RinLucky ติดตามข่าวสารในเพจ

วิเคราะห์กรณี ส.ส.รักชนก ศรีนอก ตั้งคำถามต่อปลัดแรงงาน กรณีงบประมาณสำนักงานประกันสังคม1. ภาพรวมของเหตุการณ์กรณี สำนักงาน...
19/02/2025

วิเคราะห์กรณี ส.ส.รักชนก ศรีนอก ตั้งคำถามต่อปลัดแรงงาน กรณีงบประมาณสำนักงานประกันสังคม

1. ภาพรวมของเหตุการณ์

กรณี สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับ การใช้งบประมาณที่ไม่โปร่งใส โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ
• ทริปดูงานต่างประเทศที่เจ้าหน้าที่บิน First Class
• การพิมพ์ปฏิทิน 55 ล้านบาท
• การตั้ง Call Center 100 ล้านบาท

ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการใช้เงินจากกองทุนประกันสังคมที่มาจากเงินสมทบของผู้ประกันตน ซึ่งควรนำไปใช้เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ประชาชน แทนที่จะถูกใช้ไปกับค่าใช้จ่ายที่ไม่มีความจำเป็น

2. ประเด็นหลักที่ถูกตั้งคำถาม

🛑 2.1 ใครอยู่เบื้องหลังการใช้งบประมาณนี้?
• ส.ส. รักชนก เรียกร้องให้ เปิดเผยรายชื่อผู้ร่วมทริปดูงาน ว่าใครเป็นผู้เดินทาง และใช้จ่ายงบประมาณอย่างไร
• ถามปลัดแรงงานโดยตรงว่า ได้ร่วมเดินทางด้วยหรือไม่ และได้นำองค์ความรู้อะไรกลับมาใช้จริงหรือไม่

🔍 2.2 งบประมาณที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ
• งบสำนักงานประกันสังคมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
• ปี 63: 4,000 ล้าน
• ปี 64: 5,281 ล้าน
• ปี 65: 5,332 ล้าน
• ปี 66: 6,614 ล้าน
• อัตราการเพิ่มขึ้นของงบสำนักงานสูงถึง 66% ใน 4 ปี เทียบกับงบประมาณประเทศที่เพิ่มขึ้นเพียง 5%

💰 2.3 งบถูกใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชนหรือไม่?
• คำถามสำคัญคือ เงินจำนวนนี้ถูกใช้ไปกับอะไร และ ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์จริงหรือไม่
• ข้อมูลพบว่ามี การจัดซื้อจัดจ้างแบบเฉพาะเจาะจง จำนวนมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
• บางโครงการถูกทำซ้ำทุกปี โดยไม่มีการตรวจสอบความคุ้มค่า

⚠ 2.4 ข้อเสนอให้ยกเลิกการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม
• มีข่าวว่ากระทรวงแรงงานเสนอให้ ยกเลิกระบบเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ทั้งในส่วนของผู้ประกันตนและนายจ้าง
• คำถามคือ หากไม่มีการเลือกตั้ง ใครจะเป็นคนคุมบอร์ด? และ จะเปิดโอกาสให้มีการบริหารงบประมาณโดยไม่มีการตรวจสอบมากขึ้นหรือไม่

3. ผลกระทบและข้อกังวล

🎯 3.1 ผลกระทบต่อผู้ประกันตน
• หากสำนักงานประกันสังคม ใช้เงินบริหารมากขึ้นโดยไม่มีประสิทธิภาพ เท่ากับว่าผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ลดลง
• เงินที่ควรถูกนำไปใช้พัฒนาสิทธิประโยชน์ เช่น การเพิ่มค่ารักษาพยาบาล เงินชราภาพ หรือเงินทดแทนกรณีว่างงาน กลับถูกนำไปใช้ในโครงการที่ไม่มีความชัดเจน

💡 3.2 ปัญหาด้านความโปร่งใสและธรรมาภิบาล
• การใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคมขาดความโปร่งใส และไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดให้ประชาชนตรวจสอบ
• ข้อเสนอให้ ยกเลิกการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม อาจทำให้เกิด ระบบการบริหารที่รวมศูนย์อำนาจ และขาดความรับผิดชอบต่อผู้ประกันตน

