Kenzo Kimura We optimise your REACH performance

โพสต์ “I'm Baby Potato” จากแบรนด์ Potato Corner เป็นตัวอย่างของ “แคมเปญการตลาดที่เอาชนะยอดขายด้วย ‘ความรู้สึก’” ได้อย่าง...
13/07/2025

โพสต์ “I'm Baby Potato” จากแบรนด์ Potato Corner เป็นตัวอย่างของ “แคมเปญการตลาดที่เอาชนะยอดขายด้วย ‘ความรู้สึก’” ได้อย่างแท้จริง และการที่ “คนล้นห้าง” ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย

---
🧠 วิเคราะห์: ทำไมตุ๊กตา “มันฝรั่งน้อย” ถึงระเบิดไวรัล?

✅ 1. ไม่ขายของ...แต่ขาย “ตัวตนของมัน”

> "พวกปั้มคือมันฝรั่งไซซ์เบบี้ ที่ถูกรดน้ำ พรวนดิน..."
→ บรรยายแบบเล่านิทาน ทำให้ของธรรมดา (ตุ๊กตา) มีชีวิตจิตใจ

📌 นี่ไม่ใช่ของแถม — นี่คือ “ตัวละคร”

---
2. ใช้ Emotional Appeal สไตล์ญี่ปุ่น

> ความ “น่ารัก อ่อนโยน ขี้เล่น” ในภาพและข้อความ
→ กระตุ้นสัญชาตญาณอยากดูแล อยากเก็บ อยากพากลับบ้าน
→ คล้ายกลยุทธ์ของ San-X, Sanrio, หรือ Pokémon

---

✅ 3. "ของไม่ใหญ่ แต่ใจคนเต็ม"

> ของแถมตุ๊กตาเล็ก ๆ ราคาต้นทุนอาจแค่ไม่กี่สิบ
แต่ความรู้สึกที่ลูกค้าได้รับ = “เราจะได้เพื่อนกลับบ้าน”

→ จิตวิทยาแบบนี้คือ Rare Marketing ที่หลายแบรนด์ตามไม่ทัน

---

🎯 ปรากฏการณ์ “คนล้นห้าง” เกิดจากอะไร?

ปัจจัย อธิบาย

📍 Scarcity (ของมีจำกัด) ทำให้คนรู้สึก “ต้องรีบ” ก่อนจะพลาด
👥 Social Proof คนแห่แชร์รูป Baby Potato บนโซเชียล → เกิด FOMO
🎁 Gifting culture คนอยากซื้อไปให้แฟน ให้เพื่อน ให้ลูก = ขยายฐาน
🤎 ความสัมพันธ์ คนรู้สึกว่า “ไม่ได้ซื้อของเล่น แต่ซื้อความรัก”

---

💡 บทเรียนการตลาดจาก Baby Potato

1. Brand ที่สร้าง “โลกของตัวเอง” = แข็งแรงกว่าแค่ขายสินค้า

2. ไม่ต้องใช้ดารา แต่ใช้คาแรกเตอร์ให้เก่ง

3. ความน่ารักชนะเหตุผลเสมอในใจมนุษย์

---
✨ ถ้าคุณคือ SME หรือแบรนด์อื่น
> อย่าแค่ขายสินค้าชิ้นหนึ่ง
ให้สร้าง "สิ่งที่อยากให้คนพากลับบ้าน"

เพราะคนไม่ได้ซื้อด้วยเงินอย่างเดียว
แต่ซื้อด้วย “ความรู้สึกที่อยากเล่าให้ใครฟัง”

---


#การตลาดตุ๊กตา

#ของแถมที่ชนะใจคนทั้งห้าง

🧠แบรนด์โพสต์ว่า“พี่เฟิร์น ทำไงดี ลูกค้ามากินสุกี้ตี๋น้อย พกน้ำจิ้มมาเอง… น้ำจิ้มพันท้าย น้ำจิ้มก้อน/MK…”แทนที่จะโกรธหรือ...
29/06/2025

🧠แบรนด์โพสต์ว่า

“พี่เฟิร์น ทำไงดี ลูกค้ามากินสุกี้ตี๋น้อย พกน้ำจิ้มมาเอง… น้ำจิ้มพันท้าย น้ำจิ้มก้อน/MK…”

แทนที่จะโกรธหรือออกกฎห้าม
เขา “ยอมรับมันด้วยอารมณ์ขัน” และเขียนว่า

“ขอให้ลูกค้าพกมาได้นะครับ พี่เฟิร์น OK 4 วันค่ะ”

🎯 แล้วนี่คืออะไรในเชิงการตลาด?

