28/08/2025
ลาวเด้อ ยินดีและดีใจที่ได้มีโอกาสได้แชร์เรื่องราวชีวิตของ อ๊อฟ กฤษฎิ์ บุญสาร ผู้ร่วมก่อตั้งเพจลาวเด้อ
ก่อนที่จะกลับมาอยู่อีสาน มาทำสื่อออนไลน์ของคนอีสาน เราก็เคยอยู่กรุงเทพฯ มาก่อนทั้งเรียน ทำงาน ใช้ชีวิต ซึ่งตอนนั้นชีวิก็ไม่ได้ง่าย ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ได้เห็นความเป็นไปของเมือง ผู้คน ความหลากหลายของอาชีพ และมีโอกาสได้เข้าไปลองทำบางอย่าง ได้เรียนรู้ มีประสบการณ์จากงานที่ได้ทำ
คนอีสานสำหรับการเข้าไปในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเรียนหรือทำงาน ส่วนหนึ่งคือการเข้าไปแสวงหาโอกาส โดยหวังว่าชีวิต ชนชั้น ฐานะของเราจะดีขึ้น บ้างก็ประสบความสำเร็จตามที่หวัง บ้างก็ล้มเหลว
คนอีสานอพยพไม่ใช่ไปแค่กรุงเทพฯ แต่ไปที่อื่นๆ ทั้งเขตจังหวัดอุตสาหกรรมแถวปริมณฑล และมีอีกมากที่ไปถึงต่างประเทศ ขณะเดียวกันมีก็บางคนกลับมาบ้าน มาอีสาน มาสร้างสรรค์ให้บ้านตัวเองน่าอยู่ อยู่ได้ และอยู่รอด ซึ่งเรื่องนี้ก็ท้าทายไม่น้อย ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในการทำสิ่งนี้อยู่
คนอีสานมีเลือดคือนักสู้ไม่น้อย ไม่แพ้คนภูมิภาคอื่น เพราะถ้าไม่สู้อาจจะไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองอยากจะได้มา
สุดท้ายขอขอบคุณ มนุษย์กรุงเทพฯ หลายๆ เด้อ
“ผมในวัยเด็กอยู่กับตายายที่จังหวัดร้อยเอ็ด เพราะพ่อแม่ต้องเข้าไปขายแรงงานที่กรุงเทพฯ พ่อขับแท็กซี่ แม่ทำงานโรงงาน ผมรู้สึกว่าชีวิตช่วงนั้นขาดมาก ไม่มีใครเป็นที่ปรึกษา ตอนอยู่ประถม ผมขึ้นรถตู้ไปกรุงเทพฯ ทุกปิดเทอมเลย บางครั้งไปคนเดียว บางครั้งไปกับน้องสาว บนรถเป็นคนคุ้นเคยกัน หลายคนก็เข้าไปใช้แรงงานในเมือง ช่วงที่พ่อแม่ออกไปทำงาน ผมต้องอยู่แต่ในห้อง แต่อย่างน้อยเราก็ได้อยู่ด้วยกัน พอขึ้นมัธยม ผมเปลี่ยนไปอยู่โรงเรียนประจำอำเภอ เลยต้องย้ายไปอยู่บ้านป้า เพื่อเดินทางไปโรงเรียนพร้อมกับลูกของป้า
“ช่วงแรกผมสนุกกับการเรียนนะ แต่มันเยอะไปสำหรับเด็กวัยนั้น พอครูในห้องไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ตั้งคำถาม ผมเลยรู้สึกว่าไม่ค่อยสนุก ยังเข้าเรียนตามปกติ แต่เริ่มโดดเรียน ไม่ทำตามระเบียบ กลายเป็นเด็กที่อาจารย์เพ่งเล็ง พอวันสอบปลายภาค ม.3 ผมไปสอบตามปกติ อาจารย์บอกให้ไปตัดผม ผมเพิ่งตัดสกินเฮดได้ไม่นาน ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตัดอีก อาจารย์บอกว่าต้องขาวสามด้านถึงเข้าสอบได้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเข้มงวดขนาดนั้น เพราะที่ผ่านมาผมตัดสกินเฮดแล้วเข้าสอบได้ตลอด คำตอบของอาจารย์คือ ‘เป็นกฎใหม่’ ผมไม่เห็นด้วยกับกฎนั้น เลยบอกไปว่า ‘ไม่เป็นไร งั้นผมไม่เข้าสอบก็ได้’