🌍 3.3 เปรียบเทียบกับต่างประเทศ
• ในหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์และเยอรมนี ระบบประกันสังคม มีความโปร่งใสสูง และให้ประชาชนสามารถ เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารกองทุน ได้
• ประเทศเหล่านี้ใช้ เทคโนโลยีเพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการใช้เงินได้แบบเรียลไทม์ ต่างจากไทยที่ยังมีระบบล้าหลัง

4. ตัวอย่างผลกระทบต่อประชาชน

📌 กรณีที่ 1: นายสมชาย (พนักงานเอกชน)
• นายสมชายจ่ายเงินสมทบประกันสังคมทุกเดือน
• เขาคาดหวังว่า เงินสมทบของเขาจะถูกใช้เพื่อเพิ่มสวัสดิการ เช่น การเพิ่มสิทธิรักษาพยาบาล หรือเงินบำนาญ
• แต่กลับพบว่า เงินถูกใช้ไปกับการพิมพ์ปฏิทิน และการเดินทางของเจ้าหน้าที่

📌 กรณีที่ 2: นางสมศรี (แรงงานรายวัน)
• นางสมศรีเป็นแรงงานรายวัน และ มีรายได้ต่ำ
• เมื่อล้มป่วย เธอต้องใช้ สิทธิประกันสังคมเพื่อรักษาพยาบาล แต่กลับพบว่า สิทธิประโยชน์ที่ได้รับไม่เพิ่มขึ้น แม้จะมีการเก็บเงินสมทบมากขึ้นทุกปี

5. ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา

✅ เปิดเผยข้อมูลงบประมาณ
• สำนักงานประกันสังคมต้อง เปิดเผยรายละเอียดงบประมาณทุกบาททุกสตางค์ ให้ประชาชนเข้าถึงได้
• ควรมี แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้ผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบการใช้จ่ายของสำนักงานได้

✅ ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารกองทุนประกันสังคม
• ควรมี การตรวจสอบจากภาคประชาชนและองค์กรอิสระ
• ระบบบอร์ดบริหารควรมีตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของผู้ประกันตน ไม่ใช่การแต่งตั้งโดยรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว

✅ ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตน
• ลดงบประมาณที่ใช้ใน ทริปดูงาน การพิมพ์ของที่ระลึก หรือโครงการที่ไม่จำเป็น
• นำเงินไปเพิ่ม ค่ารักษาพยาบาล เงินทดแทน และเงินบำนาญ ให้กับประชาชนแทน

✅ ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างให้โปร่งใส
• ต้องมี การตรวจสอบโครงการที่จัดซื้อแบบเฉพาะเจาะจง ว่ามีการเอื้อผลประโยชน์หรือไม่
• เพิ่มความโปร่งใสในการ ประมูลโครงการใหญ่ๆ ของสำนักงาน

6. สรุป

กรณี สำนักงานประกันสังคมใช้งบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ถือเป็น ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ส่งผลกระทบต่อ ผู้ประกันตนกว่า 20 ล้านคน

🚨 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง:
• การใช้เงินสมทบของผู้ประกันตน อย่างไม่โปร่งใส
• งบสำนักงานเพิ่มขึ้นผิดปกติ แต่ผู้ประกันตนไม่ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น
• ข้อเสนอให้ยกเลิกการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม อาจทำให้การบริหารไม่มีความรับผิดชอบต่อประชาชน

📌 หากไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างและเพิ่มความโปร่งใส ผู้ประกันตนอาจได้รับผลกระทบมากขึ้นในอนาคต ทั้งในแง่ของ สิทธิประโยชน์ที่ลดลง และการบริหารที่ไม่เป็นธรรม 🚨

---🔍✨ ไอเท็มเด็ดจากลุงสัก! ของดี ของจริง คัดมาเองกับมือ 🛠️🔥อยากได้ของกินเล่น ขนมสายสุขภาพ หรือสกินแคร์? จัด.....