✅ 1. จริงใจแบบมีมารยาท

ไม่ปฏิเสธความจริงว่าลูกค้าบางคน ไม่อินกับน้ำจิ้มของร้าน

แต่แบรนด์เลือก “เปิดพื้นที่ให้” แบบมีอารมณ์ขัน แทนที่จะสั่งห้ามหรืออ้างมาตรฐาน

→ ผลคือได้ใจคนไปเต็ม ๆ

💡 2. ความผิดพลาด (หรือจุดด้อย) กลายเป็นไวรัล

ในเมื่อ “น้ำจิ้มไม่อร่อย” ถูกพูดถึงอยู่แล้วในโลกโซเชียล
สุกี้ตี๋น้อยก็เลือก หยิบมาเล่นก่อนคนอื่นจะเอาไปจิก

นี่คือ “การแปลงจุดอ่อนเป็นโอกาส” ที่แบรนด์เก่ง ๆ ทำได้เท่านั้น

🔍 3. จริงใจ → เกิดความภักดี

เพราะโพสต์นี้ไม่ได้พยายามขายของ
แต่พยายามเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าแบบไม่ตัดสิน

→ มันทำให้คนรู้สึกว่า "นี่คือร้านที่ฟังเรา ไม่หยิ่ง ไม่ดราม่า"

✨ บทเรียนสำหรับทุกแบรนด์:

บางทีโอกาส ไม่ได้อยู่ในของที่ขายดี
แต่ซ่อนอยู่ใน “สิ่งที่ลูกค้าบ่นซ้ำ ๆ” นั่นแหละ
ใครเห็นก่อน = โดดเด่นก่อน
ใครกล้ายอมรับก่อน = ได้ใจไปเต็ม ๆ

💬 สรุป:

สุกี้ตี๋น้อยไม่ได้ขายน้ำจิ้ม
แต่เขาขาย “บรรยากาศของการยอมรับความหลากหลาย”
ซึ่งลูกค้ารู้สึกได้… และแชร์ต่ออย่างเต็มใจ

#การตลาดแบบจริงใจ
#สุกี้ตี๋น้อย #น้ำจิ้มใครก็รักได้

ชาไทยไม่มีสี ! รักสุขภาพ vs การตลาด?> ไม่จำเป็นต้องเลือกข้างเพราะในยุคนี้ “ของที่ดีต่อสุขภาพ” ก็ควรจะ “ขายได้” ด้วยและ “...
20/06/2025

ชาไทยไม่มีสี ! รักสุขภาพ vs การตลาด?
> ไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง
เพราะในยุคนี้ “ของที่ดีต่อสุขภาพ” ก็ควรจะ “ขายได้” ด้วย
และ “การตลาดที่จริงใจ” คือการเปิดทางเลือกโดยไม่หลอกลูกค้า

---

📣 แล้วผู้บริโภคล่ะ

เรากำลังอยู่ในยุคที่ “ผู้บริโภคฉลาดขึ้น”
ดังนั้น แบรนด์ไหนที่ “รักสุขภาพแต่รสชาติห่วย” → ไม่รอด
แบรนด์ไหน “พูดคลีนแต่ไม่จริงใจ” → ก็โดนจับโป๊ะเร็ว

แต่แบรนด์ที่ “พัฒนาให้ดีจริง” + “สื่อสารแบบโปร่งใส” → จะได้ใจในระยะยาว

---

💬 แล้วคุณล่ะ คิดว่ายังไง?

ชาไม่มีสีผสมอาหารของชาตรามือ...
คือสัญญาณของยุคสุขภาพจริง
หรือแค่การตลาดที่รู้ว่า… “ต้องรีบปรับก่อนจะตกขบวน”

#ชาตรามือ #ชาไทยไม่มีสี #สุขภาพหรือการตลาด

🌴 สดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว... น้ำมะพร้าวท็อปไข่ผำ จาก Oh! Juice> ไม่ใช่ทุกวันที่คุณจะได้กิน “ไข่ผำ” สด ๆ บนก้อนน้ำแข็งใสไม่...
12/06/2025

🌴 สดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว... น้ำมะพร้าวท็อปไข่ผำ จาก Oh! Juice

> ไม่ใช่ทุกวันที่คุณจะได้กิน “ไข่ผำ” สด ๆ บนก้อนน้ำแข็งใส
ไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่จะ “ใส่ใจคุณภาพ” แบบถึงรากถึงไร่
และไม่ใช่ทุกเมนูจะขายดีทั้งที่ยังไม่โปรโมตแบบนี้…
Oh! Juice เปิดตัวเมนูใหม่
💙 น้ำมะพร้าวน้ำหอมแท้ ท็อปด้วย “ไข่ผำออร์แกนิก”
จากฟาร์มระบบปิดของ “โอ้กะจู๋” ที่การันตีความสะอาด สด ปลอดสาร 100%

เมนูนี้ไม่ได้มีดีแค่ถ่ายรูปสวย แต่คือการรวมพลังของ “ธรรมชาติ + วิทยาศาสตร์ + ดีไซน์”
ให้คุณได้ดื่มเครื่องดื่มที่ สดชื่น ละมุน และดีต่อร่างกายจริง ๆ

🥥 น้ำมะพร้าวให้โพแทสเซียมสูง
🌿 ไข่ผำคือซูเปอร์ฟู้ดโปรตีนสูงที่ย่อยง่าย
🥶 เสิร์ฟเย็นจัด เคี้ยวเพลิน กลืนแล้วรู้สึกดี

---

แล้วทำไมต้องลอง?

