาจากผลการเลือกตั้งที่เหนือความคาดหมายของตลาด และความเชื่อมั่นในหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ลดลง จากกรณี STARK ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP เพราะส่งงบการเงินไม่ทัน อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะถูกลดภาวะ Underperform ลงในช่วงไตรมาส 3/66 โดยมีปัจจัยที่เป็นจุดเปลี่ยนในการลงทุนคือ
1.การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งคาดว่าจะเห็นการปรับขึ้นอีกเพียงครั้งเดียว +0.25% เป็น 5.50% ในการประชุมวันที่ 26 ก.ค. จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในครึ่งหลังปี 66 ซึ่งทุกครั้งที่เฟดคงดอกเบี้ย จะเป็นช่วงที่สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นระลอกสุดท้าย (Bear market rally) การที่จะพลิกกลับมาอ่อนตัวลงตามแรงกดดันของภาวะ Recession
2.Dollar Index มีแนวโน้ม Sideway หรือพักตัวลง เพราะธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอังกฤษยังจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อระงับเงินเฟ้อ จากผลผลิตของสินค้าเกษตรที่ถูกกระทบจากภาวะเอลนีโญ และความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ทำให้ราคาพลังงานมีโอกาสกลับมาเร่งตัวขึ้น จากการเร่งสต็อกถ่านหินและ ก๊าซธรรมชาติไว้ใช้ในฤดูหนาวช่วงไตรมาส 4/66 ส่งผลให้กระแสเงินมีโอกาสไหลกลับมายัง Emerging Market หรือตลาดหุ้นเอเชีย ที่มักได้ผลดีจากการพักตัวของ Dollar Index และเป็นภูมิภาคที่คุมเงินเฟ้อได้ดีกว่าฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ
3.ทางการจีนมีโอกาสกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น หลังจากที่การฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศไม่เป็นไปตามที่คาด โดยหลังจากที่ธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ย และเพิ่มสภาพคล่องเข้ามาในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายการคลัง เช่น การกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
4.ปัจจัยการเมืองในประเทศ ผันผวนสูงแต่มีทางออก แม้การจับขั้วทางการเมืองยังไม่ชัดเจน และมีโอกาสเกิดขึ้นได้หลายแนวทาง แต่สุดท้ายคาดว่าจะเห็นการโหวตนายกฯและจัดตั้งรัฐบาล ตามแนวทางที่รัฐธรรมนูญเปิดช่องไว้ให้ ซึ่งเมื่อผ่านพ้นช่วงโหวตนายกฯไปแล้ว SET INDEX จะตอบรับเชิงบวก และสามารถลดภาวะ Underperform ที่เกิดขึ้นได้
แต่ในช่วงก่อนโหวตนายกฯ อาจไม่เห็นการเก็งกำไรขึ้นมารอผลโหวตเหมือนที่เกิดขึ้นในปี 2562 เพราะโอกาสโหวตผ่านครั้งเดียวยังค่อนข้างต่ำ และเมื่อพิจารณาจากฉากทัศน์ที่ประเมิน พบว่า Risk/Reward Ratio ไม่อยู่ในระดับที่ต้องรีบเข้าไปเก็งกำไรก่อนโหวตด้วย
ทั้งนี้ แม้ SET INDEX มีโอกาสลดภาวะ Underperform ในช่วงครึ่งหลังปี 66 แต่ใช่ว่าจะเห็นการเปลี่ยนแนวโน้มกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง เพราะในช่วงที่การเมืองในประเทศมีความชัดเจน ปัจจัยภายนอกอาจเริ่มกังวลกับภาวะ Recession ซึ่งจะทำให้ Performance ของ SET INDEX ทำได้เพียงลดภาวะ Underperform ในช่วงตลาดขาลงเท่านั้น
โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวในไตรมาส 3/66 ที่ 1,450-1,600 จุด และประเมินเป้าหมายสิ้นปี นี้ที่ 1,630 จุด เชิงของกลยุทธ์การลงทุน จึงยังแนะนำให้ระมัดระวังในการลงทุน และ Selective Buy โดยเลือกกลุ่มที่มีธีมการลงทุนชัดเจน เช่น ผลประกอบการไตรมาส 2/66 เด่นและมีเงินปันผลกลางปีจูงใจ, ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน, มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและValuation ไม่แพง ซึ่งหุ้นแนะนำใน 7 Wonder คือ BANPU, CK, CPALL, NER, ORI, OSP, และ VGI