เรื่องราวสุดสะเทือนใจของ "ผิง ชญาดา" นักร้องสาวเสียงใสวัย 20 ปี ที่เริ่มต้นด้วยการไปนวดเพื่อบรรเทาอาการปวดหลังและคอ แต่ก...
11/12/2024

เรื่องราวสุดสะเทือนใจของ "ผิง ชญาดา" นักร้องสาวเสียงใสวัย 20 ปี ที่เริ่มต้นด้วยการไปนวดเพื่อบรรเทาอาการปวดหลังและคอ แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม หลังจากการนวดหลายครั้งส่งผลให้อาการของเธอทรุดหนัก ทั้งกระดูกคอเคลื่อนทับเส้นประสาท อาการชา และกล้ามเนื้ออ่อนแรง จนท้ายที่สุดเธอต้องเข้ารักษาตัวใน ICU ก่อนจะเสียชีวิต ท่ามกลางการถกเถียงเรื่องมาตรฐานการนวดไทยและความรับผิดชอบของร้านนวด เหตุการณ์นี้กลายเป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับคนที่ชอบการนวด พร้อมกับคำเตือนถึงความสำคัญของการเลือกสถานที่และผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณภาพ

เรื่องราวสุดสะเทือนใจของ "ผิง ชญาดา" นักร้องสาวเสียงใสวัย 20 ปี ที่เริ่มต้นด้วยการไปนวดเพื่อบรรเทาอาการปวด.....