เพราะยอดขาย Oh! Juice ทุกสาขาตอนนี้อยู่ที่ 500 แก้ว/วัน

เพราะแค่เมนูเดียวของชมพู่ ยังขายได้ถึง 40,000 แก้วในเดือนเดียว

และเพราะแบรนด์นี้ไม่เคยหยุด…พัฒนาทุกสูตรเองจากศูนย์ เพื่อให้คุณ “รู้สึกดีตั้งแต่คำแรก”

---

📍ตอนนี้เริ่มวางขายแล้วทุกสาขา (17 สาขาทั่วประเทศ)
📸 ถ่ายรูปยังไงก็สวย แชร์ยังไงก็เก๋ ดื่มยังไงก็รู้สึก “สะอาดในใจ”

---

แล้วคุณล่ะ...กล้าลองไหม?
“ไข่ผำ” อาหารแห่งอนาคตที่เคี้ยวแล้วละมุนกว่าที่คิด
ถ้าลองแล้วชอบ อย่าลืมแท็กเพื่อนที่อยากให้สุขภาพดีไปด้วยกันนะ 🫶

#น้ำมะพร้าวไข่ผำ #สดชื่นแบบยั่งยืน
#ไข่ผำคือซูเปอร์ฟู้ด #สายสุขภาพต้องลอง

ซะงั้น..
12/06/2025

ซะงั้น..

🟥 มาลุ้นกับ MK กันต่อ กับการตัดสินใจ “ขายบุฟเฟ่ต์” เพื่อแข่งกับสุกี้ตี๋น้อย

“ตกลงมันคือกับดักที่ MK ไม่ควรก้าวเข้าไปรึป่าว”

เมื่อแบรนด์พรีเมียมตัดสินใจลงไปเล่นเกมสงครามราคาที่ไม่ใช่ถิ่นตัวเอง…ผลลัพธ์จะสวยงามจริงมั้ย หรือนี่คือการทดสอบตลาดของ MK เท่านั้น?!



ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน MK คือราชาแห่งสุกี้ในไทย ด้วยภาพลักษณ์ของความสะอาด ครอบครัว และคุณภาพที่เชื่อถือได้
แต่แล้ววันหนึ่ง “สุกี้ตี๋น้อย” ก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมจุดขายที่ MK ไม่เคยแตะมาก่อน:
✅ สุกี้บุฟเฟ่ต์ไม่จำกัดในราคาไม่ถึง 300 บาท
✅ เปิดถึงตี 5
✅ กลุ่มเป้าหมายชัดเจน: วัยรุ่น, นักศึกษา, คนทำงานกลางคืน

MK มองเห็นยอดขายที่หายไป และตัดสินใจ “ลงไปแข่ง” ด้วยการเปิดโมเดล MK Live / MK Gold Buffet
แต่ผลลัพธ์ตอนนี้สรุปจรกนักวิเคราะห์หลากหลาย คือ…

❌ ฐานลูกค้าเดิมสับสน
ลูกค้า MK ที่ยอมจ่ายแพงเพื่อคุณภาพ กลับเริ่มสงสัยว่า
“แล้วบุฟเฟ่ต์ราคาถูกที่ MK เสิร์ฟอยู่ มันใช้วัตถุดิบเดียวกันกับที่ฉันเคยจ่ายแพงรึเปล่า?”

❌ ภาพลักษณ์เสียหาย
จากแบรนด์ที่เคยอยู่ในใจพ่อแม่ พาลูกมากินตอนวันเกิด
กลายเป็นแบรนด์ที่เริ่ม “เลียนแบบ” เพื่อเอาตัวรอด
ไม่ใช่ผู้นำที่มีความชัดเจน

❌ เล่นเกมที่ไม่ถนัด
ต้นทุนของ MK สูงกว่า เพราะระบบหลังบ้าน วัตถุดิบ และโมเดลธุรกิจเดิมไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการแข่งเรื่อง “จำนวนจาน”
การลงไปแข่งบุฟเฟ่ต์คือการไปอยู่ในสนามที่ “ตี๋น้อย” แข็งแกร่งกว่าโดยธรรมชาติ



📌 บทเรียนสำหรับเจ้าของธุรกิจ:
อย่าเพิ่งกระโดดลงไปเล่นเกมของคู่แข่ง ถ้าเราไม่ได้ถนัดแบบเขา
และที่สำคัญ…อย่าเปลี่ยน Positioning ตัวเองเพียงเพราะ “ยอดขายเริ่มตก”
เพราะสิ่งที่ควรทำอาจไม่ใช่การ “ลดราคา” แต่เป็นการ “รีเฟรชคุณค่าที่แท้จริง” ของแบรนด์ให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้ม



📍 ถ้าคุณคือผู้บริหาร MK คุณจะใช้เงินที่ลงกับบุฟเฟ่ต์ ไปลงทุนอะไรดีกว่า?? ...

#กลยุทธ์ธุรกิจ ี๋น้อย #บทเรียนธุรกิจ

🍜 “ไวไว x มาม่า” จับมือเขย่าตลาดบะหมี่ 20,000 ล้าน แล้วใครจะสะเทือนบ้าง ในวันที่ทุกแบรนด์สู้กันแทบตายเพื่อแย่งความสนใจ 2...
11/06/2025

🍜 “ไวไว x มาม่า” จับมือเขย่าตลาดบะหมี่ 20,000 ล้าน แล้วใครจะสะเทือนบ้าง
ในวันที่ทุกแบรนด์สู้กันแทบตายเพื่อแย่งความสนใจ 2 แบรนด์ยักษ์อย่าง “ไวไว” และ “มาม่า” กลับเลือก “แวะกินยี่ห้ออื่นบ้างนะงับ”
ใช่ครับ... มาม่าโพสต์โปรไฟล์เป็น “ไวไว”
และกลายเป็นไวรัลทันที เพราะทุกคนงงไปหมด
จน “ไวไว” ออกมาเสริมว่า “ว้าวกว่านี้ ก็ต้อง 12 มิ.ย. 68”
และแล้ววันนั้นก็มาถึง...
เผยโฉม “ไวไว WOW” และ “มาม่า OK”
ที่ชวนให้ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต้องตั้งคำถามว่า...
เขาจับมือกันจริง หรือแค่เล่นใหญ่เพื่อไวรัล?