“การไม่ได้สอบครั้งนั้นทำให้ผมไม่จบ ม.3 เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมต้องมาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ผมทำงานโรงงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ แล้วเรียน กศน. ในวันอาทิตย์ แม้ต้องเรียนวิชาตามที่กำหนดไว้ แต่เรามีสิทธิเลือกว่าจะเรียนอะไรบ้าง พอชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในโรงงาน ช่วงนั้นผมเลยไม่มีเพื่อน คนวัยเดียวกันเป็นคนพม่า คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ผ่านไป 2 ปีก็ได้วุฒิ ม.3 ผมเอาวุฒิไปสมัครเรียน ม.รามคำแหง ในระบบพรีดีกรี ช่วงนั้นเลยเริ่มมีเพื่อนมหาวิทยาลัยบ้าง หลังจากนั้นเรียน กศน. อีก 2 ปีก็ได้วุฒิ ม.6
“ตอนนั้นผมทำงานโรงงานได้ปีเดียว แล้วลาออกไปเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารริมฟุตบาท งานเสิร์ฟเริ่มห้าโมงเย็น กว่าจะเลิกก็ตีสอง นอกจากค่าจ้างก็ได้ทิปด้วย ทำไปสักระยะ ผมเปลี่ยนไปทำงานร้านสะดวกซื้อ ตอนนั้นยังไม่ได้วุฒิ ม.3 เลย ผมเล่าให้ผู้จัดการฟังว่ากำลังเรียน กศน. ใกล้จะจบแล้ว ร้านนั้นเป็นแฟรนไชส์เลยรับผมเข้าทำงาน ตอนแรกคิดว่างานไม่หนักหรอก แค่คิดเงิน เติมของ ทำความสะอาด ทำงานในห้องแอร์ด้วย แต่ความเป็นจริงคืองานหนักมาก เราเหมือนเป็นกรรมกรในห้องแอร์เลย อยู่มาวันหนึ่งพ่อแม่ตัดสินใจกลับไปอยู่ร้อยเอ็ด ผมที่อายุ 17 เลยต้องอยู่คนเดียวในกรุงเทพฯ
“พอผมต้องอยู่คนเดียวเลยได้คุยกับตัวเองทุกวัน อยู่ๆ วันหนึ่งก็มีคำถามว่า เราเคยเรียนไม่จบ ม.3 พ่อแม่จะภูมิใจที่มีเราเป็นลูกไหม พอทำงานแล้วก็เรียนวนเวียนแบบนั้น เลยเกิดความรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมายเลย คิดๆๆ แล้วไม่อยากตื่นขึ้นมา คิดถึงการทำร้ายตัวเองด้วย ผมโพสต์บ่นลงเฟซบุ๊ก ปรากฏว่าน้องสาวเห็นแล้วไปเล่าให้แม่ฟัง แม่เลยโทรมาหา ตอนแรกผมไม่กล้ารับ แล้วสักพักถึงโทรกลับไป แม่ถามว่าเป็นอะไร ผมบอกไปว่า ‘เหนื่อย’ เขาบอกว่า ‘พักผ่อนนะ’ แล้วบอกประมาณว่า ‘อย่ามองชีวิตแค่วันนี้ แต่ให้มองว่าสิ่งที่ทำจะมีคุณค่าและมีความหมายในวันข้างหน้า’ ทำให้ผมได้สติกลับมา
“ผมเรียนปรัชญา (คณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาปรัชญา) ที่ ม.รามคำแหง ช่วงนั้นเปลี่ยนมาทำงานเป็นสตาฟงานอีเวนท์ เป็นงานที่เด็กรามมักทำกัน ขณะเดียวกัน ผมไปร่วมกิจกรรมค่ายอาสาเป็นระยะ เป็นช่วงเวลาที่เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย และทำกิจกรรมไปด้วย ผมชอบเรียนมากเลยนะ เป็นคนตั้งใจเรียน พยายามเข้าห้องเรียนให้มากที่สุด เป้าหมายในตอนนั้นคืออยากทำงานเพื่อสังคม เริ่มรู้จักคนทำงานสังคมและนักกิจกรรมบ้าง พอเรียนจบเลยไปสมัครเข้าร่วมโครงการอาสาสมัครนักสิทธิมนุษยชน ของ มอส. (มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม) ผมถ่ายภาพได้ หลังจากนั้นเลยได้มาช่วยงานทีมสื่อของ มอส. ด้วย