16/07/2024

อยากเติบโตต้องทำงานเกินหน้าที่? เมื่อ ‘ทำงานหนัก’ ไม่ใช่หนทางสู่ความสำเร็จ
“เมื่อทำงานหนักและยาวนานขึ้น เราจะไม่สามารถทำงานอย่างชาญฉลาดได้”
นี่คือคำกล่าวของ ‘Arianna Huffington’ ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว ‘Huffington Post’ ที่แม้ก่อนหน้านี้เธอจะต้องใช้ความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะกลายเป็นนักเขียนและนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ แต่เธอกลับไม่เชื่อว่า “การทำงานหนักจะทำให้ก้าวหน้าเร็วกว่าคนอื่นๆ”
ในช่วงที่ผ่านมาวัฒนธรรม ‘การทำงานหนัก’ หรือ ‘Overworking’ ได้รับความนิยม โดยมี ‘โซเชียลมีเดีย’ เป็นตัวเร่งปฏิกริยาผ่าน ‘การยกย่อง’ ผู้คนที่ทำงานหนัก แล้วประสบความสำเร็จ
การยกย่องคนทำงานหนักแล้วประสบความสำเร็จกลายเป็น ‘มาตรวัด’
จนหลายคนอดไม่ได้ที่จะนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ
เมื่อคนทำงานรุ่นราวคราวเดียวกันนำไปไกลแล้ว นั่นหมายความว่า “เรากำลังขี้เกียจและทำงานน้อยกว่าพวกเขาหรือไม่” หากต้องการเติบโตต้องทำมากกว่าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายหรือเปล่า?
หากคุณเป็นอีกคนที่กำลังคิดแบบนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพหลายคนอาจมองต่างออกไปพวกเขาบอกว่า ‘ขั้วตรงข้าม’ กับความสำเร็จไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นการ ‘ทำงานหนัก’ ต่างหาก
[ ความสำเร็จมาจากความสมดุล ไม่ใช่ความเหนื่อยหน่าย ]
หลังการแพร่ระบาดโควิด-19 ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกการทำงานอย่าง The Great Resignation, Quiet Quitting, Quiet Hiring ฯลฯ ล้วนเป็นภาพสะท้อนผลกระทบจากค่านิยมการทำงานหนักที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลัง
รายงานจาก ‘Fast Company’ ระบุว่า หลังจากปี 2022 เป็นต้นมา การทำงานหนักอย่างไม่หยุดหย่อนมีแนวโน้ม ‘ถูกต่อต้าน’ จากกลุ่มคนทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้สภาพสังคมการทำงานจะบีบให้การทำงานหนักกลายเป็นฟันเฟืองของความสำเร็จ ‘Work-life Integration’ และ ‘Work-life Harmony’ ถูกพูดถึงในสังคมมากขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้นก็พบว่า การผสานชีวิตและงานเข้าด้วยกันไม่ใช่เส้นทางสู่ความสำเร็จ รังแต่จะทำให้ ‘สมดุลชีวิต’ น้อยลงทุกวัน
‘Rita Kamel’ นักยุทธศาสตร์ด้านอาชีพ อธิบายว่า สิ่งที่ทำให้การทำงานหนักเกินไปกลายเป็นปรากฏการณ์แห่งยุค เพราะค่านิยมดังกล่าวถูกให้คุณค่าว่า ‘เป็นหนทางเดียว’ ที่จะทำให้คนทำงานได้รับการยอมรับ ได้รับการยกย่องจากคนรอบข้าง จนการทำงานหนักเกินไปถูกทำให้เป็นมาตรฐานการทำงานปกติ
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว “ความสำเร็จต้องมีรากฐานจากความสมดุล”
ทุกคนควรตระหนักว่า หน้าที่การงานไม่ใช่อัตลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา “ความยั่งยืนที่แท้จริงคือการหาสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว” ทำให้ชีวิตของคุณมีความสุข อย่าให้เส้นแบ่งตรงนั้นพร่าเลือนจนต้องเผชิญกับความเหนื่อยไม่รู้จบ
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังมองว่า การทำงานหนักเกินไปเป็น ‘อุปสรรคโดยตรง’ ต่อการใช้ศักยภาพและความสามารถในการทำงานอย่างเต็มที่
การทำงานหนักเกินไปจะนำไปสู่ความล้มเหลวและความรู้สึกแปลกแยกจากตนเองในที่สุด
‘James Surowiecki’ ผู้เขียนบทความจาก ‘The New Yorker’ บอกว่า การให้คุณค่ากับคนทำงานด้วยระดับ ‘High performance’ ถูกทำให้กลายเป็นค่านิยมที่คนทำงาน ‘ต้องมี’ และ ‘ต้องเป็น’ ตลอด 24 ชั่วโมงมานานแล้ว
‘การทำงานหนัก’ กลายเป็น ‘สัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรือง’
แม้ว่าในมุมหนึ่งจะมีคนทำงานบางส่วนยินยอมพร้อมใจทุ่มสุดตัวให้กับการทำงาน แต่หากพิจารณาดูดีๆ จะพบว่า ความทุ่มเทที่เกิดขึ้นมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมการทำงานบางอย่างที่สวมครอบวิธีคิดอีกชั้นหนึ่ง
คือ “หากไม่ทำงานอย่างหนักคุณก็จะไม่โดดเด่น ไม่ได้เลื่อนขั้น ไม่ได้ปรับตำแหน่งเร็วกว่าคนอื่นๆ”
แม้นัยหนึ่งจะเป็นความทะเยอทะยานส่วนบุคคล แต่เมื่อองค์กรมี ‘รีแอคชัน’ กับความบ้างานส่วนบุคคลด้วยการให้รางวัลตอบแทนแบบ ‘พิเศษใส่ไข่’
นั่นก็หมายความว่า องค์กรเองก็มีส่วนสนับสนุน-ส่งเสริมให้เกิดคุณค่าในลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน กลายเป็น ‘Role model’ ที่คนทำงานเข้าใจร่วมกันว่า ต้องทำงานหนักจึงจะได้มาซึ่งความสำเร็จเช่นนี้
[ ล้มเหลวอะไร ไม่เลวร้ายเท่าล้มเหลวทางร่างกาย-จิตใจ ]
หากทุกความสำเร็จถูกกลั่นกรองออกมาจากร่างและจิตใจที่เต็มไปด้วยความเครียดสะสมต่อเนื่อง นั่นแปลว่า คุณกำลังแบกรับความเสี่ยงกับสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้
ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติของการนอนหลับ อาการซึมเศร้า หรือเลวร้ายที่สุดคืออาการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในร่างกายอย่างหัวใจและสมอง
มีผลการศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่า ความเหนื่อยต่อเนื่องสะสมอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพหลายประการ อาทิ อาการซึมเศร้า ความเหงา โรคพิษสุราเรื้อรัง ความจำบกพร่อง หรือโรคหัวใจ
พูดกันตามตรงแล้วอาการที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบทั้งสองทาง คือ ต่อตัวคนทำงาน และสำหรับองค์กรที่ต้องสูญเสียคนทำงานไปกะทันหัน
สำหรับบางองค์กรที่ชูวัฒนธรรม ‘Work-life Harmony’ อย่าง ‘Amazon’ ที่เชื่อว่า ต้องผสานงานกับชีวิตเข้าด้วยกัน การมองงานและชีวิตส่วนตัวแยกขาดจากกันต่างหากที่ทำให้ชีวิตไร้สมดุล และจะยิ่งก่อให้เกิดความเครียดสะสมมากกว่าเดิม
สำนักข่าว ‘The New York Times’ เคยสำรวจความคิดเห็นพนักงานในองค์กรดังกล่าวและพบว่า คนทำงานส่วนใหญ่รู้สึกเอ็นจอยและดื่มด่ำไปกับความตื่นเต้นท้าทายกับงานที่ได้รับมอบหมาย พวกเขาเต็มใจที่จะทำงานหนักหากเป็นงานที่ตนเองชอบ แต่นั่นต้องเกิดจากความสมัครใจไม่ใช่ ‘การบังคับ’
และหากพนักงานเริ่มโหมงานอย่างหนักแม้จะเป็นสิ่งที่พวกเขาเต็มใจและชื่นชอบก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นเรื่องดีควรค่าแก่การสนับสนุน ‘ความพอดี’ และ ‘จุดกึ่งกลาง’ ยังเป็นสิ่งสำคัญ
ทุกความสำเร็จที่เกิดขึ้นจะไม่มีความหมายเลยหากท้ายที่สุดผลลัพธ์ คือ ‘ความเป็นอยู่’ โดยรวมของคนทำงานคุณภาพลดลงเหลือ แต่เม็ดเงินผลกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังตกอยู่ในสภาวะทำงานอย่างหนัก เพราะถูกค่านิยมและวัฒนธรรมการทำงานบีบบังคับ อาจถึงเวลาแล้วที่ต้องลองเปลี่ยนวงจรชีวิต และทำให้ตนเองมีสมดุลในการใช้ชีวิตอีกครั้ง