---

🔍 มองให้ลึก…นี่ไม่ใช่แค่เรื่องสนุก แต่คือ “เกมธุรกิจระดับชาติ”

ตลาดบะหมี่ไทย มีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท

3 เจ้าใหญ่กินส่วนแบ่งรวมกันเกิน 86%

“มาม่า” ครอง 47.6%, “ไวไว” 23.7%, “ยำยำ” 15.4%

แปลว่าแค่ไวไวกับมาม่า ก็ถือส่วนแบ่งรวมกันถึง กว่า 70% การขยับตัวพร้อมกัน = เขย่าทั้งตลาด

ในยุคที่ต้นทุนวัตถุดิบสูง กำลังซื้อหด
การออกสินค้าใหม่ = ทางรอด + โอกาสเพิ่มมูลค่าต่อซอง
ยิ่งถ้าแพ็กเกจพรีเมียม รสชาติใหม่ จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ → กำไรต่อชิ้นสูงกว่าบะหมี่แบบเดิมหลายเท่า

---

🧠 แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อ?

“ไวไว x มาม่า” กำลังทดสอบ กลยุทธ์ข้ามแบรนด์?

หรือกำลังปูทางสู่ New Premium Market ที่ราคาต่อซองสูงขึ้น แต่ภาพลักษณ์ยังเข้าถึงง่าย?

หรือทั้งหมดคือ “มหากาพย์ไวรัล” ที่ต้องจับตาว่าจะจบอย่างไร?

---

นี่อาจไม่ใช่แค่เรื่องบะหมี่ แต่นี่คือการตลาดในยุคที่ “ใครเรียกความสนใจได้ก่อน = ชนะ”

📌 ถ้า 2 ยักษ์ใหญ่ยังต้องเล่นกับความคิดผู้บริโภคขนาดนี้
แล้ว SME อย่างเรา…พร้อมหรือยังที่จะ "เปลี่ยนมุมคิด" ในการสื่อสารแบรนด์

#ไวไว #มาม่า #กลยุทธ์การตลาด

👠✨ เมื่อ “ชมพู่ อารยา” ใส่… มูลค่าแบรนด์ก็เปลี่ยนไปทั้งจักรวาลรองเท้าคู่นั้นอาจมีอยู่ก่อนแล้วในร้านแต่พอ "ชมพู่ อารยา" ใ...
10/06/2025

👠✨ เมื่อ “ชมพู่ อารยา” ใส่… มูลค่าแบรนด์ก็เปลี่ยนไปทั้งจักรวาล

รองเท้าคู่นั้นอาจมีอยู่ก่อนแล้วในร้าน
แต่พอ "ชมพู่ อารยา" ใส่
มันไม่ใช่แค่รองเท้า...
แต่มันกลายเป็น "แฟชั่น", "ไวรัล", และ "ของที่ต้องมี"

💥 จากสินค้าธรรมดา → กลายเป็นไอเทมที่ Sold Out
💥 จากสีชมพูหวาน ๆ → กลายเป็นพลังการตลาดระดับโลก
💥 จาก Adidas Samba รุ่น Jane → กลายเป็นรองเท้าที่สาว ๆ ต้องการ เพราะ คนต้นแบบ ใส่มันด้วยความมั่นใจ

นี่คือพลังของแบรนด์ดิ้ง ไม่ใช่แค่โปรดักส์ดี...แต่ต้องมีคนที่ “ใช่” ทำให้มันเกิด

และชมพู่ อารยา คือหนึ่งในแบรนด์มนุษย์ที่ “เปลี่ยนของธรรมดาให้ขายดี” ได้จริงทุกครั้ง

📌 สินค้าอาจเหมือนกัน
แต่พลังของคนสื่อสาร “ไม่เหมือนกัน”

อยากให้แบรนด์ของคุณมีพลังแบบนั้น?
เริ่มจากการสร้าง คน ให้มีอิทธิพลต่อการรับรู้
แล้ว “ยอดขาย” จะตามมาเอง



#แบรนด์ดิ้งที่ทรงพลัง
#ชมพู่ใส่อะไรก็ขายดี

#กลยุทธ์การตลาดยุคใหม่

แคมเปญ “I’m worth it.” ของ L’Oréal Paris ไม่ใช่แค่สโลแกนธรรมดา แต่คือหนึ่งใน แคมเปญการตลาดระดับโลกที่ทรงพลังที่สุด 🕰️ จุ...
10/06/2025