#หุ้น #หุ้นไทย #ข่าวหุ้น #ลงทุน #ข่าววันนี้

06/07/2023

หุ้นไทยดิ่ง ! นักลงทุนสถาบัน-ต่างชาติเทกระจาด

อ่านข่าวเพิ่มเติม
https://www.nationtv.tv/economy-business/finance-investment/378922371

#หุ้น #หุ้นไทย #ซื้อขายหุ้น
#เศรษฐกิจ #ข่าววันนี้

06/07/2023

ภายหลังจากที่ได้เริ่มมีการประการงบการเงินออกมาในช่วงไตรมาส 2/66 ซึ่ง AEONTS ถือว่า เป็นหลักทรัพย์ที่เริ่มประกาศออกมาและส่งผลให้ต้องผิดหวังไม่เป็นไปตามคาด จากตั้งสำรองที่สูงขึ้น ส่งผลให้กลุ่มไฟแนนซ์ และกลุ่มธนาคารปรับตัวร่วงลงมาตาม ๆ กัน จึงฉุดให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย (6 ก.ค.66 เวลา 11.30 น.) ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 1,491.33 จุด หรือลดลง 17.54 จุด หรือ -1.16%

กรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับกรุงเทพธุรกิจว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในวันนี้เกิดจากสาเหตุที่เริ่มมีการประกาศงบออกมา ซึ่ง AEONTS ถือเป็นหุ้นตัวแรกที่ประกาศออกมาค่อนข้างไม่ดี ผิดจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ประมาณ 15% เนื่องจากมีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้กลุ่มไฟแนนซ์ หรือกลุ่มจำนำทะเบียน อย่าง TIDLOR MTC หรือ SAWAD ร่วงลงตามมา
ขณะเดียวกัน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มแบงก์ที่นักวิเคราะห์เริ่มมีการประมาณการรายได้ไตรมาส 2/66 อาจจะทรง ๆ และยังมีประเด็นที่ต้องจับตาหุ้น KBANK และ SCB ที่ยังเป็นประเด็นคำถามว่า จะมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้่นอีกหรือไม่ ในไตรมาส 2/66 จากกรณีหุ้น STARK แม้ว่าจะมีแบงก์ขนาดใหญ่ที่ได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่มีการปรับขึ้นก็ตาม แต่นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจ เนื่องจากถ้ามีการตั้งสำรองก็จะทำให้กำไรหดตัวลงไปด้วย นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องการเมืองที่ยังคงไม่ชัดเจน
บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS ได้รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 บริษัทมีกำไรลดลง เนื่องจากค่าใช้จ่ายหลักของบริษัทฯ ไตรมาสที่ 1 ของปีบัญชี 2566 อยู่ที่ 4,654 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 619 ล้านบาท หรือร้อยละ 15 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการบริหาร,ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และต้นทุนทางการเงิน
ทั้งนี้ อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนจากการด้อยค่าต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทฯ หรือ NPL Coverage ratio ในไตรมาสที่ 1/2566 อยู่ที่ร้อยละ 184 ของงบการเงินรวม ลดลงจากร้อยละ 190 จากสิ้นปีบัญชีก่อน และจากร้อยละ 219 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหาภาคที่มีแนวโน้มในเชิงบวกมากขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ตั้งสำรองค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 10,199 ล้านบาท และการด้อยค่าทางด้านเครดิตตาม TFRS9 บริษัทฯ มี NPL Stage 3 ร้อยละ 5.9 สูงขึ้นจากอัตราร้อยละ 5.7 ณ สิ้นปีบัญชีก่อน และเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.3 จากงวดเดียวกันของปีก่อน
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจFinance #หุ้น

Address

Guadalupe

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when ASL TRADE posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Share