https://www.facebook.com/share/p/hwNjBqovjK8fhShM/?mibextid=WC7FNe
19/06/2024

https://www.facebook.com/share/p/hwNjBqovjK8fhShM/?mibextid=WC7FNe

# # ไฮโซปิง: จากเบื้องหลังสู่ดาว TikTok ผ่านคอนเทนต์ดราม่าที่ทำให้ใครหลายคนพูดถึง ⭐️🎬

"ไฮโซปิง" หรือ อัลวา ริตศิลา ดาว TikTok ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการโซเชียลมีเดีย ด้วยคอนเทนต์ที่มักสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ จนกลายเป็นที่รู้จักในฐานะครีเอเตอร์ที่กล้าทำเรื่องที่คนอื่นไม่กล้าทำ

อัลวา ริตศิลา หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ไฮโซปิง" เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2529 ปัจจุบันอายุ 37 ปี เขาเคยศึกษาที่คณะเทคโนโลยีการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ไม่สามารถสำเร็จการศึกษาได้ อย่างไรก็ตาม เขาได้ใช้ความสามารถและความชอบในด้านสื่อและการผลิตคอนเทนต์ในการทำงานตำแหน่งลำดับภาพข่าวกีฬา นอกจากนี้ ยังมีผลงานเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ เรื่อง "บางกอก...สยอง" (Bangkok Dark Tales) ตอน "ผีโรง 5" ซึ่งฉายเมื่อปี 2562

ไฮโซปิงเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากการสร้างคอนเทนต์บน TikTok ที่มักจะเป็นในสไตล์แปลก ๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจและลองใจคน โดยหนึ่งในคอนเทนต์ที่ทำให้เขาตกเป็นข่าวมากที่สุดคือ การถอดเสื้อเดินห้าง แกล้งทานอาหารมูมมามใส่คนไม่รู้จัก หรือแม้กระทั่งการนอนแผ่ร้องแอ๊ หรือ Adult Baby กลางที่สาธารณะ ทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสร้างความไม่สบายใจให้กับชาวเน็ตและผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์นั้น ๆ