แคมเปญ “I’m worth it.” ของ L’Oréal Paris ไม่ใช่แค่สโลแกนธรรมดา แต่คือหนึ่งใน แคมเปญการตลาดระดับโลกที่ทรงพลังที่สุด
🕰️ จุดเริ่มต้น: ปี 1971
แคมเปญนี้เปิดตัวครั้งแรกในปี 1971
โดยทีมงานโฆษณาของ McCann New York
นักเขียนคำโฆษณาหญิงวัยเพียง 23 ปี ชื่อ Ilon Specht เป็นผู้คิดคำนี้ขึ้นมา
เพื่อตอบสนองต่อยุคที่โฆษณาส่วนใหญ่เขียนโดยผู้ชาย และ "พูดกับผู้หญิงในฐานะวัตถุ"
💬 คำว่า “I’m worth it.” คืออะไร?
เป็นวลีที่หญิงสาวพูดเอง ไม่ใช่คนอื่นบอกว่าเธอสวย
แต่เธอเป็นคนบอกว่า "ฉันคู่ควรกับสิ่งที่ดี"
เปลี่ยนมุมจากผู้หญิงต้องทำตามมาตรฐานความสวย → เป็นเจ้าของคุณค่าในแบบของตัวเอง
“Because I’m worth it.” = “เพราะฉันมีคุณค่าเพียงพอ”
💄 ทำไมแคมเปญนี้ถึงดังและอยู่ได้นานกว่า 50 ปี?
ยืนหยัดเรื่อง self-worth / self-respect / self-expression ในยุคที่ผู้หญิงเริ่มเรียกร้องสิทธิของตัวเอง
ใช้ เซเลบหญิงระดับโลก เช่น Jane Fonda, Beyoncé, Eva Longoria, Aishwarya Rai มาพูดคำนี้ด้วยตัวเอง
สื่อถึงความงามในแบบ inclusive ไม่ใช่แค่ผอม ขาว หรืออ่อนวัย
ต่อยอดเป็นแนวทางของแบรนด์:
“L’Oréal doesn’t tell you how to be beautiful. It tells you that you already are.”
🌍 แคมเปญที่กลายเป็นขบวนการ
กลายเป็นคำขวัญของขบวนการเฟมินิสต์สาย soft power
ถูกใช้ทั้งในการพูดสร้างแรงบันดาลใจ โฆษณา และสื่อการตลาดกว่า 40 ภาษา
ทุกวันนี้คำว่า “I’m worth it” ยังถูกพูดในโฆษณาล่าสุดของ L’Oréal
เพราะมันไม่ใช่แค่การขายแชมพู — แต่มันขาย “ความมั่นใจในตัวเอง”
📌 สรุปสั้น ๆ:
“I’m worth it.” ไม่ใช่แค่คำโปรย
แต่มันเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้โฆษณาผู้หญิง…เริ่มพูด เพื่อผู้หญิง โดยผู้หญิง และจากผู้หญิง

-
📣 ถ้าคุณกำลังสร้างแบรนด์ อย่ามองแค่ “ขายได้”
แต่ถามตัวเองให้ชัดว่า...
“แบรนด์ของคุณ กำลังบอกอะไรกับโลก?”

อยากเรียนรู้การวางแคมเปญทรงพลัง สร้างแบรนด์ที่มีเสียง มีความหมาย และมีอิทธิพล
👉 ทักทีม Kenzo มาคุยได้เลย!

📩 Inbox: m.me/kenzokimura.co






12 อินไซต์สำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียของคนไทยในปี 2025จากรายงานล่าสุดของ DataReportal พบว่า...
17/03/2025

12 อินไซต์สำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียของคนไทยในปี 2025
จากรายงานล่าสุดของ DataReportal พบว่าคนไทยยังคงมีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียสูงมาก และมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค

📌 อินไซต์สำคัญที่นักการตลาดต้องรู้
1️⃣ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
คนไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 65.4 ล้านคน คิดเป็น 91.2% ของประชากรทั้งหมด
2️⃣ เวลาเฉลี่ยในการใช้อินเทอร์เน็ต
คนไทยใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ย 7 ชั่วโมง 54 นาทีต่อวัน
ใช้มือถือ 5 ชั่วโมง
ใช้คอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ต 2 ชั่วโมง 54 นาที
3️⃣ เว็บไซต์ยอดนิยมที่คนไทยเข้าใช้งานมากที่สุด
YouTube, Google และ Facebook ครองอันดับสูงสุด
4️⃣ พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย
คนไทยใช้โซเชียลมีเดียเฉลี่ย 2 ชั่วโมง 32 นาทีต่อวัน
สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 2 ชั่วโมง 21 นาที
5️⃣ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยม
อัตราการใช้งานสูงสุด 5 อันดับแรก
LINE (95%)
Facebook (94%)
YouTube (93%)
TikTok (76%)
Instagram (68%)
6️⃣ การช็อปปิงออนไลน์มาแรง
69.2% ของคนไทย ซื้อสินค้าออนไลน์เป็นประจำทุกสัปดาห์
ไทยมีอัตราการซื้อออนไลน์สูงที่สุดในโลก
7️⃣ อุปกรณ์ที่ใช้ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
คนไทยเข้าใช้อินเทอร์เน็ตผ่าน
มือถือ 63.3%
คอมพิวเตอร์ 36.7%
8️⃣ โซเชียลมีเดียกลายเป็นแหล่งหาข้อมูลสินค้า
44.1% ของคนไทยใช้โซเชียลมีเดียเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์และผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจซื้อ
9️⃣ การรับชมวิดีโอออนไลน์
94.7% ของคนไทย ดูวิดีโอออนไลน์เป็นประจำ
สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 92%
🔟 การฟังเพลงออนไลน์
35.8% ของคนไทย ฟังเพลงออนไลน์ทุกวัน
ใช้เวลาฟังเพลงเฉลี่ย 1 ชั่วโมง 36 นาทีต่อวัน
1️⃣1️⃣ การเล่นเกมออนไลน์
93.5% ของคนไทย เล่นเกมออนไลน์เป็นประจำ
สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 83.6%
ใช้เวลาเฉลี่ย 1 ชั่วโมง 32 นาทีต่อวัน
1️⃣2️⃣ การใช้โซเชียลมีเดียเพื่อความบันเทิง
คนไทยนิยมใช้ TikTok และ YouTube ในการดูคอนเทนต์เพื่อความบันเทิง
คอนเทนต์ประเภทวิดีโอสั้นและรีวิวกำลังเป็นที่นิยม
📌 บทสรุปสำหรับนักการตลาด
🔹 โซเชียลมีเดียกลายเป็นช่องทางหลักของคนไทย ทั้งการรับข่าวสาร ความบันเทิง และการช็อปปิง
🔹 Facebook และ TikTok ยังเป็นแพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อสูงมาก
🔹 การทำวิดีโอคอนเทนต์ เป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องให้ความสำคัญเพื่อดึงดูดลูกค้า
🔹 ธุรกิจต้องเน้นกลยุทธ์ Omnichannel ให้ลูกค้าเชื่อมต่อกับแบรนด์ได้ทุกช่องทาง

📢 อินไซต์เหล่านี้สำคัญมาก! แบรนด์ของคุณปรับตัวทันหรือยัง? คอมเมนต์มาแชร์กัน!

แบรนด์หรูซื้อแบรนด์หรู ทำไม Prada ต้องการควบกิจการ Versace? 💎✨เมื่อพูดถึงวงการ Luxury Fashion เรามักคิดถึงความเป็นเอกลัก...
17/03/2025

แบรนด์หรูซื้อแบรนด์หรู
ทำไม Prada ต้องการควบกิจการ Versace? 💎✨
เมื่อพูดถึงวงการ Luxury Fashion เรามักคิดถึงความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ แต่ในความเป็นจริง เบื้องหลังโลกของแบรนด์หรูคือ “เกมใหญ่” ของการควบรวมกิจการ และเมื่อข่าวลือว่า Prada อาจเดินหน้าซื้อกิจการ Versace ก็เกิดคำถามสำคัญว่า ทำไมแบรนด์หรูถึงต้องการรวมกันเอง? 🤔

🔎 1. “ขยายอาณาจักร” เพื่อแข่งขันกับ LVMH และ Kering
ในอุตสาหกรรมแฟชั่น ผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดคือ LVMH (Louis Vuitton Moët Hennessy) และ Kering (Gucci, Balenciaga, YSL) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ถือครองแบรนด์หรูจำนวนมาก

Prada Group (Prada, Miu Miu, Church’s) เป็นแบรนด์หรูอิสระที่ไม่ได้อยู่ในเครือ LVMH หรือ Kering การซื้อ Versace จะช่วยให้ Prada แข็งแกร่งขึ้นและแข่งขันกับยักษ์ใหญ่เหล่านี้ได้ดีขึ้น

📌 Case Study:

LVMH ซื้อ Tiffany & Co. เพื่อขยายสู่อุตสาหกรรมเครื่องประดับ
Kering เคยพยายามเข้าซื้อ Moncler เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในตลาดแฟชั่น Outdoor
Versace = แบรนด์ไอคอนิกของอิตาลี หาก Prada ได้มา จะช่วยให้ Prada Group แข็งแกร่งขึ้นในฐานะ Luxury Conglomerate ของอิตาลี ไม่ต้องพึ่งทุนจากกลุ่มฝรั่งเศส

🔥 2. “เพิ่มพอร์ตโฟลิโอ” เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน
Prada และ Versace มีจุดแข็งที่แตกต่างกันชัดเจน

Prada = Minimalism หรูหรา เงียบแต่แพง
Versace = Maximalism สีสันจัดจ้าน ดึงดูดสายแฟชั่นที่ชอบความโดดเด่น
การซื้อ Versace จะช่วยให้ Prada Group สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น
✅ ลูกค้าสาย “Quiet Luxury” ยังคงอยู่กับ Prada
✅ ลูกค้าสาย “Bold & Flashy” หันไปหา Versace

แทนที่ลูกค้าจะไปซื้อแบรนด์ของคู่แข่ง เงินยังคงอยู่ในเครือ Prada Group

🎯 เปรียบเทียบกับ LVMH
LVMH มี Dior สำหรับแฟชั่นเรียบหรู และ Louis Vuitton สำหรับแฟชั่นที่โดดเด่น
Kering มี Gucci ที่ฉูดฉาด และ Saint Laurent ที่เรียบโก้
Prada อาจใช้ Versace มาทำแบบเดียวกัน