“ผมเริ่มทำงานประจำเป็นช่างภาพในเอเจนซี่ งานคือทำแบรนด์ดิ้งให้นักการเมืองคนหนึ่ง ตอนนั้นไม่ได้แค่ถ่ายรูป แต่ต้องเรียนรู้งานส่วนอื่นด้วย พอจบโปรเจ็คต์ ผมทำงานให้กับแบรนด์อื่นต่อ จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงในบริษัท ผมเลยลาออกมาทำงานเป็นไรเดอร์ ขับรถรับส่งอาหาร ทำอยู่ช่วงหนึ่งแล้วเกิดโควิด ผมย้ายกลับไปอยู่ที่ร้อยเอ็ดแล้วเปลี่ยนมาอยู่ขอนแก่น พอไม่รู้จะทำงานอะไร เลยไปเป็นคอลเซ็นเตอร์ขายโปรโทรศัพท์รายเดือน จนวันหนึ่งพี่ที่ทำงานเก่าโทรชวนมาทำแบรนด์ดิ้งให้ตำรวจคนหนึ่ง เลยกลับมาทำงานเอเจนซี่ ทำอยู่หลายปี แล้วถึงมาทำสื่อของตัวเองชื่อว่า ลาวเด้อ จนถึงปัจจุบัน
"หลังจากเรียนจบแล้วทำงานไปสักระยะ ผมเคยถามแม่ว่า 'ภูมิใจในตัวผมไหม' เพราะเรื่องเรียนไม่จบ ม.3 ยังเป็นปมในใจผมอยู่เสมอ แม่ไม่ได้ตอบตรงๆ ว่าภูมิใจไหม แต่ตอบกลับมาว่า 'ดีใจที่มีผมเป็นลูก' คำพูดของเขาทำให้ผมปลดล็อคสิ่งที่ติดค้างในใจนะ ส่วนเรื่องที่ผมรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ ดูแลตัวเองมาตั้งแต่ก่อนเรียนจบ ก็ช่วยยืนยันว่าตัวผมไม่ได้ทำให้แม่เดือดร้อน ไม่ว่าคนรอบข้างจะตั้งคำถามกับแม่ยังไงก็ตาม
“การต้องเข้ากรุงเทพฯ มาเรียน กศน. มาทำงาน และมาใช้ชีวิตคนเดียว ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร เพราะต้องตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง บางครั้งก็ตัดสินใจผิดพลาด แต่ประสบการณ์ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ผมในวันนี้เป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ต้องขอสู้สักตั้งก่อน ได้หรือไม่ได้ค่อยว่ากัน ผมเป็นคนชอบตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ ทำไมสายไฟถึงรุงรัง ทำไมพี่คนนั้นถึงต้องนั่งขอทาน ทำไมเพื่อนร่วมงานบางคนถึงเดินมาทำงาน ทำไมชีวิตลูกค้าบางคนถึงรวยเหลือ มีคนขับรถ มีคนติดตาม มีคนเตรียมอาหารให้ ทำไมชีวิตคนถึงต่างกันขนาดนั้น ผมในวันนี้เลยมองโลกในมุมกว้างขึ้น ไม่ตัดสินอะไรในทันที
“ความลำบากในอดีตทำให้ผมให้เกียรติคนตัวเล็กตัวน้อย ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้า หาบเร่แผงลอย คนขับวิน พนักงานปั๊ม คนที่ไม่มีชื่อเสียง ฯลฯ เพราะเราเคยมีชีวิตแบบพวกเขามาก่อน เคยลำบาก เคยผ่านช่วงเวลาที่ยาก ผมรู้ว่าชีวิตที่โดนเอาเปรียบเป็นยังไง รู้ว่าชีวิตที่ไม่มีสวัสดิการเป็นยังไง รู้ว่าชีวิตที่มีเงินติดตัวแค่ 20 บาทเป็นยังไง ชีวิตของผมในวันนั้นไม่ได้ต่างจากพวกเขาเลย เพราะชีวิตเคยเป็นแบบนั้น ผมเลยเข้าใจ
“ผมในวันนั้นยังเห็นโลกไม่มาก ไม่เข้าใจบางอย่าง และตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็น ผมในวันนี้เข้าใจบางเรื่องมากขึ้น ยังไม่เข้าใจบางอย่าง และยังตั้งคำถามเหมือนเดิม ขณะเดียวกัน ผมรู้แล้วว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไร และทำไปเพื่ออะไร ผมทำ ลาวเด้อ มาได้สองปีกว่าแล้ว คนข้างนอกมีมุมมองต่อคนอีสานแบบหนึ่ง แต่ไม่ได้มาเห็นมาเข้าใจจริงๆ ผมมองว่าอีสานคือความหลากหลาย ทั้งภาษา วิถีชีวิต ไปจนถึงความเชื่อ เลยอยากสื่อสารให้คนอื่นได้รู้จักอีสานมากยิ่งขึ้น”
ลาวเด้อ
[1/2]