ในการวิเคราะห์โดยฮอยรังสตูดิโอ (Hroyrang Studio) พบว่า กลยุทธ์ที่ไฮโซปิงใช้ในการสร้างคอนเทนต์เพื่อดึงดูดความสนใจคือการทำหรือพูดบางอย่างที่ขัดแย้งกับความเป็นจริง หรือทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ผู้ชม เพื่อกระตุ้นให้เข้ามาแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งทำให้คอนเทนต์ของเขามียอดวิวและการมีส่วนร่วมสูงขึ้น แม้จะถูกมองว่าเป็นคอนเทนต์ขยะ แต่การมีผู้ติดตามกว่า 1.4 ล้านบัญชีและยอดวิวคลิปบางคลิปเกิน 10 ล้าน ทำให้เห็นว่าเขาสามารถสร้างรายได้จากยอดวิวและโฆษณาได้อย่างมากมาย

แม้ว่าคอนเทนต์ของไฮโซปิงจะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่เขาก็สามารถใช้กระแสดราม่าเหล่านั้นในการสร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับตัวเองได้อย่างชาญฉลาด เทคนิคการปั่นดราม่าของเขาทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและการพูดถึงอย่างกว้างขวาง ซึ่งทำให้เขาเป็นหนึ่งในครีเอเตอร์ที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในไทย

หากคุณต้องการรู้จักและเข้าใจกลยุทธ์ของไฮโซปิงมากขึ้น สามารถดูคลิปวิเคราะห์จากฮอยรังสตูดิโอได้ที่ [YouTube](https://youtu.be/4a68BWWpZJQ?si=bzmVfBHL0XWCssmX&t=1)

19/04/2024

"ระบบวิปริต" ในการเมืองและการบริหารประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือ การที่กลุ่มธุรกิจครอบครัวที่มีอิทธิพลและความเกี่ยวพันทาง #การเมือง สามารถใช้อำนาจและบารมีของตนครอบงำการตัดสินใจและกระบวนการบริหารของรัฐ อย่างไม่โปร่งใสและตรวจสอบได้

ระบบนี้ส่งผลให้เกิดการใช้อำนาจที่ขาดความเป็นธรรม และไม่ตอบสนองต่อประโยชน์ส่วนรวม เช่น กลุ่ม #ธุรกิจ ขนาดใหญ่ได้รับสิทธิพิเศษทางการค้า ในขณะที่กลุ่มผู้ด้อยโอกาสไม่ได้รับการคุ้มครอง

ท้ายที่สุด หาก #รัฐบาล และผู้นำทางการเมืองไม่สามารถแก้ไขประเด็นนี้ให้เกิดความโปร่งใสและธรรมาภิบาล ก็จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและระบบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมโดยรวม
#สลัดเน่า #ข่าวtiktok #ฮอยรังสตูดิโอ

https://youtu.be/D3_3_tbbG4A?si=tktHqfJOwHnXGcT1
12/03/2024

https://youtu.be/D3_3_tbbG4A?si=tktHqfJOwHnXGcT1

#ฮอยรัง #สลัดเน่า #ความเท่าเทียม #แรงงานช่วยกด👍 Like & Share และ Subscribe เพื่อเป็นกำลังใจให้กับ Hroyrang Studioติดตามพวกเราได้....

https://youtu.be/vWYEfMs3SPU?si=8lpbjvyz_Q6JF6oP
11/03/2024

https://youtu.be/vWYEfMs3SPU?si=8lpbjvyz_Q6JF6oP

#ฮอยรัง #สลัดเน่า #ไลฟ์โค้ช #ความคิดบวกในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและความท้าทายต่างๆ การมีคน...

https://youtu.be/YH9hCqkHXVE?si=2FD60ZIb-qSqgqMN
14/02/2024

https://youtu.be/YH9hCqkHXVE?si=2FD60ZIb-qSqgqMN

#ฮอยรัง #สลัดเน่า #ลิงลพบุรี #นายกลิงช่วยกด👍 Like & Share และ Subscribe เพื่อเป็นกำลังใจให้กับ Hroyrang Studioติดตามพวกเราได้ที่h...

ที่อยู่

สุราษฎร์ธานี

เบอร์โทรศัพท์

+66815975004

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ RinLuckyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง RinLucky:

แชร์