💰 3. “Versace มีศักยภาพ แต่ยังบริหารได้ไม่สุด”
ปัจจุบัน Versace อยู่ภายใต้เครือ Capri Holdings (Michael Kors, Jimmy Choo, Versace) ซึ่งยังไม่สามารถขยายแบรนด์ Versace ให้โตแบบก้าวกระโดดได้เหมือน LVMH ทำกับ Dior

Prada อาจเห็นโอกาสในการพลิกโฉม Versace และทำให้เติบโตขึ้นไปอีกขั้น
✅ พัฒนาไลน์สินค้าใหม่ ๆ เช่น กระเป๋า & เครื่องประดับ (ซึ่งเป็นจุดแข็งของ Prada)
✅ เพิ่มความหรูให้ Versace (ลดความ Mass เพื่อยกระดับให้เทียบ Gucci, Louis Vuitton)
✅ สร้างแผนขยายตลาดที่ดีขึ้น (โดยเฉพาะในจีนและตะวันออกกลาง)

🔮 4. “Luxury Consolidation” คืออนาคตของแบรนด์หรู
Luxury Fashion ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของดีไซน์อีกต่อไป แต่คืออุตสาหกรรมที่ใช้กลยุทธ์ธุรกิจเต็มรูปแบบ
📌 การควบรวมกันช่วยให้แบรนด์อยู่รอดในระยะยาว เพราะต้นทุนการผลิต & การทำการตลาดสูงขึ้นเรื่อย ๆ
📌 Data & AI เริ่มมีบทบาทมากขึ้น ยิ่งบริษัทใหญ่ ยิ่งมีข้อมูลลูกค้าเยอะ และสามารถใช้ AI วิเคราะห์แนวโน้มแฟชั่น & การตลาดได้ดีขึ้น

แบรนด์หรูที่ยัง “สู้เดี่ยว” อาจจะลำบากขึ้นเรื่อย ๆ Prada อาจมองว่า ถ้าไม่ขยายอาณาจักรตอนนี้ อนาคตอาจถูกกลืนไปโดย LVMH หรือ Kering

🚀 สรุป: Prada ซื้อ Versace คือดีลที่มีเหตุผลชัดเจน
✅ เพิ่มพลังแข่งขันกับ LVMH และ Kering
✅ ขยายพอร์ตสินค้า & ลูกค้าให้กว้างขึ้น
✅ บริหาร Versace ให้ดีขึ้นและโตเร็วกว่าเดิม
✅ สร้าง Luxury Conglomerate ของอิตาลี เพื่อแข่งกับทุนฝรั่งเศส

Luxury Fashion = เกมของการควบรวมกิจการ 🔥
ใครที่ใหญ่กว่า และบริหารได้ดีกว่า จะครองตลาดหรูในอนาคต

📌 คุณคิดว่า Prada ซื้อ Versace จะเป็นดีลที่เวิร์คไหม? หรืออาจเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่? คอมเมนต์มาคุยกัน! 💬

📌 ถ้าคุณยังคิดว่า "คนเท่านั้นที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้" คิดใหม่ได้เลย! เพราะ "หมีเนย" มาสคอตจากร้านขนม Butterbear กำลังแย...
17/03/2025

📌 ถ้าคุณยังคิดว่า "คนเท่านั้นที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้" คิดใหม่ได้เลย! เพราะ "หมีเนย" มาสคอตจากร้านขนม Butterbear กำลังแย่งงานอินฟลูเอนเซอร์มนุษย์ไปเพียบ
🎯 5 บทเรียนสำคัญจากหมีเนย ที่ Influencer ต้องรู้!
1️⃣ คาแรกเตอร์ชัดเจน = คนจำง่าย
→ หมีเนยมี บุคลิกที่เป็นมิตร สนุกสนาน และเข้าถึงง่าย คนเห็นแล้วจำได้ทันที
→ ต่างจาก Influencer บางคนที่ยังหาคาแรกเตอร์ของตัวเองไม่เจอ
2️⃣ คอนเทนต์มี Emotional Connection
→ หมีเนยไม่ได้แค่ "เป็นตุ๊กตาเดินได้" แต่ มีภาษากายและการตอบโต้ที่น่ารัก ทำให้คนรู้สึกผูกพัน
→ มนุษย์ Influencer ที่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องสร้าง Emotional Connection กับผู้ติดตามให้ได้
3️⃣ Consistency สำคัญกว่าความ Perfect
→ หมีเนยไม่ได้เป๊ะทุกมุม แต่ ออกมาสร้างรอยยิ้มอย่างสม่ำเสมอ
→ Influencer หลายคนมักรอให้ "ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ" ก่อนจะโพสต์ แต่นั่นทำให้ช้าเกินไป
4️⃣ แพลตฟอร์มไหนมาแรง ต้องพร้อมไปอยู่ที่นั่น
→ หมีเนยไม่ได้ดังแค่ในร้านขนม แต่ยังกลายเป็นไวรัลบน TikTok และโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม
→ Influencer ที่ไม่พร้อมปรับตัวไปแพลตฟอร์มใหม่ ๆ อาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
5️⃣ Brand Collaboration ที่ฉลาด = งานเข้าไม่หยุด
→ หมีเนยได้ร่วมงานกับหลายแบรนด์ เพราะมีภาพลักษณ์ที่น่ารักและเข้าถึงง่าย
→ Influencer ที่เลือกแบรนด์พาร์ทเนอร์ให้ตรงกับคาแรกเตอร์ของตัวเอง จะได้โอกาสระยะยาว
📌 สรุป: มาสคอตหมีเนยกำลังบอกเราว่า...
💡 อินฟลูเอนเซอร์ยุคนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นมนุษย์!
💡 "ความน่ารัก" และ "คาแรกเตอร์ที่แข็งแรง" อาจสำคัญกว่าจำนวนผู้ติดตาม
💡 Influencer ที่ปรับตัวเร็ว และมีเอกลักษณ์ชัดเจน จะอยู่รอดได้ในยุคที่ทุกอย่างกลายเป็นไวรัลได้ภายในคืนเดียว
🐻 แล้วคุณล่ะ? พร้อมแข่งกับหมีเนยหรือยัง? 🤔🔥
>>>>>>>>>>>

🔥 ทำไมความเข้าใจ FOMO & Social Pressure 1️⃣ คนส่วนใหญ่ "กลัวตกขบวน" มากกว่าที่คิดFOMO (Fear of Missing Out) ทำให้คนตัดสิ...
17/03/2025

🔥 ทำไมความเข้าใจ FOMO & Social Pressure
1️⃣ คนส่วนใหญ่ "กลัวตกขบวน" มากกว่าที่คิด
FOMO (Fear of Missing Out) ทำให้คนตัดสินใจซื้อเร็วกว่าปกติ!
🔹 เปิดตัวสินค้าใหม่ → ใส่จำนวนจำกัด “เหลือ 10 ชิ้นสุดท้าย”
🔹 เปิดคลาสเรียนออนไลน์ → บอกว่า "รับแค่ 100 คน!"
🔹 ขายสินค้าหรู → สร้างกระแสว่า "คนระดับนี้ต้องมี!"
💡 ถ้าธุรกิจคุณเข้าใจสิ่งนี้ → คุณสามารถ ออกแบบข้อเสนอที่ทำให้คนซื้อแบบไม่ลังเล

2️⃣ คนใช้โซเชียลเพื่อเปรียบเทียบ → ธุรกิจที่วางภาพลักษณ์ถูกจังหวะ = ชนะ
คนมักไม่ซื้อของที่ดีที่สุด แต่ซื้อของที่ "รู้สึกว่าดีที่สุด"
🔹 ทำไมคาเฟ่บางร้านขายกาแฟราคาแพง แต่คนต่อแถวไม่หยุด? → เพราะภาพลักษณ์มันทำให้รู้สึกว่า “ต้องมา”
🔹 ทำไมแบรนด์แฟชั่นขายดี ทั้งที่มีของถูกกว่านี้? → เพราะใส่แล้วรู้สึกว่า “ฉันอยู่ในวงการ”
💡 ถ้าธุรกิจคุณเข้าใจสิ่งนี้ → คุณสามารถ วาง Positioning ให้แบรนด์ดู “น่าเป็นเจ้าของ” จนลูกค้ารู้สึกต้องซื้อ
3️⃣ FOMO ไม่ได้เกิดแค่กับลูกค้า... แต่เกิดกับ “คู่แข่ง” ด้วย!
ถ้าคุณสร้างกระแสได้ดี → คู่แข่งจะ "ไล่ตาม" คุณแทน
🔹 เปิดตัวแคมเปญใหม่ → คู่แข่งรีบออกตาม (แต่คุณเดินเกมก่อน)
🔹 สร้างกระแสสินค้า Limited Edition → คู่แข่งต้องมานั่งคิดใหม่ว่าทำยังไงให้สู้ได้
🔹 บิ้วท์ Story ของแบรนด์ให้แข็งแรง → คู่แข่งที่ไม่เข้าใจจิตวิทยาอาจทำแค่ “ลดราคา” ซึ่งไม่น่าสนใจ
💡 ถ้าธุรกิจคุณเข้าใจสิ่งนี้ → คุณสามารถ นำคู่แข่งแทนที่จะไล่ตามคนอื่น
ใช้ FOMO & Social Pressure ให้เป็น แล้วธุรกิจคุณจะเติบโตอย่างเหนือเกม
✅ สร้างสินค้า/บริการ ที่ให้ความรู้สึก “ต้องมี”
✅ ออกแบบการตลาดให้ "กดดันคนซื้ออย่างแนบเนียน"
✅ วาง Positioning ให้คนรู้สึกว่าถ้าไม่มี = ตกเทรนด์
✅ ทำให้คู่แข่งต้อง “วิ่งตาม” แทนที่จะเป็นตัวเราวิ่งตามคนอื่น
📌 สุดท้าย... คนที่เข้าใจจิตวิทยาของ Social Pressure ไม่ใช่แค่ไม่ตกกระแส แต่เป็นคน "สร้างกระแส" ให้ตัวเอง!
💬 คุณเคยใช้กลยุทธ์ FOMO ในธุรกิจบ้างไหม?
หรือกำลังวางแผนจะใช้? แชร์ไอเดียกันหน่อย! ⬇️🔥
>>>>>>>>>>>

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Kenzo Kimuraผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

M O O N ’

Inspired by Life